พรหมลิขิตกระซิบรัก
นัมแทบง นายแบบหนุ่มผู้ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงเจ้าของฉายารอยยิ้มเทวดาหากแต่เมื่ออยู่หลังกล้องเขาคือผู้ชายหน้าเดียวที่มีแววตาดุจน้ำแข็ง....
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...

... พรหมลิขิตกระซิบรัก...

Tags: ดารา นางแบบ ซุปตาร์ โรแมนติก ซึ้้ง

ตอน: เปิดใจ 7.2

หลังจากเสร็จงานตากล้องหนุ่มดูอารมณ์ดีมากขึ้น มองกุมาริกาแล้วคิดว่าเขาควรจะแสดงออกมากกว่านี้ดีไหมเลยเอ่ยชวนหญิงสาวและเหล่ากำลังเสริมที่คิดว่าคงจะช่วยเขาได้

“เย็นนี้เราไปฉลองกันดีกว่าพีเลี้ยงเอง เสร็จงานแล้วทั้งที” พีมะยิ้มกว้าง

“ดีเลยเจ๊อยากไปแดนซ์ออกกำลังกายว่าไงปุยฝ้ายแกจะเอาไง” กีรติหันไปถาม

“ก็ดีนะยังค้างอยู่เลยตั้งแต่เมื่อคืนจะได้ใส่เต็มที่เลยแถมฟรีอีกต่างหาก ชอบๆ” ปารีย์หัวเราะชอบใจ

ล่ามสาวแก้มตุ่ยยิ้มแห้งส่งให้มองทั้งสามคนอย่างไม่สบายใจที่ต้องเอ่ยปฎิเสธ“เย็นนี้คงไม่ได้หรอกเอาไว้วันอื่นนะ เย็นนี้เราต้องไปภูเก็ตกับอากุล”

“ไปภูเก็ตกับพวกเกาหลีน่ะเหรองั้นนัมแทบงก็ไปด้วยสิ” ปารีย์ทำตาโต

“โอ้ย!!ฉันอยากไปด้วยจังบอสน่าจะให้พวกเราไปด้วย” กีรติทำปากตุ่ย

“ไปทำไมงานเสร็จกันแล้วไม่ใช่เหรอ” พีมะเอ่ยเสียงเข้ม

กุมาริกาเห็นสีหน้าของตากล้องหนุ่มก็อึดอัดเอ่ยอธิบาย “ไม่เกี่ยวกับงานหรอก อากุลแค่ให้เราไปเที่ยวเป็นเพื่อนประธานนัมแบบพาไปซื้อของช้อปปิ้งประสาผู้หญิงน่ะ”

“อิจฉาสุดๆแอบถ่ายรูปนัมแทบงแบบใกล้ๆมาฝากเจ๊ด้วยนะ เอาแบบตอนผ้าหลุดเอ้ย!!ภาพหลุดอะไรแบบนี้” กีรติหัวเราะร่วน

“ฉันก็อิจฉาแกด้วยเหมือนกัน” ปารีย์ทำท่าตีอกชกลม

พีมะหน้าตึงเมื่อมีชื่อนายแบบสุดหล่อที่เขารู้สึกไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกและยิ่งรู้สึกไม่ชอบมากขึ้นไปอีกที่กุมาริกาต้องไปอยู่ใกล้ชิดหมอนั่น “ข้ออ้างสิไม่ว่า”

“ทำไมพีพูดแบบนั้นล่ะ ประธานนัมเป็นเพื่อนสนิทอากุลแล้วเขาก็อยากได้คนที่คุยกับเขารู้เรื่องเวลาไปซื้อของไม่ได้มีอย่างอื่นสักหน่อย เราไปเตรียมตัวก่อนนะอากุลเรียกพอดี กลับมาจะโทรหานะทุกคนพร้อมของฝาก” กุมาริกาหันไปมองกุลธีร์ที่กวักมือเรียกตนเองก็พยักหน้า หันมาเห็นหน้าบึ้งของตากล้องหนุ่มก็ได้แต่ถอนใจหันไปส่งยิ้มให้กีรติกับปารีย์แทน

ขณะที่ร่างเล็กลุกขึ้นหมุนตัวเพื่อเดินร่างบางก็เซกลับตามแรงดึงจากทางด้านหลัง พีมะยึดข้อมือบางไว้เอ่ยเสียงเข้มขึ้นต่างไปจากเดิม จนปารีย์และกีรติตกใจไปด้วยกับปฎิกิริยาของพีมะ “มันไม่มีอะไรเกินกว่านั้นจริงๆใช่ไหมกัมมี่”

ตาโตของล่ามสาวเบิกกว้างตะหนกกับท่าทางของพีมะก่อนเอ่ยด้วยอารมณ์ไม่พอใจเช่นกันที่จู่ๆ ตากล้องหนุ่มก็ทำท่าโกรธและยึดมือเธอไว้แบบนี้ โดยเริ่มมีสายตาจากหลายคู่ในสตูดิโอหันมามอง โดยเฉพาะตรงกลุ่มประธานนัมและเห็นว่าอาของเธอก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน

“อะไรที่เกินกว่านั้น...สิ่งที่พีถามและต้องการให้เราตอบยังไง” กุมาริกาบิดข้อมือตนเองออกจากมือหนาขมวดคิ้วเข้าหากัน

ปารีย์และกีรติเห็นท่าไม่ดีก็เข้าห้าม เนื่องจากเห็นว่ากุลธีร์กำลังมองมาเขม็งเช่นกัน ต่างคนต่างดึงแขนของพีมะคนละข้าง

“บอสมองมาใหญ่แล้วไอ้พีแกเป็นบ้าอะไรขึ้นมาว่ะ” ปารีย์ลนลาน

“นั่นสิพีไว้รอกัมมี่กลับมาก่อนแล้วค่อยคุยกัน แกไม่เห็นเหรอว่าคนมองมาทางเรากันใหญ่แล้ว” กีรติดึงปลายเสื้อตากล้องหนุ่มกระตุก

“รอให้กัมมี่กลับมามันอาจจะสายไปแล้วก็ได้ พีแค่รู้สึกว่าหัวใจของพีกำลังจะโดนแย่งไป” พีมะมองร่างเล็กด้วยความเสียใจก่อนผลุนผลันออกไปโดยมีร่างใหญ่ของกีรติและปารีย์วิ่งตามไปด้วย

กุมาริกาพลอยหน้าเสียไปด้วยเมื่อจู่ๆพีมะก็แสดงอาการแบบนั้น แถมยังเดินออกไปทันทีทั้งที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่องได้แต่หลับตาระงับอารมณ์... ก่อนถอนหายใจถึงปัญหาเมื่อเห็นว่ากุลธีร์กำลังเดินตรงมาที่เธอ

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัมมี่ ไอ้พีมันมายื้อยุดฉุดกระชากแกทำไม ชักจะเกินไปแล้วนะ” กุลธีร์เอ็ดหลานสาว

ท่าทางโกรธของกุลธีร์ทำให้ร่างเล็กกรอกตา ตัดสินใจหันหลังหนีเดินออกไปทางด้านนอกแทนเพราะรู้ว่าอาหนุ่มต้องเดินตามออกมาอยู่แล้ว เธอไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของทีมงานหรือแม้กระทั่งดวงตาเรียวที่มองมาเหมือนตั้งคำถามเช่นกัน

“ยัยหลานอย่าเดินหนีอาแบบนี้นะ มาคุยให้รู้เรื่องก่อน”

เมื่อพ้นประตูสตูดิโอ กุมาริกาก็หยุดเดินหันมากอดอกมองอาหนุ่มที่ทำท่าจะจับเธอตีก้นแน่นอนถ้าทำได้ นี่เธอทำความผิดอะไรนักหนาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้วกุมาริกาอยากตะโกนถามทั้งพีมะและกุลธีร์

“เขาแค่อยากหาที่คุยไม่อยากเป็นเป้าสายตาอากุลไม่เห็นเหรอว่ามีแต่คนมองมา”

“ก็นั่นน่ะสิแล้วเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมไอ้พีมันถึงดึงแขนยัยหลานไว้แบบนั้นบอกอามาสิ คนอื่นเขาจะคิดว่ายังไง”

“คนอื่นของอากุลน่ะใครมันไม่ได้มีอะไรสักหน่อยแค่เราเข้าใจผิดกันเลยทะเลาะกันบ้างภาษาเพื่อน” กุมาริกาบอกถอนหายใจในสิ่งที่ตนเองพูดเพราะเธอก็ไม่แน่ใจในสิ่งที่พีมะทำเช่นกัน

“โอเคยัยหลานไม่มีอะไรก็ไม่มี..อาจะพยายามเชื่อแต่อย่าให้อาเห็นไอ้พีมันทำแบบนี้เป็นครั้งที่สองนะอาไล่มันออกแน่” กุลธีร์คาดโทษ

เมื่อเห็นว่าหลานสาวพยักหน้าก็โคลงศีรษะเล็กโอบรอบไหล่บอบบางรั้งเข้ามากอด บอกตัวเองว่าต่อให้เขาสมัยใหม่แค่ไหนก็รู้สึกไม่ชอบใจที่เห็นหลานสาวตัวเองถูกฉุดรั้งจากอีกฝั่งที่เป็นเพศตรงข้ามแน่ๆ แค่ครั้งนี้เท่านั้นที่เขาจะปล่อยให้มันผ่านไปแต่ถ้ามีอีกต้องเจอกับเขาแน่

“กลับไปเก็บเสื้อผ้าก่อนไป แล้วเดี๋ยวอาจะโทรบอกให้นายกล้วยไปส่งที่สนามบิน ทางนี้เดี๋ยวอาจัดการเอง” กุลธีร์ออกคำสั่ง

“ค่ะ” กุมาริกาตอบรับเบาๆ มองอาหนุ่มที่หันหลังเดินเข้าไปในสตูดิโอแล้ว

ภาพตากล้องหนุ่มที่สูงเกือบพอๆกับเขากำลังดึงแขนกุมาริกานั้นทำให้หงุดหงิดไม่น้อย แม้จะหลับตาเพื่อหลอกคนอื่นว่ากำลังพักผ่อนแต่หัวสมองกลับไม่ได้หยุดคิดถึงร่างเล็กนั่นได้เลย

นัมเยรินมองน้องชายที่หลับตานั่งอยู่ข้างๆในรถตู้ที่กำลังวิ่งมีที่หมายคือสนามบิน แม้ว่าแทบงจะไม่พูดอะไรแต่เธอก็เห็นว่าสิ่งที่น้องชายเธอเห็นคงติดอยู่ในใจไม่น้อยเพียงแต่เจ้าตัวแสบไม่มีทางพูดออกมาแน่

ณ.สนามบินฝั่งผู้โดยสารภายในประเทศ

เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่องกุลธีร์ก็จัดกลุ่มให้เป็น2กลุ่มเพื่อความสะดวกที่จะไม่โดนจับจ้อง กุมาริกากับประธานนัมและทีมงานสองคนถูกจัดให้เดินเข้าไปก่อนส่วนกุลธีร์และดาราหนุ่มพร้อมผู้จัดการและทีมงานอีกคนที่เหลือจะตามไปตอนใกล้เวลาเครื่องจะออก

นัมเยรินหันมาชวนคุยนับจากเจอกันในสนามบินเมื่อครู่หลังจากกุมาริกาพามานั่งตรงGateที่จะขึ้นเครื่องในอีก15นาทีข้างหน้า “มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า อาเห็นหนูถอนหายใจติดๆกันหลายครั้งแล้ว”

“เอ่อ บีฮาเน่โยว...ขอโทษค่ะคือหนูคิดอะไรนิดหน่อย” กุมาริกาเอ่ยขออภัย

“เรื่องผู้ชายที่ดึงแขนหนูในสตูฯรึเปล่า” นัมเยรินเอ่ยถามเพราะเธอก็ต้องการรู้เช่นกัน

“เรื่องนั้นไม่มีอะไรหรอกค่ะ ตากล้องคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มที่ทำงานเรารู้จักกันมาสัก3ปีแล้ว เขาแค่เข้าใจผิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง” กุมาริกาอธิบาย

“งั้นเหรอจ๊ะนั่นเขาประกาศเรียกเราแล้วใช่ไหมไปกันเถอะเดี๋ยวพวกนั้นคงตามเราขึ้นไป” นัมเยรินชวนร่างเล็กลุกขึ้นเนื่องจากสายการบินประกาศให้ขึ้นเครื่องได้แล้ว

กุมาริกาเข้าสู่หมวดเงียบอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอาหนุ่มเดินนำหน้าร่างสูงโดยมีผู้จัดการคิมและทีมงานทยอยเดินตามมาทางด้านหลัง เธอเลยเลือกที่จะหันหน้าตนเองออกไปทางนอกกระจก ทั้งที่ไม่ได้มีวิวสวยงามอะไร นอกจากเครื่องบินหลายสายการบินจอดเรียงกันอยู่

“ไงคะมีคนจำได้ไหม ฉันยังคิดอยู่ว่าทำไมนานจัง” ประธานนัมเอ่ยถามไม่เจาะจง มองไปที่ชายหนุ่มทั้งสามที่กำลังเก็บสัมภาระบนเหนือศีรษะ

“ผมให้รอเองแหละ กลัวเจอนักข่าวเหมือนกันเพราะแทบงค่อนข้างสะดุดตาเลยมีคนจำได้ เข้ามาขอถ่ายรูปเลยช้าไปหน่อย” กุลธีร์อธิบายพลางหันไปดูแม่หลานสาวตัวดีที่นั่งมองอะไรนอกหน้าต่างอยู่ได้ไม่ยอมหันมาทักทายกันบ้าง นี่มันอึดอัดกันมาสักพักแล้วนะ เห็นทีต้องออกแรงกันอีกแล้วมั้งก่อนจะขยิบตาส่งสัญญาณบางอย่างให้นัมเยริน

“กอนเดี๋ยวฉันไปนั่งกับคุณแล้วกัน กัมมี่จะได้พักผ่อนสักครู่อีกเกือบสองชั่วโมงเลยใช่ไหมค่ะกว่าจะถึง” นัมเยรินเอ่ยถามขึ้นมาทันที

“อ่อ..ครับ” กุลธีร์ตอบรับยิ้มแย้ม

“ผู้จัดการคิมงั้นนายเขยิบไปนั่งกับพวกสไตล์ลิสล่ะกัน กัมมี่จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดที่ต้องนั่งกับนาย” นัมเยรินใช้สายตาให้ผู้จัดการหนุ่มลุกออกจากที่นั่งที่กำลังจะทรุดนั่ง

“ครับ...ครับท่านประธานผมก็ว่างั้นใช่ไหมแทบง...” คิมเซจุนยังไม่ทันพูดจบก็เห็นร่างสูงเดินไปทรุดตัวนั่งข้างล่ามสาวโดยไม่พูดอะไร ผู้จัดการคิมมองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ร้ายพอกันทั้งพี่ทั้งน้องแผนเยอะกันจริงลำบากเราทุกทีผู้จัดการร่างอวบบ่นพึมพำ

นัมแทบงมองอาการตาโตของล่ามสาวแล้วนึกขำแต่ก็แสร้งทำหน้านิ่ง ภายใต้แว่นตาสีดำสนิทเธอไม่มีทางเห็นสายตาของเขาได้ นั่นแหละมันทำให้เขาพอใจ นึกเหรอว่าเขาไม่เขินแต่ไหนๆพี่สาวของเขาก็ต้องทำให้มันออกมาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เขาก็เลยทำให้มันเป็นธรรมชาติซะเอง ดีกว่าให้พี่สาวเขาเป็นคนจัดการเพราะมันคงยิ่งทำให้กวางน้อยของเขาตื่นและรู้ตัวกันพอดีนั่นคือสิ่งที่เขาไม่ต้องการ

“ผมก็เหนื่อยไม่อยากได้ยินเสียงคนชวนคุยมันรบกวน” ดาราหนุ่มพูดพิงหลังในท่าสบายกับเก้าอี้วีไอพีแบบปรับเอน

กุมาริกาออกอาการลนลานอย่างเห็นได้ชัดทั้งอายปนขัดเขินไปหมด ถ้านั่งใกล้กันเป็นชั่วโมงขนาดนั้นมีหวังเธอต้องขาดอากาศหายใจเพราะเกร็งกับร่างสูงข้างตัวเป็นแน่ เอ่ยบอกเสียงระรัว “ประธานนัมคะคือหนูไม่ได้เพลียมากหรอกค่ะหนูนั่งกับอากุลก็ได้”

“แต่ฉันขี้เกียจฟังพี่สาวฉันบ่น” นัมแทบงพูดชิดซีกหน้าที่กำลังตื่นตระหนกผุดยิ้มที่มุมปาก

คิมเซจุนมองสองคู่พี่น้องตรงหน้าแล้วนึกขำคิดประชดว่านักแสดงนัมสองพี่น้องช่างแสดงได้สมบทบาทน่าได้รางวัลจริงๆ

ร่างเล็กหันหาอาหนุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือแต่ดูท่าอาของเธอจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะมัวแต่ส่งยิ้มหวานให้ท่าน
ประธานคนสวยดูน่าหมันไส้ เหลือบมองร่างสูงที่นั่งข้างๆอย่างสบายใจโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงเช่นกัน นอกจากหยิบเอาหูฟังเสียบกับสมาทโฟนของตัวเองเลือกฟังเพลงเพื่อลดความอึดอัดจะดีกว่า ขณะที่ฟังเพลินๆหูฟังจากอีกข้างก็เหมือนมีแรงดึงจากทางด้านข้างจนหลุดออก

“ทำไมคะ”

“ฟังอะไร ไม่พูดอะไรกับผมสักคำแถมนั่งหลับตาอีก” ดาราหนุ่มเอียงคอมองก่อนเอาหูฟังด้านที่ดึงออกจากหูของล่ามสาว มาใส่หูของตนเอง

“ไหนบอกว่าเพลียไงคะจะมาแย่งหูฟังฉันทำไม”

ดาราหนุ่มไม่ตอบหลับตาฟังเสียงเพลงที่ได้ยินอย่างตั้งใจ เขาคิดว่าทำนองและเสียงร้องของนักร้องดูมีเสน่ห์น่าฟัง แม้ว่าเขาจะฟังความหมายของมันไม่รู้เรื่องก็ตาม ทำให้นัมแทบงเอ่ยถาม “ทำนองเพราะดีเนื้อเพลงหมายถึงอะไร เป็นเพลงเกี่ยวกับความรักใช่ไหม”

“เธอคือทุกสิ่ง ในความจริงในความฝัน
คือทุกอย่างเหมือนใจต้องการ
เธอเป็นนิทาน ที่ฉันอ่าน ก่อนหลับตาและนอนฝัน

เธอคือหัวใจ ไม่ว่าใครไม่อาจเทียมเทียบเท่าเธอ
ช่างโชคดีที่เจอ ได้ตกหลุมรักเธอ
ได้มีเธอ เคียงข้างกัน

คงจะมีเพียงเธอทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน
คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี้ ตรงที่เธอ

เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ
ฉันจะทำทุกๆ ทางด้วยวิญญาณและหัวใจ
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด
ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว

เธอคือรักจริง ฉันยอมทิ้งทุกๆ อย่างเพียงเพื่อเธอ
ดั่งฟ้าให้มาเจอ ให้เธอคู่กับฉัน
ให้เราได้เดินเคียงข้างกันนับจากนี้

คงจะมีเพียงเธอทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน
คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี้ ตรงที่เธอ

เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ
ฉันจะทำทุกๆ ทางด้วยวิญญาณและหัวใจ
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด
ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียง

เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่เฝ้ารอ
ฉันจะขอภาวนา ต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด
ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว

จะทุกข์หรือยามที่เธอนั้นสุขใจ
ยามป่วยไข้หรือสุขกายสบายดี
ฉันอยู่ตรงนี้และจะมีเพียงเธอทุกวินาที
จะอยู่ใกล้ไม่ห่างไกล จะเคียงชิดไม่ห่างไป ไม่ไปไหน

เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ
ฉันจะทำทุกๆ ทางด้วยวิญญาณและหัวใจ
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด
ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียง

เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอ เพียงเธอที่รอ
ฉันขอภาวนาต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล
นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด
เกิดชาติไหนฉันมีเธอ มีเธอเพียง คนเดียว”

##เพลงคู่ชีวิตวงค็อกเทล##

คำถามของดาราหนุ่มทำให้ใบหน้าใสแดงระเรื่อยามเมื่อนึกถึงเนื้อเพลงที่กำลังฟังอยู่ ริมฝีปากอิ่มเม้มขัดเขินที่จะพูดถึงความหมายของเพลง แต่ก็ตัดสินใจพูด

“เป็นอีกหนึ่งในเพลงโปรดของฉันเลยค่ะ เนื้อเพลงบรรยายถึงความรักที่ผู้ชายคนหนึ่งมีให้ผู้หญิงที่เขารัก ที่สำคัญคนที่เป็นนักร้องเขาแต่งและร้องให้คนรักของเขาในวันแต่งงาน

หลังจากพูดไปแล้วกุมาริกาก็รู้สึกว่าไม่สามารถมองหน้าเขาได้เต็มตาแม้ว่าจะเป็นการมองผ่านแว่นตาที่เขาสวมอยู่ก็ตาม แต่เงาที่ตกกระทบนั่นเธอเห็นว่าเขามองมาที่เธอด้วยเหมือนกัน มุมปากบางยิ้มกว้างขึ้นกว่าปกติมันทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าหายใจไม่เต็มปอด เพราะรอยยิ้มที่ใครๆต่างก็หลงใหลและในตอนนี้เธอก็รู้สึกเริ่มชอบมันแล้วเช่นกัน จะทำยังไงดีกุมาริกาเฝ้าถามตนเอง

“รู้ตัวไหมว่าคุณทำให้ผมโกรธกัมมี่” นัมแทบงขยับปรับเก้าอี้ที่ปรับนอนไว้ให้ตั้งตรงพอดีกับหลังถอดแว่นสายตาออกใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต

คำถามที่รอคำตอบของนัมแทบงทำให้ร่างเล็กกลืนน้ำลายที่รู้สึกเหนียวเหลือเกินในลำคอ เขากำลังจะพูดอะไรนั่นคือสิ่งที่เธอคิด ตากลมดั่งโดนสะกดยามเมื่อสบดวงตาเรียวที่เธอคิดว่ามันชั่งเฉยชาไร้ความรู้สึกในตอนแรกเจอ ใบหน้านิ่งที่จะพูดหรือยิ้มกับคนที่สนิทจริงๆเท่านั้น แต่ในตอนนี้เธอคิดว่าตาดำเรียวคู่นั้นมันยิ้มได้สวยพอๆกับรอยยิ้มบนริมฝีปากเขา จนต้องหันไปทางอื่นดับความร้อนที่เพิ่มขึ้นบนใบหน้า

“แล้วทำไมคุณต้องโกรธฉันด้วยล่ะคะในเมื่อวันนี้เราแทบจะไม่ได้คุยกันเลย”

“นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด เมื่อผมเห็นว่าคุณคุยกับทุกคนยกเว้นผม” นัมแทบงมองดูซีกหน้าที่มองออกไปนอกกระจก

คำพูดของดาราหนุ่มทำให้กุมาริกาหันมาอีกครั้ง ความคิดสับสนวิ่งวนอยู่ในหัว ค้นหาเหตุผลในสิ่งที่นัมแทบงถามรวมถึงเหตุผลในสิ่งที่เขาทำ

“คุณให้คนอื่นจับผมคุณแล้วยังดึงมือคุณอีก บอกผมได้ไหมว่าคุณกับตากล้องนั่นมีปัญหาอะไรกัน เขาเป็นแฟนคุณรึเปล่า”

“เราเป็นเพื่อนสนิทกันค่ะ พีมะกับฉันเราทำงานร่วมกันมาหลายปี ความสนิทของเรามีแค่นั้นยังไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านี้” กุมาริกายิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าคล้ายไม่เชื่อ

“คนเกาหลีบอกว่าผู้หญิงกับผู้ชายไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ แล้วเพื่อนสนิทในความหมายของคนไทยล่ะคุณหมายถึงมันมีโอกาสจะพัฒนาได้ใช่ไหม” นัมแทบงถามตามที่คิดสายตาเรียวไม่ได้คลาดไปจากใบหน้าใส

ก่อนที่จะมีการเปิดใจไปมากกว่านั้น เสียงหวานจากแอร์โฮสเตสประจำสายการบินในประเทศก็ประกาศเตือนว่าเครื่องกำลังจะถึงที่หมาย ทำให้คนที่พยายามหาความหมายเงียบไปและเริ่มกลับเข้าสู่โหมดซุปตาร์คนดังและแว่นตาดำที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อถูกนำมาใช้อีกครั้ง

“จริงๆแล้วเขาก็มีมุมช่างพูดช่างคุยเหมือนกัน หลายครั้งระหว่างบทสนทนาแลกเปลี่ยนเธอเห็นเขาหัวเราะ คนหน้านิ่งก็มีมุมร่าเริงสินะ ทำไมถึงซ่อนไว้ซะมิดเชียว มันน่าเสียดายออกที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ” หญิงสาวคิดในใจ









ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

##แก้ไข##




พบกะรัณย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2558, 15:39:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ย. 2558, 23:33:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 938





<< 7.1 คู่แข่ง   ปรับความเข้าใจ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account