ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ
‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’
‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’
‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น
“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”
น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”
“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”
ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน
“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”
ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”
กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย
และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”
ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย
“นรกสำหรับคุณไง!”
เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง
“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”
“...”
“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”
ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น
“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”
“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”
“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”
“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”
“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”
“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง
“โอ๊ย!!!”
จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”
ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”
“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”
“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”
เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง
“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”
“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”
ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์
“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”
“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ
“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”
“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”
“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”
“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”
“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”
“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”
==========================================================
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ
นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ
ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ
‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’
‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’
‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น
“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”
น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”
“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”
ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน
“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”
ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”
กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย
และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”
ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย
“นรกสำหรับคุณไง!”
เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง
“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”
“...”
“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”
ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น
“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”
“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”
“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”
“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”
“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”
“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง
“โอ๊ย!!!”
จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”
ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”
“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”
“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”
เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง
“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”
“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”
ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์
“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”
“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ
“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”
“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”
“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”
“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”
“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”
“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”
==========================================================
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ
นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ
ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: เจ็บปวดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ๑๐๐%
วิโก้แชมป์จอดอยู่ลานหน้าทางเข้าคอนโดฯ แต่ผู้เป็นเจ้าของไม่คิดจะลงไป หากแต่หันไปมองแฟ้มอ่อนขนาดบีห้าสีส้มที่ต้องแลกมาด้วยเงินถึงห้าหมื่นบาท
‘คุณชลธิป จิระธนานนท์ เป็นลูกชายคนเดียวของ อติรัตน์และชลธี จิระธนานนท์เป็นลูกคนเดียว ไม่มีคู่แฝด ไม่มีญาติพี่น้องที่หน้าเหมือนกันเลยแม้แต่คนเดียวครับ
เรียนอยู่เมืองไทยจนจบประถมหก แล้วไปเรียนต่อมัธยมกระทั่งจบปริญญาโทที่อังกฤษ ระหว่างเรียนไม่เคยกลับมาเมืองไทยเลยแม้แต่ครั้งเดียว’
เพื่อให้ได้ความจริงหรือคำยืนยันก่อนจะทำอะไรผิดลงไป และคำตอบที่ได้จากสองนักสืบก็ทำให้เจ็บปวดเหลือเกิน
‘อื้มห์! เท่าที่จำได้ไม่มีนะครับ คุณพ่อก็เป็นลูกโทน ผมเลยไม่ค่อยมีญาติพ่อน้องที่ไหน แล้วคุณถามทำไมครับ แล้วตอนหนุ่มๆ อายุสักสิบเจ็บสิบแปดหรือสิบเก้าปี คุณอยู่ที่ไหนคะ เคยไปเที่ยวเกาะหรือทะเลทางใต้บ้างหรือเปล่าคะ’
‘อื้มห์! เท่าที่รู้ไม่นะครับ ผมไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่จบประถม มีเบรคก่อนเข้าฮาร์เวิร์ดไปปีหนึ่ง ตอนผมไปเป็นวาเลนเทียปนเที่ยวที่อาฟริกาใต้น่ะครับ ว่าแต่คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าถามผมทำไมครับ’
และไม่รู้จะดีใจ หรือเสียใจกับคำยืนยันจากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวของเขาในค่ำคั้นนั้นอีกคำรบกันแน่ ด้วยในหัวใจนั้นมีคำตอบอยู่เต็มอก ว่ารักเขามากเพียงไหน และจะต้องทนทุกข์ยังไงเมื่อรู้ว่าจะไม่มีเขาอยู่ใกล้ๆ อีกต่อไปแล้ว
แต่เมื่อคิดถึงอีกหัวอกที่เป็นลูกผู้หญิงด้วยกันอย่างดลยา ก็ทำให้ต้องตัดสินใจเด็ดขาดในตอนนี้ เพราะตัวเองไม่อาจจะทนเป็นคนที่แย่งของรักจากใครได้อีกแล้ว ในเมื่อตระหนักได้ดีว่าการเสียของรักไปนั้นมันเป็นยังไง
มือถือหน้าคอนโซลขึ้นอินโทรมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องรีบกดรับ เพื่อไม่ให้เพลงประจำขับขาลออกมา “เอ๋ยอยู่ตรงลานจอดด้านหน้าแล้ว พี่ใหญ่รีบลงมาเลย แค่นี้นะ”
มือบางรีบตัดสายไป แล้วหักใจรวบแฟ้มกับรูปต่างๆ ที่มีเข้าไปเก็บไว้ในคอนโซล เพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นความน่าอับอายของตัวเอง ที่ลงทุนเสียเงินครึ่งแสนเพื่อแลกกับประวัติผู้ชายไม่กี่บรรทัดเท่านั้น
แต่อินโทรก็ดังขึ้น ดวงตาคู่เศร้าที่มีน้ำตาไหลรินออกมา เมื่อเห็นว่าคนโทรหาเป็นใคร และก็คิดถึงคำสัญญาที่ให้เขาไว้เมื่อคืนก่อนขึ้นมาทันที
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน
อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน
กระซิบข้างหู...ให้รู้ว่าใจ...ไม่เคยรักใคร’
น้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมาไม่ขาด แต่ก็ไม่อาจจะดึงดันให้ทุกอย่างก้าวเดินต่อไปได้ จึงจำใจต้องตัดสายทิ้ง แล้วปิดมือถือทันที รีบดึงทิชชูจากหน้ารถมาเช็ดน้ำตาออกทันที เมื่อเหลือบเห็นธนากรเดินลงมาอย่างรีบเร่ง
“มารอพี่นานหรือยัง ทำไมไม่โทรขึ้นไปเรียกล่ะ รีบไปเถอะ”
“จ๊ะ”
วริญรำไพรับคำแค่นั้น ก่อนจะออกรถมุ่งไปยังตลาดที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก แล้วก็ช่วยกันลงไปซื้อของตามรายการที่ธนากรได้มาจากมือรำไพ
“ซื้อข้าวเม่าไปฝากยายก่อนดีกว่าพี่ใหญ่”
ธนากรไม่ว่าอะไรนอกจากเดินหิ้วของเต็มมือตามหลังน้อง ที่เดินร้านนั้นร้านนี้ไปเรื่อยทิ้งความเจ็บปวดไว้ภายในเท่านั้น พอซื้อเสร็จก็ส่งให้พี่ถือ กว่าจะกลับมาถึงที่จอดรถได้ก็หนักจนแขนแทบจะหลุด
“ความคิดใครนะที่บอกว่าอยากจะกินสุกี้นี่ อยู่กรุงเทพฯ ไม่เคยออกไปหากินตามร้านบ้างหรือไง”
วริญรำไพหันไปยิ้มแกมหมั่นไส้คนข้างๆ ที่บ่นไม่เลิก “ถ้าไม่อยากกินพี่ใหญ่ก็นั่งดูเอ๋ยกับทุกคนกินสิ เงินก็ไม่ได้จ่ายสักบาทมาบ่นอยู่ได้ รีบขึ้นรถเร็วเข้าแม่รออยู่”
ผู้พี่รีบทำตามทันทีเพราะร้อนตับจะแตก พอถึงคอนโดฯ ก็ทำหน้าที่หิ้วทุกถุงเองกับมือ “ถือถุงข้าวเม่าไปให้ยายกับกระเป๋าสะพายของตัวเองก็พอ ไม่ต้องมาช่วยตามมารยาทหรอก น่าเบื่อเด็กขี้เกียจ!”
แม้จะหมั่นไส้คนบ่นอยู่บ้าง แต่อันที่จริงแล้ววริญรำไพออกจะดีใจมากกว่า ที่มีคนมาทำให้ตัวเองไม่ต้องอยู่ห้องคนเดียว และไม่ต้องหอบเขาเรื่องของเจ้าของหัวใจมานอนขบคิด ตามติดด้วยการมีน้ำตาเป็นเพื่อนเท่านั้น
“น่าเบื่อผู้ใหญ่ขี้บ่น!”
เลยเบะปากให้พี่แล้วเดินรี่ขึ้นคอนโดฯ ไป “โอ๊ย! มาสักทีนะสองคนนี้ ยายล่ะหิวจะแย่แล้ว” ยายยวงที่นั่งอยู่หน้าจอทีวีเอ่ยทันที แต่พอได้ถุงขนมจากมือหลานนอกไส้เข้าไป ก็เงียบกริบลงทันทีเช่นกัน
นั่นทำให้ทุกคนได้มีเวลาตระเตรียมมื้อเย็นที่เรียกได้ว่าอยู่กินพร้อมหน้ากันเป็นมื้อแรกนับตั้งแต่พากันยกโขยงมาหาวริญรำไพ เพราะจะมีพายุเข้าหลายวัน งดออกเรือ เลยได้เวลามาเที่ยวเมืองกรุงบ้าง
“เจ้าใหญ่นี่กินเยอะสมกับตัวมันจริงๆ”
วสินบ่นน้อยๆ แต่สายตาก็เอ็นดูหลานนอกไว้ไม่อยอก “ว่าแต่ใหญ่ ลุงเองก็กินเยอะ เบียร์ก็หมดจะเป็นลังละ ผมเพิ่งกินไปได้ไม่เท่าไหร่เอง”
ธนากรสวนกลับบ้าง “พูดมากจังเอ็งสองคนนี่น่ะ กินเยอะพอๆ หันนั่นล่ะ แล้วยังจะมาโยนให้กันอยู่ได้ น่ารำคาญ” ยายยวงเลยเอ็ดให้ ทำเอารำไพกับวริญรำไพหันไปยิ้มให้กันด้วยความขำ
ก่อนที่ยายยวงจะยกเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคุยไปเรื่อย แต่ยายยวงก็ไม่เผลอหยิบยกเอาเรื่องไอ้หินขึ้นมาพูดให้กระทบกระเทือนใจหลานนอกไส้เลยแม้แต่คำเดียว
กระทั่งเที่ยงคืนถึงได้พากันสลายม๊อบ ธนากรรับหน้าที่เก็บล้างคนเดียวทั้งหมด เมื่อน้องนอกสายเลือดอาสาจะมาช่วย เพราะเห็นว่าพรุ่งนี้น้องก็ต้องไปทำงานแต่เช้า
ความห่วงทำให้เขาต้องรีบแย่งทุกอย่างไปทำเอง แล้วไล่น้องไปอาบน้ำเข้านอนทันที แล้วเขาก็ยิ้มตามหลัง เมื่อน้องยอมทำตามอย่างว่าง่าย
“ไว้พรุ่งนี้จะซื้อเสื้อสวยๆ มาฝากเป็นการตอบแทนก็แล้วกันนะ”
น้องหยอดคำหวานๆ พร้อมรอยยิ้มให้ก่อนจะเข้าไปในห้องจริงๆ สักที หัวใจผู้พี่ที่มีความรักมอบให้น้องมาตลอดอดเต้นแรงขึ้นมาอย่างมีความสุขไม่ได้
ผิดกับอีกหัวใจที่เจ็บแสบไปสุดทรวง เมื่อได้ประจักษุ์แล้วว่าคำของพ่อกับแม่นั้นมีความจริงอยู่มากมาย โดยเฉพาะเรื่องผู้ชายคนนั้น คนที่เดินตลาดกับเธอ หัวร่อต่อกระซิกกับเธอ
แล้วก็หายขึ้นมาด้านบนกับเธอ และห้องทีเขาจำได้ว่าเป็นห้องเธอ นับตั้งแต่เย็นกระทั่งจะถึงตีหนึ่ง และไม่มีวี่แววว่าผู้ชายคนนั้นจะออกมาจากห้อง
มันทำให้เขาคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากที่เธอจะเป็นไปตามที่พ่อกับแม่เขาบอกไว้ไม่มีผิดเพี้ยน น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาเพราะผู้หญิงเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
ก่อนจะเดินไปหาลิฟต์แล้วลงไปชั้นนล่าง ควบรถไปจากตรงนั้นทันที พอถึงบ้านสิ่งแรกที่เขามองหาอย่างไม่เคยคิดว่าจะทำมาก่อน เพราะอยากได้มันจริงๆ นั่นคือ
‘เหล้า’
นี่ถือเป็นครั้งที่สองในชีวิตที่เขาอยากเมาเพื่อให้ลืมผู้หญิง หนึ่งคือตอนย่างเข้าวัยหนุ่ม กับสองคือตอนจะอำลาวัยหนุ่มไปสู่วัยผู้ใหญ่
มือถือถูกมองหลายต่อหลายรอบ สลับกับการกระดกแก้วขึ้นดื่ม เพราะยังอยากให้โอกาสผู้หญิงที่เขาเชื่อว่าเผลอใจรักเข้าอย่างจังแล้ว เพื่อให้คำอธิบาย หรือคำแก้ตัวกับเขาอีกครั้ง
“...”
แต่ทุกอย่างยังคงเงียบเมื่อตัดใจเรียกไปครั้งแรก ครั้งที่สอง สาม สี่ และห้าตามมา ก็ยังคงได้คำตอบเดิมคือ
“...”
อดสมเพชตัวเองไม่ได้ ที่บ้าบออยู่คนเดียวด้วยการให้โอกาสผู้หญิงที่อาจจะกำลังนอนกกนอนกอด หรือกำลังนอนกกนอนกอดกับผู้ชายอีกคนอยู่ก็เป็นได้
‘ปั้ก’
‘ปึ้ก’
‘ปึ้ก’
ของในมือปลิวไปหาผนังอย่างไม่ใยดี เมื่อคำตอบสุดท้ายที่ได้คือเงียบอีก แล้วเขาก็ไม่สนใจอะไรหรือใครอีกนอกจากของในขวดเท่านั้น
จึงไม่เห็นว่ามีแม่ยืนดูอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลายไม่น้อย เมื่อเห็นอาการเศร้าจะเป็นจะตายของลูก นั่นแปลว่ารูปที่ให้ไปตอนเย็นคงสัมฤทธิ์ผลแล้ว
ไม่อย่างนั้นคงไม่ปามือถือราคาหลายหมื่นทิ้ง หรือคว้าเหล้าขึ้นมาดื่มเป็นแน่ เพราะร้อยวันพันปีลูกไม่เคยดื่ม และไม่เคยโกรธ หรือฉุนเฉียวอย่างนี้มาก่อนด้วยซ้ำ
‘เพราะนังบ้านนอกนั่นแท้ๆ’
ที่ทำให้ลูกชายคนเดียว และเป็นทายาทมหาเศรษฐีต้องตกอยู่ในสภาพนี้ อติรัตน์บอกกับตัวเองไว้เลยว่าจะไม่มีวันมอง ‘นังบ้านนอกนั่น’ ในแง่ดีเป็นแน่
มือถือบนหัวเตียงถูกหยิบขึ้นมาเมื่ออติรัตน์ขึ้นห้องไป แล้วออกไปคุยข้างนอกเมื่อสามีกำลังหลับสบาย รวมทั้งคนที่ตัวเองกำลังโทรไปหาก็หลับเป็นตายอยู่ จึงต้องยืนรอนานกว่าจะมีเสียงตอบรับ
“คุณพรคะ รัตน์มีข่าวดีจะบอกค่ะ แต่ก่อนจะลืมพรุ่งนี้เช้าคุณพรช่วยโทรไปบอกแม่สุภาภรณ์เจ้าของสตูฯ ทีนะคะ ว่ายกเลิกคำสั่งที่ห้ามไม่ให้นังเด็กนั่นไปถ่ายรูปที่โรงแรมได้แล้วล่ะค่ะ คือยังงี้ค่ะ...”
เมื่อคิดจะตีงู อติรัตน์ก็จะตีให้หลังหัก จะไม่เก็บไว้ให้มาแว้งกันตัวเองและคนรอบข้างได้ทีหลังแน่ และเมื่อคิดจะกำจัดเสี้ยนหนามชีวิตของลูกก็จะต้องทำให้ถึงที่สุดด้วย
‘คุณชลธิป จิระธนานนท์ เป็นลูกชายคนเดียวของ อติรัตน์และชลธี จิระธนานนท์เป็นลูกคนเดียว ไม่มีคู่แฝด ไม่มีญาติพี่น้องที่หน้าเหมือนกันเลยแม้แต่คนเดียวครับ
เรียนอยู่เมืองไทยจนจบประถมหก แล้วไปเรียนต่อมัธยมกระทั่งจบปริญญาโทที่อังกฤษ ระหว่างเรียนไม่เคยกลับมาเมืองไทยเลยแม้แต่ครั้งเดียว’
เพื่อให้ได้ความจริงหรือคำยืนยันก่อนจะทำอะไรผิดลงไป และคำตอบที่ได้จากสองนักสืบก็ทำให้เจ็บปวดเหลือเกิน
‘อื้มห์! เท่าที่จำได้ไม่มีนะครับ คุณพ่อก็เป็นลูกโทน ผมเลยไม่ค่อยมีญาติพ่อน้องที่ไหน แล้วคุณถามทำไมครับ แล้วตอนหนุ่มๆ อายุสักสิบเจ็บสิบแปดหรือสิบเก้าปี คุณอยู่ที่ไหนคะ เคยไปเที่ยวเกาะหรือทะเลทางใต้บ้างหรือเปล่าคะ’
‘อื้มห์! เท่าที่รู้ไม่นะครับ ผมไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่จบประถม มีเบรคก่อนเข้าฮาร์เวิร์ดไปปีหนึ่ง ตอนผมไปเป็นวาเลนเทียปนเที่ยวที่อาฟริกาใต้น่ะครับ ว่าแต่คุณยังไม่ตอบผมเลยว่าถามผมทำไมครับ’
และไม่รู้จะดีใจ หรือเสียใจกับคำยืนยันจากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวของเขาในค่ำคั้นนั้นอีกคำรบกันแน่ ด้วยในหัวใจนั้นมีคำตอบอยู่เต็มอก ว่ารักเขามากเพียงไหน และจะต้องทนทุกข์ยังไงเมื่อรู้ว่าจะไม่มีเขาอยู่ใกล้ๆ อีกต่อไปแล้ว
แต่เมื่อคิดถึงอีกหัวอกที่เป็นลูกผู้หญิงด้วยกันอย่างดลยา ก็ทำให้ต้องตัดสินใจเด็ดขาดในตอนนี้ เพราะตัวเองไม่อาจจะทนเป็นคนที่แย่งของรักจากใครได้อีกแล้ว ในเมื่อตระหนักได้ดีว่าการเสียของรักไปนั้นมันเป็นยังไง
มือถือหน้าคอนโซลขึ้นอินโทรมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องรีบกดรับ เพื่อไม่ให้เพลงประจำขับขาลออกมา “เอ๋ยอยู่ตรงลานจอดด้านหน้าแล้ว พี่ใหญ่รีบลงมาเลย แค่นี้นะ”
มือบางรีบตัดสายไป แล้วหักใจรวบแฟ้มกับรูปต่างๆ ที่มีเข้าไปเก็บไว้ในคอนโซล เพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นความน่าอับอายของตัวเอง ที่ลงทุนเสียเงินครึ่งแสนเพื่อแลกกับประวัติผู้ชายไม่กี่บรรทัดเท่านั้น
แต่อินโทรก็ดังขึ้น ดวงตาคู่เศร้าที่มีน้ำตาไหลรินออกมา เมื่อเห็นว่าคนโทรหาเป็นใคร และก็คิดถึงคำสัญญาที่ให้เขาไว้เมื่อคืนก่อนขึ้นมาทันที
‘ด้วยรัก...ด้วยหวงห่วงกัน
อย่าถามใจฉัน...รักเธอเพียงไหน
กระซิบข้างหู...ให้รู้ว่าใจ...ไม่เคยรักใคร’
น้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมาไม่ขาด แต่ก็ไม่อาจจะดึงดันให้ทุกอย่างก้าวเดินต่อไปได้ จึงจำใจต้องตัดสายทิ้ง แล้วปิดมือถือทันที รีบดึงทิชชูจากหน้ารถมาเช็ดน้ำตาออกทันที เมื่อเหลือบเห็นธนากรเดินลงมาอย่างรีบเร่ง
“มารอพี่นานหรือยัง ทำไมไม่โทรขึ้นไปเรียกล่ะ รีบไปเถอะ”
“จ๊ะ”
วริญรำไพรับคำแค่นั้น ก่อนจะออกรถมุ่งไปยังตลาดที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก แล้วก็ช่วยกันลงไปซื้อของตามรายการที่ธนากรได้มาจากมือรำไพ
“ซื้อข้าวเม่าไปฝากยายก่อนดีกว่าพี่ใหญ่”
ธนากรไม่ว่าอะไรนอกจากเดินหิ้วของเต็มมือตามหลังน้อง ที่เดินร้านนั้นร้านนี้ไปเรื่อยทิ้งความเจ็บปวดไว้ภายในเท่านั้น พอซื้อเสร็จก็ส่งให้พี่ถือ กว่าจะกลับมาถึงที่จอดรถได้ก็หนักจนแขนแทบจะหลุด
“ความคิดใครนะที่บอกว่าอยากจะกินสุกี้นี่ อยู่กรุงเทพฯ ไม่เคยออกไปหากินตามร้านบ้างหรือไง”
วริญรำไพหันไปยิ้มแกมหมั่นไส้คนข้างๆ ที่บ่นไม่เลิก “ถ้าไม่อยากกินพี่ใหญ่ก็นั่งดูเอ๋ยกับทุกคนกินสิ เงินก็ไม่ได้จ่ายสักบาทมาบ่นอยู่ได้ รีบขึ้นรถเร็วเข้าแม่รออยู่”
ผู้พี่รีบทำตามทันทีเพราะร้อนตับจะแตก พอถึงคอนโดฯ ก็ทำหน้าที่หิ้วทุกถุงเองกับมือ “ถือถุงข้าวเม่าไปให้ยายกับกระเป๋าสะพายของตัวเองก็พอ ไม่ต้องมาช่วยตามมารยาทหรอก น่าเบื่อเด็กขี้เกียจ!”
แม้จะหมั่นไส้คนบ่นอยู่บ้าง แต่อันที่จริงแล้ววริญรำไพออกจะดีใจมากกว่า ที่มีคนมาทำให้ตัวเองไม่ต้องอยู่ห้องคนเดียว และไม่ต้องหอบเขาเรื่องของเจ้าของหัวใจมานอนขบคิด ตามติดด้วยการมีน้ำตาเป็นเพื่อนเท่านั้น
“น่าเบื่อผู้ใหญ่ขี้บ่น!”
เลยเบะปากให้พี่แล้วเดินรี่ขึ้นคอนโดฯ ไป “โอ๊ย! มาสักทีนะสองคนนี้ ยายล่ะหิวจะแย่แล้ว” ยายยวงที่นั่งอยู่หน้าจอทีวีเอ่ยทันที แต่พอได้ถุงขนมจากมือหลานนอกไส้เข้าไป ก็เงียบกริบลงทันทีเช่นกัน
นั่นทำให้ทุกคนได้มีเวลาตระเตรียมมื้อเย็นที่เรียกได้ว่าอยู่กินพร้อมหน้ากันเป็นมื้อแรกนับตั้งแต่พากันยกโขยงมาหาวริญรำไพ เพราะจะมีพายุเข้าหลายวัน งดออกเรือ เลยได้เวลามาเที่ยวเมืองกรุงบ้าง
“เจ้าใหญ่นี่กินเยอะสมกับตัวมันจริงๆ”
วสินบ่นน้อยๆ แต่สายตาก็เอ็นดูหลานนอกไว้ไม่อยอก “ว่าแต่ใหญ่ ลุงเองก็กินเยอะ เบียร์ก็หมดจะเป็นลังละ ผมเพิ่งกินไปได้ไม่เท่าไหร่เอง”
ธนากรสวนกลับบ้าง “พูดมากจังเอ็งสองคนนี่น่ะ กินเยอะพอๆ หันนั่นล่ะ แล้วยังจะมาโยนให้กันอยู่ได้ น่ารำคาญ” ยายยวงเลยเอ็ดให้ ทำเอารำไพกับวริญรำไพหันไปยิ้มให้กันด้วยความขำ
ก่อนที่ยายยวงจะยกเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคุยไปเรื่อย แต่ยายยวงก็ไม่เผลอหยิบยกเอาเรื่องไอ้หินขึ้นมาพูดให้กระทบกระเทือนใจหลานนอกไส้เลยแม้แต่คำเดียว
กระทั่งเที่ยงคืนถึงได้พากันสลายม๊อบ ธนากรรับหน้าที่เก็บล้างคนเดียวทั้งหมด เมื่อน้องนอกสายเลือดอาสาจะมาช่วย เพราะเห็นว่าพรุ่งนี้น้องก็ต้องไปทำงานแต่เช้า
ความห่วงทำให้เขาต้องรีบแย่งทุกอย่างไปทำเอง แล้วไล่น้องไปอาบน้ำเข้านอนทันที แล้วเขาก็ยิ้มตามหลัง เมื่อน้องยอมทำตามอย่างว่าง่าย
“ไว้พรุ่งนี้จะซื้อเสื้อสวยๆ มาฝากเป็นการตอบแทนก็แล้วกันนะ”
น้องหยอดคำหวานๆ พร้อมรอยยิ้มให้ก่อนจะเข้าไปในห้องจริงๆ สักที หัวใจผู้พี่ที่มีความรักมอบให้น้องมาตลอดอดเต้นแรงขึ้นมาอย่างมีความสุขไม่ได้
ผิดกับอีกหัวใจที่เจ็บแสบไปสุดทรวง เมื่อได้ประจักษุ์แล้วว่าคำของพ่อกับแม่นั้นมีความจริงอยู่มากมาย โดยเฉพาะเรื่องผู้ชายคนนั้น คนที่เดินตลาดกับเธอ หัวร่อต่อกระซิกกับเธอ
แล้วก็หายขึ้นมาด้านบนกับเธอ และห้องทีเขาจำได้ว่าเป็นห้องเธอ นับตั้งแต่เย็นกระทั่งจะถึงตีหนึ่ง และไม่มีวี่แววว่าผู้ชายคนนั้นจะออกมาจากห้อง
มันทำให้เขาคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากที่เธอจะเป็นไปตามที่พ่อกับแม่เขาบอกไว้ไม่มีผิดเพี้ยน น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมาเพราะผู้หญิงเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
ก่อนจะเดินไปหาลิฟต์แล้วลงไปชั้นนล่าง ควบรถไปจากตรงนั้นทันที พอถึงบ้านสิ่งแรกที่เขามองหาอย่างไม่เคยคิดว่าจะทำมาก่อน เพราะอยากได้มันจริงๆ นั่นคือ
‘เหล้า’
นี่ถือเป็นครั้งที่สองในชีวิตที่เขาอยากเมาเพื่อให้ลืมผู้หญิง หนึ่งคือตอนย่างเข้าวัยหนุ่ม กับสองคือตอนจะอำลาวัยหนุ่มไปสู่วัยผู้ใหญ่
มือถือถูกมองหลายต่อหลายรอบ สลับกับการกระดกแก้วขึ้นดื่ม เพราะยังอยากให้โอกาสผู้หญิงที่เขาเชื่อว่าเผลอใจรักเข้าอย่างจังแล้ว เพื่อให้คำอธิบาย หรือคำแก้ตัวกับเขาอีกครั้ง
“...”
แต่ทุกอย่างยังคงเงียบเมื่อตัดใจเรียกไปครั้งแรก ครั้งที่สอง สาม สี่ และห้าตามมา ก็ยังคงได้คำตอบเดิมคือ
“...”
อดสมเพชตัวเองไม่ได้ ที่บ้าบออยู่คนเดียวด้วยการให้โอกาสผู้หญิงที่อาจจะกำลังนอนกกนอนกอด หรือกำลังนอนกกนอนกอดกับผู้ชายอีกคนอยู่ก็เป็นได้
‘ปั้ก’
‘ปึ้ก’
‘ปึ้ก’
ของในมือปลิวไปหาผนังอย่างไม่ใยดี เมื่อคำตอบสุดท้ายที่ได้คือเงียบอีก แล้วเขาก็ไม่สนใจอะไรหรือใครอีกนอกจากของในขวดเท่านั้น
จึงไม่เห็นว่ามีแม่ยืนดูอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลายไม่น้อย เมื่อเห็นอาการเศร้าจะเป็นจะตายของลูก นั่นแปลว่ารูปที่ให้ไปตอนเย็นคงสัมฤทธิ์ผลแล้ว
ไม่อย่างนั้นคงไม่ปามือถือราคาหลายหมื่นทิ้ง หรือคว้าเหล้าขึ้นมาดื่มเป็นแน่ เพราะร้อยวันพันปีลูกไม่เคยดื่ม และไม่เคยโกรธ หรือฉุนเฉียวอย่างนี้มาก่อนด้วยซ้ำ
‘เพราะนังบ้านนอกนั่นแท้ๆ’
ที่ทำให้ลูกชายคนเดียว และเป็นทายาทมหาเศรษฐีต้องตกอยู่ในสภาพนี้ อติรัตน์บอกกับตัวเองไว้เลยว่าจะไม่มีวันมอง ‘นังบ้านนอกนั่น’ ในแง่ดีเป็นแน่
มือถือบนหัวเตียงถูกหยิบขึ้นมาเมื่ออติรัตน์ขึ้นห้องไป แล้วออกไปคุยข้างนอกเมื่อสามีกำลังหลับสบาย รวมทั้งคนที่ตัวเองกำลังโทรไปหาก็หลับเป็นตายอยู่ จึงต้องยืนรอนานกว่าจะมีเสียงตอบรับ
“คุณพรคะ รัตน์มีข่าวดีจะบอกค่ะ แต่ก่อนจะลืมพรุ่งนี้เช้าคุณพรช่วยโทรไปบอกแม่สุภาภรณ์เจ้าของสตูฯ ทีนะคะ ว่ายกเลิกคำสั่งที่ห้ามไม่ให้นังเด็กนั่นไปถ่ายรูปที่โรงแรมได้แล้วล่ะค่ะ คือยังงี้ค่ะ...”
เมื่อคิดจะตีงู อติรัตน์ก็จะตีให้หลังหัก จะไม่เก็บไว้ให้มาแว้งกันตัวเองและคนรอบข้างได้ทีหลังแน่ และเมื่อคิดจะกำจัดเสี้ยนหนามชีวิตของลูกก็จะต้องทำให้ถึงที่สุดด้วย
กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ย. 2558, 14:40:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ย. 2558, 14:40:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 939
<< สับสนใจหัวใจ ๑๐๐% | ความจริงที่จำต้องเปิดใจ ๑๐๐% >> |