พรหมลิขิตกระซิบรัก
นัมแทบง นายแบบหนุ่มผู้ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงเจ้าของฉายารอยยิ้มเทวดาหากแต่เมื่ออยู่หลังกล้องเขาคือผู้ชายหน้าเดียวที่มีแววตาดุจน้ำแข็ง....
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...

... พรหมลิขิตกระซิบรัก...

Tags: ดารา นางแบบ ซุปตาร์ โรแมนติก ซึ้้ง

ตอน: ปรับความเข้าใจ

มือบางดันประตูเลื่อนกระจกกางจนสุดแขน อกจากกันทั้งที่มองจากด้านในว่าสวยแล้วพอมายืนตรงระเบียงนี่ มันเหมือนเธออยู่อีกโลกนึงเลย

“สมเป็นรีสอร์ทหรูเลยนะอากุล ว้าว!!วิวยามเย็นนี่ยังกับมองด้วยเลนส์กล้องพาโนรามาเลย ทะเลอันดามันใกล้แค่มือเอื้อมเหมือนภาพวาดเลยอากุลว่าไหม” กุมาริกาปิดตาลงข้างหนึ่งเอื้อมมือคว้าราวกับเด็กน้อยหันไปหากุลธีร์

“เป็นเด็กห้าขวบรึไงเรา ดูทำท่าเข้า” กุลธีร์ขยี้ผมหลานสาวอย่างเอ็นดู

“แหม!! ก็ถ้าอากุลไม่พาสาวมาเที่ยว เขาคงไม่ได้มาพักห้องพูลวิลเลจแบบนี้หรอกใช่ป่ะ เขาก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา” กุมาริกาหัวเราะชอบใจ

เสียงโทรศัพท์ภายในห้องดังขึ้น สองอาหลานมองหน้ากันก่อนที่กุลธีร์จะเป็นฝ่ายเดินไปรับ เสียงหวานจากปลายสายทำเอากุลธีร์หน้าบานจนหลานสาวตัวแสบแอบสังเกตุได้เอ่ยแซว “สาวโทรมายิ้มหน้าบานเลยน่ะอากุล”

“พูดมากน่าไปเปลี่ยนชุดเถอะจะพาไปเดินเล่น วิวสวยไม่ใช่เหรอ ” กุลธีร์เปลี่ยนท่าเขกกะโหลกเป็นกอดไหล่ไว้หลวมๆ

กุมาริกาหมุนตัวไปมาเมื่อเห็นว่าอาหนุ่มมองแล้วทำมือหมุนเป็นวงกลม เอ่ยหน้าตูมถามกุลธีร์ว่าตกลงเธอสวยไหมเพราะอาหนุ่มเอาแต่ยิ้มไม่ยอมพูด

“ตกลงว่าเขาใส่ชุดนี้แล้วเป็นยังไง”

กุลธีร์มองร่างเล็กในชุดเสื้อกล้ามที่สวมทับอีกชั้นด้วยเสื้อตาข่ายสีดำความยาวเท่ากับกางเกงขาสั้นที่กุมาริกาใส่ “ก็น่ารักดีแต่
มันไม่เซ็กซี่ไปเหรอ”

“เซ็กซี่ตรงไหนตรงตาข่ายเนี่ยเหรอ” กุมาริกาเอานิ้วจิ้มลงไปในช่องตาข่าย

“เอาเป็นว่าหลานอาใส่ชุดไหนก็สวยล่ะกัน ว่าแต่ตอนอยู่บนเครื่องคุยอะไรกันจุ๊กจิ๊กอาเห็นนะ” กุลธีร์ล้อเลียน

“อย่าบอกนะว่าแอบฟังเขาคุยกัน”

“เปล่านี่คุยกันเบาอย่างกับเสียงมดกัดกัน ใครเขาจะไปได้ยินถึงจะแอบฟังก็เหอะ ว่าแต่ยัยหลานว่าแทบงเป็นยังไงบ้าง ชอบไหม”

“อากุลถามอะไรน่าเกลียด...ถ้าใครมาได้ยินเข้าอายเขาแย่เลยถามเรื่องน่าอายกับหลานสาวตัวเองได้ยังไง”

กุลธร์ยิ้มมองดูหลานสาวตัวเองยืนหน้าแดงกล่ำอยู่กลางห้อง แสดงว่าหลานสาวเขาก็อาจจะไม่ปฎิเสธเช่นกัน

“แล้วถ้าฝั่งนั้นเขาอยากรู้แถมมองว่าไม่น่าเกลียดที่จะตอบล่ะยัยหลานจะว่าไง” กุลธีร์โปรยอีกนิด

“อากุลหมายความว่าไงแล้วรู้ได้ยังไงว่าฝั่งนั้นเขาอยากรู้” กุมาริกาจ้องอาหนุ่มเขม็ง

“ไหนๆก็ไหนๆแล้วอาบอกก็ได้ ก็เยรินไงเธอชอบหลานสาวอามาก แล้วเธอก็อยากแนะนำกัมมี่ของอาให้น้องชายของเขานะสิ” กุลธีร์บอก

“แปลว่านัมแทบงรู้อยู่แล้วเหรอคะว่าจะได้เจอเขา แล้วอาก็ยัดเยียดการใกล้ชิดกับดารานั่นโดยที่เขาไม่รู้อะไรสักอย่าง มิน่าล่ะหมอนั่นถึงกล้า...”

ริมฝีปากอิ่มกัดแน่น นึกถึงการกระทำอุกอาจที่เขากระทำกับเธอที่กล้าทำเพราะว่ารู้ทุกอย่างที่อาของเธอกับพี่สาวเขาเปิดโอกาสขณะที่เธอไม่รู้อะไรเลยสินะ

“แทบงทำอะไรเหรอยัยหลาน...” กุลธีร์นิ่วหน้าเมื่อเห็นหลานสาวตัวเองทำท่าเหมือนจะบ้าให้ได้ เขามองไม่ออกว่ามันแค่อายหรือว่าโกรธด้วยในเรื่องที่เขาบอก แต่ดูท่าว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้วสิ เมื่อเห็นว่ากุมาริกาเริ่มโวยวายในสิ่งที่เขาไม่ได้คิดเผื่อไว้

“ทำไมอากุลทำแบบนี้ละ เขาก็คิดว่ามันแปลกๆอยู่เหมือนกันในหลายๆสถานการณ์ แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอเห็นเขาเป็นตัวตลกกันรึไง ความรักมันออกแบบไม่ได้นะ แต่ที่อาทำเหมือนเอาเขาไปใส่พานถวายหมอนั่นชัดๆ เขาก็ไม่เหลือค่าอะไรเลยสิไม่ไปแล้ว วิวอะไรก็ไม่ดูทั้งนั้นเขาอยากอยู่คนเดียว เชิญอาไปคนเดียวเลยทีนี้เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” กุมาริกาวิ่งเข้าห้องไปขณะที่กุลธีร์ได้แต่เกาหัว เป็นเรื่องแล้วไหมล่ะกู

นัมแทบงหันมองหาร่างเล็กที่คิดว่าน่าจะมากับกุลธีร์แต่กลับไม่มีแม้เงา คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากัน แต่คนที่เอ่ยปากถามกลับเป็นร่างบางที่นั่งถัดกัน “กัมมี่ละคะกอน ยังไม่เสร็จเหรอหรือว่าไปไหนคะ”

“มีเรื่องฉุกเฉินแล้วล่ะเยริน ยัยหลานแกงอนเราแล้วล่ะ ที่พยายามจับคู่ให้เขากับ...” กุลธีร์กลืนชื่อของร่างสูงลงคอมีแค่เพียงสายตาที่ทำให้เยรินรู้ว่าสิ่งที่เขาหมายถึงคือน้องชายของเธอ

“คุณบอกเธอเรื่องที่เรา...” นัมเยรินพูดค้างและก็ไม่กล้าเอ่ยสาเหตุออกมาเพราะตอนนี้สีหน้าน้องชายตัวเองก็ดูมีรังสีเย็นยะเยือกออกมาไม่ต่างกัน

นัมแทบงลุกขึ้นมองพี่สาวอย่างคาดโทษก่อนหันไปหากุลธีร์เอ่ยถามด้วยใบหน้านิ่ง “ต่อจากนี้ผมขอห้ามไม่ให้พวกพี่มายุ่งเรื่องจับคู่ให้เราอีก ผมจะไปอธิบายกับเธอเองตอนนี้เธอยังอยู่ที่ห้องพักใช่ไหมฮยอง

“อ้าว..แทบงนั่นนายจะไปไหน” ผู้จัดการคิมตะโกนถามร่างสูงที่เดินลิ่วผ่านไปโดยไม่ทัก

“ผู้จัดการคิม ไม่ต้องตามไปหรอก” นัมเยรินเรียกผู้จัดการส่วนตัวของน้องชายที่ทำท่าจะเดินตามไป

กุลธีร์มองใบหน้าหวานที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความกังวล พูดปลอบใจโดยมีผู้จัดการคิมมองทั้งสองคนอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกเอาเป็นว่าเราผิดด้วยกันทั้งคู่ที่ เราอาจคิดถึงผลของมันน้อยไปนิด แต่ถ้าเขาคุยกันเองมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้”

“นั่นสินะ” ประธานสาวเริ่มยิ้มออกมาได้

“ผมว่าเราไปเที่ยวกันเองดีกว่าพวกเขาคงไม่อยากไปกับเราแล้วล่ะ” กุลธีร์เสนอโปรแกรมบอกผู้จัดการคิมและทีมงาน

ในอีกมุมหนึ่งคนที่กำลังทุกข์ไม่แพ้กันก็กำลังดื่มอย่างต่อเนื่องแม้จะมีเสียงห้ามอยู่เป็นระยะๆแต่ก็ดูไม่ได้มีความหมายอะไร

“พอเถอะพี แกดื่มเยอะไปแล้วนะ เจ๊เกิ้นช่วยกันห้ามสิ เดี๋ยวมันก็เมาตายพอดี” ปารีย์หน้ายุ่งตีเข้าที่แขนคอสตูมร่างยักษ์ที่
เอาแต่โยกย้ายไปตามจังหวะเพลงอยู่ได้

“ฉันก็ดูผู้ชายบ้างสิ นี่พ่อยอดขมองอิ่มของเจ๊ ทำตัวไม่สมกับหนุ่มเจ้าเสน่ห์ประจำออฟฟิศเราเลยมัวแต่นั่งกินเหล้าเป็นน้ำอยู่ได้ โอ้ย!!แล้วนี่หล่อนจะมาบิดเนื้อฉันทำไมปุยฝ้าย” กีรติร้องลั่นเจ็บตรงสีข้างลำตัว

“ให้ห้ามเจ๊ ไม่ได้ให้ตอกย้ำ” ปารีย์เอ่ยค้อน

“เพราะฉันมันดีไม่พอหรือว่าหล่อสู้หมอนั่นไม่ได้ว่ะ กัมมี่ถึงไม่แคร์ฉันเลยไอ้หน้าเดียวนั่นมันหล่อว่าฉันตรงไหนว่ะฉันมีเสน่ห์มากกว่าไอ้หน้านิ่งนั่นเป็นร้อยเท่า” พีมะบอกอ้อแอ้

กีรติกรอกตาพูดในใจเถียงโดยไม่มีเสียงอยู่ในใจว่าทุกตรง แต่กลับพูดปลอบไปอีกทาง “ใจเย็นๆพี เอ่อแกหล่อกว่าจริงๆ”

“ก็แกมัวแต่มองเขาอยู่ได้นี่ สามปีมานี่แกเคยแสดงให้กัมมี่รู้เหรอว่าแกชอบเขามากกว่าความเป็นเพื่อน มันเห็นแกเที่ยวเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำ แล้วอย่างนี้แกจะบอกว่าชอบกัมมี่ได้ยังไง ใครจะรู้ในเมื่อแกไม่ได้ทำมันจริงจัง” ปารีย์เตือนสติ

“ปุยฝ้าย...แกว่าฉันยังแสดงออกไม่มากพออีกเหรอ ขนาดพวกแกยังดูรู้แล้วเขาไม่รับรู้บ้างเลยเหรอ ฉันควงผู้หญิงคนอื่นเพื่อ
ให้เขาหึง ต่อว่าฉันบ้างฉันจะได้รู้ว่าเขาชอบฉันแต่นี่เปล่าเลยเบบี๋ก็ยังคงเป็นเบบี๋...ใจร้ายชะมัด” พีมะกระดกเหล้าในแก้วติดต่อกันจนหมด

“เดี๋ยวพรุ่งนี้กัมมี่กลับมาแกก็คุยกับเขาไปสิ มานั่งเมาโวยวายมันรู้ซะที่ไหน มันไปทำงานนะโว้ยพี” กีรติบอก

“ทำงาน..ทำงานบ้าบออะไร หมอนั่นมันปิ๊งเบบี๋ชัดๆ ฉันเห็นมันมองเบบี๋ของฉันตลอด ฉันเห็นนะโว้ย สายตาแบบนั้น...ฉันก็เคยใช้มองเบบี๋ไงเล่า ตากล้องเซ้นส์เลิศอย่างฉันจะไม่รู้ได้ยังไง บอสอีกให้ท้ายทีกับฉันละกันท่าอยู่ได้”พีมะเอ่ยแล้วฟุบลงกับโต๊ะ

“เดี๋ยวพรุ่งนี้นัมแทบงเขาก็กลับประเทศเขาแล้วมันก็แค่นั้นแหละ แกใจเย็นหน่อยสิว้าเชื่อเจ๊ จากนี้แกก็แสดงความรู้สึกออกมาเลยกัมมี่มันจะได้รู้มัวแต่เล่นอยู่ได้สาวที่ไหนจะเข้าใจเล่า เอ้า!!ดูฟุบลงไปได้ผมเผ้าเปียกหมดแล้ว ก็สภาพแบบนี้ผู้หญิงเก่งรอบด้านแบบกัมมี่มันจะมองแกเหรอ ผู้ชายเซอร์ไม่ได้อยู่ในสเปคสาวทุกคนนะยะ นี่พ่อตากล้องฟังที่เจ๊พูดรู้เรื่องไหม” กีรติสอนพลางเอาสองมือกอดจากทางข้างหลัง

“นี่เจ๊แค่ปลอบไอ้พีมันก็พอ ไม่ต้องไปลวนลามมันเลยเผลอเป็นไม่ได้” ปารีย์ส่ายหน้าระอาตีหลังมืออวบที่กอดร่างสูงที่ไม่มีสติเอาไว้

“นี่ปุยฝ้าย..แกว่ามันจริงเหรอวะที่ไอ้พีพูดเรื่องบอสก็เอี่ยวด้วย”

“ก็ไม่รู้สิเจ๊แต่ตั้งแต่เรื่องคืนเมื่อวาน กัมมี่มันออกไปเคลียร์กับเขามา แล้วพอตอนเช้า ฉันก็เห็นว่านัมแทบงกับกัมมี่มีท่าทางแปลกๆ เหมือนฉันเห็นว่าเขายิ้มหรือแอบมองไอ้มี่ของเราจริงๆนะแต่อย่าพูดไปเชียวได้ตกงานหมู่แน่ๆ”ปารีย์บอกตามที่เห็นส่วนกีรติถึงกับยกมือทาบอก

นัมแทบงยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง มือใหญ่กำค้างในอากาศก่อนลดลงข้างตัว ร่างสูงหันหลังพิงกับบานประตู เธอจะโกรธเขาขนาดไหนกัน จะคิดว่าเขาล้อเล่นกับความรู้สึกเธอรึเปล่านะ เหมือนมีเสียงกุกกักดังจากทางด้านในและบานประตูก็เปิดออกร่างเล็กยืนตะลึงมองคนที่ยืนอยู่นอกประตูตาโต

“ทำไมไม่ลงไปเจอกันข้างล่างละ แล้วนี่จะไปไหน” นัมแทบงถามหน้านิ่ง

“ฉันเหนื่อยแค่อยากพัก แล้ว..แล้วตอนนี้ก็แค่อยากลงไปเดินเล่น” กุมาริกาเอ่ยตะกุกตะกัก หลบตาคมมองไปอีกทาง

“งั้นดี เรามีเรื่องต้องคุยกัน”นัมแทบงดึงมือบางให้เดินตามออกมา แม้ร่างเล็กจะขืนตัวไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มือหนากว่าหยุดดึง

“จะไปไหนคะ อากุลกับประธานนัมอยู่ที่ไหน”

“ไม่รู้สิ ตอนแรกเรานั่งกันอยู่ที่สวนตรงสระว่ายน้ำหน้าลอบบี้แต่ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกัน วิวที่นี่สวยดีนะ ผมชอบมองเห็นเกาะเล็กๆกับวิวทะเลได้รอบเลยแถมมีสระว่ายน้ำอีกแทบไม่ต้องออกจากห้องเลยก็ว่าได้มั้ง” นัมแทบงพูดชวนคุยโดยไม่หยุดเดิน

“แล้วออกมาทำไมล่ะ” กุมาริกาพึมพำหน้ามุ่ยส่วนขาก็จ้ำก้าวตามร่างสูงที่พาเดินไปตามทางยามค่ำคืนที่มีตะเกียงดินเผาประดับดูสวยงามไปตลอดทาง

“ผมเห็นมีมินิบาร์เอ้าท์ดอร์ด้วยเราไปนั่งที่นั่นกันดีกว่าติดริมทะเล ลมน่าจะเย็นดี”

“แต่ฉันคิดว่าเราควรไปหาอากุลกับพี่คุณดีกว่า หลายคนน่าจะสนุกกว่า” กุมาริการีบแย้งเพราะไม่อยากอยู่กับดาราหนุ่มสองต่อสอง ในตอนนี้เธอยังทำหน้าไม่ถูกหลังจากรับรู้แล้วว่าการที่ดาราหนุ่มกับเธอได้เจอกันไม่ต่างจากการดูตัว

“ผมนึกว่าคุณไม่ชอบไปกันหลายคน ถึงเลือกจะให้ผมมาตามซะอีกจะได้อยู่กันตามลำพัง” นัมแทบงแกล้งเย้าเรียกอาการขัดขืนที่หายไปสักพักให้กลับมาอีก

“คุณอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณจะมาไม่งั้นฉันลงมาตั้งแต่แรกแล้ว” ร่างเล็กถูกกดให้นั่งตรงมุมที่มองเห็นวิวทะเลสวย เพลงเพราะที่ร้องสดก็แสนจะโรแมนติก แสงไฟสลัวถูกประดับระยิบระยับคล้ายดาวอยู่ทั่วพื้นที่โล่งจนทำให้อดตะลึงไม่ได้

“ที่นี่สวยจริงๆบรรยากาศน่าประทับใจมากคุณว่าไหม คุณมาที่นี่กี่ครั้งแล้ว”

“ฉันเองก็พึ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกเหมือนกัน รู้อยู่ว่าภูเก็ตมีแต่ที่สวยมากแต่ที่นี่ก็อยู่ไกลกรุงเทพ ถ้าพวกเราไม่ได้มาเครื่องบินคงถึงที่นี่พรุ่งนี้เย็นพอดี”

นัมแทบงยกมือเรียกบริกรเพื่อขอเมนู ก่อนส่งเมนูที่มีรูปน้ำพั้นช์ปั่นต่างๆให้หญิงสาวที่หยิบไปถือไว้ในมือ

“เรามาสั่งเครื่องดื่มกันก่อนดีกว่า พักอารมณ์ไม่ดีไว้ก่อนช่วยสั่งเบียร์ให้ผมล่ะกัน”

หญิงสาวยังคงหน้าบึ้งแต่ก็สั่งเบียร์ให้ตามที่เขาต้องการและสั่งพั้นช์สีสวยให้กับตัวเอง แล้วหันไปมองวิวทะเลยามค่ำคืนแทนที่จะมองใบหน้าหล่อที่นั่งตรงกันข้าม

“คุณอายที่รู้ว่าพี่ผมกับอาคุณวางแผนให้เรารู้จักกันหรือคุณโกรธผมกันแน่” นัมแทบงถามขณะมองร่างเล็กที่เอาแต่มองไปที่ทะเล

“ฉันไม่ได้โกรธแค่ไม่ชอบเป็นตัวตลกในสายตาใคร ไม่มีใครอยากถูกเลือกเหมือนเป็นสิ่งของ ฉันเองก็ไม่ต้องการเป็นตัวเลือกด้วย ฉันไม่อยากถูกหัวเราะจากคนที่ฉันไม่รู้จัก ไม่อยากเป็นหัวข้อสนทนาในแบบที่ตัวเองก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง ฉันถึงบอกว่าไม่ได้โกรธคุณ ฉันแค่คิดว่าฉันไม่สนุกที่จะถูกล้อเล่นด้วยความรู้สึกแบบนี้” กุมาริกาบอกยืดยาว

“มันก็จริง สำหรับผมนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกนัดบอดโดยพี่สาวตัวเอง และไม่ใช่ครั้งแรกที่ปฏิเสธหรือตอบรับผมแค่ทำในสิ่งที่เขาสบายใจ”

“ประธานนัมเหรอ...นี่คุณทำตามความรู้สึกของประธานนัมงั้นเหรอ” หญิงสาวอดแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นอกจากจะแปลกทั้งนิสัยและบุคลิกแล้ว ความคิดยังประหลาดอีกด้วยผู้ชายคนนี้

“คุณชอบผมรึเปล่า แล้วคิดยังไงถ้าเราจะเดทกันตามที่พวกเขาวางแผนไว้ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่ระหว่างคุณกับผมหรือว่าคุณติดปัญหาที่ช่างภาพคนนั้น” นัมแทบงเลิกคิ้วยังไม่ทันได้คำตอบอะไรเครื่องดื่มเย็นๆก็ถูกเสิร์ฟตรงหน้า

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพีมะตรงไหน เราเป็นเพื่อนสนิทกัน คุณเองต่างหากที่ยังไม่รู้จักฉัน พอๆกับที่ฉันไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับตัวคุณเลย แล้วคุณตัดสินใจจะคบฉันจากการตัดสินใจของประธานนัมเนี่ยนะ”

“เปล่า...ผมตัดสินจากจูบแรกของเราไง มันไม่ทำให้ผมอึดอัด” คำตอบทื่อๆ ทำเอาใบหน้าหวานเปลี่ยนสีในพริบตารวมถึงรอยยิ้มจากดาราหนุ่มที่ส่งมามันก็มากเกินความจำเป็น

“ถ้าคุณล้อเล่นแบบนี้ฉันจะลุกไปจากที่นี่ทันที” กุมาริกาหน้าเห่อร้อนไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าโกรธหรืออายมากกว่ากัน

“ผมกำลังบอกคุณอย่างจริงใจ คุณกลับโกรธเรื่องอะไร คุณอายเรื่องที่เรามีจูบแรกกันแล้วงั้นเหรอ”

กุมาริกากัดปากอยากจะหาอะไรปาหน้าหล่อตรงหน้านัก ที่ช่างพูดจาไม่คิดอะไรบ้างเลย มีแค่ตนเองที่หันรี้หันขวางกลัวคนจะมาได้ยิน แต่ก็โล่งใจตรงนี้คือประเทศบ้านเกิดของเธอ และที่นี่คงไม่มีใครเข้าใจภาษาของเขาหรอก แค่คนจำเขาได้ยังไม่มีเลย

“คุณจะพูดถึงมันทำไม เรื่องมันผ่านไปแล้ว อีกอย่างคุณอาจทำไปเพราะดื่ม...”หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆร่างสูงที่นั่งฝั่งตรงข้ามย้ายมานั่งข้างตนเอง และยิ่งอายไปใหญ่เมื่อเห็นอีกฝ่ายอมยิ้มเนื่องมาจากเห็นเธอประหม่า

“คุณรู้ไหมว่าผมสามารถดื่มเบ็กจูได้ (เบ็กจูคือเบียร์ผสมเหล้าโซจูเป็นวิธีผสมที่คนเกาหลีนิยม) มากกว่า3ขวด แล้วแค่ไวน์แบบนั้นผมจะเมาไหม” นัมแทบงยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนทำให้ร่างเล็กต้องหันหนี

“คุณนี่มันต่างจากที่ฉันคิดจริงๆ” กุมาริการีบยกมือปิดปากที่เธอเผลอพูดในสิ่งที่ตนเองคิดออกมา จนอีกฝ่ายทำหน้าสนใจ

“ไหนคุณลองพูดถึงผมให้ฟังหน่อย ผมชักอยากรู้แล้วว่าคุณคิดว่าผมเป็นคนแบบไหน” ดาราหนุ่มเท้าคางยื่นใบหน้าหล่อใกล้ซะคนมองใจสั่น

“ก็...ก็โปล์ไฟล์หรือข่าวที่ฉันเห็นคุณดูเย็นชา เก็บตัวและก็เมินเฉย แต่สิ่งที่ฉันเห็น คุณก็เป็นคนมีน้ำใจใช้ได้ อย่างกับเพื่อนของฉัน คุณยิ้มให้เธอเมื่อคุณรู้ว่าเธอเป็นแฟนคลับคุณ มันทำให้ฉันคิดได้ว่าคุณก็มีมุมที่น่ารักเหมือนกัน ที่สำคัญคุณรักพี่สาวคุณมากใส่ใจความรู้สึกเธอ แม้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ” กุมาริกาเสียงเบาไปเล็กน้อยกับประโยคสุดท้าย นี่เธอกำลังน้อยใจเขาอยู่รึเปล่านะ

“อืม...นั่นคือผมในแบบที่คุณคิดเหรอ จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ดีอะไรหรอก ผมแค่ไม่ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบก็แค่นั้น แต่คุณจะได้สิทธิในการรู้จักผมให้มากขึ้น ไม่ใช่เพราะพี่สาวผม แต่เป็นเพราะผมคิดว่าผมเองก็อยากรู้เรื่องคุณมากขึ้นอีกเหมือนกัน” ดวงตาเรียวมองนิ่ง บอกถึงสิ่งที่เขารู้สึกออกมา

“ฉัน...”

“คุณ...คิดว่ายังไง

“แต่พรุ่งนี้คุณก็จะกลับแล้ว” กุมาริกาบอกเสียงแผ่ว จู่ๆก็รู้สึกใจหาย

“คุณสามารถติดต่อผมได้ ไปหาผมได้ อาคุณน่าจะตามตัวผมให้คุณได้ไม่ยาก” นัมแทบงเอ่ยติดตลกใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงมาระผิวแก้มปัดไปข้างใบหู สัมผัสอบอุ่นก่อตัวขึ้นประหลาด

“คุณว่าเราควรคบกันเหรอ เพียงเพราะพี่สาวคุณชอบฉัน คุณก็มั่นใจว่าฉันดีเหรอ”

“คุณอาจไม่เชื่อ...ผมไม่ชอบหลอกความรู้สึกตัวเอง ผมรู้สึกดีเมื่อคุณอยู่ใกล้และไม่บ่อยนักที่ผมไม่รู้สึกอึดอัดใจเมื่อโดนเข้าใกล้จากเพศตรงข้าม ส่วนมันจะไปได้ไกลขนาดไหน คุณไม่คิดเหรอว่ามันน่าสนใจที่จะเรียนรู้อย่างน้อยตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกันไปก่อน” นัมแทบงยิ้มกว้าง สบตากลมท้าทายชวนให้เชื่อในสิ่งที่ตนเองพูด

“อากุลบอกว่าเขาเชื่อในพรหมลิขิตสำหรับฉันมันคือเรื่องที่เป็นไปได้ยาก... คุณรู้เรื่องที่อาฉันชอบพี่สาวคุณไหม” เมื่อเห็นชายหนุ่มพยักหน้าเธอจึงพูดต่อ

“ฉันไม่รู้ว่าพี่สาวคุณไม่ชอบอาฉันเพราะอะไร แต่ตลอดมาฉันเห็นอากุลมีพี่สาวคุณอยู่ในใจ คุณรู้ไหมในห้องอากุลมีรูปพี่สาวคุณที่หัวเตียงด้วยล่ะ ฉันเห็นมันตั้งแบบนั้นมาตั้งแต่ฉันยังเล็กมาก จริงๆนะถึงตอนนี้ทั้งคุณและฉันยังไม่แน่ใจอะไรเกี่ยวกับความรู้สึกของเราแต่ฉันอยากลองเชื่อในสิ่งที่อากุลพูดดูสักครั้ง” หญิงสาวยิ้มหวานแต่ไม่สามารถสบตอบตาเรียวที่จ้องตอบมาได้นาน จึงแก้เขินด้วยการตีไปที่ต้นแขนของดาราหนุ่มแทน

“โอ้ย!!เจ็บนะ”

“ก็คุณหว่านเสน่ห์ใส่ฉันทำไมล่ะ” กุมาริกาขำกับการลูบแขนไปมาของร่างสูงที่ทำท่าว่าเจ็บซะเต็มประดา

“นี่คุณเขินผมเหรอ”

“ก็คุณมองแบบนั้นทำไมล่ะ”

“แบบไหน” ซุปตาร์หนุ่มเย้าส่งนัยย์ตาหวาน

“ก็แบบนี้ไง”หญิงสาวใช้มือจิ้มไปที่ตาเจ้าปัญหาจนนัมแทบงหลบแทบไม่ทัน

“เฮ้!!คุณมันอันตรายนะ ตาผมบอดขึ้นมาต้องดูแลผมไปตลอดด้วย ผมไม่แกล้งแล้วเอาอย่างงี้ดีกว่าเรามาจับคู่ให้สองคนนั่นกันดีกว่าไหมอย่างน้อยมันน่าจะทำให้สถานะการณ์ของสองคนนั่นดีขึ้นด้วย” นัมแทบงยื่นข้อเสนอใหม่

“นี่นายไม่หวงพี่สาวรึไง เที่ยวมายกให้คนอื่นง่ายๆ”

“คนอื่นที่ไหนอาคุณไม่ใช่รึไง อีกอย่างกอนฮยองผมก็รู้จักเขามานาน ผมชอบเขานะ” ชายหนุ่มบอกจริงจัง

“อากุลเป็นคนดีจริงๆ เรื่องนี้ฉันรับรองได้ แถมยังป๊อบในหมู่สาวๆเซเลปด้วยนะ ทั้งดารา นางแบบ อากุลยังไม่สนใจเลยจนโดนลือว่าเป็นเกย์แล้ว” กุมาริกาบอกปนหัวเราะ

“กุ-มา-ริ-กา ...เรียกยากจังมันมีความหมายไหม”

“มีสิ...ชื่อของฉันพ่อตั้งจากดอกไม้ที่แม่ชอบ ตอนแม่ตั้งท้องฉันดอกกุมาริกากำลังผลิช่อพอดี ที่บ้านฉันมีเยอะเลย ดอกสีขาวเล็กๆออกเป็นช่อ กลิ่นมันหอมมากเลยนะ” กุมาริกาบอกความหมายของชื่อตนเองอย่างภูมิใจ

“อืม...ผมคิดว่าดอกมันคงสวยมาก”

“ไม่รู้สิ พ่อบอกว่าที่พ่อปลูกต้นกุมาริกาไว้เพราะเมื่อเวลามันออกดอกจะส่งกลิ่นหอมแรง แถมต้นมันยังทนแล้งได้ดี โตไว ดอกจะบานพร้อมกันมันทำให้เรารู้ว่าถึงหน้าหนาวแล้ว นั่นคือสิ่งที่ฉันจำได้”

“คุณพูดถึงพ่อกับแม่ ฟังดูแล้วครอบครัวคุณอบอุ่นดีนะ เมื่อก่อนผมมักอิจฉาคนที่เขามีพ่อแม่พร้อม ขณะที่ผมมีเพียงพี่สาวเท่านั้น นั่นคงเป็นอีกสาเหตุที่ผมดูเงียบ” นัมแทบง งงกับสิ่งที่ตนเองพูดเหมือนกัน เขาไม่ชอบพูดถึงเรื่องตนเอง โดยเฉพาะเล่ามันให้คนอื่นฟังแต่เขากับพูดถึงมันกับเธอ

กุมาริกาเห็นแววเศร้าวูบหนึ่งในตาคู่นั้นก่อนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวบอกตัวเองว่ามันคงดีไม่น้อยถ้าเขาจะเล่าสิ่งที่คิดหรือเรื่องที่เก็บไว้ในใจให้เธอฟังบ้าง

“พ่อกับแม่ฉันตอนนี้ท่านใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่ออสเตรีย พ่อฉันท่านเป็นมะเร็งกระดูกกว่าเราจะรู้ท่านก็อยู่ในระยะที่สามปลายๆแล้ว หมอบอกว่าท่านจะอยู่ได้ไม่เกิน2ปี แต่ท่านก็อยู่มาได้นานจนถึงตอนนี้ผ่านมา3ปีแล้ว แต่ท่านก็ยังสู้ กับความเจ็บปวด ท่านอยู่ในระยะลุกลามแล้ว แม่เลยต้องไปคอยดูแลใกล้ชิดพวกท่านรักกันมาก ฉันเองถ้ามีเวลาก็จะไปหาพวกท่าน”


“คุณไม่เหมือนพวกมีปัญหาหนักๆในชีวิตเลย คุณดูร่าเริง สดใส ทั้งที่ชีวิตคุณก็มีปัญหาหนักมาก” นัมแทบงอดสงสัยไม่ได้ เธออยู่อย่างมีความสุขได้ยังไง ทั้งที่พ่อเธอป่วยหนัก เธอทนคิดถึงครอบครัวที่อยู่ห่างไกลด้วยวิธีไหนกัน

“อาจเพราะอากุล...พอพวกท่านไม่อยู่ฉันก็เลยยึดอากุลเป็นครอบครัว ฉันสามารถคุยกับอากุลได้ทุกเรื่อง และอากุลก็คอยสนับสนุน คอยดูแลฉันเป็นอย่างดี เราเลยเป็นคู่อาหลานที่สนิทกันมากไงล่ะ”

“นั่นซิ พวกคุณสนิทกันจนเหมือนคนรักมากกว่าญาติ” นัมแทบงพยักหน้าเห็นด้วย ใบหน้านิ่งเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ทำให้หญิงสาวหมันไส้ เลยฟาดเข้าไปที่แขนดังเพี้ยะ!!ใหญ่อีก

“บ้าสิ คิดบ้าๆ” กุมาริกาค้อนวงใหญ่ก่อนประสานเสียงกันหัวเราะ ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองขำเรื่องอะไรกัน

“ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”

“ทำไม...คุณจะเอาไปทำอะไร” กุมาริกาสงสัยแต่ก็ส่งให้โดยดี และก็เข้าใจในเวลาต่อมาเมื่อนัมแทบงกดเรียกใช้งานแอปพลิ
เคชั่นสื่อสารยอดนิยมขึ้นมา

“ติดต่อผมด้วย” นัมแทบงส่งมือถือคืนให้เจ้าของ

“ถ้าฉันว่าง”

“งานคุณจะยุ่งกว่าผมเลยเหรอ ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตยังกับหุ่นยนต์” นัมแทบงตอบติดตลกผิดกับใบหน้า

“คุณนี่ก็ตลกดีนะ ฉันนึกว่าจะเป็นพวกเข้าถึงยากกว่านี้ซะอีก”

“นี่คุณเห็นผมง่ายงั้นเหรอ ผมแค่ไม่ชอบทำในสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง ผมอยากพูดเมื่อผมสบายใจ อยากหัวเราะ คุยเล่นกับคนที่ผม
ไม่อึดอัดตลอดเวลาที่ผมทำงานในวงการพวกเราผ่านเรื่องแย่ๆมามากมาย จนทำให้ผมเบื่อกว่าจะพาตัวเองมาถึงจุดนี้เราต้อง
แลกมาด้วยความยากลำบากทั้งความเป็นส่วนตัว ภาพพจน์ ต้องทำหลายสิ่งที่ไม่ต้องการ”

“แต่คุณก็ประสบความสำเร็จแล้วนี่ ตอนนี้คุณเป็นที่รู้จักทั้งในและนอกประเทศ ติดTOP10 Asia เป็นหนุ่มที่สาวๆอยากเดทด้วย พอตอนนี้ฉันได้รู้จักคุณ ฉันยังรู้สึกปลื้มแทนประธานนนัมเลย”

“ย๊ากส์...นี่คุณทำยังกับว่าผมเป็นเด็กน้อยอย่างั้น ปลื้มกับความสำเร็จอะไร ผมอายุมากกว่าคุณหลายปีนะ...เรียกผมว่าโอป้าเดี๋ยวนี้เลยยัยเด็กแสบนี่” นัมแทบงยึดคางให้หันมาทางตนเองออกคำสั่ง มองดวงตากลมโตสดใส

##โอป้า เป็นคำที่ผู้หญิงใช้เรียกผู้ชายที่อายุมากกว่าแปลว่าพี่ชาย##


“ก็ได้ในฐานะที่เรารู้จักกันในระดับหนึ่งแล้ว...อาจอชิ”

## อาจอชิ สรรพนามใช้เรียกชายวัยเกือบ30ปีขึ้นไปจนถึงกลางคน##

“อาจอชิ...ย๊ากส์ ยัยเด็กแสบ คิดจะกวนประสาทผมรึไง” แทบงดึงร่างบอบบางเข้าหา ก่อนดึงแก้มใสอย่างนึกเอ็นดู

“โอ้ยเจ็บนะ..โอป้า แทบงโอป้าพอใจรึยัง”กุมาริกายกมือลูบแก้มด้วยความเจ็บที่โดนดาราหนุ่มบีบ

สิ้นเสียงใสหัวใจคนฟังก็กระตุก คนเรียกไม่รู้ตัวว่าเสียงตนเองจะกดถูกปุ่มรอยยิ้มได้ “เรียกใหม่สิ”

“โอป้า..”

“ว่าง่ายน่ารักจริง” นัมแทบงไล้แก้มบางเบา ยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อเจ้าของตากลมยิ้มสดใส

“รู้ไหม..คุณน่าจะยิ้มบ่อยๆนะ ยิ้มของคุณมันทำให้คนมีความสุขได้จริงๆนะ” กุมาริกาบอกยิ่งมองใกล้ๆก็ยิ่งคิดว่าเขาเหมาะกับฉายารอยยิ้มเทวดาจริงๆ เพราะยิ่งเขายิ้มราวกับสวรรค์กำลังให้พรเธอ

“แปลว่าคุณมีความสุขเมื่อผมยิ้มเหรอ”

กุมาริกาไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงพยักหน้ารับคำถามชวนเขินอายนั่น แต่เธอเลือกจะยอมรับในสิ่งที่คิด

“ฉันว่าคุณยิ้มแล้วดูดีมาก ดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่”

นัมแทบงหัวเราะออกมากับคำตอบตรงๆของหญิงสาว แม้มันดูไม่เหมือนคำชมแต่เขากลับรู้สึกว่าฟังแล้วทำให้เลือดสูบฉีดร่างกายไม่น้อย

“ถ้าคุณชอบ...ผมจะยิ้มบ่อยๆ งั้นขอโทรศัพท์หน่อย”

นัมแทบงรั้งร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนส่งยิ้มสดใสทันทีเมื่ออยู่หน้ากล้องสมเป็นมืออาชีพ ทุกมุมของเขาเป๊ะยังกับถ่ายลงนิตยสารมีแต่เธอคนเดียวที่ทำหน้าไม่ถูก ไหนจะเขินอายกับสัมผัสอุ่นที่เธอรู้สึกว่ามันทำให้ใจเธอเต้นแรงเกินไป

“เออ...นี่มันก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว เวลาเดินเร็วจังเลยฉันว่าเรากลับกันดีกว่า พรุ่งนี้เดี๋ยวจะพาทัวร์ก่อนกลับดีไหมโอป้า”

“อืมได้”

นัมแทบงรู้สึกประหลาดใจที่ยังอยากอยู่ใกล้ชิดกับหญิงสาวนานกว่านี้ แต่ก็ต้องลุกยืนตามร่างเล็กที่รั้งแขนตนเองให้ลุกเดินตามกันไป อุ้งมือใหญ่กระชับมือเล็กไปตลอดทางจนถึงห้องพัก

“ชัลจา” กุมาริกาลากเสียงเย้าอย่างล้อเลียน

“ชัลจาโยกัมมี่” นัมแทบงยิ้มยกมือขึ้นโบก

คืนนี้จบลงด้วยมิตรภาพดีๆ การเปิดใจมันต้องใช้เวลาแทบงบอกตนเองแต่มันคงใช้เวลาไม่นานถ้าคนๆนั้นเป็นเธอกุมาริกา ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ
##잘 자요.- ชัลจาโย ฝันดี##

กุมาริกายิ้มอย่างอารมณ์ดีแต่ก็แสร้งหน้ามุ่ยเมื่อปิดประตูลงเจอกุลธีร์นั่งรออยู่ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

“ไปไหนมา อาโทรไปก็ไม่ยอมรับสาย อาเป็นห่วงไม่รู้รึไงแล้วไปกับแทบงรึเปล่า”

กุมาริกาพยักหน้าช้าๆ แกล้งทำเมินเพราะยังงอนอาสุดที่รักไม่หายที่ทำอะไรไม่ปรึกษาเธอก่อน

“อากุลจะมาโทรหาเขาทำไมล่ะ ตัวเองก็เดทไปสิ”

“ยัยหลาน อาไปเดทที่ไหนแค่ไปกินข้าวก็ยัยหลานไม่ไปแทบงก็ไปไหนไม่รู้เหลือแค่คนแก่ๆนะสิ อาขอโทษสัญญาว่าถ้ามีเรื่องสำคัญอาจะบอกยัยหลานก่อนทุกครั้ง”กุลธีร์สำนึกผิดหน้าเศร้า

“ถ้าอากุลผิดสัญญาอีกที่นี้ เขาจะไม่พูดด้วยเลย” กุมาริกาขู่

“แล้วกับแทบงไปได้ดีไหม เขาพูดอะไรไม่ดีกับหลานอารึเปล่า”

“ก็ไม่นี่....เขาก็เป็นคนที่คุยได้” กุมาริกาตอบหน้าทะเล้น เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาดื่มทำไม่สนใจกับอาการตื่นเต้นของผู้เป็นอา

“ตกลงหนูกับแทบงลองคบกันแล้วใช่ไหม”

“ก็ไม่นะไม่ได้คุยเรื่องนั้นกัน เขามองว่าปล่อยเป็นเรื่องของเวลามากกว่าก็แค่เริ่มจากเพื่อนไปก่อน”

“แล้วแทบงเขาว่าไงบ้าง เขายอมยัยหลานรึเปล่า” กุลธีร์อยอยากรู้ในรายละเอียดจนหลานสาวตัวดีนึกอยากแกล้ง

“เขาง่วงแหละไปนอนดีกว่าพรุ่งนี้ว่าจะพาโอป้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า”

“โอป้า...นี่ถึงขั้นเรียกโอป้ากันแล้วแปลว่าสนิทกันแล้วสินะ”

“ก็อากุลอยากให้เขาสนิทกันไว้ไม่ใช่รึไง แทบงโอป้าอายุมากกว่าเขาเรียกอาจอชิก็ไม่ยอมบอกให้เรียกโอป้า เขาก็ต้องเรียกนะสิ”

กุมาริกาอมยิ้มเมื่อเห็นแววตามีความสุขของกุลธีร์ ก่อนจะวิ่งเข้าห้องไปเพื่อตัดการสนทนาที่พาลจะเข้าตัวเองไปมากกว่านี้ บางเรื่องเธอก็อยากเก็บไว้มีความสุขคนเดียวนี่นา

เวลาแห่งความสุขมักรวดเร็วเสมอ กุมาริกาบอกตนเองอดใจหายไม่ได้ที่จะไม่ได้เห็นใบหน้าเรียบเฉยของร่างสูงใกล้ๆแล้ว รู้ตัวอีกที่เธอกับกุลธีร์ก็มายืนส่งเขากลับอยู่ที่สนามบินแล้ว

นึกถึงเมื่อตอนรุ่งเช้าเธอลุกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกับเขา ไปถีบจักยานเลียบถนนริมหาดเดินดูคลื่นทะเลในตอนเช้า แต่พอตกบ่ายเราก็ต่างต้องแยกย้ายไปในที่ของตน นัมแทบงก็กลับไปอยู่ในสังคมของเขาส่วนเธอก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมนั่นคือเรื่องจริง

“เราคงต้องแยกกันที่นี่เลย ไว้ผมว่างจะบินไปเยี่ยมคุณบ้างนะเยริน” กุลธีร์ยิ้มบอกความนัย

“ค่ะ..ฉันหวังว่ามันจะเร็วๆนี้ค่ะกอน ฉันคงคิดถึงหนูแน่เลยกัมมี่” นัมเยรินยิ้มหวานหันไปสวมกอดร่างบางที่ยืนข้างกุลธีร์ก่อนมองน้องชายตนเองที่เอาแต่ยืนนิ่งภายใต้แว่นกันแดดสีเข้ม

“เดินทางปลอดภัยคะ” กุมาริกากล่าวลาทุกคนด้วยรอยยิ้มสดใสและหยุดนิ่งที่ร่างสูง เธอรู้ว่าเขามองอยู่แม้จะมองไม่เห็นประกายในตา แต่เธอเข้าใจมันได้หน้าที่ของเขาคือการวางตัวที่ดีแม้ไม่มีรอยยิ้มกว้างแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าเขายิ้มน้อยๆที่มุมปากนั่น

ตอนอยู่ที่ชายหาดนัมแทบงบอกเธอว่า ที่เขาไม่อยากผูกมัดใครเพราะงานที่เขาทำมันคือเป้าสายตา มันคงดูเห็นแก่ตัวที่ตัวเองไม่สามารถดูแลคนรักได้หรือไม่สามารถอธิบายถึงเธอคนนั้นกับใครๆได้และในไม่ช้าเธอคงเจ็บปวดและเลือกที่จะจากเขาไปเอง นั่นคือสิ่งที่เขาอยากให้ใครสักคนเข้าใจ

“พี่หวังว่ากัมมี่จะชอบมันนะ” ถุงใบเล็กสีขาวจากแบรนด์ดังในสนามบินถูกยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว

“คัมซาฮัมนิดาถึงเขาจะไม่รู้ว่าข้างในเป็นอะไรแต่จะใช้มันอย่างดีคะ” กุมาริกามองสบยิ้มหวานเป็นครั้งสุดท้ายกับมิตรภาพที่พึ่งเริ่มต้น

##감사합니다!-คัมซาฮัมนิดา หมายถึง ขอบคุณค่ะ##

เสียงจังหวะริงโทนแดนซ์กระจายดังขึ้นติดๆกัน จนเจ้าของต้องควานหาอย่างเซ็งๆแต่พอเห็นหน้าจอโชว์ชื่อเจ้าของเลขหมายทำเอาปารีย์รีบกดรับ

“ฮัลโหล..กัมมี่ ไหนแกบอกจะเข้าบริษัทวันนี้ไงล่ะนี่มันจะห้าโมงเย็นแล้วนะแก”

“ก็นี่ไงฉันถึงได้โทรหาแกว่าไม่ต้องรอ ฉันคงกลับบ้านกับอากุลเลยถึงกรุงเทพแล้ว พอถึงปุ๊บฉันก็โทรหาแกปั๊บเลย” กุมาริกาบอกอย่างอารมณ์ดี

“แกไม่ต้องมาอารมณ์ดีใส่ฉันเลย แกรู้ไหมว่าเมื่อคืนฉันกับเจ๊เกิ้นแทบบ้าตาย ไอ้พีเมาเละเพราะเรื่องหึงแกกับนัมแทบง วันนี้ทั้งวันมันก็ไม่เข้าออฟฟิทฉันว่าคงแฮงค์อยู่คอนโดแหละ”ปารีย์โวยวาย

“หึง...หึงฉันเนี่ยนะ พีจะมาหึงฉันเรื่องอะไรไม่ใช่ว่าโกรธที่เตือนฉันไม่ฟังหรอกเหรอ” กุมาริกางุนงง

“นี่แกเป็นเด็กอมมือรึไง แอบรัก...แกเคยรู้จักไหม ฉันกับเจ๊เกิ้นยังรู้เลยแล้วแกจะมาบอกไม่รู้ได้ยังไงในเมื่อพีมันออกจะใส่ใจแกอยู่คนเดียวกับคนอื่นมันสนใจใครที่ไหน”

“แต่ฉันเห็นพีมันเล่นไปทั่ว ฉันเลยไม่แน่ใจว่ามันแค่แกล้งเล่นสนุกหรือจริงจัง”

“อืม...พรุ่งนี้มันคงมา แกแวะไปหามันหน่อยแล้วกันอย่างน้อยถ้ามันเห็นแกอาการบ้าบออาจจะดีขึ้น”ปารีย์ย้ำก่อนวางสาย

กุมาริกาถอนหายใจนี่พีมะชอบเธอจริงๆเหรอ ทำไมเขาถึงไม่บอกเธอตั้งแต่แรกล่ะทำไมปล่อยเวลาให้นานมาจนถึงป่านนี้ ทำไมถึงต้องทำว่าเสียใจเพราะเธอด้วย แล้วเธอจะทำยังไงดี...

“มีเรื่องอะไรรึเปล่ายัยหลานได้ยินเรียกชื่อพีมะ ไอ้ตัวแสบประจำบริษัทก่อเรื่องอะไรอีก”กุลธีร์ถามเมื่อเห็นหลานสาวเงียบไปจนผิดสังเกตุ

“ไม่มีอะไรหรอกอากุล แค่เขาคุยสนุกกับปุยฝ้าย”

“แน่ใจนะถ้าอารู้ว่าสร้างปัญหาล่ะก็ จะหักเงินมันให้หมดเลย” กุลธีร์บอกคาดโทษ




พบกะรัณย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2558, 00:00:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ย. 2558, 12:07:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1043





<< เปิดใจ 7.2   คำสั่งพิเศษ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account