ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ความหวังพินพังในพริบตา ๑๐๐%

“เป็นไปได้เหรอคะคุณป้า ปกติแล้วสุไม่เคยเห็นเอ๋ยมองผู้ชายคนไหนมาก่อนนะคะ สุรู้จักเอ๋ยมาตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่งแล้ว สุยืนยันได้ว่าเอ๋ยไม่เคยชายตามองใคร หรือไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครเข้าใกล้ได้เลย ยิ่งจะบอกว่ากอดจูบกับคุณร๊อกด้วยแล้ว สุทำใจให้เชื่อยากค่ะ สุว่าน่าจะมีการเข้าใจอะไรกันผิดๆ อยู่บ้างนะคะ”
สุภาภรณ์ที่แม้จะมี สองแม่หนึ่งเพื่อนและหนึ่งเพื่อนของเพื่อน บุกมาถึงออฟฟิศและยืนยันเป็นเสียงเดียวกันกับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ยังไง ก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี และถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกค้ากระเป๋าหนักรายนี้มาบอก
ป่านนี้สุภาภรณ์มั่นใจว่าคงได้ตอกให้หน้าหงายกลับไปแล้ว โทษฐานที่มาปรักปรำลูกน้องที่ตัวเองรักและเอ็นดูมาตั้งรู้จักกันในรั้วมหาวิทยาลัยก็เป็นได้
“นี่คุณสุหาว่าพวกเรามาปรักปรำไม่นั่นเหรอคะ ทั้งๆ ที่พวกเรามีตาสี่คู่ เห็นเหมือนกันนี่นะคะ จะให้เรียกคนขับรถมาอีกก็ได้นะคะ ถ้ายังไม่เชื่อกัน”
อติรัตน์ออกจะเดือดไม่น้อยที่อุตส่าห์มาหาเจ้านายแม่ราพันเซลให้ช่วยจัดการถึงที่ แต่กลับไม่ได้อะไรเลย “ไม่ใช่ยังนั้นค่ะคุณรัตน์ สุเพียงแค่ตั้งข้อสงสัยเท่านั้น แล้วสุจะเรียกเอ๋ยมาถามให้แน่ใจอีกทีนะคะ”
“เรียกมาถาม! มันจะไปยอมรับทำไมล่ะ ในเมื่อมันอยากจับพ่อร๊อกไว้ทำผัวจนตัวสั่นซะขนาดนั้น ที่บอกว่าไม่เคยมองผู้ชายคนไหนนั่นเพราะยังหาถูกใจไม่ได้น่ะสิ” ดลพรเองก็เลือดขึ้นหน้า
“ใช่! พอเห็นตาร๊อกที่ทั้งหล่อทั้งรวย เลยได้โอกาสรีบเอาตัวไปประเคนให้ถึงโรงแรม โดยไม่สนใจว่าจะมีคู่หมั้นและกำลังจะแต่งงานอยู่ในอีกไม่กี่วันนี้ด้วยซ้ำ พูดแล้วมันน่าโมโห!” อติรัตน์เดือดยิ่งกว่าเดิม จนดลยาเห็นว่าท่าจะไม่ดีแล้ว
“คุณป้าคะ เรารอให้คุณสุจัดการเองดีกว่านะคะ เรากลับกันเถอะค่ะ รบกวนเวลาคุณสุมานานแล้ว”
เลยรีบห้ามไว้ และเมื่อเห็นแม่กำลังจะอ้าปากแย้ง ดลยาเลยรีบกระตุกแขนแม่แรงๆ เพราะไม่อยากให้สุภาภรณ์มองแม่ในแง่ไม่ดี ด้วยแม่นั้นเวลาโมโหจนน๊อตหลุดน่ากลัวแค่ไหน
“เรากลับกันเถอะค่ะคุณแม่ นะคะคุณป้า”
ดลยาเลยจูงแขนแม่ตัวกับว่าที่แม่ผัวออกจากห้องโดยมีสุภาภรณ์รีบลุกไปเปิดประตูห้องให้ แล้วลงมาส่งชั้นล่างที่น้องๆ กำลังพักเที่ยงกันอยู่
และกำลังกินมะม่วงที่วริญรำไพเอามาฝากเป็นเข่งๆ อย่างเอร็ดอร่อย ทุกคนเห็นแขกซุปเปอร์วีไอพีลงมาและกำลังทำท่าว่าจะกลับเลยรีบพากันยกมือไหว้ ช่างภาพผมยาวก็ไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อมเหมือนเคย
“นังหน้าด้าน!!!” แต่ดลพรทนเห็นกิริยาแบบนั้นไม่ได้ เลยตรงรี่เข้าไปแล้ว
‘เผียะ’ ตบเข้าไปที่แก้มวริญรำไพเต็มแรง จนหน้าหันไปอีกทาง ทำเอาทุกคนต่างยืนงง
อึ้ง!
ทึ่ง!
และสงสัยไปตามๆ กัน วริญรำไพก็งงเช่นกัน แต่ก็ใช่ว่าจะเดาไม่ออก ว่าการถูกตบครั้งนี้อาจจะสืบเนื่องมาจากเจ้าของมือหรือแม้แต่ดลยาได้ล่วงรู้ถึงความสัมพันที่ตัวเองทำตัวเสมือนแมวไปขโมยกินปลาย่างอย่างเงียบๆ ก็เป็นได้
“ผู้ชายหมดโลกแล้วเหรอ หล่อนถึงได้หน้าด้านแย่งคู่หมั้นของลูกฉัน หน้าด้าน! ไม่มียางอาย!”
“...”
วริญรำไพไม่ได้โต้ตอบดลพรกลับไป แต่เงียบกับยกมือขึ้นลูบแก้มเท่านั้น และนั่นทำให้อติรัตน์ที่เกลียดผู้หญิงตรงหน้าเข้าไส้ เมื่อได้คำตอบจากนักสืบมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้านี้
นั่นคือเหตุผลที่ตัวเองนั่งไม่ติดบ้าน จนต้องรีบไปหาว่าที่สะใภ้ชวนให้มาบอกสุภาภรณ์ให้จัดการกับเสี้ยนหัวใจที่อาจจะทำให้ชีวิตของลูกชายตัวเองต้องตกไปอยู่ที่ต่ำๆ เลยก็ว่าได้
‘เผียะ’ รอยเดิมเมื่อครู่จึงถูกมือของอติรัตน์ตบซ้ำลงไปอย่างแรง
“แล้วหล่อนอย่าคิดนะ ว่าแผนตื้นๆ ที่ใช้ไว้จับผู้ชายของหล่อนจะสำเร็จ ฉันไม่มีวันยอมให้หล่อนได้ลูกฉันไปหรอก ไม่ว่าหล่อนจะใช้วิธีไหนอ่อยก็ตามที”
“...”
วริญรำไพเอาแต่ยืนนิ่ง จ้องมองผู้หญิงตรงหน้าอยู่แค่นั้น เพราะไม่อาจจะตอบโต้ได้ในเมื่อตัวเองเป็นอย่างที่ทุกคนคิดหรือพูดจริงๆ แม้จะเป็นเพียงเพื่อต้องการดูให้แน่ใจว่าเขาเป็นพี่หินหรือไม่ก็ตาม
“อย่างหล่อนถ้าจะเป็นได้ก็แค่นางบำเรอที่เก็บไว้หาความสุขเพื่อคลายเหงาชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น พอเบื่อตาร๊อกก็จะเขี่ยหล่อนทิ้ง แล้วไปหาคนที่คู่ควรและคนที่ฉันกับทุกคนเห็นว่าเหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างตาร๊อกเท่านั้น”
“...”
ดลยามองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะพูดกับคนหน้าด้านหน้าทน และไม่แสดงท่าทีว่าโกรธเกลียดหรือความรู้สึกที่แท้จริงออกมา นอกจากเก็บไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย
แต่ลึกๆ แล้วกลับซ่อนมีดไว้แทงคนอื่นข้างหลังอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณป้าคะ เรากลับเถอะค่ะ คนมองใหญ่แล้ว ลูกค้าคุณสุกำลังจะเข้ามาแล้วด้วยค่ะ นะคะกลับกันค่ะ ย่าขอร้อง”
ทุกคนรีบหันไปมองกระจก ก็เห็นหนุ่มสาวกำลังเดินตรงเข้ามาถึงสองคู่ ต่างคนเลยต่างแยกย้ายไปคนละทิศ สุภาภรณ์รีบออกไปส่งแขกเก่าถึงรถ แล้วยกมือไหว้ขอโทษขอโพยเป็นระวิง
แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมาเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน พอกลับเข้ามาก็ต้องไหว้ลูกค้ารายใหม่ แล้วให้เวลากับลูกค้ารายใหม่อยู่เป็นชั่วโมงๆ

“ทำไมเอ๋ยไม่บอกอะไรพี่ออกมาล่ะ แทนที่จะนั่งเงียบอยู่แบบนี้”
กว่าจะได้เรียกลูกน้องเข้าไปถามในห้องแบบส่วนตัว แต่ลูกน้องก็ไม่ตอบอะไรนอกจากเงียบ และรับฟังคำบอกเล่ากล่าวโทษของตัวเอง ที่บังอาจไปข้องแวะกับคนมีเจ้าของอย่างเขา
“...”
สุภาภรณ์ถอนหายใจให้กับคำตอบแบบเดิมๆ ที่ลูกน้องมีให้มาเกือบชั่วโมงแล้ว “ถ้าเอ๋ยไม่พูดอะไรพี่จะสรุปเอาว่าเอ๋ยเป็นอย่างที่พวกนั้นว่ามานะ และเพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหาอีก พี่จะให้หนิงไปทำงานแทนเอ๋ยทุกงานที่ต้องใช้ตาเบบูญาเป็นโลเคชั่น”
“...”
ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวหรืออะไรไหลออกมาจากปากลูกน้องอีก “และในฐานะเจ้านาย พี่ขอห้ามไม่ให้เอ๋ยพบกับคุณร๊อกที่อยู่ในฐานะลูกค้าของพี่อีกไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม เมื่อกี้คุณย่าโทรมาบอกพี่แล้วว่าให้พี่หาคนอื่นไปถ่ายภาพในงานแต่งของแกด้วย”
“...”
อีกครั้งที่เจ้านายต้องถอนใน เมื่อลูกน้องไม่พูดอะไรออกมา “งั้นก็กลับไปทำงานได้ อย่าลืมส่งรับงานกับหนิงให้เรียบร้อยด้วยนะ”
“ค่ะ”
วริญรำไพลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องทันที แต่ก็ถูกสายตาของทุกคนในสตูฯ มองมาหาประหนึ่งรอคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อได้สายตาเย็นชาจากช่างภาพสาวมองกลับไปแล้วนั้น
ทุกคนก็ต่างหันหน้ากลับไปหางานทันที วริญรำไพจึงเดินออกไปสตูฯ ทันที และกดไปหาสองนักสืบทันที “อาทิตย์หน้าผมจะสรุปแล้วเอารายงานไปให้คุณครับ”
และเมื่อยังไม่มีอะไรคืบหน้า ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ นอกจากทำตามคำของเจ้านายสั่ง ด้วยการไม่พาตัวไปข้องเกี่ยวกับเขาอีก ไม่ว่าจะในกรณีใดๆ ก็ตาม
‘เย็นนี้สนใจอยากจะให้ผมเลี้ยงข้าวบนร้านอาหารยอกตึกโรมิโอหรือเปล่าครับ’
‘แต่คงจะมีแขกอื่นๆ ร่วมด้วย หรือถ้าอยากมีแค่เราสองคน ก็ต้องรอหลังห้าทุ่มครับ’
‘ผมรอคำตอบอยู่นะครับ/ร๊อก’
ด้วยการไม่ตอบรับข้อความจากเขา ที่ส่งมาให้สองสามครั้งในรอบอาทิตย์ และปิดมือถือทิ้ง เมื่อมีสายเรียกเขาจากเขาวันละไม่ต่ำกว่าสามรอบ
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน
อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน
กระซิบข้างหู ให้รู้ว่าใจ ไม่เคยรักใคร’

ชลธิปไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่แทบจะเรียกได้ว่ากุมหัวใจเขาไว้ทั้งดวงต้องเงียบหายไป ไม่ตอบข้อความ ไม่รับสายเรียกเข้า ไม่มาทำงานที่โรงแรม
‘คุณสุบอกนงค์ว่าให้คุณเอ๋ยออกต่างจังหวัดค่ะ’
‘คุณหนิงที่มาถ่ายรูปแทนก็บอกนงค์ว่าไม่รู้คุณเอ๋ยไปทำงานที่ไหนเหมือนกันค่ะ’
‘คุณอินก็บอกนงค์ว่าไม่เห็นคุณเอ๋ยมาสามวันแล้วค่ะ’
คำตอบจากเลขาฯ คู่ใจที่มีให้เขานั้น สร้างความกังวลให้เป็นอย่างมาก ด้วยไม่รู้ว่าเพราะอะไรการติดต่อสื่อสารถึงได้ขาดหายแบบนี้ ชลธิปไม่รอช้า รีบออกจากห้องนอนลงไปชั้นล่างทันที
“จะไปไหนเหรอร๊อก”
พ่อที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ร้องถามออกมาจนเขาต้องหยุดกึกลง “เอ่อ! ออกไปธุระข้างนอกครับ” แล้วก็กำลังจะก้าวไปเอากุญแจที่อ่างทองคำตรงข้างบันได
“ไปทำธุระหรือจะไปไหนกันแน่ล่ะร๊อก”
ผู้แม่ที่เดินออกมาจากครัว ส่งเสียงเข้ม สีหน้าบึ้งตึงมาหาอย่างไม่เคยมีมาก่อน “ไปธุระครับคุณแม่” เพราะเขาไม่ถนัดนักกับการต้องโกหกพ่อแม่หรือใครมาแต่ไหนแต่ไหรแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือเลี่ยงไม่ตอบหรือตอบแบบเลี่ยงๆ เท่านั้น
“ธุระของลูกใช่กำลังจะไปหา...”
“คุณ! ลูกจะไปไหน ไปทำอะไรก็อย่าถามมากนักสิ”
ชลธีรีบขัดเมียเสียงดัง ด้วยเดาออกว่าเมียกำลังจะหลุดปากเอ่ยอะไรออกมา เพราะนั่นจะยิ่งเป็นการแหวกหญ้างูตื่นเปล่า ส่วนเมียก็หันไปมองหน้าผัวด้วยความสงสัย
“จะไปธุระก็รีบๆ ไปสิร๊อก พ่อกับแม่จะขึ้นห้องแล้วล่ะ อย่ากลับดึกนักนะ”
สามีเลยรีบลุกไปจูงมือเมียไว้ “ครับคุณพ่อ” ชลธิปอยากขอบคุณพ่อไม่น้อย ที่ช่วยให้อะไรต่อมิอะไรง่ายขึ้น จึงรีบคว้ากุญแจแล้วออกไปทันที
“ทำไมคุณไม่ให้รัตน์พูดกับลูกล่ะคะ” อติรัตน์ที่ถูกสามีจูงให้เดินตรงไปหาบันไดอดสงสัยไม่ได้
“ถ้ายังไม่ถึงเวลาสำคัญและไม่ถึงที่สุด เราก็ไม่ควรจะพูดเรื่องนี้ หรือถ้าพูดแล้วจะต้องให้ลูกปฏิเสธไม่ได้ คุณจำไม่ได้เหรอวิธีที่เราเอาลูกอยู่หมัดมาตลอด ทำไมต้องให้ผมสอนด้วย”
“ฉันโกรธจนลืมตัวนี่คะ แล้วคิดเหรอคะว่าลูกจะไม่ไปหานังเด็กนั่น”
“ก็เอาไว้ให้นายร่วมมารายงานพวกเราสิ จะไปเดาสุ่มทำไม”
าแล้วชลธีก็ล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงกดไปหาคนรถของตัวเองทันที แทนการใช้นายไก่คนรถประจำของลูกที่ยังไงๆ ก็อาจจะปิดเรื่องนี้ให้เจ้านายเป็นแน่




กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ย. 2558, 14:53:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ย. 2558, 14:53:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 938





<< เมื่อหัวใจไม่อยากจาก ๑๐๐%   สับสนใจหัวใจ ๑๐๐% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account