แกะรอยกามเทพ (รีไรต์)
'เทวานิรมิต' โรงแรมหรูกลางกรุงที่ใครเขาว่างดงามดุจเทวดารังสรรค์
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง
1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต
'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา
'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน
และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ
ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง
1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต
'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา
'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน
และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ
ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๔
๔
ราวกับได้ย้อนกลับไปในวันที่เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ทิวบุญตื่นเต้นกับวันเริ่มงานวันแรกเหมือนตนกลับไปเป็นเด็กสาวที่เพิ่งเริ่มรู้จักโลกใบใหม่อย่างไรอย่างนั้น เธอต้องสั่นศีรษะขบขันความคิดตัวเองขณะเดินผ่านโถงล็อบบี้โรงแรมไป
พนักงานใหม่กดลิฟต์ชั้นแปดตามคำบอกของคุณอรพรรณ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลบอกให้ทราบว่าออฟฟิศของระดับผู้บริหารอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคาร และมีลิฟต์เพียงตัวเดียวที่ขึ้นไปถึงชั้นนั้นได้ก็คือลิฟต์ข้างออฟฟิศพนักงานชั้นล่างซึ่งแยกต่างหากจากแขกที่เข้าพักนั่นเอง
เธอก้าวออกมาอีกครั้งท่ามกลางกำแพงกระจกขุ่นรอบด้าน มีประตูหลายบานหาก ไม่มีพนักงานสักคนเมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน ร่างระหงก้าวตรงไปในห้องที่เห็นรางๆ ว่ามีโต๊ะและตู้เอกสารตั้งอยู่ ป้ายบอกตำแหน่งเจ้าของห้องเป็นภาษาอังกฤษทำให้มั่นใจพอที่จะผลักประตูเข้าไป
ทิวบุญลอบถอนใจโล่งอกที่โต๊ะทำงานของเลขาฯ และเจ้านายแยกจากกันชัดเจน ห้องทำงานเจ้านายอยู่หลังผนังทึบ หากรายรอบโต๊ะของเธอหน้าห้องนั้นเป็นตู้เอกสาร เขาคงไม่ชอบรับแขกเท่าไรนักกระมัง ในห้องกว้างจึงไม่มีชุดรับแขก ต่างจากเจ้านายที่ทำงานเก่าของเธอ
เสียงเปิดประตูจากห้องทำงานด้านหลังส่งผลให้คนที่ยืนคว้างพลางสอดส่ายสายตาสำรวจต้องหมุนตัวไปตามที่มาของเสียง แล้วเธอก็ได้เห็นอรพรรณเดินออกมาจากห้องทำงานเจ้านายด้วยสีหน้าสีตาเคร่งเครียดทีเดียว
"มาสายนะ" อีกฝ่ายอดเตือนด้วยความหวังดีไม่ได้ตามความอาวุโสกว่า "เดี๋ยวเข้าไปพบคุณทัดเทพด้วย"
"เขามาแล้วหรือคะ"
ทิวบุญจ้องมองประตูไม้เนื้อหนาอย่างตะลึงงัน ยังไม่เก้าโมงตรงเสียด้วยซ้ำ หากสตรีวัยกลางคนก็ผงกศีรษะก่อนเดินจากไป
หญิงสาววางกระเป๋าสะพายบนโต๊ะทำงานตน แล้วจึงยกมือเคาะประตูจนได้ยินเสียงอนุญาต ก่อนผลักประตูเข้าไป
บุรุษที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานใหญ่ตัวเดียวกลางห้องนั้นกำลังก้มอ่านเอกสารในแฟ้มบางด้วยความสนใจ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองคนที่เพิ่งเข้ามา
"สวัสดีค่ะ" เธอพนมมือไหว้หวังได้รับความสนใจ
เออนะ ขอเห็นหน้าหน่อยเถอะ ผู้ชายวัยสี่สิบที่อุ้มบุญหลงใหลว่าหล่อนักหนา ทว่าเขาดูจะสนใจเอกสารตรงหน้า ถามขึ้นมาทั้งที่ไม่มองคู่สนทนาเช่นเคย
"เมื่อคืนหนังสนุกไหม"
"คะ"
"โกหกล่ะสิ ยังมีอะไรที่โกหกหรือปกปิดอีกหรือเปล่า" น้ำเสียงถามนั้นเรียบเรื่อยอย่างคนที่มั่นใจว่าตนไม่อาจถูกหลอกได้
ทิวบุญชักงงเต็มที หรือเขาจะระแวงไปว่าเธอมาเพื่อแก้แค้นแทนน้อง มันไม่ร้อนตัวไปหน่อยหรือ
โธ่เอ๋ย เธออึดอัดกับท่าทีเช่นนี้ ไหนจะท่าทางสบายๆ น้ำเสียงเนิบนาบนั่นอีกที่ทำเอาคนอื่นเต้นไปเองได้ล่ะ แต่ต้องไม่ใช่กับเธอ
"ดิฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ" เธอเอ่ยไขสือ
ชายหนุ่มปิดแฟ้มเรซูเม่พลางประสานมือไว้ใต้คาง เมื่อเงยหน้าพบตัวจริงของคนในภาพถ่ายก็ช่วยยืนยันว่าเขาจำคนไม่ผิดจริงๆ
ถ้าจะว่ากันตามมุมมองผู้ชาย หญิงสาวผู้นี้คือคนที่ตัดผมสั้นแทบเหมือนกล้อนติดศีรษะได้สวยที่สุด ทำเอาเขาถึงกับตะลึงงันแรกเห็นใบหน้าสวยเก๋นี้เมื่อวาน ขณะเจ้าหล่อนประคองแม่เขาออกมาจากห้องน้ำสตรี
"คุณ..."
ทิวบุญได้แปลกใจอีกรอบ เธอจำบุรุษผู้นี้ได้เช่นกัน เขาคือบุตรชายของหญิงชรา แล้วยังเป็นพ่อเด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบที่พบกันในห้างสรรพสินค้าเมื่อวาน
"แสดงว่าคุณโกหกเราเรื่องดูหนังเมื่อคืนจริงๆ สินะ"
เขาดูจะติดใจประเด็นนี้ หากคราวนี้เธอค่อยมีรอยยิ้มและตอบคำถามอย่างโล่งใจ
"ดิฉันไม่อยากรบกวนค่ะ และก็ไม่อยากปฏิเสธตรงๆ ให้คุณป้าลำบากใจ"
"ดี"
อ้าว เป็นงั้นไป!
"ทีนี้มาอีกเรื่อง" ชายหนุ่มหยุดเว้นวรรคไปนิดหนึ่ง ก่อนเข้าเรื่องที่คาใจเขา "คุณอรบอกว่าคุณเป็นพี่สาวคุณอุ้มบุญ เขาบอกหรือเปล่าว่าทำไมถึงออก"
"ไม่ทราบค่ะ น้องไม่เคยเล่าเรื่องที่ทำงาน" เธอจำต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ
"ทราบว่าเขาไม่สบาย ร้ายแรงมากหรือถึงขั้นต้องทิ้งงาน"
"ค่ะ" เธอตอบแค่นั้น อดคิดไม่ได้ว่าน้ำเสียงถามเจือแววอาทรหากอุ้มบุญอยากให้อีกฝ่ายทราบคงบอกไปแล้ว แต่ในบันทึกที่น้องเขียนไม่มีสักคำว่าเธอได้บอกผู้ชายคนนั้น...พ่อของเด็ก นอกจากความเกลียดชังทุกตัวอักษร แม้แต่ชื่อยังไม่เอ่ยออกมา
ทิวบุญลอบสังเกตว่าอีกฝ่ายรอคำอธิบาย แต่เมื่อเธอตอบแค่นั้น เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางสบาย ผ่อนคลายเมื่อครู่หายไป
"รู้ไหม ผมยังไม่ได้รับคุณเข้าทำงานนะ คนที่รับคุณน่ะเขามีสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในเทวานิรมิตก็จริง แต่ไม่มีสิทธิ์เหนือผม ถ้าคุณเป็นคนของเขาก็บอกเขาด้วย แต่ถ้าไม่ใช่... และเพราะผมเห็นแก่น้องของคุณที่ทำงานมานาน คุณอย่าอยู่ตรงกลางปัญหาเสียดีกว่า"
"ดิฉันไม่เข้าใจ"
ทัดเทพลอบถอนใจ เจ้าหล่อนไม่เข้าใจน่ะดีแล้ว และขอให้ไม่เข้าใจตามที่พูดจริงๆ เพราะเขาต้องการจะสื่อไปถึงผู้หญิงอีกคนมากกว่าเธอ
"ไปช่วยงานคุณวิรัช เขาเป็นผู้จัดการที่นี่ จะสอนงานคุณ"
อะไรกัน! เธอถูกจับโยกย้ายตำแหน่งตั้งแต่วันแรกทำงาน ทิวบุญทั้งฉงนและไม่พอใจลึกๆ เธอไม่เข้าใจที่เขาพูดเลย เหมือนชายผู้นี้มีเรื่องให้หวาดระแวง แล้วจะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนั้นทำเรื่องไม่ดี
ผู้เป็นใหญ่ในเทวานิรมิตกดโทรศัพท์ภายในถึงผู้จัดการวิรัชทันทีที่จบประโยค เขาเชิญพนักงานใหม่ออกไปรอข้างนอก ก่อนจะเปิดแฟ้มตรงหน้าที่บรรจุเรซูเม่หญิงสาวอีกครั้งพลางตรึกตรอง
ลักขณา เธอกำลังจะทำให้ทุกสิ่งยุ่งยากขึ้นไป
......................
ทิวบุญย้ายไปทำงานอีกห้องบนชั้นแปด เป็นห้องเล็กๆ ซึ่งเงียบสงบและเป็นระเบียบของผู้จัดการ เพราะถูกย้ายฉุกละหุกเธอจึงไม่มีแม้แต่โต๊ะทำงานอีกตัวสำหรับผู้ช่วย ได้แต่อาศัยโซฟาและโต๊ะกระจกเป็นที่ทำงานแทน ไม่สบายนักสำหรับคนตัวสูงอย่างเธอที่ต้องนั่งค้อมหลังทั้งวัน
"อ้าว เลยนั่งหลังขดหลังแข็งทั้งวัน เที่ยงแล้ว ไปทานข้าวเถอะ"
ผู้จัดการสูงวัยมีแววตาแจ่มใสเป็นนิตย์ เพิ่มบุคลิกความเป็นมิตรและจิตใจรักในการบริการของเขายิ่งขึ้นไปอีก วิรัชเปิดประตูเข้ามาหลังออกไปพบผู้เป็นเจ้านายเมื่อก่อนเที่ยง ทว่าครั้นกลับมาก็พบผู้ช่วยคนใหม่ของเขายังนั่งศึกษาเอกสารต่างๆ อยู่ที่เดิม
วิรัชผ่านประสบการณ์การทำงานที่ต่างๆ มานาน กระทั่งรู้จักมักคุ้นกับคุณหญิงเพ็ญพักตร์ มารดาคุณทัดเทพชวนมาทำงานตั้งแต่โรงแรมเริ่มก่อตั้ง เขาซึ่งนิยมในน้ำจิตน้ำใจอันเป็นกุศลของคุณหญิงอยู่แล้วจึงยินดีมาร่วมงาน
"ก็คุณวิรัชบอกว่าบ่ายนี้จะพาชมส่วนต่างๆ ในเทวานิรมิตนี่คะ ทิวอยากเข้าใจคร่าวๆ มากกว่าไปทั้งหัวกลวงโบ๋"
แค่เพียงรู้จักกันครึ่งวัน ทิวบุญซึ่งเข้ากับคนง่ายอยู่แล้วก็นึกพอใจที่ได้ทำงานกับผู้ใหญ่ใจดี แม้มันจะผิดจากแผนเดิมไปมาก หากการได้เข้ามาทำงานในโรงแรมแห่งนี้ก็ถือว่าเธอได้เริ่มเด็ดกลีบกุหลาบพลางนับหนึ่ง และมันต้องมีกลีบต่อไป
"เมื่อกี้ไปพบคุณเทพ เขาก็บอกว่าให้จัดหาโต๊ะทำงานให้ทิว"
"เหรอคะ" หญิงสาวได้โอกาสถามเรื่องที่ติดค้างในใจ "ดูเหมือนคุณทัดเทพไม่ค่อยไว้ใจทิว"
"ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ"
คำถามแทนคำตอบนั้นทำให้ทิวบุญได้รู้ว่าผู้อาวุโสกว่ายืนอยู่ข้างผู้เป็นนายเต็มตัว
"เขาพูดเหมือนระแวงทิว อย่างกับมีคนจ้างทิวมาขโมยความลับอย่างไรอย่างนั้น"
"นี่น้องสาวเธอไม่ได้เล่าอะไรหรอกหรือ"
"เปล่าค่ะ เราไม่เคยคุยกันเรื่องงาน"
หรืออันที่จริงเราไม่เคยพูดจากันดีๆ สักเรื่อง ต่างฝ่ายต่างมีชีวิตของตนเองต่างหาก เธอต่อในใจพลางมองตามร่างเล็กสันทัดของผู้จัดการที่เดินไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน
"ที่ผมจะเล่านี่ก็เพราะไม่อยากให้คุณทิวเข้าใจผิดๆ หรือไปฟังอะไรผิดมาจากคนอื่นนะ"
ทิวบุญผงกศีรษะพร้อมกับขยับนั่งตรงอย่างตั้งใจฟัง เรียกเสียงหัวเราะจากผู้มีตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป และต้องคอยจัดการไปทั่วเช่นกัน
"เรื่องของคนอื่นมันหอมหวานอย่างนี้ล่ะเนอะ" แกล้อขันๆ ก่อนเข้าเรื่อง "ผมได้ยินว่ามีคนพาคุณมาสมัครงานใช่ไหม"
"เปล่านะคะ ทิวมาสมัครเอง แต่ก็จริงที่ว่ามีสุภาพสตรีคนหนึ่งแนะนำทิวกับคุณอร" เธอเอ่ยแก้
"เธอชื่อคุณลักขณา เป็นภรรยาคุณเทพแล้วก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนของเทวานิรมิต ครอบครัวเธอมีธุรกิจโรงงานไม้ เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นของที่นี่ก็สั่งจากโรงงานเธอทั้งนั้น กระทั่งสองสามปีให้หลังมานี้พวกเธอแยกกันอยู่ แต่คุณลักขณาก็ยังคงมีสิทธิ์จัดการทุกอย่างในเทวานิรมิต ยกเว้นในส่วนของคุณเทพที่อาจไม่ชอบใจนักที่ถูกก้าวก่าย"
"หมายความว่าคุณทัดเทพมีผู้หญิงใหม่หรือคะ"
"คุณทิว" เสียงขานซึ่งกดต่ำลงเตือนให้อีกฝ่ายระวังล้ำเส้น
แม้เขาจะชอบความเปิดเผย มั่นใจของผู้หญิงคนนี้เพียงไร หากนั่นก็เกินขอบเขตที่ตนสมควรเล่า
"ขอโทษค่ะ เรื่องชาวบ้านมันหอมหวานอย่างคุณวิรัชบอกจริงๆ" เธอจำต้องเอ่ยแก้เก้อ "ทิวเข้าใจแล้ว คุณทัดเทพคงระแวงเพราะคิดว่าทิวมาจากภรรยาเขากระมัง"
วิรัชผงกศีรษะ "ผมเชื่อนะว่าคุณไม่ใช่คนของคุณลักขณา แต่ก็ไม่แน่อีกเหมือนกันว่าเธอจะทำให้คุณมองเธอเป็นเจ้านายตัวจริงที่มีพระคุณสักวันหรือไม่"
ทิวบุญแค่นยิ้มฝืดเผือ นี่มันอะไรกันอีกล่ะนี่... เธอต้องมาตกอยู่กลางปัญหาผัวๆ เมียๆ ทั้งที่ลำพังเรื่องตัวเองยังเอาไม่รอด ไม่คืบหน้าถึงไหนเลย
.....................
วิรัชพาพนักงานใหม่ไปแนะนำตัวและดูงานของแผนกต่างๆ เธอขอเขาว่าอย่าบอกใครว่าเธอเป็นพี่สาวของอุ้มบุญ เนื่องจากเกรงจะถูกมองว่าใช้เส้นสาย ซึ่งผู้อาวุโสเห็นด้วยเช่นกัน
"เทวานิรมิตเป็นทั้งโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ห้องของเราทุกห้องมีครัวฝรั่งและตู้เย็นใหญ่ ห้องนอนกับส่วนพักผ่อนก็แยกจากกัน เราคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายของแขกที่มาพัก ให้เขารู้สึกเหมือนอยู่บ้านที่สุด" เขาสรุปให้คนที่เดินตามไม่ห่างฟัง
ผู้จัดการพาเธอลงมาชั้นล่างทางด้านหลังของโรงแรมซึ่งเป็นออกฟฟิศสำนักงานของแผนกต่างๆ อาทิแผนกบุคคล หรือแม้แต่ส่วนของพนักงานต้อนรับที่ต้องบรีฟงานทุกครั้งก่อนเข้าและหลังกะทำงาน รวมทั้งออฟฟิศของฝ่ายขายเช่นกัน
ทิวบุญต้องระงับความตื่นเต้นไว้เมื่อบุรุษวัยกลางคนเปิดประตูออฟฟิศเข้าไป ในห้องนั้นเต็มไปด้วยโต๊ะที่แยกจากกันด้วยฉากกั้นเพื่อสัดส่วนความเป็นส่วนตัว พนักงานในนี้มีทั้งฝ่ายขาย การตลาด และบัญชีรวมกว่ายี่สิบชีวิต เธอไพล่นึกถึงคนที่ถูกบันทึกผ่านตัวอักษรในไดอารี่ เขาเป็นหัวหน้างานของอุ้มบุญ นั่นก็หมายความว่าเขาย่อมต้องอยู่แผนกเดียวกับน้องเธอเป็นแน่ แต่ไม่เห็นมีใครเข้าเค้าสักคน
"นี่คุณทิวบุญนะ เลขาฯ คนใหม่ของคุณทัดเทพ แต่ตอนนี้มาฝึกงานกับผม ถ้าจะติดต่อขึ้นไปข้างบนก็ผ่านผมหรือคุณทิวก็ได้" วิรัชแนะนำพนักงานใหม่กับทุกคน
หญิงสาวค้อมศีรษะทักทาย ก่อนประตูกระจกขุ่นด้านในสุดของออฟฟิศนั้นจะเปิดออก พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มก้าวออกมา เขาชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าในแผนกตนมีคนมาเยี่ยมเยียน
"สวัสดีครับคุณวิรัช" เขาตรงเข้ามาทักทาย
สายตาที่ทอดมองต่อไปยังสตรีอีกคนซึ่งยืนเยื้องหลังไปฉายแววฉงน ทำให้ผู้อาวุโสกว่าต้องแนะนำ
"ว่าจะพาไปแนะนำพอดี นี่คุณทิวบุญนะ เลขาฯ คนใหม่ของคุณทัดเทพ ส่วนนี่คุณอัครวินท์ ดูแลด้านฝ่ายขาย"
ทิวบุญสังเกตเห็นดวงตาอีกฝ่ายวูบไหว แต่เมื่อเธอพนมมือไหว้และเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แววตาประหลาดคู่นั้นก็เลือนหายไป
คนนี้กระมังพี่วินของอุ้มบุญ ไม่น่าแปลกหรอกหากคนอย่างอุ้มบุญจะปลาบปลื้มผู้ชายที่ดูสุภาพ สะอาดหมดจด และผิวขาวๆ ของเขาอย่างไร อัครวินท์เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ผึ่งผายก็จริง หากมีบางสิ่งในตัวบุรุษผู้นี้ที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นมิตร ไม่มีลักษณะข่มขวัญแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นผู้ต้องสงสัยของเธอ
"เรียกผมว่าวินก็ได้ คุณทิวบุญน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม" เขาเอ่ยอย่างเป็นมิตร
"งั้นก็เรียกทิวเถอะค่ะ ทิวสามสิบสองนะ คุณล่ะเท่าไร" เธอบอกอายุด้วยความมั่นใจ เรียกเสียงหัวเราะครืนจากหลายคนในแผนกนั้น
"แหม คุณทิวกล้าบอกอายุซะผู้ชายอย่างผมยังเขินเลย มั่นมากๆ" เขายกนิ้วหัวแม่มือชื่นชมขันๆ
"ผมว่าแล้วว่าคุณทิวต้องเข้ากับคนได้ง่าย เหมาะทำงานจิปาถะสารพัดสารพันอย่างตำแหน่งเลขาฯ ที่สุดแล้วล่ะ" วิรัชพึงพอใจ "ออฟฟิศนี้ยังมีหัวหน้าฝ่ายบัญชีกับการตลาดอีกนะ เดี๋ยวผมพาไปแนะนำ"
ทิวบุญจำต้องเดินตามผู้จัดการที่กลายมาเป็นหัวหน้าตนกลายๆ เข้าไปยังด้านในของออฟฟิศพนักงาน มีห้องส่วนตัวต่างหากของหัวหน้าแต่ละฝ่าย ที่เธอทราบแน่แล้วคือประตูทางขวาสุดเป็นห้องทำงานของอัครวินท์
เหลือผู้ชายอีกคนในบันทึกของน้องที่เธอยังไม่เจอ นายเจ๋ง... จะมีเหตุอะไรที่เธอจะได้พบกับคนที่ทำงานคนละภาคส่วนกันชัดเจนอย่างนั้นได้นะ
.........................
"คุณวิรัชยังพาทิวไปไม่ครบทุกแผนกนี่คะ ยังขาด..."
"แผนกช่างกับแม่บ้าน จะไปดูไหมล่ะ" ชายวัยกลางคนต่อประโยคให้ขันๆ "ก็ว่าจะพาไปนะ พรุ่งนี้แล้วกัน ผมมีงานต้องเคลียร์อีก"
ทิวบุญยิ้มแห้งหากในใจลิงโลด อย่างน้อยแค่ได้เห็นหน้าว่าใครเป็นใคร เธอก็คงพอมีทางรู้จักนิสัยใจคอแต่ละคนมากขึ้น
แต่แล้วรอยยิ้มของสองผู้ร่วมงานต่างวัยก็หายไปจากใบหน้า ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปพบผู้ที่พวกตนไม่คาดคิดนั่งรออยู่บนเก้าอี้ยาวในห้อง ลักขณาหันมองคนทั้งสองที่เพิ่งเข้ามาเช่นกัน
"คุณลักขณา มีธุระอะไรให้ผมจัดการหรือเปล่าครับ" บุรุษวัยกลางคนถามนอบน้อม
เธอแลเลยไปยังร่างระหงที่พนมมือไหว้ อดคิดด้วยความขุ่นเคืองไม่ได้ว่าตนถูกสามีฉีกหน้าต่อหน้าคนอื่น ด้วยการย้ายเลขาฯ คนใหม่ที่เธอหาให้มาทำงานกับผู้จัดการโรงแรมแทน ถ้าเธอไม่เข้ามาวันนี้ก็คงไม่รู้ กระทั่งเธอแวะไปหาผู้เป็นสามี
"ฉันอาสามาตามเลขาฯ ให้เทพค่ะ" เสียงหวานเอ่ยพร้อมกับที่ผู้พูดลุกไปจูงมือสตรีสาวไว้
ทิวบุญได้แต่สบตากับเจ้านายใจดีของตนอย่างงุนงง วิรัชลำบากใจเช่นกัน แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายปัญหาของสามีภรรยาที่พยายามเอาชนะกัน พลอยเห็นใจคนกลางอย่างพนักงานใหม่ที่ถูกดึงไปมา
"เดี๋ยวผมขออธิบายงานกับทิวบุญก่อน แล้วจะให้ไปพบคุณเทพพอดีครับ"
ใบหน้าสะสวย แม้วัยจะใกล้ล่วงเลยเข้าหลักสี่มาแล้วเชิดขึ้นเล็กน้อย กระนั้นเธอก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ของเจ้านายที่ดีด้วยการรับฟังเหตุผล
"ฉันไปรอที่ห้องเทพนะคะ" เธอบอกปิดท้ายให้รู้ว่าไม่มีทางบิดพลิ้ว
ดวงตาเหนื่อยหน่ายสองคู่แลสบกันเมื่อสุภาพสตรีผู้เป็นนายอีกคนยอมกลับออกไป วิรัชรีบติดต่อโทรศัพท์ภายในหาผู้มีอำนาจบริหารที่นี่ก่อนที่ภรรยาของเขาจะกลับไปถึง แล้วก็ได้รับคำตอบสั้นๆ พร้อมเสียงถอนหายใจมาตามสาย อนุญาตให้ทิวบุญไปพบได้
"ฉันขอถามคำถามหนึ่งได้ไหมคะ เลขาฯ คนเก่าของคุณเทพลาออกเพราะอะไร"
ชายวัยกลางคนค่อยมีรอยยิ้มชื่นชม ผู้หญิงคนนี้มีปฏิภาณไหวพริบดี หากเขาก็เพียงโคลงศีรษะอ่อนใจ ก่อนเปิดประตูให้เป็นการตัดบทสนทนา
.........................
หญิงสาวเคาะประตูห้องที่คุ้นเคยอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ไม่มีเสียงตอบรับ นอกจากสุภาพสตรีในชุดสูทกระโปรงสีฟ้าอ่อนเดินมาเปิดประตูต้อนรับด้วยตัวเอง เธอมีรอยยิ้มหวานที่ทำให้คนมองใจอ่อนได้ง่ายๆ ถ้าไม่เพราะปัญหาของสามีภรรยาซึ่งยังคาราคาซังดังที่คุณวิรัชบอก ทิวบุญคงสนิทใจกับเจ้าหล่อนมากกว่านี้
"ตกลงน้องมาทำงานให้คุณทัดเทพเหมือนเดิมนะคะ พี่คุยกันแล้ว"
สรรพนามที่ใช้และการวางตัวต่อผู้เยาว์กว่าของสตรีผู้นี้เป็นสิ่งที่เธอนึกนิยม ถ้าจะตัดความจุ้นจ้านของเจ้าหล่อนลงไปบ้างก็ดีทีเดียว
ทิวบุญปรายตามองผู้ที่ยังคงวางเฉยหลังโต๊ะทำงานใหญ่ เขาสนใจคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กตรงหน้า ราวกับพวกเธอเป็นมดแมลงข้างตัวที่ไม่อาจรบกวนสมาธิของเขา
ท่ามาก... เธอค่อนบุรุษที่น้องปลาบปลื้มในใจ สาวๆ คงจะหลงใหลเสน่ห์หนุ่มใหญ่ของเขาอยู่หรอก หากสำหรับเธอ เขาก็เป็นแค่ไม้หลักปักเลน ไม่หนักแน่นกับการตัดสินใจของตนเอาเสียเลย อยากรู้นักว่าถ้าไม่มีเงินถุงเงินถัง เขาจะอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตเช่นนี้ได้หรือเปล่า
"เทพ คุณมีอะไรจะให้เลขาฯ คนใหม่ทำก็บอกเขาไปสิคะ" เสียงหวานเอ่ยราวปะเหลาะเอาใจ
ชายหนุ่มเงยหน้าสบตาภรรยาครั้งแรก แล้วดวงตาสีสนิมเหล็กก็วาบขึ้นอย่างที่คนมองรู้สึกถึงพลังอำนาจ
"ไม่มี" เขาตอบช้าชัด
ทิวบุญลอบมองสุภาพสตรีข้างกาย เจ้าหล่อนหน้าเสีย ก่อนจะหันมายิ้มให้อย่างที่ดูก็รู้ว่าฝืนทำ
"งั้นเดี๋ยวพี่จะค่อยๆ แนะนำคุณทิวบุญเอง ไปค่ะ" เธอว่าพร้อมกับเดินนำออกไป
หญิงสาวปรายตามองบุรุษผู้นั่งเฉยราวรูปปั้นหลังโต๊ะทำงานอีกครั้ง อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาเป็นคนรักของน้องเธอจริง แล้วผู้ที่ถูกบอกไล่อย่างเย็นชาเช่นนั้นคืออุ้มบุญเล่า มันเพียงพอไหมที่จะทำให้ผู้หญิงหัวอ่อน อ่อนต่อโลกอย่างนั้นกล้าทำอะไรเลวร้ายลงไป
ทัดเทพรู้ตัวดีว่าถูกสายตาคู่หนึ่งแอบมอง เมื่อเจ้าหล่อนออกไปแล้วเขาก็ได้ยกมือลูบท้ายทอยซึ่งตึงเขม็ง ลักขณาคงเรียกคะแนนความสงสารจากอีกฝ่ายได้ดังเคย และใช้ความน่าสงสารของผู้หญิงที่ถูกสามีทอดทิ้งเป็นเครื่องมือทำลายเขา
เขารู้แต่ไม่พูด ไม่แก้ตัว หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่มีใครที่เขาต้องให้ความสำคัญว่าอาจกำลังเข้าใจผิด
แต่เธอคงไม่โง่หรอกนะทิวบุญ แววตา ท่าทางเธอบอกอย่างนั้น อย่าให้เขาต้องใจร้ายกับใครที่คิดร้ายกับเขาและเทวานิรมิตเลย
.....................
'พี่พยายามแก้ไข เอาใจเขาค่ะ เรื่องในอดีตพี่มีส่วนผิด เทพโกรธมาก แต่ก็ไม่รู้ต่อไปจะยังไงนะคะ เพราะเขาถึงขั้นฟ้องหย่าพี่ แล้วก็จะเอาลูกสาวที่อยู่กับพี่ไปด้วย ศาลท่านก็ให้ไกล่เกลี่ย แต่คุณทิวคงเห็นว่ายากเสียแล้ว เขาคงมีคนใหม่แล้วจึงเย็นชานัก'
ทิวบุญปิดสมุดจดบันทึกเล่มใหม่หลังบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตนพบเจอในเทวานิรมิตลงไป ทั้งที่ก่อนนี้เธอไม่เคยคิดอยากบันทึกเรื่องราวใดๆ ในชีวิตเลย
เธอหวนนึกถึงถ้อยความของสตรีสาวผู้มีสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในโรงแรมด้วยความไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าคนที่เรียกได้ว่าแปลกหน้าต่อกันจะมาเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังทำไม และเธอก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีจนถึงกับเชื่อว่านั่นเกิดจากความบริสุทธิ์ใจ
สักวันเธอคงได้รู้คำตอบทั้งหมด เพราะตอนนี้เธอชักสนุก รู้สึกท้าทายกับปัญหา ปริศนาต่างๆ ในสถานที่ดุจเทวดารังสรรค์นั่นแล้วซี ทุกคนจะได้รู้ว่าแท้จริงมันคือสวรรค์หรือนรกกันแน่
............................
ในที่สุดหนุ่มๆ ก็เผยตัวออกมา 2 คนแล้วค่ะ
เหลืออีกบุคคลปริศนาาา มาพร้อมกับเซอร์ไพร้ส์แน่นอน
ติดตาม ติชม ไลค์ แชร์ ได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ
ปล. คนเขียนเหมือนจะไม่สบายอ่า ถ้าหายไปไม่ได้จะทิ้งคนอ่านน้าาา
[[[ ปกไฟนอลมาแล้วค่า ]]]
ผู้สนใจสามารถสั่งจอง "โซ่พิสุทธิ์" ในราคาพิเศษ 275 บาทได้อีก 3 วันเท่านั้นนน
1. กล่องข้อความเพจ ภาพิมล / พิมลภา
2. กล่องข้อความเพจ สำนักพิมพ์กรองอักษร
3. อีเมล the_zircon@hotmail.com
4. Line id : thezircon
5. เว็บ http://krongaksorn.lnwshop.com
อ่านตัวอย่างได้ที่ http://my.dek-d.com/thezircon/writer/view.php?id=1358542
อ่านรีวิวจากเพจ "รีวิว นิยายนอกสายตา" ได้ที่ https://www.facebook.com/1441961839417052/photos/a.1442000456079857.1073741827.1441961839417052/1649841775295723/?type=1&theater..
***พิเศษ! ผู้สั่งจองภายในเดือนกันยายนนี้ ลุ้นรับตุ๊กตาหมีจากโครงการน้องหมีช่วยหมอ 3 รางวัลค่ะ***
ราวกับได้ย้อนกลับไปในวันที่เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ทิวบุญตื่นเต้นกับวันเริ่มงานวันแรกเหมือนตนกลับไปเป็นเด็กสาวที่เพิ่งเริ่มรู้จักโลกใบใหม่อย่างไรอย่างนั้น เธอต้องสั่นศีรษะขบขันความคิดตัวเองขณะเดินผ่านโถงล็อบบี้โรงแรมไป
พนักงานใหม่กดลิฟต์ชั้นแปดตามคำบอกของคุณอรพรรณ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลบอกให้ทราบว่าออฟฟิศของระดับผู้บริหารอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคาร และมีลิฟต์เพียงตัวเดียวที่ขึ้นไปถึงชั้นนั้นได้ก็คือลิฟต์ข้างออฟฟิศพนักงานชั้นล่างซึ่งแยกต่างหากจากแขกที่เข้าพักนั่นเอง
เธอก้าวออกมาอีกครั้งท่ามกลางกำแพงกระจกขุ่นรอบด้าน มีประตูหลายบานหาก ไม่มีพนักงานสักคนเมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน ร่างระหงก้าวตรงไปในห้องที่เห็นรางๆ ว่ามีโต๊ะและตู้เอกสารตั้งอยู่ ป้ายบอกตำแหน่งเจ้าของห้องเป็นภาษาอังกฤษทำให้มั่นใจพอที่จะผลักประตูเข้าไป
ทิวบุญลอบถอนใจโล่งอกที่โต๊ะทำงานของเลขาฯ และเจ้านายแยกจากกันชัดเจน ห้องทำงานเจ้านายอยู่หลังผนังทึบ หากรายรอบโต๊ะของเธอหน้าห้องนั้นเป็นตู้เอกสาร เขาคงไม่ชอบรับแขกเท่าไรนักกระมัง ในห้องกว้างจึงไม่มีชุดรับแขก ต่างจากเจ้านายที่ทำงานเก่าของเธอ
เสียงเปิดประตูจากห้องทำงานด้านหลังส่งผลให้คนที่ยืนคว้างพลางสอดส่ายสายตาสำรวจต้องหมุนตัวไปตามที่มาของเสียง แล้วเธอก็ได้เห็นอรพรรณเดินออกมาจากห้องทำงานเจ้านายด้วยสีหน้าสีตาเคร่งเครียดทีเดียว
"มาสายนะ" อีกฝ่ายอดเตือนด้วยความหวังดีไม่ได้ตามความอาวุโสกว่า "เดี๋ยวเข้าไปพบคุณทัดเทพด้วย"
"เขามาแล้วหรือคะ"
ทิวบุญจ้องมองประตูไม้เนื้อหนาอย่างตะลึงงัน ยังไม่เก้าโมงตรงเสียด้วยซ้ำ หากสตรีวัยกลางคนก็ผงกศีรษะก่อนเดินจากไป
หญิงสาววางกระเป๋าสะพายบนโต๊ะทำงานตน แล้วจึงยกมือเคาะประตูจนได้ยินเสียงอนุญาต ก่อนผลักประตูเข้าไป
บุรุษที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานใหญ่ตัวเดียวกลางห้องนั้นกำลังก้มอ่านเอกสารในแฟ้มบางด้วยความสนใจ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองคนที่เพิ่งเข้ามา
"สวัสดีค่ะ" เธอพนมมือไหว้หวังได้รับความสนใจ
เออนะ ขอเห็นหน้าหน่อยเถอะ ผู้ชายวัยสี่สิบที่อุ้มบุญหลงใหลว่าหล่อนักหนา ทว่าเขาดูจะสนใจเอกสารตรงหน้า ถามขึ้นมาทั้งที่ไม่มองคู่สนทนาเช่นเคย
"เมื่อคืนหนังสนุกไหม"
"คะ"
"โกหกล่ะสิ ยังมีอะไรที่โกหกหรือปกปิดอีกหรือเปล่า" น้ำเสียงถามนั้นเรียบเรื่อยอย่างคนที่มั่นใจว่าตนไม่อาจถูกหลอกได้
ทิวบุญชักงงเต็มที หรือเขาจะระแวงไปว่าเธอมาเพื่อแก้แค้นแทนน้อง มันไม่ร้อนตัวไปหน่อยหรือ
โธ่เอ๋ย เธออึดอัดกับท่าทีเช่นนี้ ไหนจะท่าทางสบายๆ น้ำเสียงเนิบนาบนั่นอีกที่ทำเอาคนอื่นเต้นไปเองได้ล่ะ แต่ต้องไม่ใช่กับเธอ
"ดิฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ" เธอเอ่ยไขสือ
ชายหนุ่มปิดแฟ้มเรซูเม่พลางประสานมือไว้ใต้คาง เมื่อเงยหน้าพบตัวจริงของคนในภาพถ่ายก็ช่วยยืนยันว่าเขาจำคนไม่ผิดจริงๆ
ถ้าจะว่ากันตามมุมมองผู้ชาย หญิงสาวผู้นี้คือคนที่ตัดผมสั้นแทบเหมือนกล้อนติดศีรษะได้สวยที่สุด ทำเอาเขาถึงกับตะลึงงันแรกเห็นใบหน้าสวยเก๋นี้เมื่อวาน ขณะเจ้าหล่อนประคองแม่เขาออกมาจากห้องน้ำสตรี
"คุณ..."
ทิวบุญได้แปลกใจอีกรอบ เธอจำบุรุษผู้นี้ได้เช่นกัน เขาคือบุตรชายของหญิงชรา แล้วยังเป็นพ่อเด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบที่พบกันในห้างสรรพสินค้าเมื่อวาน
"แสดงว่าคุณโกหกเราเรื่องดูหนังเมื่อคืนจริงๆ สินะ"
เขาดูจะติดใจประเด็นนี้ หากคราวนี้เธอค่อยมีรอยยิ้มและตอบคำถามอย่างโล่งใจ
"ดิฉันไม่อยากรบกวนค่ะ และก็ไม่อยากปฏิเสธตรงๆ ให้คุณป้าลำบากใจ"
"ดี"
อ้าว เป็นงั้นไป!
"ทีนี้มาอีกเรื่อง" ชายหนุ่มหยุดเว้นวรรคไปนิดหนึ่ง ก่อนเข้าเรื่องที่คาใจเขา "คุณอรบอกว่าคุณเป็นพี่สาวคุณอุ้มบุญ เขาบอกหรือเปล่าว่าทำไมถึงออก"
"ไม่ทราบค่ะ น้องไม่เคยเล่าเรื่องที่ทำงาน" เธอจำต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ
"ทราบว่าเขาไม่สบาย ร้ายแรงมากหรือถึงขั้นต้องทิ้งงาน"
"ค่ะ" เธอตอบแค่นั้น อดคิดไม่ได้ว่าน้ำเสียงถามเจือแววอาทรหากอุ้มบุญอยากให้อีกฝ่ายทราบคงบอกไปแล้ว แต่ในบันทึกที่น้องเขียนไม่มีสักคำว่าเธอได้บอกผู้ชายคนนั้น...พ่อของเด็ก นอกจากความเกลียดชังทุกตัวอักษร แม้แต่ชื่อยังไม่เอ่ยออกมา
ทิวบุญลอบสังเกตว่าอีกฝ่ายรอคำอธิบาย แต่เมื่อเธอตอบแค่นั้น เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางสบาย ผ่อนคลายเมื่อครู่หายไป
"รู้ไหม ผมยังไม่ได้รับคุณเข้าทำงานนะ คนที่รับคุณน่ะเขามีสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในเทวานิรมิตก็จริง แต่ไม่มีสิทธิ์เหนือผม ถ้าคุณเป็นคนของเขาก็บอกเขาด้วย แต่ถ้าไม่ใช่... และเพราะผมเห็นแก่น้องของคุณที่ทำงานมานาน คุณอย่าอยู่ตรงกลางปัญหาเสียดีกว่า"
"ดิฉันไม่เข้าใจ"
ทัดเทพลอบถอนใจ เจ้าหล่อนไม่เข้าใจน่ะดีแล้ว และขอให้ไม่เข้าใจตามที่พูดจริงๆ เพราะเขาต้องการจะสื่อไปถึงผู้หญิงอีกคนมากกว่าเธอ
"ไปช่วยงานคุณวิรัช เขาเป็นผู้จัดการที่นี่ จะสอนงานคุณ"
อะไรกัน! เธอถูกจับโยกย้ายตำแหน่งตั้งแต่วันแรกทำงาน ทิวบุญทั้งฉงนและไม่พอใจลึกๆ เธอไม่เข้าใจที่เขาพูดเลย เหมือนชายผู้นี้มีเรื่องให้หวาดระแวง แล้วจะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนั้นทำเรื่องไม่ดี
ผู้เป็นใหญ่ในเทวานิรมิตกดโทรศัพท์ภายในถึงผู้จัดการวิรัชทันทีที่จบประโยค เขาเชิญพนักงานใหม่ออกไปรอข้างนอก ก่อนจะเปิดแฟ้มตรงหน้าที่บรรจุเรซูเม่หญิงสาวอีกครั้งพลางตรึกตรอง
ลักขณา เธอกำลังจะทำให้ทุกสิ่งยุ่งยากขึ้นไป
......................
ทิวบุญย้ายไปทำงานอีกห้องบนชั้นแปด เป็นห้องเล็กๆ ซึ่งเงียบสงบและเป็นระเบียบของผู้จัดการ เพราะถูกย้ายฉุกละหุกเธอจึงไม่มีแม้แต่โต๊ะทำงานอีกตัวสำหรับผู้ช่วย ได้แต่อาศัยโซฟาและโต๊ะกระจกเป็นที่ทำงานแทน ไม่สบายนักสำหรับคนตัวสูงอย่างเธอที่ต้องนั่งค้อมหลังทั้งวัน
"อ้าว เลยนั่งหลังขดหลังแข็งทั้งวัน เที่ยงแล้ว ไปทานข้าวเถอะ"
ผู้จัดการสูงวัยมีแววตาแจ่มใสเป็นนิตย์ เพิ่มบุคลิกความเป็นมิตรและจิตใจรักในการบริการของเขายิ่งขึ้นไปอีก วิรัชเปิดประตูเข้ามาหลังออกไปพบผู้เป็นเจ้านายเมื่อก่อนเที่ยง ทว่าครั้นกลับมาก็พบผู้ช่วยคนใหม่ของเขายังนั่งศึกษาเอกสารต่างๆ อยู่ที่เดิม
วิรัชผ่านประสบการณ์การทำงานที่ต่างๆ มานาน กระทั่งรู้จักมักคุ้นกับคุณหญิงเพ็ญพักตร์ มารดาคุณทัดเทพชวนมาทำงานตั้งแต่โรงแรมเริ่มก่อตั้ง เขาซึ่งนิยมในน้ำจิตน้ำใจอันเป็นกุศลของคุณหญิงอยู่แล้วจึงยินดีมาร่วมงาน
"ก็คุณวิรัชบอกว่าบ่ายนี้จะพาชมส่วนต่างๆ ในเทวานิรมิตนี่คะ ทิวอยากเข้าใจคร่าวๆ มากกว่าไปทั้งหัวกลวงโบ๋"
แค่เพียงรู้จักกันครึ่งวัน ทิวบุญซึ่งเข้ากับคนง่ายอยู่แล้วก็นึกพอใจที่ได้ทำงานกับผู้ใหญ่ใจดี แม้มันจะผิดจากแผนเดิมไปมาก หากการได้เข้ามาทำงานในโรงแรมแห่งนี้ก็ถือว่าเธอได้เริ่มเด็ดกลีบกุหลาบพลางนับหนึ่ง และมันต้องมีกลีบต่อไป
"เมื่อกี้ไปพบคุณเทพ เขาก็บอกว่าให้จัดหาโต๊ะทำงานให้ทิว"
"เหรอคะ" หญิงสาวได้โอกาสถามเรื่องที่ติดค้างในใจ "ดูเหมือนคุณทัดเทพไม่ค่อยไว้ใจทิว"
"ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ"
คำถามแทนคำตอบนั้นทำให้ทิวบุญได้รู้ว่าผู้อาวุโสกว่ายืนอยู่ข้างผู้เป็นนายเต็มตัว
"เขาพูดเหมือนระแวงทิว อย่างกับมีคนจ้างทิวมาขโมยความลับอย่างไรอย่างนั้น"
"นี่น้องสาวเธอไม่ได้เล่าอะไรหรอกหรือ"
"เปล่าค่ะ เราไม่เคยคุยกันเรื่องงาน"
หรืออันที่จริงเราไม่เคยพูดจากันดีๆ สักเรื่อง ต่างฝ่ายต่างมีชีวิตของตนเองต่างหาก เธอต่อในใจพลางมองตามร่างเล็กสันทัดของผู้จัดการที่เดินไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน
"ที่ผมจะเล่านี่ก็เพราะไม่อยากให้คุณทิวเข้าใจผิดๆ หรือไปฟังอะไรผิดมาจากคนอื่นนะ"
ทิวบุญผงกศีรษะพร้อมกับขยับนั่งตรงอย่างตั้งใจฟัง เรียกเสียงหัวเราะจากผู้มีตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป และต้องคอยจัดการไปทั่วเช่นกัน
"เรื่องของคนอื่นมันหอมหวานอย่างนี้ล่ะเนอะ" แกล้อขันๆ ก่อนเข้าเรื่อง "ผมได้ยินว่ามีคนพาคุณมาสมัครงานใช่ไหม"
"เปล่านะคะ ทิวมาสมัครเอง แต่ก็จริงที่ว่ามีสุภาพสตรีคนหนึ่งแนะนำทิวกับคุณอร" เธอเอ่ยแก้
"เธอชื่อคุณลักขณา เป็นภรรยาคุณเทพแล้วก็เป็นหุ้นส่วนอีกคนของเทวานิรมิต ครอบครัวเธอมีธุรกิจโรงงานไม้ เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นของที่นี่ก็สั่งจากโรงงานเธอทั้งนั้น กระทั่งสองสามปีให้หลังมานี้พวกเธอแยกกันอยู่ แต่คุณลักขณาก็ยังคงมีสิทธิ์จัดการทุกอย่างในเทวานิรมิต ยกเว้นในส่วนของคุณเทพที่อาจไม่ชอบใจนักที่ถูกก้าวก่าย"
"หมายความว่าคุณทัดเทพมีผู้หญิงใหม่หรือคะ"
"คุณทิว" เสียงขานซึ่งกดต่ำลงเตือนให้อีกฝ่ายระวังล้ำเส้น
แม้เขาจะชอบความเปิดเผย มั่นใจของผู้หญิงคนนี้เพียงไร หากนั่นก็เกินขอบเขตที่ตนสมควรเล่า
"ขอโทษค่ะ เรื่องชาวบ้านมันหอมหวานอย่างคุณวิรัชบอกจริงๆ" เธอจำต้องเอ่ยแก้เก้อ "ทิวเข้าใจแล้ว คุณทัดเทพคงระแวงเพราะคิดว่าทิวมาจากภรรยาเขากระมัง"
วิรัชผงกศีรษะ "ผมเชื่อนะว่าคุณไม่ใช่คนของคุณลักขณา แต่ก็ไม่แน่อีกเหมือนกันว่าเธอจะทำให้คุณมองเธอเป็นเจ้านายตัวจริงที่มีพระคุณสักวันหรือไม่"
ทิวบุญแค่นยิ้มฝืดเผือ นี่มันอะไรกันอีกล่ะนี่... เธอต้องมาตกอยู่กลางปัญหาผัวๆ เมียๆ ทั้งที่ลำพังเรื่องตัวเองยังเอาไม่รอด ไม่คืบหน้าถึงไหนเลย
.....................
วิรัชพาพนักงานใหม่ไปแนะนำตัวและดูงานของแผนกต่างๆ เธอขอเขาว่าอย่าบอกใครว่าเธอเป็นพี่สาวของอุ้มบุญ เนื่องจากเกรงจะถูกมองว่าใช้เส้นสาย ซึ่งผู้อาวุโสเห็นด้วยเช่นกัน
"เทวานิรมิตเป็นทั้งโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ห้องของเราทุกห้องมีครัวฝรั่งและตู้เย็นใหญ่ ห้องนอนกับส่วนพักผ่อนก็แยกจากกัน เราคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายของแขกที่มาพัก ให้เขารู้สึกเหมือนอยู่บ้านที่สุด" เขาสรุปให้คนที่เดินตามไม่ห่างฟัง
ผู้จัดการพาเธอลงมาชั้นล่างทางด้านหลังของโรงแรมซึ่งเป็นออกฟฟิศสำนักงานของแผนกต่างๆ อาทิแผนกบุคคล หรือแม้แต่ส่วนของพนักงานต้อนรับที่ต้องบรีฟงานทุกครั้งก่อนเข้าและหลังกะทำงาน รวมทั้งออฟฟิศของฝ่ายขายเช่นกัน
ทิวบุญต้องระงับความตื่นเต้นไว้เมื่อบุรุษวัยกลางคนเปิดประตูออฟฟิศเข้าไป ในห้องนั้นเต็มไปด้วยโต๊ะที่แยกจากกันด้วยฉากกั้นเพื่อสัดส่วนความเป็นส่วนตัว พนักงานในนี้มีทั้งฝ่ายขาย การตลาด และบัญชีรวมกว่ายี่สิบชีวิต เธอไพล่นึกถึงคนที่ถูกบันทึกผ่านตัวอักษรในไดอารี่ เขาเป็นหัวหน้างานของอุ้มบุญ นั่นก็หมายความว่าเขาย่อมต้องอยู่แผนกเดียวกับน้องเธอเป็นแน่ แต่ไม่เห็นมีใครเข้าเค้าสักคน
"นี่คุณทิวบุญนะ เลขาฯ คนใหม่ของคุณทัดเทพ แต่ตอนนี้มาฝึกงานกับผม ถ้าจะติดต่อขึ้นไปข้างบนก็ผ่านผมหรือคุณทิวก็ได้" วิรัชแนะนำพนักงานใหม่กับทุกคน
หญิงสาวค้อมศีรษะทักทาย ก่อนประตูกระจกขุ่นด้านในสุดของออฟฟิศนั้นจะเปิดออก พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มก้าวออกมา เขาชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าในแผนกตนมีคนมาเยี่ยมเยียน
"สวัสดีครับคุณวิรัช" เขาตรงเข้ามาทักทาย
สายตาที่ทอดมองต่อไปยังสตรีอีกคนซึ่งยืนเยื้องหลังไปฉายแววฉงน ทำให้ผู้อาวุโสกว่าต้องแนะนำ
"ว่าจะพาไปแนะนำพอดี นี่คุณทิวบุญนะ เลขาฯ คนใหม่ของคุณทัดเทพ ส่วนนี่คุณอัครวินท์ ดูแลด้านฝ่ายขาย"
ทิวบุญสังเกตเห็นดวงตาอีกฝ่ายวูบไหว แต่เมื่อเธอพนมมือไหว้และเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แววตาประหลาดคู่นั้นก็เลือนหายไป
คนนี้กระมังพี่วินของอุ้มบุญ ไม่น่าแปลกหรอกหากคนอย่างอุ้มบุญจะปลาบปลื้มผู้ชายที่ดูสุภาพ สะอาดหมดจด และผิวขาวๆ ของเขาอย่างไร อัครวินท์เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ผึ่งผายก็จริง หากมีบางสิ่งในตัวบุรุษผู้นี้ที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นมิตร ไม่มีลักษณะข่มขวัญแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นผู้ต้องสงสัยของเธอ
"เรียกผมว่าวินก็ได้ คุณทิวบุญน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม" เขาเอ่ยอย่างเป็นมิตร
"งั้นก็เรียกทิวเถอะค่ะ ทิวสามสิบสองนะ คุณล่ะเท่าไร" เธอบอกอายุด้วยความมั่นใจ เรียกเสียงหัวเราะครืนจากหลายคนในแผนกนั้น
"แหม คุณทิวกล้าบอกอายุซะผู้ชายอย่างผมยังเขินเลย มั่นมากๆ" เขายกนิ้วหัวแม่มือชื่นชมขันๆ
"ผมว่าแล้วว่าคุณทิวต้องเข้ากับคนได้ง่าย เหมาะทำงานจิปาถะสารพัดสารพันอย่างตำแหน่งเลขาฯ ที่สุดแล้วล่ะ" วิรัชพึงพอใจ "ออฟฟิศนี้ยังมีหัวหน้าฝ่ายบัญชีกับการตลาดอีกนะ เดี๋ยวผมพาไปแนะนำ"
ทิวบุญจำต้องเดินตามผู้จัดการที่กลายมาเป็นหัวหน้าตนกลายๆ เข้าไปยังด้านในของออฟฟิศพนักงาน มีห้องส่วนตัวต่างหากของหัวหน้าแต่ละฝ่าย ที่เธอทราบแน่แล้วคือประตูทางขวาสุดเป็นห้องทำงานของอัครวินท์
เหลือผู้ชายอีกคนในบันทึกของน้องที่เธอยังไม่เจอ นายเจ๋ง... จะมีเหตุอะไรที่เธอจะได้พบกับคนที่ทำงานคนละภาคส่วนกันชัดเจนอย่างนั้นได้นะ
.........................
"คุณวิรัชยังพาทิวไปไม่ครบทุกแผนกนี่คะ ยังขาด..."
"แผนกช่างกับแม่บ้าน จะไปดูไหมล่ะ" ชายวัยกลางคนต่อประโยคให้ขันๆ "ก็ว่าจะพาไปนะ พรุ่งนี้แล้วกัน ผมมีงานต้องเคลียร์อีก"
ทิวบุญยิ้มแห้งหากในใจลิงโลด อย่างน้อยแค่ได้เห็นหน้าว่าใครเป็นใคร เธอก็คงพอมีทางรู้จักนิสัยใจคอแต่ละคนมากขึ้น
แต่แล้วรอยยิ้มของสองผู้ร่วมงานต่างวัยก็หายไปจากใบหน้า ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปพบผู้ที่พวกตนไม่คาดคิดนั่งรออยู่บนเก้าอี้ยาวในห้อง ลักขณาหันมองคนทั้งสองที่เพิ่งเข้ามาเช่นกัน
"คุณลักขณา มีธุระอะไรให้ผมจัดการหรือเปล่าครับ" บุรุษวัยกลางคนถามนอบน้อม
เธอแลเลยไปยังร่างระหงที่พนมมือไหว้ อดคิดด้วยความขุ่นเคืองไม่ได้ว่าตนถูกสามีฉีกหน้าต่อหน้าคนอื่น ด้วยการย้ายเลขาฯ คนใหม่ที่เธอหาให้มาทำงานกับผู้จัดการโรงแรมแทน ถ้าเธอไม่เข้ามาวันนี้ก็คงไม่รู้ กระทั่งเธอแวะไปหาผู้เป็นสามี
"ฉันอาสามาตามเลขาฯ ให้เทพค่ะ" เสียงหวานเอ่ยพร้อมกับที่ผู้พูดลุกไปจูงมือสตรีสาวไว้
ทิวบุญได้แต่สบตากับเจ้านายใจดีของตนอย่างงุนงง วิรัชลำบากใจเช่นกัน แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายปัญหาของสามีภรรยาที่พยายามเอาชนะกัน พลอยเห็นใจคนกลางอย่างพนักงานใหม่ที่ถูกดึงไปมา
"เดี๋ยวผมขออธิบายงานกับทิวบุญก่อน แล้วจะให้ไปพบคุณเทพพอดีครับ"
ใบหน้าสะสวย แม้วัยจะใกล้ล่วงเลยเข้าหลักสี่มาแล้วเชิดขึ้นเล็กน้อย กระนั้นเธอก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ของเจ้านายที่ดีด้วยการรับฟังเหตุผล
"ฉันไปรอที่ห้องเทพนะคะ" เธอบอกปิดท้ายให้รู้ว่าไม่มีทางบิดพลิ้ว
ดวงตาเหนื่อยหน่ายสองคู่แลสบกันเมื่อสุภาพสตรีผู้เป็นนายอีกคนยอมกลับออกไป วิรัชรีบติดต่อโทรศัพท์ภายในหาผู้มีอำนาจบริหารที่นี่ก่อนที่ภรรยาของเขาจะกลับไปถึง แล้วก็ได้รับคำตอบสั้นๆ พร้อมเสียงถอนหายใจมาตามสาย อนุญาตให้ทิวบุญไปพบได้
"ฉันขอถามคำถามหนึ่งได้ไหมคะ เลขาฯ คนเก่าของคุณเทพลาออกเพราะอะไร"
ชายวัยกลางคนค่อยมีรอยยิ้มชื่นชม ผู้หญิงคนนี้มีปฏิภาณไหวพริบดี หากเขาก็เพียงโคลงศีรษะอ่อนใจ ก่อนเปิดประตูให้เป็นการตัดบทสนทนา
.........................
หญิงสาวเคาะประตูห้องที่คุ้นเคยอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ไม่มีเสียงตอบรับ นอกจากสุภาพสตรีในชุดสูทกระโปรงสีฟ้าอ่อนเดินมาเปิดประตูต้อนรับด้วยตัวเอง เธอมีรอยยิ้มหวานที่ทำให้คนมองใจอ่อนได้ง่ายๆ ถ้าไม่เพราะปัญหาของสามีภรรยาซึ่งยังคาราคาซังดังที่คุณวิรัชบอก ทิวบุญคงสนิทใจกับเจ้าหล่อนมากกว่านี้
"ตกลงน้องมาทำงานให้คุณทัดเทพเหมือนเดิมนะคะ พี่คุยกันแล้ว"
สรรพนามที่ใช้และการวางตัวต่อผู้เยาว์กว่าของสตรีผู้นี้เป็นสิ่งที่เธอนึกนิยม ถ้าจะตัดความจุ้นจ้านของเจ้าหล่อนลงไปบ้างก็ดีทีเดียว
ทิวบุญปรายตามองผู้ที่ยังคงวางเฉยหลังโต๊ะทำงานใหญ่ เขาสนใจคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กตรงหน้า ราวกับพวกเธอเป็นมดแมลงข้างตัวที่ไม่อาจรบกวนสมาธิของเขา
ท่ามาก... เธอค่อนบุรุษที่น้องปลาบปลื้มในใจ สาวๆ คงจะหลงใหลเสน่ห์หนุ่มใหญ่ของเขาอยู่หรอก หากสำหรับเธอ เขาก็เป็นแค่ไม้หลักปักเลน ไม่หนักแน่นกับการตัดสินใจของตนเอาเสียเลย อยากรู้นักว่าถ้าไม่มีเงินถุงเงินถัง เขาจะอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตเช่นนี้ได้หรือเปล่า
"เทพ คุณมีอะไรจะให้เลขาฯ คนใหม่ทำก็บอกเขาไปสิคะ" เสียงหวานเอ่ยราวปะเหลาะเอาใจ
ชายหนุ่มเงยหน้าสบตาภรรยาครั้งแรก แล้วดวงตาสีสนิมเหล็กก็วาบขึ้นอย่างที่คนมองรู้สึกถึงพลังอำนาจ
"ไม่มี" เขาตอบช้าชัด
ทิวบุญลอบมองสุภาพสตรีข้างกาย เจ้าหล่อนหน้าเสีย ก่อนจะหันมายิ้มให้อย่างที่ดูก็รู้ว่าฝืนทำ
"งั้นเดี๋ยวพี่จะค่อยๆ แนะนำคุณทิวบุญเอง ไปค่ะ" เธอว่าพร้อมกับเดินนำออกไป
หญิงสาวปรายตามองบุรุษผู้นั่งเฉยราวรูปปั้นหลังโต๊ะทำงานอีกครั้ง อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาเป็นคนรักของน้องเธอจริง แล้วผู้ที่ถูกบอกไล่อย่างเย็นชาเช่นนั้นคืออุ้มบุญเล่า มันเพียงพอไหมที่จะทำให้ผู้หญิงหัวอ่อน อ่อนต่อโลกอย่างนั้นกล้าทำอะไรเลวร้ายลงไป
ทัดเทพรู้ตัวดีว่าถูกสายตาคู่หนึ่งแอบมอง เมื่อเจ้าหล่อนออกไปแล้วเขาก็ได้ยกมือลูบท้ายทอยซึ่งตึงเขม็ง ลักขณาคงเรียกคะแนนความสงสารจากอีกฝ่ายได้ดังเคย และใช้ความน่าสงสารของผู้หญิงที่ถูกสามีทอดทิ้งเป็นเครื่องมือทำลายเขา
เขารู้แต่ไม่พูด ไม่แก้ตัว หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่มีใครที่เขาต้องให้ความสำคัญว่าอาจกำลังเข้าใจผิด
แต่เธอคงไม่โง่หรอกนะทิวบุญ แววตา ท่าทางเธอบอกอย่างนั้น อย่าให้เขาต้องใจร้ายกับใครที่คิดร้ายกับเขาและเทวานิรมิตเลย
.....................
'พี่พยายามแก้ไข เอาใจเขาค่ะ เรื่องในอดีตพี่มีส่วนผิด เทพโกรธมาก แต่ก็ไม่รู้ต่อไปจะยังไงนะคะ เพราะเขาถึงขั้นฟ้องหย่าพี่ แล้วก็จะเอาลูกสาวที่อยู่กับพี่ไปด้วย ศาลท่านก็ให้ไกล่เกลี่ย แต่คุณทิวคงเห็นว่ายากเสียแล้ว เขาคงมีคนใหม่แล้วจึงเย็นชานัก'
ทิวบุญปิดสมุดจดบันทึกเล่มใหม่หลังบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตนพบเจอในเทวานิรมิตลงไป ทั้งที่ก่อนนี้เธอไม่เคยคิดอยากบันทึกเรื่องราวใดๆ ในชีวิตเลย
เธอหวนนึกถึงถ้อยความของสตรีสาวผู้มีสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในโรงแรมด้วยความไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าคนที่เรียกได้ว่าแปลกหน้าต่อกันจะมาเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังทำไม และเธอก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีจนถึงกับเชื่อว่านั่นเกิดจากความบริสุทธิ์ใจ
สักวันเธอคงได้รู้คำตอบทั้งหมด เพราะตอนนี้เธอชักสนุก รู้สึกท้าทายกับปัญหา ปริศนาต่างๆ ในสถานที่ดุจเทวดารังสรรค์นั่นแล้วซี ทุกคนจะได้รู้ว่าแท้จริงมันคือสวรรค์หรือนรกกันแน่
............................
ในที่สุดหนุ่มๆ ก็เผยตัวออกมา 2 คนแล้วค่ะ
เหลืออีกบุคคลปริศนาาา มาพร้อมกับเซอร์ไพร้ส์แน่นอน
ติดตาม ติชม ไลค์ แชร์ ได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ
ปล. คนเขียนเหมือนจะไม่สบายอ่า ถ้าหายไปไม่ได้จะทิ้งคนอ่านน้าาา
[[[ ปกไฟนอลมาแล้วค่า ]]]
ผู้สนใจสามารถสั่งจอง "โซ่พิสุทธิ์" ในราคาพิเศษ 275 บาทได้อีก 3 วันเท่านั้นนน
1. กล่องข้อความเพจ ภาพิมล / พิมลภา
2. กล่องข้อความเพจ สำนักพิมพ์กรองอักษร
3. อีเมล the_zircon@hotmail.com
4. Line id : thezircon
5. เว็บ http://krongaksorn.lnwshop.com
อ่านตัวอย่างได้ที่ http://my.dek-d.com/thezircon/writer/view.php?id=1358542
อ่านรีวิวจากเพจ "รีวิว นิยายนอกสายตา" ได้ที่ https://www.facebook.com/1441961839417052/photos/a.1442000456079857.1073741827.1441961839417052/1649841775295723/?type=1&theater..
***พิเศษ! ผู้สั่งจองภายในเดือนกันยายนนี้ ลุ้นรับตุ๊กตาหมีจากโครงการน้องหมีช่วยหมอ 3 รางวัลค่ะ***
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ย. 2558, 15:26:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ย. 2558, 15:26:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 1144
<< บทที่ ๓ | บทที่ ๕ + ฝากอีบุ๊ก "โซ่พิสุทธิ์" ด้วยค่ะ >> |