~ สายใย .. ไฟรัก ~
~ สายใย .. ไฟรัก ~


เส้นสายใย .. ใครกันหนอ .. ที่ทอถัก
เส้นสายรัก .. ใครจักสาน.. ขานคำขอ
เส้นทางเดิน .. ใครเหินห่าง .. ต่างเฝ้ารอ
ไฟรักพอ .. ต่อหัวใจ .. ให้อุ่นอิง




เธอ .. คือ เพื่อนสนิทของน้องสาวเพื่อนรัก

เขา .. คือ ผู้บริหารโรงแรมจอมเผด็จการ แต่กลับเป็นเพื่อนรักพี่ชายของเพื่อนสนิท

ทว่า ..

เธอ .. ในสายตาของเขา .. คือ คนอวดดี ยโส ที่ใช้เพื่อนเป็นทางผ่านไปสู่ความสำเร็จของตัวเอง

เขา .. ในสายตาของเธอ .. คือ ผู้ชายไร้เหตุผล เอาแต่ตนเองเป็นใหญ่

ที่สำคัญเหนืออื่นใด .. ทั้งเธอและเขา .. กำลังตกหลุมรักคนที่ไม่ควรจะรัก!




***************************
Tags: ความรัก ครอบครัว เพื่อน

ตอน: ใยเส้นที่ 19 .. อย่าให้คลาดสายตา




บนชะง่อนผาไม่ห่างจากประภาคารของอุทยานแห่งชาติท้ายเกาะลาลัล เป็นที่ที่ศรตฤณใช้ปักหลักเฝ้าดูความเคลื่อนไหวเหนือเกลียวคลื่นที่ผืนน้ำกระฉอกตัวราวมีชีวิตในความเงียบงัน

ราว ๓ นาฬิกาเศษของเช้าวันใหม่ สปีดโบ้ทลำหนึ่งปรากฏท่ามกลางความมืด ฝ่าคลื่นลมแล่นเข้าหาฝั่งก่อนจะชะลอเทียบท่าเรือเล็กของโรงแรมที่ได้ชื่อว่าหรูหราที่สุดบนเกาะนี้

ไม่กี่นาทีต่อมา สายตาของเขาก็ยังคงเพ่งอยู่ที่สปีดโบ้ทลำนั้น ซึ่งจากจุดสังเกตการณ์เห็นมันกลายเป็นวัตถุเล็กจิ๋วเหมือนของเล่น แต่สิ่งที่ทำให้ไม่สามารถเบือนหน้าหนีไปไหนได้ เพราะจากที่ลอยลำเท้งเต้ง มันก็เริ่มแร่งเครื่องยนต์ขับน้ำเต็มกำลัง ก่อนหายลับกลมกลืนบรรยากาศกลางทะเล หลังจากมาส่งผู้โดยสารยามวิกาลยังท่าเรือส่วนตัวของ คิง เซอร์เพนท์ ออฟ เดอะ เซาท์ ซี โฮเทล เรียบร้อยแล้ว

ศรตฤณมาอยู่ที่อุทยานตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืน อาศัยการพรางตัวและเส้นทางนอกเหนือจากที่นักท่องเที่ยวใช้ ลัดเลาะผ่านความชันทางด้านหนาผา กระทั่งมาหลบอยู่ในตัวประภาคาร เพื่อภารกิจบางอย่างที่เชดส์ติดต่อมากะทันหัน ซึ่งก็ยังไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่เขาพอจะคาดการณ์ได้ว่า มันคงเป็นเรื่องสำคัญมาก ด้วยข้อความที่ว่า

จับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกคิง เซอร์เพนท์ ในสองสามวันนี้

ครั้นจะซ่อนตัวอยู่แต่ในประภาคารก็ใช่ที่ ศรตฤณจึงเลือกทำเลเหมาะๆ ที่จะเห็นได้ทั่วบริเวณ แต่ไม่เป็นจุดสังเกตของเจ้าหน้าที่อุทยาน

ทว่า เพียงคืนแรกที่ได้รับมอบหมายภารกิจ ความเคลื่อนไหวก็มารออยู่เบื้องหน้า

จากการสังเกตการณ์ระยะไกลท่ามกลางแสงสลัวราง ศรตฤณที่พอจะปรับสายตาให้รับกับสภาพน้อยแสงได้มาระยะหนึ่ง ก็เห็นร่างเงาเคลื่อนไหวบนสะพานเชื่อมท่าเทียบเรือไปถึงทางเดินเลียบฝั่ง ซึ่งทางคิง เซอร์เพนท์สร้างยื่นล้ำออกมาในทะเล

หนุ่มลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสสบถเบาๆ อย่างหัวเสีย เพราะไร้อุปกรณ์ที่จะช่วยให้มองเห็นเป้าหมายชัดเจนในการมองฝ่าความมืดมิด ในบางขณะที่แสงสลัวไม่อาจส่องถึงได้

"บ้าจริง ... ถ้ามีกล้องอินฟาเรดก็ดีสิ"

ศรตฤณเปรยขื่นๆเมื่อนึกถึงอดีตที่เคยมี ... เคยเป็น ยามพรั่งพร้อมด้วยยุทโธปกรณ์ในการสอดแนม และอาวุธที่ทรงอานุภาพตอบโต้ได้เมื่อถูกโจมตี

แต่บัดนี้ เขาเลือกที่จะหันหลังให้กับสิ่งนั้น ซึ่งต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่า ตลอดชีวิตนี้จะไม่มี ... ไม่จับต้องของพวกนั้นอีกต่อไป

สายตาวาววับจับจ้องไปตรงตำแหน่งเดิม ความมุ่งมั่นแน่วแน่แทบไม่ต่างจากอุปกรณ์ตรวจจับที่เคยใช้ และเพราะการเฝ้ามองแบบไม่ให้คลาดสายตา ก็ทำให้เขาได้เห็นเรือนร่างสูงใหญ่ที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เขาก็จดจำได้ไม่มีวันลืม

อนาคิน เพิร์ล คู่หูร่วมทีมที่อินเตอร์โพล ... อดีตผู้ร่วมปฏิบัติภารกิจของเรมี ซิลวาน มานานนับปี ได้ตายไปแล้ว

ตายไปตั้งแต่วันที่ได้รู้ว่า ... แอนนี่ กลายมาเป็น นาคินทร์ พี. เซอร์เพนท์ ทายาทแห่ง เดอะ เซอร์เพนท์ คอร์เปอเรชั่น บุคคลต้องสงสัยถึงเบื้องหลังความร่ำรวยมหาศาล ... ในฐานะเจ้าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่คนล่าสุดในภูมิภาคนี้

ในเมื่อคนที่เคยเคารพและศรัทธา ได้ตายไปจากความทรงจำดีๆ ... เรมี ซิลวาน ก็ไม่มีหน้าไปสู้ใครได้ เมื่อไม่เคยระแคะระคายแม้แต่น้อยว่า คนที่ใกล้ชิดที่สุด ที่เขานับเป็นทั้งอาจารย์ และเพื่อนร่วมตาย จะมีเบื้องหลังเลวร้ายเช่นนั้น

เรมี ซิลวาน ผู้ที่มีชีวิตครอบครัว เพื่อนฝูงและการงานเกือบ ๒๐ ปีที่ฝรั่งเศส จึงขอปิดฉากตัวเองด้วยการลาออกจากอินเตอร์โพล หรือองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ เพราะคิดว่า ทักษะการเป็นตำรวจสากลไม่ได้ช่วยให้เขาฉลาดและเฉลียวใจคนใกล้ตัวได้เลย

อดีตนายตำรวจสากลตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทยในฐานะ นายศรตฤณ วัตราภรณ์ หนุ่มลูกครึ่งไทยเชื้อสายฝรั่งเศสธรรมดาๆแทน

แต่ก็นั่นล่ะ ... ศรตฤณไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าเหตุใดความตั้งใจของเขาจึงถูกทำลายลงได้ง่ายดายนัก

มันง่ายเกินไปหรือเปล่า ... ด้วยการยอมเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงตาย กับสิ่งที่เขาเพิ่งหันหลังให้ได้ไม่นาน

อย่างภารกิจที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ มาจากการขอความช่วยเหลือเพราะต้องการอาศัยประสบการณ์และฝีมือของเขา

เพียงพอที่จะเห็นแก่คำขอร้องของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่าง ...

ไอ้เชษฐ์!

หนุ่มลูกครึ่งคนหนึ่งจึงต้องเดินทางในคราบนักท่องเที่ยว ไปมาระหว่างต่างประเทศ กรุงเทพฯ และเกาะลาลัล จนเวลาล่วงมาได้กว่า ๓ ปี ที่ต้องมาพัวพันกับเรื่องเดิมๆ คนเดิมๆ ... แต่ลดสถานภาพลงจากนายตำรวจสากล เป็นแค่พลเรือนสองเชื้อชาติ และ เงาติดตาม

จะว่าไป เชษฐ์ ฤทธา ก็เป็นเพียงข้อหนึ่งในการตกลงร่วมงานลับๆ แต่คนที่ทำให้ศรตฤณยอมเป็น 'ซายน์' ก็คือ ชายผู้นั้นที่อยู่ในสายตาของเขาขณะนี้

แม้แสงไฟจะรางเลือน หากร่างสูงกำยำผึ่งผายกลับชัดเจน จนเกือบระงับความพลุ่งพล่านและเดือดดาลไว้ไม่อยู่ทีเดียว

เหตุผลสำคัญของศรตฤณก็อยู่ตรงหน้านี่เอง เขาอยากพิสูจน์ให้แน่ใจว่า นาคินทร์ พี. เซอร์เพนท์ อดีตนายตำรวจร่วมอาชีพ เป็นผู้ทรยศต่อองค์กรและเพื่อนอย่างเขาจริงหรือไม่





มัสลินกับรัศมิทัตใช้เวลากว่า ๑๔ ชั่วโมงในการเดินทาง นับตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ จนมาถึงกระบี่ แล้วขับรถตามเส้นทางเพื่อให้ทันเวลาลงแพขนานยนต์ ก่อนขึ้นฝั่งบนเกาะลาลัล กระทั่งเลี้ยวรถเอสยูวีพาหนะคู่กายคู่ใจของสถาปนิกหนุ่ม มาหยุดยังพื้นที่จอดรถของรู้ค รีสอร์ท แอนด์ สปา

"เฮ้อ ... ถึงเสียที เล่นเอาปวดเมื่อยเหมือนกัน"

"ก็ทัตไม่ยอมให้เราช่วยขับรถนี่นา ... อย่ามาบ่น เอ๊ะ หรือว่า วางแผนมารยาอ้อนใครที่นี่รึเปล่า"

"เบื่อพวกรู้ทัน"

รัศมิทัตบ่นออกมาให้เพื่อนสาวได้ยิน แต่ต่างก็รู้ดีว่า เป็นแค่การกระเซ้าเย้าแหย่ตามปกติ อิริยาบถหัวเราะยิ้มหัวระหว่างลงจากรถของทั้งคู่ กลับสร้างบรรยากาศราวคู่รักมาพักผ่อนได้ไม่ยากหากใครจะมองเช่นนั้น ซึ่งสองหนุ่มสาวไม่ทันคิดว่า ความสนิทสนมฉันเพื่อนจะกลายเป็นเป้าสายตาให้ใครยืนมองแทบจะจ้องเขม็ง

เพื่อนชายทำหน้าที่สุภาพบุรุษยกกระเป๋าจากท้ายรถลงมา ก่อนตามด้วยของตัวเองแล้วปิดล็อครถเรียบร้อย แถมทำท่าจะช่วยสะพายเป้ให้มัสลิน แต่ต้องชะงักมือเพราะหญิงสาวคว้าชิงไปต่อหน้าต่อตา

แล้วสิ่งที่ทำให้ทายาทหนึ่งในหุ้นส่วนของรู้คไม่อาจกลั้นขำได้ เนื่องมาจากท่าทางเหลียวซ้ายแลขวาคล้ายค้นหาใครที่หลบซ่อนอยู่ กับคำพูดชวนฉงนแต่เป็นการเฉลยให้ทราบและเข้าใจตรงกัน

"พอๆ เก็บแรงไว้ทำคะแนนกับพี่ชายพี่ฟ้าเถอะ ... ไม่รู้จะแอบมองมาจากทางไหนมั้ยเนี่ย"

"คิดมากไปแล้วลินิน ... ทำยังกับลุงไฟเป็นสต็อคเกอร์ไปได้"

"มากันแล้วเหรอลินิน ... ทัต"

เสียงทักทายแทรกกลางบทสนทนาส่งมาให้ได้ยิน ก่อนที่ทั้งสองคนจะเห็นว่า ผู้จัดการฟร้อนท์ ออฟฟิศ เดินออกมาจากทิศทางใด

ครู่เดียวเวหาก็ก้าวแบบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากแนวสวนหย่อม และมาถึงจุดที่มัสลินกับรัศมิทัตพ้นเขตลานจอดรถพอดี ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างดีใจที่ได้พบกัน รวมถึงถามไถ่ถึงการเดินทางอย่างห่วงใย

"ถึงเร็วเหมือนกันนะ นี่เพิ่ง ๙ โมงนิดๆเอง หิวกันรึยัง เหนื่อยมั้ย ได้พักระหว่างทางบ้างหรือเปล่าเนี่ย"

"สวัสดีค่ะพี่ฟ้า ... จะไม่ให้ถึงเร็วได้ยังไง ก็ใจใครบางคนเขาอยู่ที่นี่ มีเท่าไหร่เหยียบเกือบมิดไมล์"

มัสลินยกมือไหว้สาวรุ่นพี่ตามความเคยชิน มาแต่ครั้งยังเรียนร่วมคณะร่วมรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งอีกฝ่ายก็รับไหว้ได้ทันกัน แล้วก็ต้องอมยิ้มแก้มซับสีเลือดฝาดกะทันหัน จากคำหยอกเอินของรุ่นน้องที่สื่อให้รู้ว่าเพราะอะไรทำให้การล่องใต้คราวนี้รวดเร็วปานติดจรวด

รัศมิทัตยิ้มกริ่มยืดอกทันที เมื่อเพื่อนสาวชงให้ขนาดนี้ มีหรือเขาจะพลาด ...

"จริงครับ ... คุณฟ้า"

"พอๆ ... ไม่ต้องมายืนยันอะไรแล้ว เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้อง แล้วไปกินข้าวกัน"

เวหาพยายามไม่แสดงอาการเก้อเขินจนเกินงาม มัสลินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับปฏิกิริยาของใคร ออกเดินนำไปที่พักก่อนสามสี่ก้าว เป็นโอกาสให้รัศมิทัตสาวเท้ามาใกล้ๆ และได้เดินเคียงคู่ไปกับผู้หญิงที่เขาสามารถออกปากบอกใครๆได้เสียทีว่า 'แฟน'

"คิดถึงคุณฟ้าจัง"

สถาปนิกหนุ่มก้มลงกระซิบเบาๆขณะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน แล้วก็ยิ้มสดใสให้กับสาวรุ่นพี่ ที่อายุไม่เป็นอุปสรรคต่อความรู้สึก แต่คนฟังก็ดูจะหูพร่าตาลายกับความหวานของชายหนุ่มคนนี้เสียแล้ว

เวหารับรู้แค่ความเห่อร้อนบนผิวแก้ม และจังหวะหัวใจที่ไหวระทึกจนก้าวขาไม่ออก หยุดชะงักทุกการเคลื่อนไหวไปดื้อๆ ที่ทำได้คือเองหน้าแหงนมองคนพูด ก่อนจะตอบกลับไปในระดับเดซิเบลต่ำกว่ามาตรฐาน แต่รัศมิทัตรู้สึกว่า มันดังกึกก้องสะท้านหัวใจคนฟังไม่ต่างกัน

"เหมือนกันเลย"





เพลิงกัลป์หลบออกมาอีกทาง เมื่อเห็นเวหาเข้าไปสมทบหนุ่มสาวสองคนนั้น ถ้าใครได้เห็นสีหน้าของประธานรู้คยามนี้ อาจมีตกอกตกใจหวาดผวากันบ้าง ซึ่งเจ้าตัวคงไม่ทันได้คิดหรอกว่า มันบึ้งตึงจนน่ากลัวแค่ไหน

"หัวเราะต่อกระซิกกับคนที่เขามีเจ้าของแล้ว ... มีใครเขาทำอย่างเธอบ้าง มัสลิน"

คำพึมพำเข่นเขี้ยวที่ชายหนุ่มเค้นออกมาทั้งหมด เขารู้ดีว่า หากเจ้าของชื่อเรียกมาได้ยิน ย่อมตระหนักความนัยของถ้อยความเหล่านี้ไม่ยาก เพราะมันทั้งแสลงหูและระคายใจ ซึ่งเขาต้องการให้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

น้องสาวของเขาก็ช่างกระไร ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า รุ่นน้องที่ตนรักใคร่ชื่นชมนั้น ไม่น่าไว้วางใจแม้แต่นิดเดียว

โดยเฉพาะเรื่องผู้ชาย!

กว่าเพลิงกัลป์จะนึกได้ว่าตนออกอาการ ‘เป็นห่วง’ น้องสาว และ คนของน้องสาวเกินความจำเป็น เขาก็เดินมาถึงห้องอาหารพอดี

“อรุณสวัสดิ์ครับ นายหัว อาหารเช้านี้จะรับทางครัวไทยหรือฝรั่งดีครับ”

บังคิดทักทายเจ้านายของเขาอย่างที่เคย ขณะจัดแจงเลื่อนเก้าอี้ต้อนรับในมุมประจำ โดยไม่ได้พิจารณาให้ดีว่า ‘นายหัว’ กำลังอยู่ในอารมณ์ไหน จนได้เห็นสีหน้าและแววตาถนัดเมื่อถอยมายืนประสานมือกุมรอรับคำสั่ง

“เอากาแฟ ... เอสเปรสโซ่ดับเบิ้ลละกัน”

“อ้าว นายหัว เกิดอะไรขึ้นครับ ถึงกับสั่งของขมแต่เช้า ...”

ดูเหมือนบังคิดจะเข้าใจคำตอบจากสายตาพิฆาตอย่างถ่องแท้ เพราะเพียงแค่เพลิงกัลป์ปรายตาชำเลืองมานิดเดียว ผู้รับคำสั่งก็ผงกหัวทวนคำแล้วรีบร้อนลนลานไปจัดหามาทันที

“ครับ เอสเปรสโซ่ดับเบิ้ล ... และ อย่าสงสัยครับ ... ครับ”

ชายหนุ่มตวัดสายตากลับมามองวิวทะเลตรงหน้า หวังหย่อนอารมณ์คลายความหงุดหงิด ที่เขาทราบแน่แท้แก่ใจว่าใครเป็นตัวการ

ครู่เดียวบริกรนำเครื่องดื่มร้อนอย่างที่ต้องการมาเสิร์ฟแล้วก็ถอยออกมา หากยังคงอยู่ในระยะของการดูแลนายหัวของพวกเขา

แต่ความเงียบสงบอยู่กับเพลิงกัลป์ได้ไม่นาน เพราะเวหาเดินนำสาวรุ่นน้องที่เคยเรียนร่วมคณะ กับอีกหนึ่งหนุ่มที่ถือว่าเป็นพี่น้องร่วมสถาบันมาถึงห้องอาหาร และตรงดิ่งมายังมุมประจำที่เคยนั่งกับพี่ชาย

“อ้าว พี่ไฟ เพิ่งมาทานอาหารเช้าเหมือนกันหรือคะ ฟ้านึกว่าเรียบร้อยแล้วซะอีก เห็นเดินตรวจงานรอบรีสอร์ท ... งั้นพวกเรานั่งนี่ก็แล้วกัน ได้ไม่เกะกะลูกค้าคนอื่น”

เวหาถามพี่ชายแล้วหันไปทางมัสลินกับรัศมิทัต พยักเพยิดให้เข้าใจว่าจะนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับเพลิงกัลป์ โดยไม่ต้องรอคำเชื้อเชิญใดๆ

เจ้าของโต๊ะเหลียวมองมาทางน้องสาว แล้วปรายสายตาไปยังคู่หนุ่มสาว ที่แสดงออกทางสีหน้าต่างกันอย่างสิ้นเชิง ก่อนเอ่ยปากอนุญาตตามคำของเวหา

“ตามสบาย”

“สวัสดีคร้าบ ลุง เอ้ย พี่ไฟ ... ผมคงมารบกวนพี่ไฟนานเลยนะครับ”

รัศมิทัตรอจังหวะทักทายเจ้าของสถานที่อยู่แล้ว แต่เพราะความหน้าเป็นติดทะเล้น ทำให้ไม่มีใครติดใจคำพูดกวนๆของหนุ่มรุ่นน้องนัก นอกจากคนที่เขาออกปากว่า ‘รบกวน’

มัสลินก็มัวแต่ทำเมินมองทางนั้นทางนี้ หลังยกมือทำความเคารพเขาพร้อมเพื่อน จึงไม่ทันได้สนใจหรือคิดถึงการสื่อสารแอบแฝงใดๆระหว่างกัน พอๆกับเวหาที่กำลังเลือกดูรายการอาหารเช้า

“ไม่เป็นไร เพราะนายก็เป็นหุ้นส่วนของที่นี่ ถือว่ามา ‘ช่วยงาน’ พี่อีกคน”

สองหนุ่มประสานสายตาอย่างมีนัยยะ ซึ่งต่างฝ่ายก็เข้าใจว่า หมายถึงอะไร

“กินอะไรดีจ๊ะลินิน ข้าวต้ม โจ๊ก หรืออเมริกันเบรกฟาสต์ดี”

“ขอเอสเปรสโซ่ร้อนกับขนมปังก็พอค่ะ”

เพลิงกัลป์ที่กำลังยกถ้วยกาแฟจ่อริมฝีปากถึงกับขมวดคิ้ว แล้วก็ซดเอสเปรสโซ่รสเข้มข้นทีเดียวจนหมด เหมือนพยายามซ่อนมุมปากที่เผลอยกขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

ท่านประธานรู้ควางถ้วยกาแฟลงบนจานรอง มองไปรอบโต๊ะก่อนจะหยุดสายตาที่มัสลิน ซึ่งเธอกำลังจับจ้องที่ถ้วยไร้กาแฟของเขา

ไม่แน่ว่า ‘ยัยเด็กอวดดี’ ที่เขาให้ฉายา อาจนึกอะไรคล้ายๆกับความคิดของเขาอยู่ก็ได้

เพลิงกัลป์ลืมความรู้สึกหงุดหงิดขุ่นมัวไปได้อย่างไรกัน เพียงแค่ได้ยินและได้เห็นเรื่องเล็กน้อยตรงหน้า ... แค่นี้

“ขอตัวนะ”

ชายหนุ่มบอกผู้ร่วมโต๊ะและลุกขึ้นทันที แล้วหันหลังก้าวอาดๆออกไปจากห้องอาหาร ทิ้งความงุนงงให้ตกแก่เวหา ผู้เป็นน้องสาวที่ชำเลืองมองทางรัศมิทัตอย่างขอความเห็น แต่ได้รับเพียงการส่ายหน้าสองสามทีเป็นคำตอบ

มัสลินละสายตาจากถ้วยกาแฟใบเล็กที่ไร้เจ้าของบนโต๊ะ ขนาดของมันทำให้เธอทราบว่า เพลิงกัลป์ดื่มกาแฟชนิดใดก่อนหน้านี้

มันทำให้หญิงสาวต้องเหลือบมองตามหลังร่างสูงของชายคนที่เธอคิดว่าเย่อหยิ่งจองหองที่สุด ... แล้วเผลออมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว





ศรตฤณจำได้ว่ากลับถึงที่พักเกือบ ๖ โมงเช้า หลังจากไปสังเกตการณ์ตามคำสั่งของเชดส์ ที่ให้จับตาดูความเคลื่อนไหวทั้งทางคิง เซอร์เพนท์ และคนของคิงเซอร์เพนท์ที่ชื่อ เพชรงาม

หนุ่มสองเชื้อชาติหลับไปได้พักใหญ่ ก่อนตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกว่า พื้นที่ส่วนตัวกำลังถูกบุกรุก แต่ก็ยังนอนคว่ำนิ่งเฉยบนเตียงอยู่อย่างนั้น ขณะที่มือข้างขวาซุกใต้หมอนที่หนุนนอน รอให้อีกฝ่ายแสดงตัวออกมาเอง

“ไง ได้อะไรมาบ้าง”

“ไอ้เชษฐ์ ... อยากตายรึไง”

ศรตฤณตะคอกทั้งที่ไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ เขายังหลับตาอยู่เช่นเดิม แต่ผ่อนคลายความตื่นตัวระวังภัยลง เมื่อทราบว่าผู้บุกรุกคือ หนุ่มเดรดล็อคเพื่อนของเขาเอง

“เฮ้ย นายกะใช้ไอ้ที่อยู่ใต้หมอนจัดการฉันเลยรึเนี่ย”

“ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้”

“เออๆ ... ฉันไม่ใช่คุณเพชรงามนี่หว่า นายจะได้ใช้อาวุธประจำตัวจัดการ ฮ่าๆ”

เชดส์ต่อปากต่อคำไม่เลิก จนคนนอนไม่อาจทนนอนในท่าเดิมได้อีก เมื่อพลิกตัวกลับมาก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และมันเร็วจนคนที่เอาแต่ล้อเลียนแทบตั้งตัวไม่ทัน

ศรตฤณก้าวพรวดไปถึงตัวเชดส์ มือหนึ่งของเขายื่นไปจับข้อมือซ้ายหนุ่มเร้กเก้แล้วบิดสวนทิศ จนคนถูกจับต้องยอมหมุนตัวราวม้วนตามไม่เช่นนั้น ข้อมือเขาอาจหักได้ ... ยอมเจ็บแต่ไม่หักดีที่สุด

หนุ่มลูกครึ่งไม่จบแค่นั้น เขาผลักไหล่ข้างเดียวกับข้อมือที่กำลังบิดและกดน้ำหนักลงไป จนเชดส์ร้องลั่น

“เฮ้ยๆ ไอ้ป่าน เจ็บนะโว้ย ... พูดเล่นแค่นี้กะเอาตายรึไง เออๆ ฉันไม่แตะคุณเพชรงามของนายก็ได้”

“งานส่วนงาน อย่าทำหรือพูดอะไรที่ฉันไม่ชอบ”

ศรตฤณพูดจบก็ปล่อยเชดส์ หันหลังหมายเดินกลับไปที่เตียง แต่พริบตาความรู้สึกเตือนเขาให้เบี่ยงหลบอะไรบางอย่าง ก่อนทรุดกายก้มต่ำแล้วเอี้ยวตัวพร้อมสวนด้วยหมัดลุ่นๆ ไปที่กลางลำตัวของคนที่เพิ่งได้อิสระ

“โอ๊ย พอๆ ยังร้ายเหมือนเดิมนะ ... ไม่มีช่องว่างให้เล่นงาน”

“คิดว่าฉันลืมนิสัยเอาคืนของนายรึไง”

เชดส์หัวเราะขณะมือยังกุมท้องที่ถูกต่อย แม้จะถูกสวนกลับก็ไม่ได้มากมายจนจุก แค่พอเจ็บๆคันๆเพราะศรตฤณไม่ได้คิดทำร้ายเขาจริงจัง เหมือนเพื่อนเล่นกันมากกว่า

“แล้วว่าไง ... ที่ฉันให้ไปดู เป็นไปอย่างที่ ‘ท่าน’ สั่งผ่านฉันมาหรือเปล่า”

“อืม ... นาคินทร์กลับมาที่เซอร์เพนท์ตอนตี ๓ จริงๆ แต่ที่ไม่รู้คือ ไปไหนมา”

คำตอบจากปากศรตฤณเปลี่ยนสีหน้ารื่นเริงของเชดส์ ให้กลับเป็นเคร่งขรึมได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนเขาถึงกับเปรยออกมาให้เพื่อนฟังความคิดของเขาด้วย

“ฉันชักอยากรู้แล้วว่า ‘คนของท่าน’ คนนี้เป็นใครกัน รู้สึกจะรู้ลึกล้วงข้อมูลได้แบบเอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ”

“นายไม่รู้?”

ศรตฤณสบตาถามตรงๆ เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้

“ท่านไม่ยอมบอก บอกแต่ให้เราทำงานของเราไป”

นาทีนี้มีแต่ความเงียบปกคลุมไปทั้งห้อง ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์สองคนกับความคิดต่อสิ่งที่ค้างคาใจ หากยังไม่มีใครพูดออกมา นอกจากสิ่งที่จะทำต่อไป

“คืนนี้ฉันจะลองเลาะๆแนวหาด เผื่อจะได้อะไรมากกว่าเดิม”

“ระวังตัวก็แล้วกัน ไม่อยากให้นายซ้ำรอยที่ฉันเคยโดน”

“คุณเพลิงกัลป์ไม่รู้ใช่ไหม เรื่องงานของเรา”

ศรตฤณสงสัยในข้อนี้พอสมควร แต่เขาเชื่อว่า ถ้าจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากใครสักคน เพลิงกัลป์คือตัวเลือกลำดับแรก ที่เขาจะนึกถึง

“รู้เท่าที่ฉันจะให้รู้ คุณไฟเคยช่วยชีวิตฉันไว้ และยังช่วยเหลืออะไรอีกหลายอย่าง เขาอาจจะสงสัยล่ะว่า ฉันกำลังทำอะไรอยู่ แต่ไม่เพียงไม่ถามยังทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ... จนบางทีฉันกลับสงสัยนะว่า หรือเขาจะรู้แต่ไม่พูด”

“อย่าเล่นกับไฟสินะ”

คำพูดเปรียบเปรยของศรตฤณ ทำให้เชดส์ต้องเหลือบมองอีกครั้ง ซึ่งพอคิดตามก็รู้สึกเห็นด้วยทันที แต่สิ่งสำคัญในตอนนี้คือภารกิจที่หนุ่มเดรดล๊อคมอบหมายให้เพื่อนทำ

“อย่าห่วงเรื่องคุณไฟเลย ห่วงตัวเองหน่อย ... อย่าเสี่ยงเกินไปก็แล้ว เห็นท่าไม่ดีออกจากตรงนั้นล่ะ เข้าใจนะ”

ศรตฤณพยักหน้ารับความหวังดีของเพื่อน แต่ไม่กล้ารับปากนัก เพราะหากถึงเวลานั้นจริง เขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่า จะทำแค่หน้าที่เฝ้าดูแล้วถอยมา หรือบุกตะลุยไปข้างหน้าด้วยตัวเอง เพื่อหาคำตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้ดี

คำตอบที่เป็นความจริงของ นาคินทร์ พี. เซอร์เพนท์










**********************************************************









โปรดติดตามตอนต่อไป ...

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และให้กำลังใจฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2558, 04:30:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2558, 04:30:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1074





<< ใยเส้นที่ 18 .. น้ำตา   ใยเส้นที่ 20 .. ความสงสัย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account