เพียงใจปรารถนา
อดีตอันแสนโหดร้ายในวัยเด็กทำให้ เวหา เติบโตมาเป็นผู้ชายแข็งกร้าวและเย็นชา ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถผ่านด่านหัวใจเขาไปได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไร้ความรู้สึก เมื่อผู้หญิงที่เขาแอบรัก แต่ไม่สามารถครอบครอง ถูกคนรักของตนเองขอเลิกและไปแต่งงานกับ ปริญดา หญิงสาวผู้ซึ่งเพียงต้องการหนีปัญหา เธอจึงต้องตกเป็นจำเลยแห่งความโกรธแค้นของชายหนุ่ม ที่สำคัญ...เขาทำให้เธอตกหลุมรัก ยอมจำนน และทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีเพื่อแก้แค้นให้สมน้ำสมเนื้อที่เธอทำให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเสียใจ!

แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 35


สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน อีก 5 บทก็ใกล้จะจบแล้ว ในตอนหน้าจะเริ่มลบบทที่1-15 ออกนะะคะ เพราะตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักพิมพ์ (ไม่รู้จะผ่านหรือเปล่าเพราะดราม่าหนักเหลือเกิน 555) ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันนะคะ ^_^

เจอกันวันจันทร์หน้า สุขสันต์วันศุกร์วันสุดท้ายของสัปดาห์ค่า ^^


เพียงใจปรารถนา ตอนที่ 35


เวหานั่งเหม่อมองไปยังเบื้องหน้า ที่โถงโรงพยาบาลใกล้ห้องฉุกเฉินดูเงียบเหงาเพราะเจ้าหน้าที่และพยาบาลส่วนใหญ่ต่างทยอยพากันไปทานกลางวันกันหมดแล้ว เกือบชั่วโมงหลังจากที่เขายินยอมบริจาคเลือด เขาก็มานั่งรอดูอาการของบิดาที่หน้าห้องฉุกเฉินนี้ได้สักพักโดยมีปวรานั่งหน้าเครียดอยู่ข้างกัน

ระหว่างที่รอหมอออกมาจากห้อง เขาก็นั่งคิดอะไรไร้สาระไปเรื่อยเปื่อย จิตใจเขาตอนนี้เย็นลงมากกว่าตอนที่เพิ่งมาถึง ความเกลียดชังและความแค้นที่ฝังแน่นอยู่ในหัวใจเขาถูกกัดกร่อนทีละนิดๆ

อาจเป็นเพราะคำบอกเล่าจากปวราหรือเพราะความรักและความคิดถึงในตัวบิดาที่มันซ่อนอยู่ในส่วนลึก ส่งสัญญาณเตือนให้เขาเลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นในตัวบุพการีเสียที แต่ด้านมืดในใจของเขาก็ยังส่งเสียงแย้งมาว่าบิดาเขาเห็นแก่ครอบครัวตัวเองจนยอมทิ้งลูกเมียให้ตรอมใจตายโดยไม่มาเหลียวแลเลยเกือบยี่สิบกว่าปี

เวหาระบายลมหายใจด้วยความหงุดหงิด ยิ่งคิดก็ยิ่งวกกลับมายังวังวนเดิมๆ เขาไม่สามารถทำใจให้ลืมเรื่องในอดีตและภาพที่มารดาตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เขาช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย

“หมอออกมาแล้วค่ะ!”

เสียงร้องดีใจของปวราไล่ความคิดทั้งมวลออกจากหัว เขารีบลุกขึ้นตามไปหยุดยืนรอฟังผลข้าง ๆ

“อาการคุณภาคเป็นยังไงบ้างคะ” ถามน้ำเสียงกระวนกระวาย

คุณหมอดึงผ้าปิดปากลง สีหน้าเขาดูเหนื่อยล้าเมื่อต้องอยู่ในห้องผ่าตัดนานหลายชั่วโมง “ตอนนี้คนไข้อาการทรงตัวและคงต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด แต่หมอไม่อยากพูดว่าคนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว เพราะเขาเสียเลือดไปมาก คนไข้หายใจเองไม่ได้ ตอนนี้เราจึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจร่วมด้วย”

ปวราเข่าอ่อนแทบจะล้มไปตรงนั้น เวหารีบเข้าไปพยุงไว้ได้ทัน แล้วรีบเอ่ยปากถามบ้าง

“แต่ผมก็ให้เลือดไปแล้วหนิครับ อาการน่าจะดีขึ้นบ้าง”

คุณหมอมีสีหน้าหนักใจไม่แพ้กัน ก่อนจะพูดขึ้นน้ำเสียงแหบแห้ง “ครับ แต่แผลที่ข้อมือมีถึงสามแผลด้วยกัน แล้วรอยแผลก็เป็นรอยหยักและถลอกเนื่องจากเขาใช้เศษแก้วที่แตกกรีดข้อมือ ทำให้ภายในแผลมีเศษแก้วเล็ก ๆ กระจายติดอยู่ ถึงหมอจะเอาออกหมดแล้วแต่ก็ใช่ว่าบาดแผลจะไม่ติดเชื้อในภายหลัง”

ปวราน้ำตาไหลอาบแก้ม สะอื้นร้องไห้ราวกับขาดใจ เกาะเกี่ยวเวหาไว้แน่นเป็นหลักยึด ปากก็พึมพำไม่หยุด “โธ่ คุณภาค เขาจะตายไม่ได้นะคะ เขาจะไปแบบนี้ไม่ได้นะ คุณหมอต้องช่วยเขานะคะ ช่วยเขาด้วยนะคะ”

“ญาติใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ” คุณหมอเตือนสติ

“ผมบอกตรง ๆ ว่าตอนนี้ต้องขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนไข้แล้วล่ะครับ จากการเช็คประวัติ ก่อนหน้านี้คนไข้เคยพยายามฆ่าตัวตายด้วยวิธีการเดียวซ้ำ ๆ มาหลายครั้งติด ๆ กัน และสามสี่วันหลังนี้คนไข้มีอาการรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะอาการเพ้อถึงเรื่องในอดีต จนทางโรงพยาบาลต้องมัดเขาไว้กับเตียง แต่วันนี้เขาสามารถดิ้นหลุดมาได้ และคิดฆ่าตัวตายอีกครั้ง แสดงถึงสภาวะของคนไข้ที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ซึ่งถึงแม้เราจะพยายามรักษาอย่างเต็มที่ แต่ถ้าจิตใจและร่างกายคนไข้อ่อนแอแบบนี้..... ทีมแพทย์เราก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่เราก็จะช่วยอย่างสุดความสามารถครับ”

เวหาได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็น้ำตาเอ่อคลอออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกถึงอาการโหวงเหวงในใจเมื่อรู้ว่าโอกาสที่บิดาจะมีชีวิตรอดนั้นริบรี่เพียงใด ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ด้วยความขมขื่นของปวราด้วยแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกใจหาย กลัวว่าจะสูญเสียบิดาไปจริง ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาแทบจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าท่านจะเป็นตายร้ายดีเพียงใด

“ขอให้พวกเราได้เข้าไปดูเขาหน่อยได้ไหมคะหมอ” ปวราถามเสียงเครือ

คุณหมอยิ้มน้อย ๆ “ได้สิครับ แต่ตอนนี้คนไข้อยู่ที่ห้องไอซียู ผมคงให้เวลาเยี่ยมได้ไม่นานนะครับ”

ปวราพยักหน้ารับ “ขอบคุณมากค่ะหมอ” พูดจบ หล่อนก็หันไปถามเวหา “คุณจะเข้าไปด้วยกันไหมคะ”

ชายหนุ่มเงียบไปพักใหญ่ ความสับสนในใจตนเองยังตีกันให้วุ่น

“คุณเวหา...อย่าลังเลอีกเลยค่ะ นี่อาจจะเป็น...” ปวราต้องหยุดพูดเมื่อเสียงมันจุกอยู่ในอกจนเปล่งออกมาไม่ได้ น้ำตาหลั่งไหลพรั่งพรูอีกครั้งเมื่อหล่อนพูดออกมา

“นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะได้พบพ่อของคุณ...เรื่องอะไรที่มันยังค้างคาใจคุณ ขอให้คุณลืมไปก่อนได้ไหมคะ ถือว่าฉันขอร้อง...”

เวหาหลับตาพลางกลั้นหายใจครู่ใหญ่ ก่อนจะปล่อยออกมายาวเหยียด คงถึงเวลาแล้วสินะที่เขาควรเลิกจมปลักกับอดีตอันปวดร้าวที่ไม่มีอะไรน่าจดจำเสียที

“ไปทั้งสองคนนั่นแหล่ะครับ ถึงแม้คนไข้ยังไม่ได้สติ แต่หากคนใกล้ชิดลองพยายามพูดคุยเรื่อย ๆ ผมว่าคนไข้น่าจะรับรู้ได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้อาการของคนไข้ดีขึ้นก็ได้” คุณหมอตัดสินใจให้เสร็จสรรพ พร้อมกับเดินนำทั้งคู่ไปยังทางเข้าห้องไอซียู ปวราและเวหาจึงต้องเดินตามเข้าไปโดยปริยาย



เวหาหัวใจเต้นรัวแรงด้วยความตื้นเต้นเมื่อมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องไอซียู เหงื่อของเขาไหลซึมตามไรผมแม้อากาศภายในจะเย็น เขาเหลือบมองผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ ที่หน้าประตูห้องด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นกับการที่จะได้เจอหน้าบิดาอีกครั้ง และเป็นการเจอกันในรอบหลายสิบปีที่ช่างประดักประเดื่อที่สุดเพราะสภาพของท่านตอนนี้ไร้ซึ่งอาการตอบสนองใด ๆ

มือเย็น ๆ ของปวราเอื้อมมากุมมือเขาเอาไว้แล้วบีบจนแน่น เวหาหันไปสบตาที่มองกลับมาด้วยแววตาจริงใจและเป็นมิตร สื่อให้เขารู้ว่าหล่อนเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกของเขาตอนนี้ว่ากำลังสับสนเพียงใด

“อ้อ หมอลืมไป” คุณหมอพูดขัดขี้นก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเลโก้รถที่สีเริ่มซีดจางออกมายื่นให้เวหา แล้วเอ่ยว่า “ก่อนรักษา ผมเห็นของเล่นชิ้นนี้อยู่ที่มืออีกข้างของคนไข้ครับ ผมเลยเก็บไว้ให้ คิดว่าน่าจะสำคัญเพราะคนไข้กำไว้แน่นทีเดียว”

เวหายื่นมืออันสั่นเทาไปรับเลโก้นั้นมา มองจ้องมันไม่วางตาราวกับต้องการจะดึงภาพความทรงจำเก่า ๆ จากของเล่นของเขาเมื่อตอนเป็นเด็กชิ้นนี้ออกมาจากสารระบบในสมองส่วนลึกที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้วว่าเคยมีความสุขมากแค่ไหนเมื่อตอนยังเด็ก ของเล่นมากมายที่บิดาเขาซื้อมาให้ไม่มีชิ้นไหนที่เขาชอบมากที่สุดเท่ากับชุดของเล่นเลโก้ที่เขากับบิดาใช้เวลาว่างสร้างสรรตัวต่อต่าง ๆ จนลืมเวลาอยู่ร่ำไป

ชายหนุ่มเผลอยิ้มเศร้า ๆ ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ภาพวันสุดท้ายที่เขาได้กอดบิดาและมอบเลโก้ชิ้นนี้ให้เป็นของต่างหน้า เขาจดจำความรู้สึกของวันนั้นได้ดีว่าเขาเสียใจมากแค่ไหนที่บิดาจะต้องจากไปโดยไม่รู้ว่าจะกลับมาหาเขากับมารดาเมื่อไร และวันนั้นเองที่ความรักอันล้นปริ่มต่อบิดาขาดสะบั้นและแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นเมื่อต้องเห็นมารดามาสิ้นใจต่อหน้าต่อตาแบบนั้น

“คุณครับ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ...” คุณหมอทักขึ้นเมื่อมองร่างที่สั่นเทิ้มของเวหา นัยน์ตาแดงก่ำ

เวหาส่ายหน้าแล้วรีบเก็บเลโก้นั้นใส่กระเป๋ากางเกง “ไม่มีอะไรครับ”

“งั้นก็เชิญทางนี้เลยครับ ผมคงให้เยี่ยมได้สักพัก แล้วจะให้พยาบาลเข้ามาเรียกนะครับ” คุณหมอผลักประตูห้องเข้าไปแล้วผายมือให้ทางกับคนทั้งคู่

ปวราเดินนำเข้าไปก่อน แล้วหล่อนก็แทบจะถลาเข้าไปที่ข้างเตียงส่งเสียงเรียกชื่อแหบโหยเมื่อเห็นสภาพของสามีที่นอนแน่นิ่งราวกับคนตาย มีเครื่องช่วยหายใจใส่อยู่ในปาก ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด สายมากมายระโยงระยางอยู่รอบหัวเตียงเต็มไปหมด

ปวรายกสองมือขึ้นปิดปาก พยายามห้ามเสียงร้องไห้ของตนเองไม่ให้เล็ดลอดออกมา หล่อนค่อย ๆ ลากขาไปที่หัวเตียงเพื่อมองหน้าสามีชัด ๆ

เวหาเดินตามเข้ามาในห้อง เสียงประตูปิดลงด้านหลัง เขายืนห่างออกไปจากเตียงไกลพอสมควร ยังคงกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะมองหน้าบิดาอีกครั้ง เขาค่อย ๆ ไล่มองจากปลายเท้า กลางลำตัว เหลือบไปเห็นข้อมือที่มีผ้าพันแผลพันไว้ ก่อนจะมองเลยไปยังใบหน้าที่เขาแทบจำไม่ได้ว่าผู้ชายที่นอนอยู่ตรงหน้านี้คือบิดาแท้ ๆ ของเขา

ภาพสุดท้ายของบิดาที่ฝังตรึงอยู่ในจิตใจเมื่อยังเป็นเด็กคือ ผู้ชายหน้าตาดี ร่างกายกำยำสมบูรณ์ ผมดกหนาดำสนิท แต่สภาพร่างกายตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนไปมาก ผมที่เคยดกดำกลับหงอกขาวโพลน รอยเหี่ยวย่นประปรายทั่วใบหน้า ร่างกายซูบผอมจนแก้มตอบ ผิดจากภาพของบิดาในช่วงอายุวัยกลางคนที่เขาจินตนาการเอาไว้ก่อนจะมาถึงที่โรงพยาบาลโดยสิ้นเชิง

“คุณภาค...” ปวรากระซิบข้างหูเคล้าเสียงสะอื้น “ทำไมคุณทำแบบนี้คะ...ทำไมคุณถึงจะทิ้งพวกเราไปได้ลงคอ” มือสั่นเทายื่นมือไปจับแก้มของภาคภูมิแผ่วเบา ผิวของเขาเย็นเฉียบราวกับร่างกายของคนขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง พอนึกขึ้นมาหล่อนก็มองไปที่แขนข้างหนึ่งของเขาที่มีสายต่อตรงไปยังถุงเลือดที่แขวนอยู่ข้างเตียง

ปวราคลี่ยิ้มออกมาได้บ้างพลางนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงที่ดลบรรดาลจิตใจของเวหาให้ยอมละความโกรธแค้นและบริจาคเลือดให้กับบิดาของเขา หากภาคภูมิได้รู้ว่าลูกชายคนเดียว สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับภาคภูมิตอนนี้คือกำลังใจที่ดี ถ้าหล่อนมัวแต่เศร้าเสียใจก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นมา

ปวราจึงพยายามคลี่ยิ้มทั้งน้ำตา แล้วกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูเขา “คุณภาคคะ...ตื่นขึ้นมาเร็ว ๆ นะคะ ฉันพาใครคนหนึ่งมาหาคุณด้วยค่ะ ฉันรู้ว่าถ้าคุณเห็นเขาแล้วคุณต้องดีใจมากแน่ ๆ” หล่อนปาดน้ำตาทิ้ง พยายามตั้งสติให้ตัวเองสามารถพูดออกมาได้โดยไม่ร้องไห้

“ฉันใบ้ให้ก็ได้ค่ะว่าเป็นคนที่คุณคิดถึงมากที่สุด อยากเจอมากที่สุด คนที่คุณเคยเล่าให้ฉันฟังบ่อย ๆ ไงคะว่าเขาเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของคุณ และคุณก็บอกฉันอยู่หลายครั้งว่าอยากให้ฉันพาไปหาเขา” หล่อนหยุดเล็กน้อย แล้วหันไปมองเวหาซึ่งตอนนี้ได้แต่ยืนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะพูดต่อ

“ฉันจำได้ที่คุณเล่าว่าตอนเขาเ ด็ก ๆ เขาชอบตามคุณไปทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ตอนจะนอนเขาก็ชอบมานอนข้าง ๆ คุณ ขอให้คุณเล่านิทานให้เขาฟัง คุณจะมีความสุขทุกครั้งที่เล่าเรื่องของเขา คุณรู้ไหมคะ ตอนนี้เขาโตเป็นหนุ่มหล่อแล้วนะคะ ดู ๆ ไป เขาก็หน้าตาเหมือนคุณอยู่ไม่น้อย” หล่อนยิ้มให้กับภาคภูมิที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ยื่นมือไปลูบผมสีเทาของเขาแผ่วเบา

เวหาน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่ปวราพูดออกมาทำให้ความทรงจำเก่า ๆ ไหล่พรั่งพรูเข้ามาในหัวของเขาไม่ขาดสาย ขณะมองใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของบิดาซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง

เขาอยากจะเกลียด เกลียดบิดาที่ทำให้มารดาต้องฆ่าตัวตาย ทิ้งให้เขากลายเป็นเด็กกำพร้ามีปมด้อย และเขาก็เกลียดตัวเอง เกลียดที่เขาไม่สามารถช่วยชีวิตมารดาไว้ได้แต่กลับมาช่วยบิดาที่ไม่เคยเหลียวแลเขาเลยมาหลายสิบปีให้มีชีวิตต่อไปได้ และตอนนี้เขาก็กำลังจะใจอ่อนยอมอภัยให้ทุกอย่างเพียงแค่ได้เห็นหน้าบิดาอีกครั้งอย่างนั้นน่ะหรือ

“คุณเวหา...” ปวราเรียกเสียงเอื่อยๆ ยิ้มให้เขา “เข้ามาใกล้ ๆ พ่อคุณสิคะ พูดอะไรกับท่านหน่อย”

เวหาไม่แม้แต่จะขยับ ตายังคงจ้องมองร่างไร้สติของบิดาแล้วพูดว่า “ผม...คือ...ผมไม่รู้จะพูดอะไร” คราวนี้เขาหันไปมองปวรา “คุณพูดไปแล้วกัน ผมจะกลับแล้ว” เขารีบหมุนตัวไปที่ประตู

“เดี๋ยวสิคะ” ปวราร้องห้าม เข้าไปคว้าแขนเขาไว้ทันแล้วจับต้นแขนเขาแน่นไม่ให้ไปไหน “คุณเข้ามาถึงในห้องนี้แล้ว มีโอกาสได้พบพ่อคุณใกล้ ๆ และก็คุณที่ให้เลือดคุณภาคจนเขาสามารถต่อชีวิตมาได้ แล้วทำไมยังใจแข็งกับพ่อคุณอยู่อีกล่ะคะ”

เวหาอึกอัก “ผม...ไม่มีอะไรจะพูดกับเขาจริง ๆ” เขาสบตาปวราขอโทษกลาย ๆ แล้วทำท่าจะเดินออกไปอีกครั้ง

“งั้นฉันขอร้องคุณให้ช่วยอะไรหน่อยได้ไหมคะ” หล่อนรีบพูด “คุณไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ แต่ขอแค่ทำตามที่ฉันขอร้องก็พอ นะคะคุณเวหา ” ปวราอ้อนวอนน้ำเสียงเครือ

“ฉันรู้ว่าวันนี้ฉันขอร้องคุณหลายเรื่องและทำให้คุณไม่สบายใจ แต่ฉันขออีกสักครั้ง ขอให้คุณภาคได้มีความสุขเพียงเล็กน้อยถึงแม้เขาจะไม่สามารถรับรู้ได้ก็ตาม”

เวหาเหลือบไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียง สลับกับมองเลยไปยังมอนิเตอร์ที่แสดงตัวเลขอัตราการเต้นของหัวใจที่ถี่อ่อน ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะพยักหน้ารับยินยอม

ปวรายิ้มกว้างดีใจ เอ่ยขอบคุณเวหาไม่หยุด แล้วค่อย ๆ ดึงแขนของเขาให้เดินตามหล่อนมายืนข้าง ๆ เตียง จากนั้นก็เลื่อนมาจับมือของเวหา ชายหนุ่มกระตุกแขนหนีทันทีเมื่อรู้ว่าหล่อนกำลังจะทำอะไร

“คุณรับปากฉันแล้วนะคะ” หล่อนท้วง “ฉันแค่อยากให้คุณภาคได้รู้สึกถึงคุณก็เท่านั้น เขาพร่ำบอกกับฉันตลอดเวลาเมื่อตอนที่เขายังไม่ป่วยว่าเขาอยากกอดคุณมากแค่ไหน คิดถึงคุณ อยากที่จะไปรับคุณมาอยู่ด้วยกันด้วยซ้ำถ้าไม่มีคุณย่าคอยกีดกันเอาไว้”

ปวราเห็นสีหน้าเวหาที่ดูลังเล จึงรีบพูดต่อ “แค่จับมือคุณภาคเอาไว้สักพัก..ฉันขอแค่นั้นจริงๆค่ะ”

เมื่อเวหาไม่พูดอะไร หล่อนก็ดึงมือของเขามาจับไว้กับมือของภาคภูมิช้า ๆ หล่อนรู้สึกว่าร่างของชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยอมให้หล่อนกุมมือทั้งคู่เอาไว้แต่โดยดี

ทันทีที่มือสัมผัสกับมือที่แห้งกร้านและเย็นเฉียบของบิดา หัวใจของเขาก็เต้นรัวแนบอกด้วยความตื่นเต้น มือของเขาสั่นสะท้านภายใต้อุ้งมืออันนิ่งสนิทของบิดาโดยมีมือเล็ก ๆ ของปวรากุมมือทั้งคู่เอาไว้

“ฉันพาเขามาหาคุณแล้วนะคะคุณภาค มือที่คุณจับอยู่นี้คือมือของลูกชายคุณยังไงล่ะคะ” ปวรากระซิบเสียงเครือ น้ำตาคลอหน่วยแต่รอยยิ้มเปื้อนหน้าด้วยความปลาบปลื้มใจพร้อมกับความโล่งใจที่หล่อนได้ทำในสิ่งที่อยากทำให้เขามานาน

“ถ้าคุณได้ยินที่ฉันพูด ก็ตื่นขึ้นมาเถอะนะคะ ตื่นมาพบเวหา ลูกชายของคุณ ตื่นมาให้เห็นกับตาคุณเองว่าเขามาหาคุณแล้วจริงๆ ตื่นขึ้นมาสิคะคุณภาค” หล่อนเผลอร้องไห้ออกมาอีกจนได้ มือที่กุมมือของทั้งคู่ไว้บีบจนแน่น หวังอยู่ลึก ๆ ว่าสิ่งที่หล่อนกำลังทำอยู่นี้จะช่วยส่งผ่านไปถึงภาคภูมิจนเขาสามารถรับรู้และฟื้นขึ้นมาจากการหลับใหลเสียที

เสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจดังเร็วขึ้นจนปวราและเวหาหันไปมองที่หน้าจอ เห็นตัวเลขค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น เส้นกราฟที่วิ่งอยู่ก็ขยับตามไปด้วย

“คุณภาค...คุณได้ยินฉันใช่ไหมคะ” ปวราเรียกเขาพลางก้มมองใบหน้าที่หลับสนิทด้วยความหวัง เมื่อเธอกลับไปมองตัวเลขที่หน้าจออีกครั้ง ก็เห็นว่าอัตราการเต้นของหัวใจเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ หล่อนรีบหันไปบอกเวหาทันที

“คุณจับมือพ่อคุณไว้และอย่าเพิ่งปล่อยนะคะ คอยพูดกับเขา พูดอะไรก็ได้ ฉันจะไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้แหล่ะค่ะ”

“เอ่อ เดี๋ยวก่อนสิ!” เวหาร้องค้าน แต่ดูเหมือนปวราจะไม่หยุดฟัง รีบเดินออกจากห้องไป แล้วทิ้งให้เขาอยู่ในห้องคนเดียว

เวหาเงอะงะ จะปล่อยมือก็ไม่กล้า จะจับมือไว้อย่างนี้เขาก็รู้สึกเขินขึ้นมาดื้อ ๆ หัวใจเขายังคงเต้นถี่กระชั้น ทั้งตื่นเต้นที่บิดาหายใจเองได้ดีขึ้นแล้วก็ที่ต้องจับมือเอาไว้แบบนี้โดยที่เหลือเขากับบิดาแค่สองคน

แต่ยังไม่ทันที่หัวใจตนเองจะกลับมาเต้นเป็นปกติ มือหยาบกร้านผอมแห้งของบิดาก็กระตุกเบา ๆ จนเขาเผลอดึงมือตนเองออกแล้วเบิกตามองไปที่บิดาด้วยความตกใจระคนตื่นตะลึง

จังหวะนั้นเองที่ปวราเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับหมอและพยาบาลที่เดินตามหลัง

“เดี๋ยวเชิญญาติออกไปรอข้างนอกก่อนนะครับ ผมขอเช็คอาการคนไข้หน่อย”

เมื่อปวราและเวหาเดินออกมาข้างนอก ทั้งคู่ก็พากันไปนั่งรออยู่ไม่ไกล ปวราที่กำลังตื่นเต้นดีใจรีบเปิดบทสนทนาทันที

“เห็นไหมคะว่าคุณมีอิธิพลต่อจิตใจพ่อคุณมากแค่ไหน ขนาดเขายังไม่รู้สึกตัว ฉันพูดอะไรไปเขาก็ไม่ตอบโต้ แต่แค่คุณจับมือเขาไว้เท่านั้นแหล่ะ หัวใจเขาก็กลับมาเต้นเป็นปกติอย่างไม่น่าเชื่อ”

เวหาที่ยังคงงุนงงทำอะไรไม่ถูกได้แต่พยักหน้าหงึก ยกมือของตัวเองขึ้นแล้วมองมันราวกับเป็นสิ่งแปลกประหลาด “เมื่อกี๊ ตอนที่ผมอยู่กับเขาสองคน มือเขากระตุก จนผมคิดว่าเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว”

ปวราตาโต “จริงเหรอคะ”

เวหาพยักหน้าอีกครั้ง “ไม่แน่บางที...ตอนนี้เขาอาจจะฟื้นแล้วก็ได้”

ปวราคลี่ยิ้ม ประสานมือตนเองแล้วทาบไว้ที่อก “ฉันก็หวังให้เป็นอย่างนั้น ขอบคุณคุณจริง ๆ ค่ะที่สร้างปฎิหารย์และต่อชีวิตให้คุณภาคอีกครั้ง ถ้าเขาฟื้นขึ้นมาแล้วได้เห็นคุณ อาการเขาต้องดีขึ้นแน่นอนค่ะ”

เวหาไม่ได้ตอบอะไร เขายังคงนั่งมองมือตนเองอยู่อย่างนั้น พร้อมกับความสุขแปลก ๆ ในใจที่เริ่มก่อตัวขึ้น พลางคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นซึ่งเขาเองก็ไม่อยากจะคิดเหมือนกันว่าแค่การสัมผัสพูดคุยไปเรื่อย ๆ จะทำให้คนป่วยที่ไมได้สติมีความรู้สึกรับรู้ขึ้นมาได้อีกครั้ง

แม้เขาจะยังไม่สามารถปลดปล่อยความรู้สึกในแง่ดีของตนเองที่มีต่อบิดาออกมาให้เห็น แต่ในส่วนลึก เขาก็แอบตื้นตันใจอยู่ไม่น้อยที่อาการของบิดาดีขึ้นเพราะเขา

“ญาติคะ คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ” นางพยาบาลออกมาบอกข่าวดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ปวราเป็นคนแรกที่ปรี่เข้าไปหาพยาบาลแล้วจับมือเธอเขย่าอย่างแรง “ฟื้นแล้วเหรอคะ อาการคุณภาคเป็นยังไงบ้างคะ เขาพูดอะไรบ้างหรือเปล่า โอ๊ย ฉันดีใจจริงๆเลยค่ะ” น้ำตาหล่อนไหลออกมาด้วยความดีใจ

“ญาติใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ คนไข้ฟื้นแล้วก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้มากตอนนี้ คุณหมอลองพูดคุยและตรวจอาการตอบสนองผ่านทางตา ซึ่งคนไข้ก็รับรู้ได้ค่ะ แต่ยังพูดไม่ได้เท่านั้นเอง”

“แล้วพวกเราเข้าไปเยี่ยมเขาอีกได้ไหมคะ”

“คุณหมอบอกว่าวันนี้อยากให้คนไข้ได้พักผ่อนน่ะค่ะ ถึงคนไข้จะฟื้นแล้วแต่ยังอ่อนแรงอยู่มาก คุณหมอก็เลยยังไม่อยากให้ใครรบกวนคนไข้ตอนนี้ค่ะ ฉันว่าตอนนี้คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง พวกคุณกลับไปก่อนแล้วพรุ่งนี้มาใหม่ตอนเช้าจะดีกว่านะคะ” พยาบาลสาวแนะนำ

ปวรามีสีหน้าผิดหวัง แต่ก็พยักหน้ารับแต่โดยดี “ขอบคุณมากนะคะ แล้วก็ฝากขอบคุณคุณหมอด้วยค่ะ”

เมื่อพยาบาลสาวเดินกลับเข้าไปด้านใน ปวราก็ถอนหายใจโล่งอก ยกมือขึ้นพนมขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ช่วยดลบรรดาลให้ภาคภูมิฟื้นขึ้นมาได้ พอหล่อนหันกลับไปที่เวหา เขายังคงจ้องมองมือตนเองที่วางพักไว้บนหัวเข่า หล่อนสังเกตุเห็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก และแม้จะเห็นไม่ถนัด หล่อนก็รับรู้ผ่านดวงตาที่ทอประกายอ่อนโยนกว่าตอนที่เพิ่งมาถึงโรงพยาบาลเมื่อช่วงสาย พลอยทำให้หล่อนอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

รอยยิ้มที่มีลักยิ้มของเวหาทำให้หล่อนนึกถึงรอยยิ้มจริงใจของภาคภูมิในวันที่หล่อนพบกับเขาครั้งแรก แต่หลังจากที่เขารู้เรื่องการตายของภรรยาเก่า หล่อนก็ไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มของเขาอีกเลย แต่หล่อนก็หวังว่าการมาของเวหาครั้งนี้ จะพารอยยิ้มของภาคภูมิกลับมาเหมือนเดิม

“พรุ่งนี้คุณมาเยี่ยมคุณภาคอีกนะคะ” ปวราเอ่ยชวน

เวหาเงยหน้ามอง แล้วเลิกคิ้วถาม “ครับ?”

“พรุ่งนี้น่ะค่ะ ฉันอยากให้คุณมาเยี่ยมคุณภาคอีก พรุ่งนี้ถ้าคุณภาคฟื้นขึ้นมาเห็นคุณเขาต้องดีใจแน่ๆ”

“เอ่อ...” เขายังไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะกล้ามาเยี่ยมหรือไม่ แค่ตอนนี้ที่ได้พบบิดาขณะที่ยังไม่ได้สติเขาก็ตื่นเต้นจนเงอะงะทำอะไรไม่ถูก ถ้าได้เจอบิดาตอนที่ฟื้นแล้วเขาคงได้แต่กรามค้างพูดอะไรไม่ออก

“เอาไว้ถ้าผมว่าง ผมจะแวะมาแล้วกัน”

ปวราไม่ได้คะยั้นคะยอต่อจากนั้น เพราะดูจากท่าทางของเวหาหลังจากเข้าไปเยี่ยมภาคภูมิในวันนี้แล้ว หล่อนก็ยังพอจะใจชื้นได้บ้างว่าความเกลียดชังที่เคยมีอยู่ในใจเวหาคงลดทอนลงไปพอสมควร ถ้าเขายังมีความรู้สึกรักและเป็นห่วงบิดาของเขา หล่อนก็แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะได้เห็นเขาที่โรงพยาบาลอีกแน่นอน

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมลาเลยแล้วกันนะครับ” เวหาเอ่ยลา แต่ไมได้ยกมือขึ้นไหว้

ปวราไม่คิดติดใจอะไร หล่อนยิ้มให้เขา และกำลังจะขอบคุณเขาอีกครั้งแต่เสียงเรียกคุ้นหูดังมาให้ได้ยิน

“แม่คะ พ่อเป็นยังไงบ้างคะ นี่ปริมเพิ่ง....” ปริญดาเสียงหายไปในทันทีที่เห็นว่าใครกำลังคุยอยู่กับมารดาของเธอ ใบหน้าของเธอไร้สีเลือด มองเวหาด้วยอาการตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่

เวหาเองเมื่อหันไปมองก็ตกใจไม่แพ้กัน และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อมองใบหน้าของปริญดาที่ดูอิดโรยซีดเซียวและผอมลงอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่ไม่ได้เจอกันแค่เพียงไม่กี่วัน

ปวราเห็นทั้งคู่ยืนมองจ้องกันอยู่อย่างนั้นจนหล่อนต้องขัดขึ้น “ปริม...” หล่อนเรียกลูกสาวแล้วเดินเข้าไปประคองร่างบางที่กำลังยืนตกใจอยู่

“ท่านไม่เป็นไรแล้วล่ะจ้ะ ตอนนี้ก็ฟื้นแล้วด้วยแต่หมอต้องการให้ท่านพักผ่อน ปริมไม่ต้องห่วงนะ” หล่อนเรียกแทนภาคภูมิด้วยคำอื่นเพราะไม่อยากให้เวหาต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับปริญดา

“แล้วนี่แม่บอกว่าไม่ต้องมายังไงล่ะ ดูซิ ขับรถมาคนเดียวค่ำ ๆ มืด ๆ กำลังท้องกำลังไส้ แล้วสภาพร่างกายเราตอนนี้ใช่ว่าจะแข็งแรงเสียเมื่อไร เกิดขับรถอยู่เป็นอะไรขึ้นมาจะว่ายังไง”

คำพูดของมารดาเหมือนลมผ่านหู จับใจความได้ไม่กี่คำ “ถ้างั้นเราก็กลับบ้านกันเถอะค่ะ”

“เอ่อ...” ปวราอ้ำอึงและมองไปที่เวหา ดูจากสีหน้าเขาแล้วดูเหมือนมีอะไรอยากจะคุยกับลูกสาวของหล่อน ซึ่งหล่อนเองก็อยากให้ทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง ถึงแม้หล่อนไม่ได้อยากให้ทั้งสองคนได้คุยกันในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอย่างตอนนี้ แต่ในเมื่อโอกาสมาถึง หล่อนก็ไม่อยากให้มันหลุดมือไป

“แต่แม่ไม่อยากให้ปริมขับรถกลับมืด ๆ แบบนี้เลยลูก เอาเป็นว่าเราทิ้งรถไว้ที่โรงพยาบาลคืนนี้ แล้วกลับแท็กซี่กันนะ พรุ่งนี้ปริมค่อยมาเยี่ยมท่านกับแม่แล้วขับรถกลับทีหลัง”

ปริญดาอยากจะบอกมารดาว่าเธอขับไหว แต่เพราะเธอทนเห็นหน้าเวหาตอนนี้ไม่ได้ แม้เพียงวินาทีเธอก็แทบทนไม่ได้ จึงต้องพยักหน้าแล้วตอบตกลงตามมารดาไป “ก็ได้ค่ะ งั้นเราไปกันเถอะแม่”

ปวรามองเวหาอีกครั้ง ส่งสายตาที่บอกให้เขารู้ว่าเขาควรจะทำอะไรสักอย่าง แล้วหล่อนก็เดาไม่พลาดเมื่อชายหนุ่มพูดว่า
“เดี๋ยวผมไปส่งดีกว่าครับ”

แต่ปริญดารีบสวนกลับทันควัน “อย่าดีกว่าค่ะ เรากลับกันเองได้ ไปค่ะแม่” เธอหมุนตัวแล้วรุนหลังมารดา

เวหาท้วงกลับ “ให้ผมไปส่งดีกว่า ดึก ๆ แบบนี้มันอันตราย”

“รถคุณนั่งไม่พอหรอกค่ะ”

“ผมขับรถคุณไปส่งให้ก็ได้ เดี๋ยวผมค่อยนั่งแท็กซี่กลับมาเอารถที่โรงพยาบาล”

“ไม่ต้องลำบากคุณหรอกค่ะ ฉันกับแม่ดูแลกันเองได้”

“แต่ผมว่า..”

ปวรายกมือปรามเมื่อไม่มีใครยอมใคร “เอาล่ะๆ เดี๋ยวแม่ตัดสินใจเอง” หล่อนบอกปริญดา แล้วหันไปพูดกับเวหา

“จริงๆฉันตั้งใจอยากจะอยู่เฝ้าคุณภาคคืนนี้น่ะค่ะ”

ปริญดาหันขวับมาทันที “แล้วแม่จะนอนที่ไหนคะ ห้องไอซียูนอนไม่ได้นะคะ”

“แม่ก็จะไปนอนที่ห้องพิเศษคุณภาคนั่นแหล่ะ แม่เป็นห่วง พรุ่งนี้ตอนเช้าจะได้มาดูแลได้เลย”

“แล้วเสื้อผ้าแม่จะทำยังไงคะ ไหนจะนอนคนเดียวในห้องอีก ถ้าอย่างนั้นก็ให้ปริมอยู่เป็นเพื่อนดีกว่าค่ะ”

ปวราส่ายหน้า “แม่เป็นไรจริงๆ จ้ะปริม ปริมกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมนะ นอนกับแม่ที่โรงพยาบาลคงไม่สะดวก ท้องแบบนี้ต้องดูแลตัวเองรู้ไหม” พูดเสร็จ ก็เห็นว่าลูกสาวตั้งท่าจะคัดค้านหล่อนจึงหันไปบอกกับเวหา

“ฉันรบกวนคุณเวหาได้ไหมคะ ช่วยขับรถไปส่งปริมที่โรงแรมหน่อยเถอะค่ะ”

“แม่คะ” ปริญดาหน้าซีดหนักเมื่อรู้ว่าหาทางเลี่ยงเวหาไม่ได้ แล้วเธอก็เริ่มยืนไม่อยู่เมื่อจู่ ๆ มีอาการมึนศีรษะจะอาเจียนขึ้นมากะทันหัน

“นั่นไง เห็นไหม พูดยังไม่ทันขาดคำ” ปวราพูดพลางช่วยประคองเอวปริญดาเอาไว้ สีหน้าเป็นกังวล

เวหาเข้าไปยืนข้าง ๆ ปริญดาด้วยความเป็นห่วง แต่เธอก็รีบถอยออกห่าง เอามือปิดปากทำท่าจะอาเจียน

“ให้ผมพาคุณไปห้องน้ำดีกว่าไหมปริม” เขาอาสา

ปริญดาโบกมือไล่ “ฉันจะกลับบ้าน แม่คะ ยังไงปริมก็จะกลับเองค่ะ เดี๋ยวปริมไปเรียกแท็กซี่เองได้”

ปวราอ้าปากจะค้าน แต่เวหาชิงพูดตัดหน้า น้ำเสียงติดโมโห “ดื้อไม่เคยเปลี่ยน ผมจะไปส่งคุณเอง แม่คุณก็ขอร้องผมไว้ด้วย สภาพแบบนี้จะกลับเองได้ยังไงกัน” ว่าแล้วก็คว้าเอวหญิงสาวไว้แทน ปริญดาขืนตัวแต่ก็สู้แรงเขาไม่ไหว

“เดี๋ยวผมขับไปส่งปริมเองครับ ถึงที่โรงแรมแล้วผมจะให้เธอโทรมาหา” เขาบอกปวรา

“ขอบคุณมากค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันฝากปริมด้วยนะคะ”

“แต่แม่คะ แม่จะปล่อยให้ปริมไปกับเขาสองคนไม่ได้นะคะ”

เวหาไม่ยอมให้เธอได้พูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นผมลาล่ะครับ” พยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะประคองปริญดาที่ทั้งขัดทั้งขืนรั้งตัวเองไม่ให้เดินตาม แต่เขาก็ใช้แรงที่มีมากกว่ากอดเอวเธอไว้แน่น อีกมือก็คล้องแขนเธอไว้ไม่ให้ขยับจนหญิงสาวต้องหันมามองตาเขียว และเมื่อรู้ว่าสู้แรงเขาไม่ไหว ร่างกายตนเองก็แทบไม่มีเรี่ยวแรง จึงต้องฝืนใจยอมเดินเวหาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

ปวรามองตามหลังคนทั้งคู่แล้วก็ถอดถอนใจ หล่อนหวังว่าปัญหาหลาย ๆ อย่างที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิตของหล่อนและลูกจะแก้ไขได้ในที่สุด เรื่องของหล่อนเองจะเป็นตายร้ายดียังไงหล่อนไม่ห่วง ห่วงก็แต่ปริญดาที่กำลังท้อง แต่ต้องมารับรู้ความจริงอันโหดร้ายที่เธอไม่ได้ก่อขึ้น หล่อนรู้ว่าลูกสาวยังคงทำใจยอบรับไม่ได้ หล่อนก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับเวหาว่าเขาจะลดทิฐิ ลดความโกรธเกลียดที่ฝังอยู่ในใจเขาและเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกสาวเธออีกครั้ง



“ฉันกลับเองได้จริง ๆ คุณไม่ต้องไปส่งฉันหรอก” ปริญดาปฎิเสธอีกครั้งเมื่อเวหาพาเธอเดินมาที่รถของเขา
“ไม่ต้องเถียง ขึ้นรถ ผมจะไปส่งคุณเอง” เวหาเปิดประตูรถคอยท่า

ปริญดาทนไม่ไหว เธอสะบัดมือหนีแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขา น้ำตาคลอหน่วยเมื่อเธอโพล่งออกไป

“คุณรู้ความจริงทุกอย่างแล้วใช่ไหม แล้วทำไมคุณถึงยังมายุ่งกับฉันอีก ฉันกับแม่ทำร้ายครอบครัวคุณ พวกเราแย่งพ่อคุณมาจนแม่คุณต้อง...” น้ำตาไหลรินมาเป็นสายอย่าห้ามไม่อยู่ ระเบิดความอัดอั้นขมขื่นใจตั้งแต่ได้รับรู้ความจริงอันเจ็บปวดจากปากมารดาเมื่อวันก่อน เธอมองหน้าเขา เห็นสายตาเวทนาสงสารที่มองเธอกลับมา เธอก็เข้าใจว่าเขาคงรู้ความจริงเรื่องเธอแล้วด้วยเหมือนกัน เธอเอามือจับขอบประตูรถไว้แน่นจนนิ้วขาวซีด

“คุณต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็กก็เพราะฉันกับแม่” ปริญดาปาดน้ำตาทิ้ง แล้วมองเขาด้วยสายตาหม่นหมอง ริมฝีปากกระตุกเยาะหยันตนเอง

“จริงๆ แล้วควรเป็นฉันต่างหากที่ต้องกำพร้าพ่อ คุณควรจะมีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา เพียงแค่ฉันไม่เกิดมา เรื่องมันก็คงจะไม่เป็นแบบนี้” น้ำเสียงเธอแห้งผาก “คุณยังดีที่ในที่สุด คุณก็ได้เจอพ่อ แต่ฉันสิ เกิดมาโดยที่ก็ยังไม่รู้เลยว่าพ่อแท้ ๆ ของตัวเองเป็นใคร หึ น่าสมเพชดีไหมล่ะ”

เวหาเห็นใจเธอไม่น้อย เขารู้ว่าไม่ใช่ความผิดเธอเลยที่เรื่องราวกลับตาลปัตรแบบนี้ เขาต่างหากที่ไม่ควรเข้ามาในชีวิตเธอ เขามันพวกด้านชาไปนานกับการต้องเป็นเด็กกำพร้าและไม่เคยคิดแม้แต่จะมาหาบิดาเลยสักครั้งทั้งที่รู้ว่าจะพบได้ที่ไหน แต่เธอที่เกิดในครอบครัวที่ดีพร้อมตั้งแต่แรกไม่ควรจะมารู้ความจริงอันเจ็บปวดเอาปานนี้

“เอาล่ะ ขึ้นรถก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน” เวหาพยายามใจเย็นกับเธอ

ปริญดายกมือขึ้นห้ามบอกให้หยุด “ฉันจะกลับเอง ขอร้องล่ะ อย่ามายุ่งกับฉันเลย”

“ผมก็ขอร้องคุณเหมือนกัน อารมณ์คุณตอนนี้ ไม่ควรกลับคนเดียวนะ”

“ฉันบอกไม่ต้องไง!” เธอตวาดกลับเสียงดัง พร้อมกับหมุนตัวหันหลังเพื่อจะเดินหนีเวหา แต่เพราะหมุนตัวเร็วมากไปทำให้เธอหน้ามืดเซปะทะกับประตูรถที่เปิดค้างอยู่

“ปริม!” เวหาปราดเข้าไปคว้าตัวเธอไว้ ปริญดาคอพับคออ่อนอยู่กับไหล่เขา

“ปริม ปริม คุณได้ยินผมไหม” เวหาจึงลองตบแก้มเธอเบา ๆ

“บ้าจริง” เขาสบถเมื่อเห็นว่าเธอเป็นลมไม่ได้สติ ก่อนจะช้อนร่างเธอขึ้นแล้วพาเธอเข้าไปนั่งในรถ ปรับเบาะลงนอน ปิดประตูรถแล้วเดินแกมวิ่งไปนั่งฝั่งของตนเอง

“โรงแรมไหนก็ไม่รู้ด้วยสิ” เขาบ่นกับตนเอง หันไปมองหญิงสาวข้างกาย ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปปัดกลุ่มผมที่ปิดหน้าเธอไว้ไปถัดหู และเขาไม่ได้ดึงมือออกในทันที แต่กลับใช้หลังมือลูบแก้มตอบของเธอเพียงแผ่วเบาไปมา สังเกตุเห็นรอยคล้ำใต้ตาก็เผลอไผลใช้นิ้วโป้งไล้เบา ๆ ก่อนจะกระซิบแหบพร่า

“ผมขอโทษ...” เขาเลื่อนสายตาไปมองหน้าท้องเธอที่เริ่มนูนขึ้นเล็กน้อย เรียกรอยยิ้มมุมปากจากเขาได้

เวหาละห่างจากปริญดาแต่มือข้างนั้นก็ยังคงลูบผมเธอช้า ๆ ส่วนมืออีกข้างก็ล้วงหยิบมือถือโทรหาก้องเกียรติ รอเพียงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ว่าไงไอ้เสือสิ้นลาย พอจะแต่งงานแล้วลืมเพื่อนเชียวนะ นึกยังไงถึงโทรมาได้”

“ฉันมีเรื่องวานแกหน่อย ตอนนี้น้ำอยู่กับแกหรือเปล่าวะ” ถามเสียงเครียด ทำเอาอีกสายเครียดตามไปด้วย

“อืม อยู่ด้วยกันนี่แหล่ะ ว่าแต่แกมีอะไรหรือเปล่า ดูน้ำเสียงไม่ดีเลย”

“ตอนนี้ฉันไปหาแกได้ไหม ฉันจะพาปริมไปด้วย ไปถึงแล้วฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง” พูดพลางใช้มือลูบผมปริญดาไปด้วย สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าหญิงสาวเมื่อก้องเกียรติตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขับรถออกจากโรงพยาบาลตรงไปยังบ้านเพื่อนหนุ่มทันที
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>

คุณ kaelek, คุณ Zephyr, คุณ lamyong ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะคะ วันนี้รีบมารีบไปเลยไม่ได้ตอบเม้นท์ ขอให้อ่านนิยายให้สนุกค่า :)



เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ย. 2558, 09:26:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ย. 2558, 09:26:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1329





<< ตอนที่ 34   ตอนที่ 36 >>
lamyong 25 ก.ย. 2558, 13:03:00 น.
ปริมใจเย็น ๆ น้าาา เวย์เริ่มอ่อนให้แล้วอย่าไปคิดมากอีกล่ะ


tan 26 ก.ย. 2558, 00:12:24 น.
สงสัยนิดหนึ่งค่ะ พ่อทิ้ง"เกือบยี่สิบกว่าปี" หมายความว่าอย่างไรคะ

พ่อทิ้งไปเกือบยี่สิบปี หรือว่า พ่อทิ้งไปยี่สิบกว่าปี ความหมายเหมือนกับ "เกือบยี่สิบกว่าปี" ไหม


Zephyr 26 ก.ย. 2558, 23:38:29 น.
หู้ยยยย ชิงเป็นลมหนีทำมายยยยย
แง เค้าอยากเห็นสองคนนี้เคลียร์กันอ่า
แม่เปิดโอกาสขนาดนี้
พี่เวลักพาตัวไปปรับความเข้าใจเลยน้า
ถ้านายไม่ทำ นายไม่แมนนะขอบอก
ฮึ มีมุมน่ารักด้วยแหะ เวหาเขิน 5555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account