เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 14
ตอน 14
กลับมาถึงโรงแรม หินก็ถอดเสื้อสูท รูดเนคไทออกจากคอ เหวี่ยงไปวางแหมะอยู่บนโซฟา ปลดกระดุมเสื้อลงมาสองสามเม็ด ก่อนจะพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นถึงข้อศอกพร้อมกับเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำเย็นๆมาดื่มให้ชื่นใจแล้วเดินกลับมานั่งบนโซฟา พาดคอกับขอบพนักพลางคิดถึงไอ้พวกนายพลชั่ว ป่านนี้คงนั่งหัวเราะไอ้ไก่อ่อนอย่างเขา ที่อยู่ดีๆ ก็วิ่งทะเลอทะล่าเข้าไปอยู่ในเล้าของมัน แต่อย่าหวังว่ามันจะจับเขาเชือดเพราะเขานี่แหละจะเชือดมัน
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นหยุดความคิดเขาไว้ พลางเอียงหน้าไปมองประตูห้องอย่างสงสัยว่าใครมาเคาะ เพราะเขาไม่ได้นัดกับใครหรือสั่งข้อความใดกับคนดูแลห้องนี้ไว้ แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเพราะมั่นใจว่าจะรับมือกับใครก็ตามที่มาหาเขาได้ แล้วสีหน้าก็กระด้างขึ้น เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่
สาวสวยในชุดสีดำรัดรูปสั้นเต่อโชว์ร่องอก แต่งหน้าจัดปัดแก้มสีแดง ปากแดงเปิดยิ้มให้เขา ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้อย่างอ่อนช้อยพร้อมแนะนำตัวเองอย่างอ่อนหวาน “เชอรี่ค่ะ” ปากก็ว่าสายตาก็เชิญชวนเพราะชายหนุ่มตรงหน้านั้นตรงสเปกเหลือเกิน หน้าตาหล่อเข้ม กล้ามเป็นมัดชวนให้อยากจับอยากกอด จึงยั่วยวนด้วยอกอวบๆของตัวเองเพื่อให้หลงใหล แต่หินมองอย่างเฉยเมย
“มีอะไร” เขาถามเสียงเย็น
“ไม่มีหรอกค่ะ แค่คิดว่าคุณคงเหงา จึงอยากช่วยทำให้คลายเหงาเท่านั้น”
“ฉันช่วยตัวเองได้”
“อุ๊ย แบบนั้นมันจะถึงใจถึงอารมณ์ได้ไงคะ” เธอว่าแล้วใช้ปลายนิ้วลูบแขนแกร่งก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมอง “ให้เชอร์รี่เข้าไปข้างในเถอะค่ะ แล้วเชอร์รี่จะทำให้คุณเอง”
หินหรุบตามองปลายนิ้วที่ลูบบนแขนเขา แล้วยกมือขึ้นจับ สาวสวยยิ้มกว้างขึ้นเพราะคิดว่าเขาจะพาเข้าข้างใน แต่... ใบหน้างามบิดเบ้เพราะนิ้วที่ถูกบีบจนเจ็บ ร้องโอดโอยออกมาและขอให้ปล่อย แต่ดูคนบีบจะไม่ปราณีแถมยังกร้าวใส่ “เธอเป็นใคร มาหาฉันได้ยังไง”
“เป็น เป็นใคร อะไรคะ เชอร์รี่ไม่ ไม่เข้าใจ” เสียงตะกุกตะกักเพราะเจ็บ “ปล่อย ปล่อยเชอร์รี่เถอะ” เธออ้อนวอนแต่ดูจะไม่ได้ผล เมื่อไม่ใช่คำตอบที่คนบีบต้องการ แรงบีบเพิ่มมากขึ้นจนเธอสุดจะทน “ถ้าท่านทราบว่าดอกไม้ของท่านไม่ถูกใจคุณ ท่านคงเสียใจ”
แววตาของหินยิ่งกระด้างขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่าเธอคือผู้หญิงที่ไอ้นายพลชั่วส่งมา และไม่แปลกที่มันจะทำ เพราะคนเลวๆอย่างมันทำได้ทุกอย่างที่ต้องการนั่นแหละ แต่ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเชือดมัน จึงต้องรอมชอมอะลุ่มอล่วยกับน้ำใจของมันไปก่อน เขาปล่อยมือจากนิ้วเธอพร้อมกับบอกว่า
“กลับไปบอกท่านของเธอว่าฉันขอบใจ แต่ฉันบอกไปแล้วว่าไม่ชอบดอกไม้พลาสติก”
หญิงสาวข่มความเจ็บไว้ดึงจริตออกมาใช้เพื่อเงินที่ได้มาว่า “ของเชอรี่เป็นของแท้แม่ให้มาค่ะไม่มีสิ่งใดปลอมปนมาเลย”
“แต่คงเหม็นเน่า ไม่น่าอภิรมย์แล้วละ”
“ว้ายแอบแรงนะคะ แต่ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอคะ”
“แค่เร่มาหาฉันถึงบนนี้ได้ ไม่ต้องลองก็รู้แล้ว”
“แหม พูดเสียเชอรี่เสียหายหมดเลย” เธอแสร้งรำพันออกมา ทั้งๆที่ความจริงแล้วด้วยอาชีพอย่างเธอ คำพูดพวกนี้ไม่ระคายผิวหน้าสักนิด เพราะมากกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้วทั้งสิ้น “ให้เชอรี่เข้าไปปรนนิบัตินะคะ รับรองว่าจะติดใจจนลืมไม่เชอรี่ไม่ลง”
“กลับไปเสีย”
“เปลี่ยนจากลับเป็นเข้าไปแทนได้ไหมคะ” ไม่พูดเปล่าเธอยังใจกล้าขยับเข้ามาใกล้แล้วอีก ยืดหน้าขึ้นไปหอมแก้ม และจับมือเขามาวางบนทรวงอก ยิ่งเขาไม่พูดเธอก็ยิ่งได้ใจ ‘ผู้ชายก็แค่นี้ ไอ้ที่ทำเป็นไม่สนใจ พอได้จับได้กอด ก็แข็งขึ้นมาเหมือนกันหมด’ เธอคิดพลางเลื่อนริมฝีปากมาจะจูบเขา แต่...
“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ”
“กลัวจะอดใจไม่ไหวเหรอคะ”
“ฉันกลัวเธอจะหน้าแหกมากกว่า”
สิ้นเสียงพูดใบหน้ายั่วยวนซีดเผือดเพราะคมมีดเย็นๆแนบลงบนแก้ม ไม่แค่นั้นตัวเธอยังผงะถอยห่างอย่างรวดเร็ว แล้วหมุนตัวเดินเกือบวิ่งจากไปโดยที่หินไม่ต้องพูดอะไรอีก เขาเหยียดมุมปากออกหยัน ปิดประตูลงล็อกเรียบร้อยแล้วก็ปามีดไปปักที่เป้าบนผนัง เดินไปที่ห้องนอนตรงไปที่ห้องน้ำเข้าไปอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาล้มตัวลงนอนบนเตียงหลับไป โดยไม่สนใจว่าผลการกระทำในคืนนี้จะทำให้ไอ้นายพลชั่วนั้นไม่พอใจแค่ไหน
************
ย่ำรุ่งในหุบเขาพญา หญิงสาวที่หลับใหลอยู่ในห้องนอนบนเรือนเชิงผา เริ่มรู้สึกตัวแต่ยังไม่ลืมตาขึ้นมา อย่างแรกที่รับรู้คืออาการปวดร้าวที่ศีรษะ ตามมาด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ ภาพที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจนมาเจอกับเขา คนที่เธอเรียกหาอยู่ในใจ ความหวาดกลัวที่ยังกัดกินใจทำให้มือกำเข้าหากัน จึงได้รู้ว่ามือข้างหนึ่งอยู่ในกำมือของใครบางคน ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาพลางภาวนาขอให้เป็นคนเธอที่เรียกหาอยู่ แล้วก็เป็นเขาจริงๆ
‘เพลิง’
แววตาเธอเต็มตื้นไปด้วยความดีใจ พร้อมๆกับดวงตาคมที่ลืมตื่นขึ้นมาเพราะแรงกระชับที่มือและทันได้เห็นความรู้สึกของเธอ นัยน์ตาเขาเหมือนจะยิ้มให้ แล้วก้มหน้าลงไปใกล้ จนพิมพ์ลดารู้สึกขัดเขินแล้วขยับตัวเพื่อลุกขึ้นนั่ง แต่อาการปวดร้าวไม่อาจทำได้ดังใจ
“จะไปไหน”
“เข้าห้องน้ำค่ะ”
บอกแล้วก็ข่มความเจ็บจะลุกขึ้น แต่ต้องร้องอุ้ยออกมา เมื่อแขนเขาช้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้มพาไปที่ห้องน้ำทันที เพลิงปล่อยให้เธอได้ทำธุระส่วนตัว ส่วนตัวเขาก็ออกไปจัดการตัวเอง ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเขาก็กลับมาอุ้มเธอไปวางบนเตียง ให้นั่งพิงหัวเตียงพร้อมหยิบหมอนมารองหลังให้เรียบร้อย มองหน้าเธอเพียงอึดใจก็บอกว่า
“หัวแตก มีรอยฟกช้ำที่แขนขาอีกนิดหน่อย ไม่กี่วันหาย”
“ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณยุ่งยาก”
“ไม่เป็นไร” เขาบอกพลางยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วแตะผ้าพันแผลแล้วเลื่อนลงมาแตะรอยช้ำที่แขนพร้อมกับถามว่า “เจ็บหรือเปล่า”
“เจ็บค่ะ”
หน้าคมเครียดขึ้นเล็กน้อย แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นๆก็เป่ารดหน้าผากมน พิมพ์ลดารู้สึกดีไปทั้งตัวและหัวใจ คิดไม่ถึงว่าคนที่เกลียดชังเธอ มองเธอเป็นเพียงเมียมารยา เมียที่เขาไม่ต้องการ จะอ่อนโยนได้ถึงขนาดนี้ “เจ็บอีกไหม” เสียงเขาทุ่มนุ่มกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน สายตาที่มองก็ไม่ต่างกัน แก้มเธอจึงระเรื่อขึ้นด้วยความรู้สึกหวั่นไหว เสียงตอบก็ดังแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
“ไม่ใช่ยาเสียหน่อย จะหายได้ยังไงคะ”
“แล้วดีขึ้นหรือเปล่า”
เธอพยักหน้าก่อนจะบอกว่า “ขอบคุณค่ะ”
“เข้าใจฉันใช่ไหม”
“คะ” เธอทำหน้างงกับคำถามของเขา ที่จู่ๆก็พูดออกมา แล้วจะให้เข้าใจเรื่องอะไร เรื่องที่ทำกับเธองั้นเหรอ ก็มีมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่เขาเกลียดเธอโดยไม่รู้สาเหตุ แต่ตอนนี้คงจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกจากเรื่องที่เขาจับเธอขังคุก “แล้ว คุณเข้าใจฉันหรือเปล่า”
“เรื่องอะไร”
“อย่าเกเรซิค่ะ” เธอพ้อเมื่อเขาตอบไม่ตรงคำถาม แต่สีหน้าเพลิงยังนิ่งทั้งที่ชอบเสียงน่ารักของเธอที่ใช้พูดกับเขาเหลือเกิน
“ฉันเป็นบ่อยเหรอ”
“ไม่บ่อยหรอกค่ะ แต่เยอะ”
“แล้วแบบนี้เยอะหรือเปล่า” พูดจบริมฝีปากเขาก็แนบชิดเรียวปากเธอ ไล่จูบเบาๆก่อนจะถามออกมา “ว่าไง เยอะไหม”
พิมพ์ลดาสุดจะเขิน จะตอบก็กลัวจะเข้าตัว จึงได้แต่นิ่ง แต่แก้มแดงยั่วปลายจมูกเพลิงให้คลอเคลียอยู่ไม่ห่าง ทั้งคู่ไม่รู้ว่าความอ่อนหวานที่เกิดขึ้นไม่ได้มาเพราะอารมณ์ แต่มาจากความรู้สึกในใจที่ต่างก็มีให้กันและกัน
“ไม่ตอบเหรอ”
“ตอบพิมพ์ก่อนซิค่ะ” เธออ้อนโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดชื่อแทนตัวเองกับเขา แต่เพลิงรู้และเก็บคำที่แสนจะไพเราะไว้สุดใจ
“พิมพ์”
“ขา”
ขานรับไปแล้วพิมพ์ลดาก็เหมือนจะรู้ตัวว่าพูดอะไรกับเขาไปบ้าง แก้มเธอแดงขึ้นยิ่งกว่าตำลึงสุก และหลบตาที่มองเหมือนจะทะลุเข้าไปในแววตาเธอ จึงไม่เห็นว่าริมฝีปากเพลิงแย้มยิ้มออกมา ก่อนจะใช้ปลายนิ้วจับปลายคางเธอให้หันมามอง แล้วบอกว่า
“ฉันเข้าใจ ว่าเธอสงสาร แต่เลิกเป็นแม่พระได้แล้ว เพราะทุกสิ่งที่เธอคิด ใช่ไม่ได้กับคนเลวๆพวกนั้น และฉันไม่มีวันยอมที่จะไม่จัดการกับมัน ไม่มีวันปราณีไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม แม้เธอจะไม่เอาโทษมัน แต่คนที่เข้ามาในหุบเขาพญาต้องเป็นไปตามกฎ”
“พิมพ์ไม่รู้กฎของที่นี่ แต่พิมพ์ก็ไม่อยากให้ใครต้องมาทรมานเพราะพิมพ์อีก” เมื่อใช้หัวใจพูดแล้ว เธอก็พูดต่อโดยไม่เคอะเขิน
“มันแค่ทรมาน แต่ถ้าเธอไม่เจอฉันคนทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็นคงเป็นเธอเสียเอง”
พิมพ์ลดานิ่งไป เมื่อมันเป็นความจริงที่เธอไม่อาจพูดหรือค้านอะไรได้อีก และได้เห็นมาแล้วอย่างตอนที่โดนปืนจ่อที่หัว ถ้าเพียงแต่เขาไม่ช่วย เธอก็คงเป็นอย่างที่เขาพูด “แล้ว...”
“มันหนีไปได้” เขาบอกเมื่อคิดว่าเธอหมายถึงไอ้โม่ง “ส่วนที่เธอบอกกับแม่นม ฉันรู้แล้ว”
“พิมพ์ไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”
“แล้ว...”
แววตาเขาถามว่าเรื่องอะไร ริมฝีปากอิ่มจึงเม้มเข้าหากันด้วยความขัดเขิน ก่อนจะพูดออกมา “ที่คุณออกไปตามหาคนร้าย ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
ไม่มีคำตอบจากเพลิง แต่หัวใจเขาเหมือนได้รับแสงอรุณยามเช้า มันสว่างสดใสสวยงามไปหมดทุกอย่าง ความรู้สึกที่เคลือบแคลงสงสัย ว่าทุกสิ่งที่เธอทำมาเป็นดังมารยาที่หลอกเขา รวมถึงความเกลียดชังที่เขาเคยเปรียบเปรยว่าเป็นดังมายาของเธอ จางหายไปจากจิตใจ เพราะมันเทียบไม่ได้กับหัวใจของเธอที่แม้ตัวเจ็บแต่ยังห่วงเขา แล้วหัวใจเขาพร้อมจะเชื่อว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆหรือยัง
เพลิงไม่ตอบตัวเอง แต่การกระทำตอบแทนหัวใจ ริมฝีปากเขาแนบชิดเรียวปากอิ่ม จูบเธออย่างอ่อนโยนอ่อนหวานละมุนสุดใจ แล้วมองนัยน์ตาเธอโดยไม่รู้ว่ามันได้บอกอะไรเธอบ้าง แต่พิมพ์ลดาไม่กล้าตอบตัวเอง เพราะกลัวจะไม่ใช่อย่างที่คิด แต่รู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน
************
แสงตะวันลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาพร้อมๆกับเสียงเคาะประตูดังขึ้น หัวใจของทั้งคู่จึงหยุดไว้แค่นั้น เพลิงตวัดสายตาไปมองประตู ขณะที่พิมพ์ลดาข่มหัวใจที่เต้นแรงให้เป็นปรกติ แต่แก้มยังแดงระเรื่อให้นมสดกับนมสุกที่เปิดประตูเข้ามาได้เห็น แม้จะไม่รู้สาเหตุ แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้ทั้งคู่สุขใจ
ทั้งสองคนเดินเข้ามาพร้อมของในมือ พอเดินมายืนที่ข้างเตียงก็เปิดยิ้มให้คนป่วย ถามไถ่อาการเล็กน้อย นมสดก็บอกว่า “นมเอาข้าวต้มมาให้”
“ส่วนนมจะเช็ดตัวให้”
“ฉันจะทำให้เอง”
“พิมพ์ทำเองดีกว่าค่ะ ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย” เธอบอกเพราะถ้าให้เขาทำนั่นแสดงว่าเธอต้องเปลือยต่อหน้าเขา แต่แทนที่เขาจะฟังกลับถามว่า
“ฉันทำให้แล้วมันเป็นยังไง”
พิมพ์ลดาอยากบอกว่าเธออาย แต่ที่ตอบออกไปคือ “พิมพ์เกรงใจ”
“ฉันเต็มใจ”
“งั้นแค่แขนนะคะ”
“ทั้งตัว”
“ไม่ได้นะคะ” คราวนี้เสียงเธอตกใจขึ้นมาจริงๆ แต่เพลิงทำเหมือนไม่รู้ว่าเธอกลัวอะไร มิหนำซ้ำยังถามให้เธอพูดไม่ออกตอบไม่ได้อีกว่า...
“ทำไม”
คำตอบหยุดอยู่แค่ริมฝีปาก แต่แก้มแดงบอกความอายออกมา นมสุกที่ยืนอยู่ไม่รอฟังอะไรอีกแล้ว รีบเดินไปที่ห้องน้ำ เตรียมผ้าขนหนูมาให้ป๊ะเพลิง ส่วนนมสดก็รีบเอาถ้วยข้าวต้มกับแก้วน้ำไปวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง เรียบร้อยแล้วทั้งสองนมก็พากันเดินไปยืนยิ้มอยู่ที่มุมห้อง จับตามองป๊ะเพลิงที่กำลังจะเช็ดตัวให้หนูพิมพ์...ทั้งตัว
หัวใจของสองนมเฟื่องฟูด้วยความปิติที่ดอกรักเริ่มผลิบานในใจของทั้งคู่แล้ว และหนูพิมพ์ก็ยังพูดชื่อแทนตัวเองกับป๊ะเพลิงด้วย ช่างน่ารักเหลือเกิน
เพลิงหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาซับที่แก้มนุ่มก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะเลื่อนไปที่อีกแก้ม พิมพ์ลดาทั้งอบอุ่นและหวั่นไหว หัวใจเต้นแรงจนกลัวเขาจะได้ยินเพราะอยู่ใกล้กันเหลือเกิน แม่นมทั้งสองคนมองไปเขินไปเพราะท่าทางของป๊ะเพลิงนั้นนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยเห็นและไม่เคยทำให้ใครมาก่อน ทั้งสองนมปรายตามองหน้ากันเพียงแวบเดียว ก็พยักหน้าตกลงจะออกไปจากห้อง เปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้ชื่นมื่นกันมากกว่านี้ แต่ยังไม่ทันได้ออกตัวเดิน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกก่อนจะมีคนเดินเข้ามา
นมสดกับนมสุกคอแข็งขึ้นมาทันที แต่ไม่ได้อยู่ในสายตาของคนที่เข้ามา เพราะสายตานั้นมองตรงไปที่เตียง ภาพความใกล้ชิดนั้นบาดตาจนมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันแน่น แต่ริมฝีปากเปิดยิ้มให้ทั้งที่อยากจะกระชากนังพิมพ์ลดาให้ออกไปจากอ้อมแขนคนที่เธอรัก และพอทั้งคู่มองมา เธอก็บอกว่า
“เดือนมาเยี่ยมพิมพ์ลดา แต่ข้างนอกไม่มีใคร ก็เลยเดินเข้ามา”
“ไม่มีมารยาทและไร้ซึ่งสามัญสำนึกที่สุด” นมสดต่อว่าออกมา “เมื่อมาแล้วไม่เจอใครหล่อนก็ควรกลับไป ไม่ใช่เที่ยวซอกแซกแล้วเปิดประตูเข้ามาอย่างนี้”
“ใช่ เรือนเชิงผาไม่ใช่ที่ๆหล่อนจะเข้านอกออกในได้ตามใจเหมือนเรือนตัวเอง ที่สำคัญห้องนี้เป็นห้องนอนของป๊ะเพลิงกับนายหญิง ซึ่งหล่อนไม่ควรที่จะเข้ามาเป็นอันขาด”
เดือนประดับไม่สนใจคำพูดของสองนม แต่ความเกลียดชังทับทวีคูณอยู่ในใจ ถึงขั้นแช่งชักหักกระดูกกันเลย แล้วเดินไปหาเพลิง ยิ้มหวานให้เขาแต่สายตาชิงชังให้พิมพ์ลดา “ขอโทษนะคะเพลิง เราสนิทกันจนเดือนคิดน้อยไปหน่อย คงไม่ว่าใช่ไหมคะ”
ไม่มีเสียงตอบจากเขา เธอก็คิดเองเออเองว่าใช่ จึงยิ้มเยาะผ่านสายตาให้พิมพ์ลดาเห็น ก่อนจะถามทั้งที่ไม่อยากจะเอ่ยออกไปให้เป็นเสนียด “ฉันได้ข่าวตอนที่คนไปค้นเรือน จะมาเยี่ยมทันทีก็คงไม่สะดวก จึงมาตอนนี้ เป็นยังไงบ้างละ ดีขึ้นหรือยัง”
“ดีแล้ว ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะคนที่อยู่มาก่อนต้องมาดูคนที่เพิ่งมาทีหลังเป็นธรรมดา” แต่อุ้ย...” เสียงดังที่คนฟังรู้ว่าดัดจริตออกมา “ตายแล้ว หัวแตกด้วยเหรอ” เธอทำเหมือนเพิ่งเห็นทั้งที่เห็นตั้งแต่ตอนแรกที่มองมาแล้วและคิดว่าทำไมไม่สลบหรือตายไปเสียเลย แล้วเอ่ยด้วยปากปราศรัยแต่น้ำใจเชือดคออีกว่า “คงไม่กระทบกระเทือนอะไร ใช่ไหม”
“เธอหมายถึงอะไรละ” พิมพ์ลดาถามกลับ เพราะเดือนประดับเคยสงสัยความทรงจำของเธอ คำถามนี้จึงต้องมีบางอย่างแอบแฝงแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อมีเสียงตอบออกมาว่า
“ก็อย่างเช่น สมอง ความทรงจำ”
พิมพ์ลดาปรายตามองหน้าคมที่นิ่งเฉย แล้วบอกว่า “ไม่หรอก เพราะความทรงจำฉันยังดี ยังจำทุกสิ่งทุกอย่างได้แม่น โดยเฉพาะใครดีใครชั่ว ใครหน้าเนื้อใจเสือ ใครปากหวานก้นเปรี้ยว ใครปากอย่างใจอย่าง ฉันจำได้ไม่เคยลืม และใครจะมาอยู่ก่อนหรือมาทีหลัง ก็ไม่น่าสนใจเท่ากับใครสำคัญมากกว่ากัน”
แววตาของเดือนประดับวาววับที่ถูกย้อนกลับ แล้วเยาะหยันออกมา “งั้นเหรอ แต่น่าเสียดายที่เธอจำคนร้ายไม่ได้ คนอื่นเลยต้องมาเดือนร้อนกันไปหมด กี่ครั้งแล้วนะที่เป็นอย่างนี้”
ท้ายเสียงนั้นพิมพ์ลดาฟังเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเหยียบย้ำเธอ แม้จะจำเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่ความเกลียดชังที่เผชิญมา กับการที่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกมาหมาดๆ ก็บอกเธอได้ว่าต้องมีความจริงอยู่บ้าง จึงเงียบงันไป และนั่นทำให้เดือนประดับสะใจเป็นที่สุด
“พิมพ์อยากพักแล้วค่ะ” เธอหันมาบอกกับเพลิง แต่คนที่รอจังหวะจะเหยียบอยู่ แสร้งพูดออกมาราวกับสงสารเหลือเกิน
“โฮะ เจ็บเลยเหรอจ๊ะ ขอโทษนะ ฉันรบกวนมากเกินไปละซิ”
“ไม่หรอก แต่ไม่อยากฟังอะไรที่มันไร้สาระแค่นั้นเอง” เธอบอกแล้วขยับตัวจะนอน แต่เสียงเพลิงหยุดเธอไว้
“ทานข้าวต้มก่อน”
“งั้นขอทานข้างนอกได้ไหมคะ ข้างในอุดอู้จัง”
ไม่มีเสียงตอบจากเพลิง เขาวางผ้าในมือไว้บนโต๊ะ แล้วช้อนตัวเธอขึ้นอุ้ม พิมพ์ลดายกมือขึ้นกอดคอเขาเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่เป็นภาพที่บาดใจเดือนประดับยิ่งนักเพราะคิดว่ามันออเซาะคนที่เธอรัก แม่นมทั้งสองมองหน้ากันด้วยความชอบใจ ก่อนจะหันมายิ้มเย้ยนังเดือนหงายเงิบ แล้วนมสดก็รีบไปยกถ้วยข้าวต้มกับแก้วน้ำเดินตามไปป๊ะเพลิงที่อุ้มหนูพิมพ์ออกไปจากห้องพร้อมนมสุก
เดือนประดับมองตามหลังอีแก่สองคนไปด้วยความชิงชัง พลางกำมือกดอารมณ์ภายนอกให้เยือกเย็นแต่ภายในใจเหมือนมีไฟมาสุ่มไว้เต็มทรวง มันปวดร้าวจนแทบจะลงไปเกลือกกลิ้ง ที่สุดท้ายแล้วมันเหมือนตบหน้าเธออย่างแรง เธออยากจะกรี๊ด อยากจะพังทุกอย่างให้หายแค้น แต่ทำไม่ได้ ที่ทำได้คือเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินตามออกไปเท่านั้น
เพลิงวางร่างอรชรไว้บนเก้าอี้ตัวยาวตรงระเบียง แล้วนั่งลงข้างๆ ก่อนจะหันไปรับถ้วยข้าวต้มจากมือนมสด แต่ไม่ยอมส่งให้พิมพ์ลดาที่ยกมือขึ้นมารับ “ฉันถือให้”
พิมพ์ลดาจึงหยิบช้อนขึ้นคนข้าวต้ม แต่ยังไม่ตักกิน ช้อนสายตาขึ้นมองหน้าคม แล้วถามว่า “ทานด้วยกันไหมคะ”
“จะป้อนฉันเหรอ”
รอยแดงจุดขึ้นกลางนวลแก้ม แล้วข้าวต้มในช้อนก็ยกขึ้นมารอตรงปากเพลิง เขาหลุบตามองเพียงนิด ก็อ้าปากรับ พิมพ์ลดาข่มความเขินไว้แล้วใช้ช้อนคันเดียวกันตักข้าวต้มกิน สลับกับตักป้อนเขา แล้วยิ่งเขินหนักเมื่อปลายนิ้วเขาเช็ดมุมปากที่เปื้อนนิดๆให้เธออย่างอ่อนโยน
เดือนประดับเดินออกมาทันเห็นภาพที่บาดลึกลงไปสุดหัวใจ นัยน์ตาเธอกระด้างขึ้นจนสติจวนเจียนจะขาด ถ้าไม่จิกปลายเท้ากับพื้นคงเข้าไปด่าทอตบตีนังมารหัวใจให้แหลกคามือ แต่ถ้าทำอย่างนั้นเธอก็จะกลายเป็นฝ่ายแพ้ แต่อย่าหวังว่าเธอจะเจ็บคนเดียว จึงปั้นหน้าเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม แล้วสั่งสองนมโดยไม่เจาะจงใคร
“ขอข้าวต้มถ้วยหนึ่ง ฉันจะทานด้วย”
“หมดแล้ว” นมสุกบอกทันควัน
“ก็ทำขึ้นมาใหม่ซิ”
นมสุกคอแข็งกับเสียงกระด้างที่สั่งออกมา อ้าปากจะตอกกลับ แต่เห็นสายตานมสดที่ห้ามไว้เพราะอยู่ต่อหน้าป๊ะเพลิง แม้จะไม่พูดอะไรออกมาแต่ใช่ว่าเขาจะไม่จดจำ จึงต้องให้ความเกรงใจจึงต้องไปทำมาให้ เดือนประดับแอบเหยียดริมฝีปากออกหยัน แล้วมองศัตรูหัวใจที่ออเซาะคนที่เธอรัก แต่ยิ่งมองยิ่งเจ็บเมื่อเธอเป็นเหมือนหัวหลักหัวตอ คนที่เธอรักก็ไม่แม้จะปรายตามามองหรือให้ความสนใจเธอเลย
มันตอกย้ำเส้นทางของเธอกับเขาว่าไม่มีทางที่จะมาบรรจบ ยังคงเส้นคงวาที่จะขนานกันไปเรื่อยๆ ‘ไม่มีทาง เธอไม่ยอม’ เสียงเธอดังก้องอยู่ในใจ ‘ถ้าไม่มีนังพิมพ์ลดา สุดปลายทางที่ขนานกันไป สักวันเธอกับเขาต้องบรรจบกันแน่นอน’ มือที่วางอยู่บนตักจิกขาตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ลุกขึ้นอาละวาด และเมื่อไม่อาจจะทนได้ เธอก็ลุกขึ้น แต่เพื่อไม่ให้ถูกหัวเราะเยาะมากไปกว่านี้ ก็บอกว่า
“เดือนไม่ทานแล้วดีกว่า มีเรื่องต้องรีบไปทำ แต่...” เธอขยับไปใกล้เพลิง ก้มหน้าลงไปใกล้หน้าเขาแต่สายตาอาฆาตพิมพ์ลดา “เราสองคนไม่ได้ทานข้าวด้วยกันนานแล้ว แวะไปทานที่เรือนเดือนอีกนะคะ” เธอยิ้มหวานให้ แล้วยืดตัว เชิดหน้าขึ้น เดินออกมา ผ่านนมสุกที่ถือถ้วยข้าวต้มมาให้ ก็กระแทกไหล่จนข้าวต้มร้อนๆกระฉอกโดนมือจนเกือบร่วง
นมสุกแทบจะปาถ้วยข้าวต้มใส่ แต่ต้องอดทนไว้เพราะไม่อยากเอามือไปถูกระเบื้องหยาบๆให้เสียเวลา แล้วเดินไปหานมสด ที่มองพิมพ์ลดาอยู่ สายตาบอกความห่วงใย เพราะความสุขบนหน้าเธอที่ได้เห็นก่อนหน้าจางหายไปจนแทบจะไม่เหลือ เลย
ลมหายใจยาวๆถูกถอดถอนออกมาพลางโกรธเคืองนังเดือนหงายเงิบที่มาสุ่มไฟลงในใจของเธอ และเมื่อไม่อาจจะพูดหรือทำอะไรได้อีก ทั้งสองนมก็พากันเดินไปที่ห้องครัว ปล่อยให้สองคนที่ทั้งสองรักได้ดูแลซึ่งกันและกัน แต่กลายเป็นว่าพิมพ์ลดาวางช้อนลงทันทีพร้อมกับบอกว่า
“พิมพ์อิ่ม อยากพักแล้วค่ะ”
เพลิงวางถ้วยข้าวต้มลงข้างตัว พลางมองใบหน้าที่นิ่งเฉย เพราะอะไรนั้นใช่ว่าเขาไม่รู้ แต่ไม่พูดออกมาเมื่อมีบางอย่างที่อยากรู้มากกว่าที่ได้เห็น “คิดจะยั่วฉันเหรอ”
“คะ” เธอทำหน้างง ก่อนจะเข้าใจเมื่อเห็นเขามองถ้วยข้าวต้ม ก็บอกว่า “เปล่าค่ะ พิมพ์จะทำอย่างนั้นทำไม”
“งั้นที่ทำ เพราะอะไร”
‘เพราะหัวใจบอกให้ทำ’ เธออยากบอกเขาไปอย่างนั้น แต่ไม่พูดออกไปเพราะไม่อยากรู้สึกไม่ดีไปกว่าที่เป็นอยู่ ยิ่งเห็นสิ่งที่เดือนประดับแสดงออกมา แล้วเขาไม่พูดอะไร ซ้ำยังถามราวกับจะจับผิดเธอ ความข่มขื่นก็เกิดขึ้นในใจ “แค่ขอบคุณที่ดูแลค่ะ ไม่ได้คิดอย่างที่คุณว่าสักนิด” ความจริงจังฝังอยู่ในน้ำเสียง ก่อนจะหยันออกมา “แต่คุณคงไม่เชื่อและคงมองว่าเป็นมารยาอย่างที่ว่าพิมพ์บ่อยๆ” บอกแล้วเธอก็ลุกขึ้น แต่ยังเดินออกไปไม่ได้ เพราะเพลิงยังยืนปักหลักอยู่
“ไหนบอกว่าเข้าใจ แล้วทำไมยังประชดประชัน”
“ไหนบอกว่าเข้าใจ แล้วทำไมคำพูดกับการกระทำถึงต่างกันละคะ”
“อยากให้เหมือนกันเหรอ”
“อยากให้ปากกับใจตรงกันมากกว่า”
“ฉันหรือเธอ หรือเป็นเราทั้งสองคน”
“แล้วใจคุณบอกว่าไงคะ”
“อย่าเอาการกระทำของคนอื่นมาคิดหรือตัดสินใจแทนฉัน”
พิมพ์ลดานิ่งไปเพราะไม่แน่ใจในความหมาย แต่อบอุ่นไปทั้งหัวใจ แล้วกัดริมฝีปากไว้ไม่ให้เผลอยิ้มออกมา ก่อนจะบอกว่า “ขอตัวนะคะ” ว่าแล้วก็จะเดินไป แต่... “อุ้ย” เสียงเธอดังออกมาเพราะถูกอุ้มโดยไม่ทันตั้งตัว พลางมองหน้าคนอุ้มที่ออกเดินตรงไปที่ห้องนอน “ปล่อยค่ะ พิมพ์เดินไปเองได้”
“ฉันรู้ แต่ที่อุ้ม จะพาไปเช็ดตัวต่อ”
ดวงตากลมโตเปิดกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะละล่ำละลักออกมา “ไม่นะคะ ไม่เช็ดแล้ว” เธอบอกขณะใจเต้นระทึกแต่เพลิงยังไม่หยุดเดิน มิหนำซ้ำยังเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้อง ตรงไปที่เตียง วางตัวเธอให้นั่งบนที่นอนแต่ยังไม่ถอยออกไป สองมือยังกักตัวเธอไว้ในอ้อมแขน ขณะที่สายตาก็มองเสียจนเธอไม่กล้าสบตา
“ทำไม กลัวอะไร”
ดวงตาเธอตวัดมาค้อนที่เขาเสแสร้งแกล้งไม่รู้ เพลิงจึงแกล้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าจนปลายจมูกเกือบจะแตะแก้มนวลอยู่แล้วๆถามย้ำออกมา “ว่าไง กลัวอะไร”
“คุณไง” เสียงหวานดังงุบงิบออกมา
“งั้นเปลี่ยนใหม่นะพิมพ์ มองฉันใหม่ แล้วเปลี่ยนฉันจากน่ากลัว เป็น...” ปลายเสียงที่ทอดนุ่มนั้นทำให้เธอมองเข้าไปในแววตาที่ดึงดูดเธอให้เข้าไปค้นหาคำตอบ แล้วแก้มก็ระเรื่อขึ้นมา เมื่อเขาบอกว่า “น่ารัก”
พิมพ์ลดาไม่อาจจะข่มความหวั่นไหวได้อีกแล้ว ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มออกมา เพลิงหลุบตามองเรียวปากอิ่มที่เหมือนยั่วยวนเขา แล้วก้มหน้าลงมา แต่... “พิมพ์อยากพักแล้วค่ะ”
เสียงหวานหยุดเขาไว้ แต่แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เพลิงก็ฝากจูบหวานๆไว้ให้เธอคิดถึง แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป พิมพ์ลดายิ้มด้วยหัวใจที่เป็นสุข ความเกลียดชังที่คั่นกลางระหว่างเธอกับเขา ถูกลืมเลือนไปเหมือนกับว่ามันจะไม่เกิดขึ้นแล้ว แต่ความเป็นจริงมันยังมีอยู่ และอยู่ที่ว่าใครจะเป็นคนก่อขึ้นมาเท่านั้นเอง
**********
‘ความเกลียดชัง’ คำๆนี้ก็ดังก้องอยู่ในใจของหญิงสาวอีกคนเหมือนกัน และไม่มีวันจะเลือนหายไปหากคนที่ก่อให้เกิดคำๆนี้มาไม่ตายจากไป ไอ้ชาติเปิดประตูห้องพักออกมาเพื่อไปทำงาน แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นคนมายืนอยู่หน้าห้องพัก มันรีบดึงตัวให้เข้าไปในห้องทันที พอปิดประตูเรียบร้อยก็หันมาชักสีหน้าบอกความไม่พอใจให้เห็นทันที
“มาทำบ้าอะไรตรงนี้ อันตรายไม่ใช่เหรอ ถ้าใครเห็นเข้าจะทำไง ก็รู้อยู่ว่าเพิ่งมีเรื่องเกิดขึ้น ทุกคนถูกจับตามองอยู่ แต่นี่ไร้สติหรือไง ถึงมาหาฉันที่นี่”
“ฉันไม่สน” เดือนประดับบอกพลางสะบัดแขนออกจากมือมัน “ที่ฉันต้องการคือไปบอกนายพลของแกให้รู้ ว่าฉันตกลง”
อาการไม่พอใจแทบจะหายไปจากหน้าไอ้ชาติทันที แล้วหัวเราะอยู่ในใจ ที่ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง “แน่ใจเหรอ” เดือนประดับไม่ตอบคำถามนี้ แต่บอกความต้องการของตัวเองออกไป
“ฉันต้องการเหยียบมันให้เร็วที่สุด”
ไอ้ชาติรู้ได้ทันทีว่าเธอหมายถึงใคร “ได้ ฉันจะรีบจัดการให้ รับรองว่าเธอจะไม่ผิดหวัง”
แววตาของเดือนประดับวาวขึ้นอย่างพอใจ แต่ยังไม่ใช่ที่สุด “โทรซิ ฉันต้องการรู้ผลเดี๋ยวนี้ และถ้าเป็นไปได้ ขอให้มาวันนี้เลยยิ่งดี”
“เธอนี่ใจเย็นไม่ลงเลยจริงๆ” มันว่าแล้วเอาใจเธอด้วยการเดินไปหยิบโทรศัพท์ กดโทรออกพร้อมความเจ้าเล่ห์ที่วาวขึ้นบนดวงตาโดยที่เดือนประดับไม่เห็น แล้วหันหน้ามาพลางพูดให้ได้ยิน “ครับท่าน ข่าวดีครับ เธอตกลงแล้วครับ ครับ” เสียงมันรับคำพร้อมกับเดินมายืนตรงหน้าเดือนประดับ ยกมือขึ้นลูบแก้มเธอไปพูดกับท่านของมันไป “ใช่ครับ”
เสียงมันดังต่อเนื่องเหมือนกับมือที่เลื่อนลงมาไล้แผ่วอยู่ที่ต้นคอเดือนประดับ ที่มันแน่ใจว่านาทีนี้เธอจะไม่ขัดใจมันเด็ดขาด เพราะใจเธอมีความแค้นบดบังไว้หมดแล้ว ซึ่งก็เป็นอย่างที่มันคิดจริงๆ เดือนประดับไม่สนใจว่าปลายนิ้วมือมันว่าจะลูบไล้ตัวเธอไปถึงไหน เพราะสิ่งเดียวที่เธอต้องการตอนนี้คือดับความร้อนรุ่มในใจให้หายไปเท่านั้น
“ครับ ได้ครับ”
ไอ้ชาติตัดสัญญาณ แล้วยื่นหน้ามาจะจูบเดือนประดับ แต่ต้องชะงักเพราะแววตาที่ไร้แววอภิรมย์กับมัน มิหนำซ้ำยังปัดมือมันที่อยู่ที่หน้าอกเธอออก น้ำเสียงก็เฉยชาไม่ต่างกัน “แกบอกว่าอันตรายไม่ใช่เหรอ”
“ห้องออกจะมิดชิดใครจะเห็น ที่สำคัญที่ๆอันตรายมักจะปลอดภัยที่สุด ไม่มีใครเห็นหรอก และไม่อยากปลดปล่อยอารมณ์ที่มันกดดันออกมาบ้างเหรอ”
“อยาก แต่เป็นอารมณ์อยากที่ฉันต้องการไม่ใช่ที่แกต้องการ แล้วท่านว่าไง”
“ยื่นหมูยื่นแมวเป็นไง”
เดือนประดับเหยียดมันด้วยสายตา แล้วบอกว่า “ฉันไม่ใช่หมู อย่าคิดจะมาเชือดกันตอนนี้ แต่ถ้าแกอยากจะเชือดจริงๆ นังพิมพ์ลดานั่นไง ฉันยกให้ รีบทำงานให้เสร็จและถ้าสำเร็จแกอาจจะได้บางสิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้ เพราะฉันก็มีทุกอย่างที่คนที่แกภักดีอยู่ มีเช่นกัน”
“อะไร”
“นั่นนะซิ แกออกจะฉลาด น่าจะคิดได้นะ ว่าคนที่อยู่ไกลแกกับคนที่อยู่ใกล้แก ใครที่จะให้หรือมีผลประโยชน์กับแกมากกว่ากัน”
ไอ้ชาตินิ่งขณะสมองคิด สายตามองใบหน้างามที่ดูเลือดเย็นแล้วรู้สึกกลัว แต่สันดานที่ทะเยอทะยานกลบไว้ไม่แสดงออกมาให้รู้ นอกจากจะหยั่งเชิงออกไป “ทุกอย่างเลยเหรอ”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผลงานแกดีแค่ไหน ถ้าแค่ที่ผ่านๆมา แกก็คงเป็นได้แค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น แต่ถ้ามันดีขึ้นมา ทุกอย่างก็จะดีขึ้นตามที่แกต้องการ”
“จะหลอกใช้กันหรือไง”
“อย่าพูดอย่างนั้นซิ” เดือนประดับยิ้มเยือน แล้วยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วลูบไล้ปลายคางของมัน ก่อนจะหยุดค้างไว้ที่ริมฝีปาก “ก็รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว จะมาสาวไส้ให้กากินกันอีกทำไม พูดมาเลยดีกว่าว่าจะตกลงหรือไม่ตกลง”
“ตกลงซิ” ไอ้ชาติบอกโดยไม่ต้องคิด พลางยกมือขึ้นจับมือที่แสนนุ่มของเธอแต่ซ่อนความร้ายกาจ มามอง “เธอกับฉันมันมาไกลเกินกว่าจะกลับหลังหันแล้ว นอกจากจะเดินหน้าต่อไปทำให้ทุกอย่างสำเร็จเท่านั้น แต่อย่าลืมสิ่งที่พูดไว้ก็แล้วกัน เพราะถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่พูด...” มันยิ้มเย็นให้เธอก่อนบอกว่า “ฉันจะเป็นคนสาวไส้เธอออกมาเอง”
“จะไม่มีวันนั้นอยู่แล้ว” เธอบอกแล้วขอบใจมันด้วยจูบหวานๆ พอถอนริมฝีปากออกมาก็บอกว่า “รีบเลยนะ ส่วนเรื่องไอ้นายพลนั้น ยืดหยุ่นออกไปก่อนและถ้างานเราสำเร็จ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งมันอีกต่อไป”
“เก็บเขาไว้ก่อน”
“จะเก็บไว้ทำไม”
“แพะรับบาป”
เดือนประดับนิ่งไปนิด แต่เมื่อเข้าใจก็ยิ้มอย่างสาแก่ใจ “นั่นซินะ เพราะตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในหุบเขาพญา ก็ก็มีมันเท่านั้นที่จะรับไป แกฉลาดมาก” เธอชมไอ้ชาติ ซึ่งพอเห็นเธออ่อนลงมากก็ยื่นหน้าจะชื่นใจ แต่เดือนประดับยังไม่มีอารมณ์ แล้วจะเดินจากไป แต่มันไม่ยอมให้เธอจากไปง่ายๆเหมือนตอนที่มาหามัน หมุนตัวมาขวางไว้พร้อมคำถามที่ดังออกมา
“ไม่คิดจะบอกเหตุผลที่ทำไปทั้งหมดกับฉันหน่อยเลย”
“ก็ไม่มีอะไร” เธอบอก “ง่ายๆเลยนะ แค่เจ็บแล้วต้องจำและทำให้คนที่ไม่เห็นค่าในตัวฉัน ซ้ำยังทำให้ฉันเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องเป็นฝ่ายเจ็บบ้างเท่านั้นเอง”
พูดจบไอ้ชาติก็หลีกทางให้เธอเดินออกไปจากห้องมัน แต่ใจคนนั้นมันยากแท้หยั่งถึง นาทีนี้พูดอย่างนี้แต่อีกนาทีกลับพูดอีกอย่าง อย่างที่คำกลอนที่สอนไว้ว่าอย่าไว้ใจมนุษย์เพราะแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
กลับมาถึงโรงแรม หินก็ถอดเสื้อสูท รูดเนคไทออกจากคอ เหวี่ยงไปวางแหมะอยู่บนโซฟา ปลดกระดุมเสื้อลงมาสองสามเม็ด ก่อนจะพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นถึงข้อศอกพร้อมกับเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำเย็นๆมาดื่มให้ชื่นใจแล้วเดินกลับมานั่งบนโซฟา พาดคอกับขอบพนักพลางคิดถึงไอ้พวกนายพลชั่ว ป่านนี้คงนั่งหัวเราะไอ้ไก่อ่อนอย่างเขา ที่อยู่ดีๆ ก็วิ่งทะเลอทะล่าเข้าไปอยู่ในเล้าของมัน แต่อย่าหวังว่ามันจะจับเขาเชือดเพราะเขานี่แหละจะเชือดมัน
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นหยุดความคิดเขาไว้ พลางเอียงหน้าไปมองประตูห้องอย่างสงสัยว่าใครมาเคาะ เพราะเขาไม่ได้นัดกับใครหรือสั่งข้อความใดกับคนดูแลห้องนี้ไว้ แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเพราะมั่นใจว่าจะรับมือกับใครก็ตามที่มาหาเขาได้ แล้วสีหน้าก็กระด้างขึ้น เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่
สาวสวยในชุดสีดำรัดรูปสั้นเต่อโชว์ร่องอก แต่งหน้าจัดปัดแก้มสีแดง ปากแดงเปิดยิ้มให้เขา ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้อย่างอ่อนช้อยพร้อมแนะนำตัวเองอย่างอ่อนหวาน “เชอรี่ค่ะ” ปากก็ว่าสายตาก็เชิญชวนเพราะชายหนุ่มตรงหน้านั้นตรงสเปกเหลือเกิน หน้าตาหล่อเข้ม กล้ามเป็นมัดชวนให้อยากจับอยากกอด จึงยั่วยวนด้วยอกอวบๆของตัวเองเพื่อให้หลงใหล แต่หินมองอย่างเฉยเมย
“มีอะไร” เขาถามเสียงเย็น
“ไม่มีหรอกค่ะ แค่คิดว่าคุณคงเหงา จึงอยากช่วยทำให้คลายเหงาเท่านั้น”
“ฉันช่วยตัวเองได้”
“อุ๊ย แบบนั้นมันจะถึงใจถึงอารมณ์ได้ไงคะ” เธอว่าแล้วใช้ปลายนิ้วลูบแขนแกร่งก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมอง “ให้เชอร์รี่เข้าไปข้างในเถอะค่ะ แล้วเชอร์รี่จะทำให้คุณเอง”
หินหรุบตามองปลายนิ้วที่ลูบบนแขนเขา แล้วยกมือขึ้นจับ สาวสวยยิ้มกว้างขึ้นเพราะคิดว่าเขาจะพาเข้าข้างใน แต่... ใบหน้างามบิดเบ้เพราะนิ้วที่ถูกบีบจนเจ็บ ร้องโอดโอยออกมาและขอให้ปล่อย แต่ดูคนบีบจะไม่ปราณีแถมยังกร้าวใส่ “เธอเป็นใคร มาหาฉันได้ยังไง”
“เป็น เป็นใคร อะไรคะ เชอร์รี่ไม่ ไม่เข้าใจ” เสียงตะกุกตะกักเพราะเจ็บ “ปล่อย ปล่อยเชอร์รี่เถอะ” เธออ้อนวอนแต่ดูจะไม่ได้ผล เมื่อไม่ใช่คำตอบที่คนบีบต้องการ แรงบีบเพิ่มมากขึ้นจนเธอสุดจะทน “ถ้าท่านทราบว่าดอกไม้ของท่านไม่ถูกใจคุณ ท่านคงเสียใจ”
แววตาของหินยิ่งกระด้างขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่าเธอคือผู้หญิงที่ไอ้นายพลชั่วส่งมา และไม่แปลกที่มันจะทำ เพราะคนเลวๆอย่างมันทำได้ทุกอย่างที่ต้องการนั่นแหละ แต่ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเชือดมัน จึงต้องรอมชอมอะลุ่มอล่วยกับน้ำใจของมันไปก่อน เขาปล่อยมือจากนิ้วเธอพร้อมกับบอกว่า
“กลับไปบอกท่านของเธอว่าฉันขอบใจ แต่ฉันบอกไปแล้วว่าไม่ชอบดอกไม้พลาสติก”
หญิงสาวข่มความเจ็บไว้ดึงจริตออกมาใช้เพื่อเงินที่ได้มาว่า “ของเชอรี่เป็นของแท้แม่ให้มาค่ะไม่มีสิ่งใดปลอมปนมาเลย”
“แต่คงเหม็นเน่า ไม่น่าอภิรมย์แล้วละ”
“ว้ายแอบแรงนะคะ แต่ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอคะ”
“แค่เร่มาหาฉันถึงบนนี้ได้ ไม่ต้องลองก็รู้แล้ว”
“แหม พูดเสียเชอรี่เสียหายหมดเลย” เธอแสร้งรำพันออกมา ทั้งๆที่ความจริงแล้วด้วยอาชีพอย่างเธอ คำพูดพวกนี้ไม่ระคายผิวหน้าสักนิด เพราะมากกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้วทั้งสิ้น “ให้เชอรี่เข้าไปปรนนิบัตินะคะ รับรองว่าจะติดใจจนลืมไม่เชอรี่ไม่ลง”
“กลับไปเสีย”
“เปลี่ยนจากลับเป็นเข้าไปแทนได้ไหมคะ” ไม่พูดเปล่าเธอยังใจกล้าขยับเข้ามาใกล้แล้วอีก ยืดหน้าขึ้นไปหอมแก้ม และจับมือเขามาวางบนทรวงอก ยิ่งเขาไม่พูดเธอก็ยิ่งได้ใจ ‘ผู้ชายก็แค่นี้ ไอ้ที่ทำเป็นไม่สนใจ พอได้จับได้กอด ก็แข็งขึ้นมาเหมือนกันหมด’ เธอคิดพลางเลื่อนริมฝีปากมาจะจูบเขา แต่...
“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ”
“กลัวจะอดใจไม่ไหวเหรอคะ”
“ฉันกลัวเธอจะหน้าแหกมากกว่า”
สิ้นเสียงพูดใบหน้ายั่วยวนซีดเผือดเพราะคมมีดเย็นๆแนบลงบนแก้ม ไม่แค่นั้นตัวเธอยังผงะถอยห่างอย่างรวดเร็ว แล้วหมุนตัวเดินเกือบวิ่งจากไปโดยที่หินไม่ต้องพูดอะไรอีก เขาเหยียดมุมปากออกหยัน ปิดประตูลงล็อกเรียบร้อยแล้วก็ปามีดไปปักที่เป้าบนผนัง เดินไปที่ห้องนอนตรงไปที่ห้องน้ำเข้าไปอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาล้มตัวลงนอนบนเตียงหลับไป โดยไม่สนใจว่าผลการกระทำในคืนนี้จะทำให้ไอ้นายพลชั่วนั้นไม่พอใจแค่ไหน
************
ย่ำรุ่งในหุบเขาพญา หญิงสาวที่หลับใหลอยู่ในห้องนอนบนเรือนเชิงผา เริ่มรู้สึกตัวแต่ยังไม่ลืมตาขึ้นมา อย่างแรกที่รับรู้คืออาการปวดร้าวที่ศีรษะ ตามมาด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ ภาพที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจนมาเจอกับเขา คนที่เธอเรียกหาอยู่ในใจ ความหวาดกลัวที่ยังกัดกินใจทำให้มือกำเข้าหากัน จึงได้รู้ว่ามือข้างหนึ่งอยู่ในกำมือของใครบางคน ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาพลางภาวนาขอให้เป็นคนเธอที่เรียกหาอยู่ แล้วก็เป็นเขาจริงๆ
‘เพลิง’
แววตาเธอเต็มตื้นไปด้วยความดีใจ พร้อมๆกับดวงตาคมที่ลืมตื่นขึ้นมาเพราะแรงกระชับที่มือและทันได้เห็นความรู้สึกของเธอ นัยน์ตาเขาเหมือนจะยิ้มให้ แล้วก้มหน้าลงไปใกล้ จนพิมพ์ลดารู้สึกขัดเขินแล้วขยับตัวเพื่อลุกขึ้นนั่ง แต่อาการปวดร้าวไม่อาจทำได้ดังใจ
“จะไปไหน”
“เข้าห้องน้ำค่ะ”
บอกแล้วก็ข่มความเจ็บจะลุกขึ้น แต่ต้องร้องอุ้ยออกมา เมื่อแขนเขาช้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้มพาไปที่ห้องน้ำทันที เพลิงปล่อยให้เธอได้ทำธุระส่วนตัว ส่วนตัวเขาก็ออกไปจัดการตัวเอง ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเขาก็กลับมาอุ้มเธอไปวางบนเตียง ให้นั่งพิงหัวเตียงพร้อมหยิบหมอนมารองหลังให้เรียบร้อย มองหน้าเธอเพียงอึดใจก็บอกว่า
“หัวแตก มีรอยฟกช้ำที่แขนขาอีกนิดหน่อย ไม่กี่วันหาย”
“ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณยุ่งยาก”
“ไม่เป็นไร” เขาบอกพลางยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วแตะผ้าพันแผลแล้วเลื่อนลงมาแตะรอยช้ำที่แขนพร้อมกับถามว่า “เจ็บหรือเปล่า”
“เจ็บค่ะ”
หน้าคมเครียดขึ้นเล็กน้อย แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นๆก็เป่ารดหน้าผากมน พิมพ์ลดารู้สึกดีไปทั้งตัวและหัวใจ คิดไม่ถึงว่าคนที่เกลียดชังเธอ มองเธอเป็นเพียงเมียมารยา เมียที่เขาไม่ต้องการ จะอ่อนโยนได้ถึงขนาดนี้ “เจ็บอีกไหม” เสียงเขาทุ่มนุ่มกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน สายตาที่มองก็ไม่ต่างกัน แก้มเธอจึงระเรื่อขึ้นด้วยความรู้สึกหวั่นไหว เสียงตอบก็ดังแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
“ไม่ใช่ยาเสียหน่อย จะหายได้ยังไงคะ”
“แล้วดีขึ้นหรือเปล่า”
เธอพยักหน้าก่อนจะบอกว่า “ขอบคุณค่ะ”
“เข้าใจฉันใช่ไหม”
“คะ” เธอทำหน้างงกับคำถามของเขา ที่จู่ๆก็พูดออกมา แล้วจะให้เข้าใจเรื่องอะไร เรื่องที่ทำกับเธองั้นเหรอ ก็มีมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่เขาเกลียดเธอโดยไม่รู้สาเหตุ แต่ตอนนี้คงจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกจากเรื่องที่เขาจับเธอขังคุก “แล้ว คุณเข้าใจฉันหรือเปล่า”
“เรื่องอะไร”
“อย่าเกเรซิค่ะ” เธอพ้อเมื่อเขาตอบไม่ตรงคำถาม แต่สีหน้าเพลิงยังนิ่งทั้งที่ชอบเสียงน่ารักของเธอที่ใช้พูดกับเขาเหลือเกิน
“ฉันเป็นบ่อยเหรอ”
“ไม่บ่อยหรอกค่ะ แต่เยอะ”
“แล้วแบบนี้เยอะหรือเปล่า” พูดจบริมฝีปากเขาก็แนบชิดเรียวปากเธอ ไล่จูบเบาๆก่อนจะถามออกมา “ว่าไง เยอะไหม”
พิมพ์ลดาสุดจะเขิน จะตอบก็กลัวจะเข้าตัว จึงได้แต่นิ่ง แต่แก้มแดงยั่วปลายจมูกเพลิงให้คลอเคลียอยู่ไม่ห่าง ทั้งคู่ไม่รู้ว่าความอ่อนหวานที่เกิดขึ้นไม่ได้มาเพราะอารมณ์ แต่มาจากความรู้สึกในใจที่ต่างก็มีให้กันและกัน
“ไม่ตอบเหรอ”
“ตอบพิมพ์ก่อนซิค่ะ” เธออ้อนโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดชื่อแทนตัวเองกับเขา แต่เพลิงรู้และเก็บคำที่แสนจะไพเราะไว้สุดใจ
“พิมพ์”
“ขา”
ขานรับไปแล้วพิมพ์ลดาก็เหมือนจะรู้ตัวว่าพูดอะไรกับเขาไปบ้าง แก้มเธอแดงขึ้นยิ่งกว่าตำลึงสุก และหลบตาที่มองเหมือนจะทะลุเข้าไปในแววตาเธอ จึงไม่เห็นว่าริมฝีปากเพลิงแย้มยิ้มออกมา ก่อนจะใช้ปลายนิ้วจับปลายคางเธอให้หันมามอง แล้วบอกว่า
“ฉันเข้าใจ ว่าเธอสงสาร แต่เลิกเป็นแม่พระได้แล้ว เพราะทุกสิ่งที่เธอคิด ใช่ไม่ได้กับคนเลวๆพวกนั้น และฉันไม่มีวันยอมที่จะไม่จัดการกับมัน ไม่มีวันปราณีไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม แม้เธอจะไม่เอาโทษมัน แต่คนที่เข้ามาในหุบเขาพญาต้องเป็นไปตามกฎ”
“พิมพ์ไม่รู้กฎของที่นี่ แต่พิมพ์ก็ไม่อยากให้ใครต้องมาทรมานเพราะพิมพ์อีก” เมื่อใช้หัวใจพูดแล้ว เธอก็พูดต่อโดยไม่เคอะเขิน
“มันแค่ทรมาน แต่ถ้าเธอไม่เจอฉันคนทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็นคงเป็นเธอเสียเอง”
พิมพ์ลดานิ่งไป เมื่อมันเป็นความจริงที่เธอไม่อาจพูดหรือค้านอะไรได้อีก และได้เห็นมาแล้วอย่างตอนที่โดนปืนจ่อที่หัว ถ้าเพียงแต่เขาไม่ช่วย เธอก็คงเป็นอย่างที่เขาพูด “แล้ว...”
“มันหนีไปได้” เขาบอกเมื่อคิดว่าเธอหมายถึงไอ้โม่ง “ส่วนที่เธอบอกกับแม่นม ฉันรู้แล้ว”
“พิมพ์ไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”
“แล้ว...”
แววตาเขาถามว่าเรื่องอะไร ริมฝีปากอิ่มจึงเม้มเข้าหากันด้วยความขัดเขิน ก่อนจะพูดออกมา “ที่คุณออกไปตามหาคนร้าย ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
ไม่มีคำตอบจากเพลิง แต่หัวใจเขาเหมือนได้รับแสงอรุณยามเช้า มันสว่างสดใสสวยงามไปหมดทุกอย่าง ความรู้สึกที่เคลือบแคลงสงสัย ว่าทุกสิ่งที่เธอทำมาเป็นดังมารยาที่หลอกเขา รวมถึงความเกลียดชังที่เขาเคยเปรียบเปรยว่าเป็นดังมายาของเธอ จางหายไปจากจิตใจ เพราะมันเทียบไม่ได้กับหัวใจของเธอที่แม้ตัวเจ็บแต่ยังห่วงเขา แล้วหัวใจเขาพร้อมจะเชื่อว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆหรือยัง
เพลิงไม่ตอบตัวเอง แต่การกระทำตอบแทนหัวใจ ริมฝีปากเขาแนบชิดเรียวปากอิ่ม จูบเธออย่างอ่อนโยนอ่อนหวานละมุนสุดใจ แล้วมองนัยน์ตาเธอโดยไม่รู้ว่ามันได้บอกอะไรเธอบ้าง แต่พิมพ์ลดาไม่กล้าตอบตัวเอง เพราะกลัวจะไม่ใช่อย่างที่คิด แต่รู้สึกมีความสุขมากเหลือเกิน
************
แสงตะวันลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาพร้อมๆกับเสียงเคาะประตูดังขึ้น หัวใจของทั้งคู่จึงหยุดไว้แค่นั้น เพลิงตวัดสายตาไปมองประตู ขณะที่พิมพ์ลดาข่มหัวใจที่เต้นแรงให้เป็นปรกติ แต่แก้มยังแดงระเรื่อให้นมสดกับนมสุกที่เปิดประตูเข้ามาได้เห็น แม้จะไม่รู้สาเหตุ แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้ทั้งคู่สุขใจ
ทั้งสองคนเดินเข้ามาพร้อมของในมือ พอเดินมายืนที่ข้างเตียงก็เปิดยิ้มให้คนป่วย ถามไถ่อาการเล็กน้อย นมสดก็บอกว่า “นมเอาข้าวต้มมาให้”
“ส่วนนมจะเช็ดตัวให้”
“ฉันจะทำให้เอง”
“พิมพ์ทำเองดีกว่าค่ะ ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย” เธอบอกเพราะถ้าให้เขาทำนั่นแสดงว่าเธอต้องเปลือยต่อหน้าเขา แต่แทนที่เขาจะฟังกลับถามว่า
“ฉันทำให้แล้วมันเป็นยังไง”
พิมพ์ลดาอยากบอกว่าเธออาย แต่ที่ตอบออกไปคือ “พิมพ์เกรงใจ”
“ฉันเต็มใจ”
“งั้นแค่แขนนะคะ”
“ทั้งตัว”
“ไม่ได้นะคะ” คราวนี้เสียงเธอตกใจขึ้นมาจริงๆ แต่เพลิงทำเหมือนไม่รู้ว่าเธอกลัวอะไร มิหนำซ้ำยังถามให้เธอพูดไม่ออกตอบไม่ได้อีกว่า...
“ทำไม”
คำตอบหยุดอยู่แค่ริมฝีปาก แต่แก้มแดงบอกความอายออกมา นมสุกที่ยืนอยู่ไม่รอฟังอะไรอีกแล้ว รีบเดินไปที่ห้องน้ำ เตรียมผ้าขนหนูมาให้ป๊ะเพลิง ส่วนนมสดก็รีบเอาถ้วยข้าวต้มกับแก้วน้ำไปวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง เรียบร้อยแล้วทั้งสองนมก็พากันเดินไปยืนยิ้มอยู่ที่มุมห้อง จับตามองป๊ะเพลิงที่กำลังจะเช็ดตัวให้หนูพิมพ์...ทั้งตัว
หัวใจของสองนมเฟื่องฟูด้วยความปิติที่ดอกรักเริ่มผลิบานในใจของทั้งคู่แล้ว และหนูพิมพ์ก็ยังพูดชื่อแทนตัวเองกับป๊ะเพลิงด้วย ช่างน่ารักเหลือเกิน
เพลิงหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาซับที่แก้มนุ่มก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะเลื่อนไปที่อีกแก้ม พิมพ์ลดาทั้งอบอุ่นและหวั่นไหว หัวใจเต้นแรงจนกลัวเขาจะได้ยินเพราะอยู่ใกล้กันเหลือเกิน แม่นมทั้งสองคนมองไปเขินไปเพราะท่าทางของป๊ะเพลิงนั้นนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยเห็นและไม่เคยทำให้ใครมาก่อน ทั้งสองนมปรายตามองหน้ากันเพียงแวบเดียว ก็พยักหน้าตกลงจะออกไปจากห้อง เปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้ชื่นมื่นกันมากกว่านี้ แต่ยังไม่ทันได้ออกตัวเดิน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกก่อนจะมีคนเดินเข้ามา
นมสดกับนมสุกคอแข็งขึ้นมาทันที แต่ไม่ได้อยู่ในสายตาของคนที่เข้ามา เพราะสายตานั้นมองตรงไปที่เตียง ภาพความใกล้ชิดนั้นบาดตาจนมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันแน่น แต่ริมฝีปากเปิดยิ้มให้ทั้งที่อยากจะกระชากนังพิมพ์ลดาให้ออกไปจากอ้อมแขนคนที่เธอรัก และพอทั้งคู่มองมา เธอก็บอกว่า
“เดือนมาเยี่ยมพิมพ์ลดา แต่ข้างนอกไม่มีใคร ก็เลยเดินเข้ามา”
“ไม่มีมารยาทและไร้ซึ่งสามัญสำนึกที่สุด” นมสดต่อว่าออกมา “เมื่อมาแล้วไม่เจอใครหล่อนก็ควรกลับไป ไม่ใช่เที่ยวซอกแซกแล้วเปิดประตูเข้ามาอย่างนี้”
“ใช่ เรือนเชิงผาไม่ใช่ที่ๆหล่อนจะเข้านอกออกในได้ตามใจเหมือนเรือนตัวเอง ที่สำคัญห้องนี้เป็นห้องนอนของป๊ะเพลิงกับนายหญิง ซึ่งหล่อนไม่ควรที่จะเข้ามาเป็นอันขาด”
เดือนประดับไม่สนใจคำพูดของสองนม แต่ความเกลียดชังทับทวีคูณอยู่ในใจ ถึงขั้นแช่งชักหักกระดูกกันเลย แล้วเดินไปหาเพลิง ยิ้มหวานให้เขาแต่สายตาชิงชังให้พิมพ์ลดา “ขอโทษนะคะเพลิง เราสนิทกันจนเดือนคิดน้อยไปหน่อย คงไม่ว่าใช่ไหมคะ”
ไม่มีเสียงตอบจากเขา เธอก็คิดเองเออเองว่าใช่ จึงยิ้มเยาะผ่านสายตาให้พิมพ์ลดาเห็น ก่อนจะถามทั้งที่ไม่อยากจะเอ่ยออกไปให้เป็นเสนียด “ฉันได้ข่าวตอนที่คนไปค้นเรือน จะมาเยี่ยมทันทีก็คงไม่สะดวก จึงมาตอนนี้ เป็นยังไงบ้างละ ดีขึ้นหรือยัง”
“ดีแล้ว ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะคนที่อยู่มาก่อนต้องมาดูคนที่เพิ่งมาทีหลังเป็นธรรมดา” แต่อุ้ย...” เสียงดังที่คนฟังรู้ว่าดัดจริตออกมา “ตายแล้ว หัวแตกด้วยเหรอ” เธอทำเหมือนเพิ่งเห็นทั้งที่เห็นตั้งแต่ตอนแรกที่มองมาแล้วและคิดว่าทำไมไม่สลบหรือตายไปเสียเลย แล้วเอ่ยด้วยปากปราศรัยแต่น้ำใจเชือดคออีกว่า “คงไม่กระทบกระเทือนอะไร ใช่ไหม”
“เธอหมายถึงอะไรละ” พิมพ์ลดาถามกลับ เพราะเดือนประดับเคยสงสัยความทรงจำของเธอ คำถามนี้จึงต้องมีบางอย่างแอบแฝงแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อมีเสียงตอบออกมาว่า
“ก็อย่างเช่น สมอง ความทรงจำ”
พิมพ์ลดาปรายตามองหน้าคมที่นิ่งเฉย แล้วบอกว่า “ไม่หรอก เพราะความทรงจำฉันยังดี ยังจำทุกสิ่งทุกอย่างได้แม่น โดยเฉพาะใครดีใครชั่ว ใครหน้าเนื้อใจเสือ ใครปากหวานก้นเปรี้ยว ใครปากอย่างใจอย่าง ฉันจำได้ไม่เคยลืม และใครจะมาอยู่ก่อนหรือมาทีหลัง ก็ไม่น่าสนใจเท่ากับใครสำคัญมากกว่ากัน”
แววตาของเดือนประดับวาววับที่ถูกย้อนกลับ แล้วเยาะหยันออกมา “งั้นเหรอ แต่น่าเสียดายที่เธอจำคนร้ายไม่ได้ คนอื่นเลยต้องมาเดือนร้อนกันไปหมด กี่ครั้งแล้วนะที่เป็นอย่างนี้”
ท้ายเสียงนั้นพิมพ์ลดาฟังเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเหยียบย้ำเธอ แม้จะจำเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่ความเกลียดชังที่เผชิญมา กับการที่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกมาหมาดๆ ก็บอกเธอได้ว่าต้องมีความจริงอยู่บ้าง จึงเงียบงันไป และนั่นทำให้เดือนประดับสะใจเป็นที่สุด
“พิมพ์อยากพักแล้วค่ะ” เธอหันมาบอกกับเพลิง แต่คนที่รอจังหวะจะเหยียบอยู่ แสร้งพูดออกมาราวกับสงสารเหลือเกิน
“โฮะ เจ็บเลยเหรอจ๊ะ ขอโทษนะ ฉันรบกวนมากเกินไปละซิ”
“ไม่หรอก แต่ไม่อยากฟังอะไรที่มันไร้สาระแค่นั้นเอง” เธอบอกแล้วขยับตัวจะนอน แต่เสียงเพลิงหยุดเธอไว้
“ทานข้าวต้มก่อน”
“งั้นขอทานข้างนอกได้ไหมคะ ข้างในอุดอู้จัง”
ไม่มีเสียงตอบจากเพลิง เขาวางผ้าในมือไว้บนโต๊ะ แล้วช้อนตัวเธอขึ้นอุ้ม พิมพ์ลดายกมือขึ้นกอดคอเขาเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่เป็นภาพที่บาดใจเดือนประดับยิ่งนักเพราะคิดว่ามันออเซาะคนที่เธอรัก แม่นมทั้งสองมองหน้ากันด้วยความชอบใจ ก่อนจะหันมายิ้มเย้ยนังเดือนหงายเงิบ แล้วนมสดก็รีบไปยกถ้วยข้าวต้มกับแก้วน้ำเดินตามไปป๊ะเพลิงที่อุ้มหนูพิมพ์ออกไปจากห้องพร้อมนมสุก
เดือนประดับมองตามหลังอีแก่สองคนไปด้วยความชิงชัง พลางกำมือกดอารมณ์ภายนอกให้เยือกเย็นแต่ภายในใจเหมือนมีไฟมาสุ่มไว้เต็มทรวง มันปวดร้าวจนแทบจะลงไปเกลือกกลิ้ง ที่สุดท้ายแล้วมันเหมือนตบหน้าเธออย่างแรง เธออยากจะกรี๊ด อยากจะพังทุกอย่างให้หายแค้น แต่ทำไม่ได้ ที่ทำได้คือเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินตามออกไปเท่านั้น
เพลิงวางร่างอรชรไว้บนเก้าอี้ตัวยาวตรงระเบียง แล้วนั่งลงข้างๆ ก่อนจะหันไปรับถ้วยข้าวต้มจากมือนมสด แต่ไม่ยอมส่งให้พิมพ์ลดาที่ยกมือขึ้นมารับ “ฉันถือให้”
พิมพ์ลดาจึงหยิบช้อนขึ้นคนข้าวต้ม แต่ยังไม่ตักกิน ช้อนสายตาขึ้นมองหน้าคม แล้วถามว่า “ทานด้วยกันไหมคะ”
“จะป้อนฉันเหรอ”
รอยแดงจุดขึ้นกลางนวลแก้ม แล้วข้าวต้มในช้อนก็ยกขึ้นมารอตรงปากเพลิง เขาหลุบตามองเพียงนิด ก็อ้าปากรับ พิมพ์ลดาข่มความเขินไว้แล้วใช้ช้อนคันเดียวกันตักข้าวต้มกิน สลับกับตักป้อนเขา แล้วยิ่งเขินหนักเมื่อปลายนิ้วเขาเช็ดมุมปากที่เปื้อนนิดๆให้เธออย่างอ่อนโยน
เดือนประดับเดินออกมาทันเห็นภาพที่บาดลึกลงไปสุดหัวใจ นัยน์ตาเธอกระด้างขึ้นจนสติจวนเจียนจะขาด ถ้าไม่จิกปลายเท้ากับพื้นคงเข้าไปด่าทอตบตีนังมารหัวใจให้แหลกคามือ แต่ถ้าทำอย่างนั้นเธอก็จะกลายเป็นฝ่ายแพ้ แต่อย่าหวังว่าเธอจะเจ็บคนเดียว จึงปั้นหน้าเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม แล้วสั่งสองนมโดยไม่เจาะจงใคร
“ขอข้าวต้มถ้วยหนึ่ง ฉันจะทานด้วย”
“หมดแล้ว” นมสุกบอกทันควัน
“ก็ทำขึ้นมาใหม่ซิ”
นมสุกคอแข็งกับเสียงกระด้างที่สั่งออกมา อ้าปากจะตอกกลับ แต่เห็นสายตานมสดที่ห้ามไว้เพราะอยู่ต่อหน้าป๊ะเพลิง แม้จะไม่พูดอะไรออกมาแต่ใช่ว่าเขาจะไม่จดจำ จึงต้องให้ความเกรงใจจึงต้องไปทำมาให้ เดือนประดับแอบเหยียดริมฝีปากออกหยัน แล้วมองศัตรูหัวใจที่ออเซาะคนที่เธอรัก แต่ยิ่งมองยิ่งเจ็บเมื่อเธอเป็นเหมือนหัวหลักหัวตอ คนที่เธอรักก็ไม่แม้จะปรายตามามองหรือให้ความสนใจเธอเลย
มันตอกย้ำเส้นทางของเธอกับเขาว่าไม่มีทางที่จะมาบรรจบ ยังคงเส้นคงวาที่จะขนานกันไปเรื่อยๆ ‘ไม่มีทาง เธอไม่ยอม’ เสียงเธอดังก้องอยู่ในใจ ‘ถ้าไม่มีนังพิมพ์ลดา สุดปลายทางที่ขนานกันไป สักวันเธอกับเขาต้องบรรจบกันแน่นอน’ มือที่วางอยู่บนตักจิกขาตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ลุกขึ้นอาละวาด และเมื่อไม่อาจจะทนได้ เธอก็ลุกขึ้น แต่เพื่อไม่ให้ถูกหัวเราะเยาะมากไปกว่านี้ ก็บอกว่า
“เดือนไม่ทานแล้วดีกว่า มีเรื่องต้องรีบไปทำ แต่...” เธอขยับไปใกล้เพลิง ก้มหน้าลงไปใกล้หน้าเขาแต่สายตาอาฆาตพิมพ์ลดา “เราสองคนไม่ได้ทานข้าวด้วยกันนานแล้ว แวะไปทานที่เรือนเดือนอีกนะคะ” เธอยิ้มหวานให้ แล้วยืดตัว เชิดหน้าขึ้น เดินออกมา ผ่านนมสุกที่ถือถ้วยข้าวต้มมาให้ ก็กระแทกไหล่จนข้าวต้มร้อนๆกระฉอกโดนมือจนเกือบร่วง
นมสุกแทบจะปาถ้วยข้าวต้มใส่ แต่ต้องอดทนไว้เพราะไม่อยากเอามือไปถูกระเบื้องหยาบๆให้เสียเวลา แล้วเดินไปหานมสด ที่มองพิมพ์ลดาอยู่ สายตาบอกความห่วงใย เพราะความสุขบนหน้าเธอที่ได้เห็นก่อนหน้าจางหายไปจนแทบจะไม่เหลือ เลย
ลมหายใจยาวๆถูกถอดถอนออกมาพลางโกรธเคืองนังเดือนหงายเงิบที่มาสุ่มไฟลงในใจของเธอ และเมื่อไม่อาจจะพูดหรือทำอะไรได้อีก ทั้งสองนมก็พากันเดินไปที่ห้องครัว ปล่อยให้สองคนที่ทั้งสองรักได้ดูแลซึ่งกันและกัน แต่กลายเป็นว่าพิมพ์ลดาวางช้อนลงทันทีพร้อมกับบอกว่า
“พิมพ์อิ่ม อยากพักแล้วค่ะ”
เพลิงวางถ้วยข้าวต้มลงข้างตัว พลางมองใบหน้าที่นิ่งเฉย เพราะอะไรนั้นใช่ว่าเขาไม่รู้ แต่ไม่พูดออกมาเมื่อมีบางอย่างที่อยากรู้มากกว่าที่ได้เห็น “คิดจะยั่วฉันเหรอ”
“คะ” เธอทำหน้างง ก่อนจะเข้าใจเมื่อเห็นเขามองถ้วยข้าวต้ม ก็บอกว่า “เปล่าค่ะ พิมพ์จะทำอย่างนั้นทำไม”
“งั้นที่ทำ เพราะอะไร”
‘เพราะหัวใจบอกให้ทำ’ เธออยากบอกเขาไปอย่างนั้น แต่ไม่พูดออกไปเพราะไม่อยากรู้สึกไม่ดีไปกว่าที่เป็นอยู่ ยิ่งเห็นสิ่งที่เดือนประดับแสดงออกมา แล้วเขาไม่พูดอะไร ซ้ำยังถามราวกับจะจับผิดเธอ ความข่มขื่นก็เกิดขึ้นในใจ “แค่ขอบคุณที่ดูแลค่ะ ไม่ได้คิดอย่างที่คุณว่าสักนิด” ความจริงจังฝังอยู่ในน้ำเสียง ก่อนจะหยันออกมา “แต่คุณคงไม่เชื่อและคงมองว่าเป็นมารยาอย่างที่ว่าพิมพ์บ่อยๆ” บอกแล้วเธอก็ลุกขึ้น แต่ยังเดินออกไปไม่ได้ เพราะเพลิงยังยืนปักหลักอยู่
“ไหนบอกว่าเข้าใจ แล้วทำไมยังประชดประชัน”
“ไหนบอกว่าเข้าใจ แล้วทำไมคำพูดกับการกระทำถึงต่างกันละคะ”
“อยากให้เหมือนกันเหรอ”
“อยากให้ปากกับใจตรงกันมากกว่า”
“ฉันหรือเธอ หรือเป็นเราทั้งสองคน”
“แล้วใจคุณบอกว่าไงคะ”
“อย่าเอาการกระทำของคนอื่นมาคิดหรือตัดสินใจแทนฉัน”
พิมพ์ลดานิ่งไปเพราะไม่แน่ใจในความหมาย แต่อบอุ่นไปทั้งหัวใจ แล้วกัดริมฝีปากไว้ไม่ให้เผลอยิ้มออกมา ก่อนจะบอกว่า “ขอตัวนะคะ” ว่าแล้วก็จะเดินไป แต่... “อุ้ย” เสียงเธอดังออกมาเพราะถูกอุ้มโดยไม่ทันตั้งตัว พลางมองหน้าคนอุ้มที่ออกเดินตรงไปที่ห้องนอน “ปล่อยค่ะ พิมพ์เดินไปเองได้”
“ฉันรู้ แต่ที่อุ้ม จะพาไปเช็ดตัวต่อ”
ดวงตากลมโตเปิดกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะละล่ำละลักออกมา “ไม่นะคะ ไม่เช็ดแล้ว” เธอบอกขณะใจเต้นระทึกแต่เพลิงยังไม่หยุดเดิน มิหนำซ้ำยังเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้อง ตรงไปที่เตียง วางตัวเธอให้นั่งบนที่นอนแต่ยังไม่ถอยออกไป สองมือยังกักตัวเธอไว้ในอ้อมแขน ขณะที่สายตาก็มองเสียจนเธอไม่กล้าสบตา
“ทำไม กลัวอะไร”
ดวงตาเธอตวัดมาค้อนที่เขาเสแสร้งแกล้งไม่รู้ เพลิงจึงแกล้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าจนปลายจมูกเกือบจะแตะแก้มนวลอยู่แล้วๆถามย้ำออกมา “ว่าไง กลัวอะไร”
“คุณไง” เสียงหวานดังงุบงิบออกมา
“งั้นเปลี่ยนใหม่นะพิมพ์ มองฉันใหม่ แล้วเปลี่ยนฉันจากน่ากลัว เป็น...” ปลายเสียงที่ทอดนุ่มนั้นทำให้เธอมองเข้าไปในแววตาที่ดึงดูดเธอให้เข้าไปค้นหาคำตอบ แล้วแก้มก็ระเรื่อขึ้นมา เมื่อเขาบอกว่า “น่ารัก”
พิมพ์ลดาไม่อาจจะข่มความหวั่นไหวได้อีกแล้ว ริมฝีปากอิ่มแย้มยิ้มออกมา เพลิงหลุบตามองเรียวปากอิ่มที่เหมือนยั่วยวนเขา แล้วก้มหน้าลงมา แต่... “พิมพ์อยากพักแล้วค่ะ”
เสียงหวานหยุดเขาไว้ แต่แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เพลิงก็ฝากจูบหวานๆไว้ให้เธอคิดถึง แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป พิมพ์ลดายิ้มด้วยหัวใจที่เป็นสุข ความเกลียดชังที่คั่นกลางระหว่างเธอกับเขา ถูกลืมเลือนไปเหมือนกับว่ามันจะไม่เกิดขึ้นแล้ว แต่ความเป็นจริงมันยังมีอยู่ และอยู่ที่ว่าใครจะเป็นคนก่อขึ้นมาเท่านั้นเอง
**********
‘ความเกลียดชัง’ คำๆนี้ก็ดังก้องอยู่ในใจของหญิงสาวอีกคนเหมือนกัน และไม่มีวันจะเลือนหายไปหากคนที่ก่อให้เกิดคำๆนี้มาไม่ตายจากไป ไอ้ชาติเปิดประตูห้องพักออกมาเพื่อไปทำงาน แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นคนมายืนอยู่หน้าห้องพัก มันรีบดึงตัวให้เข้าไปในห้องทันที พอปิดประตูเรียบร้อยก็หันมาชักสีหน้าบอกความไม่พอใจให้เห็นทันที
“มาทำบ้าอะไรตรงนี้ อันตรายไม่ใช่เหรอ ถ้าใครเห็นเข้าจะทำไง ก็รู้อยู่ว่าเพิ่งมีเรื่องเกิดขึ้น ทุกคนถูกจับตามองอยู่ แต่นี่ไร้สติหรือไง ถึงมาหาฉันที่นี่”
“ฉันไม่สน” เดือนประดับบอกพลางสะบัดแขนออกจากมือมัน “ที่ฉันต้องการคือไปบอกนายพลของแกให้รู้ ว่าฉันตกลง”
อาการไม่พอใจแทบจะหายไปจากหน้าไอ้ชาติทันที แล้วหัวเราะอยู่ในใจ ที่ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง “แน่ใจเหรอ” เดือนประดับไม่ตอบคำถามนี้ แต่บอกความต้องการของตัวเองออกไป
“ฉันต้องการเหยียบมันให้เร็วที่สุด”
ไอ้ชาติรู้ได้ทันทีว่าเธอหมายถึงใคร “ได้ ฉันจะรีบจัดการให้ รับรองว่าเธอจะไม่ผิดหวัง”
แววตาของเดือนประดับวาวขึ้นอย่างพอใจ แต่ยังไม่ใช่ที่สุด “โทรซิ ฉันต้องการรู้ผลเดี๋ยวนี้ และถ้าเป็นไปได้ ขอให้มาวันนี้เลยยิ่งดี”
“เธอนี่ใจเย็นไม่ลงเลยจริงๆ” มันว่าแล้วเอาใจเธอด้วยการเดินไปหยิบโทรศัพท์ กดโทรออกพร้อมความเจ้าเล่ห์ที่วาวขึ้นบนดวงตาโดยที่เดือนประดับไม่เห็น แล้วหันหน้ามาพลางพูดให้ได้ยิน “ครับท่าน ข่าวดีครับ เธอตกลงแล้วครับ ครับ” เสียงมันรับคำพร้อมกับเดินมายืนตรงหน้าเดือนประดับ ยกมือขึ้นลูบแก้มเธอไปพูดกับท่านของมันไป “ใช่ครับ”
เสียงมันดังต่อเนื่องเหมือนกับมือที่เลื่อนลงมาไล้แผ่วอยู่ที่ต้นคอเดือนประดับ ที่มันแน่ใจว่านาทีนี้เธอจะไม่ขัดใจมันเด็ดขาด เพราะใจเธอมีความแค้นบดบังไว้หมดแล้ว ซึ่งก็เป็นอย่างที่มันคิดจริงๆ เดือนประดับไม่สนใจว่าปลายนิ้วมือมันว่าจะลูบไล้ตัวเธอไปถึงไหน เพราะสิ่งเดียวที่เธอต้องการตอนนี้คือดับความร้อนรุ่มในใจให้หายไปเท่านั้น
“ครับ ได้ครับ”
ไอ้ชาติตัดสัญญาณ แล้วยื่นหน้ามาจะจูบเดือนประดับ แต่ต้องชะงักเพราะแววตาที่ไร้แววอภิรมย์กับมัน มิหนำซ้ำยังปัดมือมันที่อยู่ที่หน้าอกเธอออก น้ำเสียงก็เฉยชาไม่ต่างกัน “แกบอกว่าอันตรายไม่ใช่เหรอ”
“ห้องออกจะมิดชิดใครจะเห็น ที่สำคัญที่ๆอันตรายมักจะปลอดภัยที่สุด ไม่มีใครเห็นหรอก และไม่อยากปลดปล่อยอารมณ์ที่มันกดดันออกมาบ้างเหรอ”
“อยาก แต่เป็นอารมณ์อยากที่ฉันต้องการไม่ใช่ที่แกต้องการ แล้วท่านว่าไง”
“ยื่นหมูยื่นแมวเป็นไง”
เดือนประดับเหยียดมันด้วยสายตา แล้วบอกว่า “ฉันไม่ใช่หมู อย่าคิดจะมาเชือดกันตอนนี้ แต่ถ้าแกอยากจะเชือดจริงๆ นังพิมพ์ลดานั่นไง ฉันยกให้ รีบทำงานให้เสร็จและถ้าสำเร็จแกอาจจะได้บางสิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้ เพราะฉันก็มีทุกอย่างที่คนที่แกภักดีอยู่ มีเช่นกัน”
“อะไร”
“นั่นนะซิ แกออกจะฉลาด น่าจะคิดได้นะ ว่าคนที่อยู่ไกลแกกับคนที่อยู่ใกล้แก ใครที่จะให้หรือมีผลประโยชน์กับแกมากกว่ากัน”
ไอ้ชาตินิ่งขณะสมองคิด สายตามองใบหน้างามที่ดูเลือดเย็นแล้วรู้สึกกลัว แต่สันดานที่ทะเยอทะยานกลบไว้ไม่แสดงออกมาให้รู้ นอกจากจะหยั่งเชิงออกไป “ทุกอย่างเลยเหรอ”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผลงานแกดีแค่ไหน ถ้าแค่ที่ผ่านๆมา แกก็คงเป็นได้แค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น แต่ถ้ามันดีขึ้นมา ทุกอย่างก็จะดีขึ้นตามที่แกต้องการ”
“จะหลอกใช้กันหรือไง”
“อย่าพูดอย่างนั้นซิ” เดือนประดับยิ้มเยือน แล้วยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วลูบไล้ปลายคางของมัน ก่อนจะหยุดค้างไว้ที่ริมฝีปาก “ก็รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว จะมาสาวไส้ให้กากินกันอีกทำไม พูดมาเลยดีกว่าว่าจะตกลงหรือไม่ตกลง”
“ตกลงซิ” ไอ้ชาติบอกโดยไม่ต้องคิด พลางยกมือขึ้นจับมือที่แสนนุ่มของเธอแต่ซ่อนความร้ายกาจ มามอง “เธอกับฉันมันมาไกลเกินกว่าจะกลับหลังหันแล้ว นอกจากจะเดินหน้าต่อไปทำให้ทุกอย่างสำเร็จเท่านั้น แต่อย่าลืมสิ่งที่พูดไว้ก็แล้วกัน เพราะถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่พูด...” มันยิ้มเย็นให้เธอก่อนบอกว่า “ฉันจะเป็นคนสาวไส้เธอออกมาเอง”
“จะไม่มีวันนั้นอยู่แล้ว” เธอบอกแล้วขอบใจมันด้วยจูบหวานๆ พอถอนริมฝีปากออกมาก็บอกว่า “รีบเลยนะ ส่วนเรื่องไอ้นายพลนั้น ยืดหยุ่นออกไปก่อนและถ้างานเราสำเร็จ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งมันอีกต่อไป”
“เก็บเขาไว้ก่อน”
“จะเก็บไว้ทำไม”
“แพะรับบาป”
เดือนประดับนิ่งไปนิด แต่เมื่อเข้าใจก็ยิ้มอย่างสาแก่ใจ “นั่นซินะ เพราะตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในหุบเขาพญา ก็ก็มีมันเท่านั้นที่จะรับไป แกฉลาดมาก” เธอชมไอ้ชาติ ซึ่งพอเห็นเธออ่อนลงมากก็ยื่นหน้าจะชื่นใจ แต่เดือนประดับยังไม่มีอารมณ์ แล้วจะเดินจากไป แต่มันไม่ยอมให้เธอจากไปง่ายๆเหมือนตอนที่มาหามัน หมุนตัวมาขวางไว้พร้อมคำถามที่ดังออกมา
“ไม่คิดจะบอกเหตุผลที่ทำไปทั้งหมดกับฉันหน่อยเลย”
“ก็ไม่มีอะไร” เธอบอก “ง่ายๆเลยนะ แค่เจ็บแล้วต้องจำและทำให้คนที่ไม่เห็นค่าในตัวฉัน ซ้ำยังทำให้ฉันเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องเป็นฝ่ายเจ็บบ้างเท่านั้นเอง”
พูดจบไอ้ชาติก็หลีกทางให้เธอเดินออกไปจากห้องมัน แต่ใจคนนั้นมันยากแท้หยั่งถึง นาทีนี้พูดอย่างนี้แต่อีกนาทีกลับพูดอีกอย่าง อย่างที่คำกลอนที่สอนไว้ว่าอย่าไว้ใจมนุษย์เพราะแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ย. 2558, 16:25:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.ย. 2558, 16:25:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 2628
<< ตอน 13 | ตอน 15 >> |
แว่นใส 28 ก.ย. 2558, 18:57:10 น.
คนมันเปลี่ยนนิสัยยาก
คนมันเปลี่ยนนิสัยยาก
Zephyr 30 ก.ย. 2558, 13:35:55 น.
เริ่มงับไม่เลือกที่นะเดือน
เริ่มงับไม่เลือกที่นะเดือน