ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ความจริงที่จำต้องเปิดใจ ๑๐๐%

มือถือบนโต๊ะหัวเตียงถูกคว้าขึ้นมาดูเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ว่าไม่มีข้อความหรือหมายเลขโทรเข้ามาจากเขา และอยากได้คำตอบคือว่างเปล่ามากกว่า

แต่หน้าจอก็บอกมาว่ามีหลายไม่ได้รับไปหลายสิบครั้ง และมาจากเขาหลายต่อครั้ง แต่ลึกๆ ภายในแล้ว วริญรำไพก็ยังคงเสียใจอยู่ดี เมื่อวินาทีที่จะต้องอำลาเขาไปนั้นเดินทางมาถึงแล้ว

ในใจก้ำกึ่งอยู่สองทางคือ จะปล่อยให้ความเงียบระหว่างกันเกิดขึ้นไปเรื่อยแทนคำอำลา หรือจะเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขาเอง หรือจะรอให้เขาติดต่อมาเอง

แต่สุดท้ายก็เลือกหนทางแรก เพราะดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีและเรียบง่ายสำหรับทุกคนในตอนนี้

“เอ๋ย! มากินข้าวสิลูก แม่ทำไว้ให้แล้ว จะได้ไปทำงาน แล้วแม่ก็ทำใส่กล่องไว้ให้ด้วยนะ จะได้เอาไปฝากเพื่อนๆ ที่ทำงานกินด้วย”

ร่างผอมบางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อแม่เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะแม่ไม่ชินกับการอยากมีความเป็นส่วนตัวของลูกมากนัก “จ๊ะแม่”

ลูกเลยรับคำแล้วคว้ากระเป๋าสะพายออกไปนั่งกินมื้อเช้าพร้อมหน้ากันกับพื้นตรงระเบียงนอกห้อง เพราะยายกับพ่อชอบสูดอากาศภายนอกมากกว่าจะนั่งอุดอู้อยู่ในห้องแอร์

“รีบกลับนะ จะได้มารับเจ้าใหญ่ไปตลาดซื้อของมาทำมื้อเย็น”

“จ๊ะแม่”

ลูกรับคำแม่แล้วคว้ากุญแจมาถือ ส่วนปิ่นโตกับกระเป๋าสะพาย พร้อมของในกล่องนั้น พี่ใหญ่อาสาถือลงไปให้ถึงรถ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เดินเข้าสตูฯ แล้ว เพราะอยู่ไม่ไกลกันสักเท่าไหร่

วันนี้ไม่มีงานออกข้างนอก วริญรำไพเลยตรงไปนั่งโต๊ะทำงานแล้ว เพื่อหมายจะเลือกภาพที่เพิ่งถ่ายให้ลูกค้าเสร็จเมื่อวาน จะได้เอาไปจัดทำอัลบั้ม ไปขยายใส่กรอบสำหรับตั้งในวันแต่งงานต่อไป

“ลูกค้าอยากให้เอ๋ยไปถ่ายรูปที่ตาเบบูญาน่ะ เปลี่ยนงานกับหนิงเลยแล้วกัน”

นั่นคือคำสั่งสั้นๆ ของเจ้านาย ซึ่งผิดฟอร์มกว่าทุกครั้ง ก่อนจะเดินขึ้นห้องทำงาน โดยไม่รอให้ลูกน้องตอบแต่อย่างใด วริญรำไพเลยหันไปหาปันจิราอย่างไม่เข้าใจ และไม่อยากไปที่นั่นเลย

แต่สุดท้ายก็ไม่อาจจะเลี้ยงได้อยู่ดี เมื่อนี่คืองาน และเป็นที่มาของเงิน ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม แม้ในใจอยากจะให้ตัวเองรวยแล้วเมินคำสั่งนี้สักแค่ไหนก็ตาม



“คุณสถาพรค่ะพี่เอ๋ย พอดีแกขอมาดูห้องไว้จัดงานแต่งน่ะค่ะ พอดีเห็นเราถ่ายพรีเวดดิ้งอยู่ แกเลยขอดูการทำงานหน่อย เผื่อจะได้เอาไปบอกเจ้าสาวให้มาถ่ายกับเราค่ะ”

นั่นคือคำอธิบายจากอินทิราเกี่ยวกับว่าที่ลูกค้าหนุ่มหน้าตาดี แต่งกายภูมิฐานที่เดินตรงมาหาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนคนที่กำลังจะเริ่มชีวิตใหม่ไม่มีผิดเพี้ยน

“สวัสดีครับคุณเอ๋ย ผมขออนุญาตคุณอินแล้ว แต่ก็ขอขออนุญาตคุณเอ๋ยอีกคนนะครับ เกรงใจกลัวจะเกะกะตอนทำงาน แต่ผมก็อยากดูครับ เห็นชุดเห็นแต่งหน้าให้เจ้าสาวแล้วออกมาสวยเชียว ผมเลยอยากให้แฟนสวยแบบนี้บ้าง อีกอย่างผมนัดกับแฟนให้มากินเที่ยงที่นี่ด้วย คงจะดีถ้าได้ดูการถ่ายทำเป็นการฆ่าเวลาไปด้วยนะครับ”

หนุ่มหล่ออธิบายยืดยาวและด้วยท่าทีสุภาพ “ด้วยความยินดีค่ะ จะนั่งดูตรงซุ้มก็ได้นะคะ” จนวริญรำไพไม่อาจจะปฏิเสธได้

“ขอบคุณครับ”

พอๆ กับเครื่องดื่มเย็นๆ ที่แขกเป็นฝ่ายซื้อมาเลี้ยงทุกคนรวมทั้งสองบ่าวสาวอย่างมีน้ำใจด้วย ที่วริญรำไพไม่อาจจะปฏิเสธเมื่อเขาเปิดแล้วยื่นให้ด้วยตัวเอง จนต้องยิ้มบางๆ ให้ก่อนรับมาจิบเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ

“คุณเอ๋ยมีมุมกล้องแปลกตาดีนะครับ”

วริญรำไพหันไปยิ้มให้คนข้างๆ ที่มายืนดูการถ่ายทำอยู่ใกล้ๆ แล้วอาสาคอยช่วยจับนั่นยื่นนี่ให้เมื่อน้องๆ ทีมงานไม่ว่าง

“ขอบคุณค่ะ”

เลยได้รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรจากช่างภาพสาวส่งให้เป็นการตอบแทน ก่อนจะหันกลับไปหางานตามเดิม ใกล้เที่ยงแขกเลยเดินเข้ามาหาใกล้ๆ แล้วกระซิบบอกว่าต้องไปแล้ว

“มีอะไรก็ติดต่อที่ออฟฟิศหรือน้องอินได้เลยค่ะ”

วริญรำไพเลยวางมือจากงานครู่หนึ่งแล้วส่งแขกตามมารยาทแล้วก็กลับไปหางานตามเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็เห็นจะเป็นช่วงบ่ายที่งานถ่ายเริ่มอีกครั้ง

ก็มีแขกหนุ่มหน้าตาดีแต่งกายภูมิฐานอีกคนเดินเข้ามาขอคุยรายละเอียดเรื่องงานแต่ง แล้วขอดูการถ่ายทำอย่างใกล้ชิดอีก ไม่แตกต่างจากหนุ่มเมื่อเช้านี้นัก ซึ่งวริญรำไพกับอินทิราก็ต้อนรับเต็มที่ เมื่อคาดหวังว่าจะได้ลูกค้าเพิ่ม

หารู้ไม่ว่านั่นกลับทำให้คนที่ยืนกอดอกอยู่ห้องประชุมชั้นสามที่กำลังมองลงมาหาเข้าใจไปอีกแบบ ในใจก็เจ็บแสบแสนสาหัสที่ตัวเองโง่ได้ถึงเพียงนี้

มองข้ามผู้หญิงดีๆ ที่มีในมือ ไปหาผู้หญิงมากรัก หลายชายได้อย่างไม่น่าให้อภัย และในใจก็อยากจะเดินลงไปถามให้รู้แล้วรู้รอดว่าเจ้าหล่อนทำได้ยังไงกัน

เมื่อคืนนอนกับอีกชาย ตอนเช้าควงกับอีกคน ตกบ่ายก็มีอีกชายมาหา ถ้าเขาลงไปคุยด้วย เขาก็คงจะกลายเป็นเบอร์สามไว้ให้เจ้าหล่อนเลือกสินะ

‘ไม่’

คนอย่างเขาไม่มีทางเป็นแบบนั้น คนอย่างเขาอยู่สูงกว่าผู้ชายพวกนั้น คนอย่างเขาจะไม่มีวันเป็นตัวเลือกเอาไว้ให้ใครเป็น เพราะเบอร์เดียวที่เขาจะต้องเป็นคือ

‘หนึ่ง’

เดียวเท่านั้น จะไม่เป็นสองรองใคร เป็นอันขาด



“พี่สุคะ เสร็จงานคัดรูปแล้ว ตอนบ่ายเอ๋ยขอไปธุระหน่อยนะคะ”

ในวันต่อมาที่ไม่ได้ออกนอกสถานที่ วริญรำไพรีบขอเจ้านายก่อนที่จะขึ้นชั้นบนทันที ทั้งที่มือยังหิ้วปิ่นโตอาหารเผื่อทุกคนอยู่เลย

“ตามสบายจ้ะ แค่นี้เองไม่ต้องขอพี่ก็ได้ ว่าแต่งานเมื่อวานเรียบร้อยดีนะ พี่ว่าจะไปดูหน่อยแต่ไม่ว่างเลย อ้อ! แล้ววันนี้เอาอะไรมากินบ้างล่ะ มีของโปรดพี่หรือเปล่า กินเที่ยงด้วยกันแล้วเอ๋ยค่อยออกไปทำธุระนะ”

“ค่ะ”

วริญรำไพยิ้มบางๆ ให้เจ้านายสาวที่พูดจบก็เดินขึ้นชั้นบนทันที และไม่ต้องการคำตอบตามเคย ตัวเองเลยรีบทำงานจะได้เสร็จก่อนเที่ยง กินข้าวเสร็จ ไปทำธุระเสร็จจะได้รีบกลับบ้านเพราะอยากมีเวลาอยู่กับพ่อแม่ให้นานๆ ก่อนกลับกระบี่

“เสร็จแล้วค่ะพี่เอ๋ย ล้างให้เรียบร้อย ฝากขอบคุณแม่ด้วยนะคะ พรุ่งนี้ขอของอร่อยๆ อีกนะคะ” อินทิรายื่นปิ่นโตเปล่าให้ หลังอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า

“จ้ะ งั้นพี่ไปนะ เจอกันพรุ่งนี้จ้ะ”

วริญรำไพสะพายกระเป๋าแล้วก็คว้าปิ่นโตขึ้น โบกมือลาน้องๆ ด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ ก่อนจะออกไปหารถที่จอดอยู่หน้าสตูฯ แล้วขับออกไปช้าๆ

‘Dolaya Riverside Resort & Spa Bangkok’

คือสถานที่ที่มือบางหักพวงมาลัยเข้าไป แล้วหอบกล่องกระดาษที่เอามาจากคอนโนตั้งแต่เมื่อเช้า เดินตรงไปหารีเซฟชั่นเพื่อแจ้งความจำนงว่ามาขอพบใคร

“คุณย่าประชุมอยู่ รบกวนรอสักครู่นะคะ จะรอตรงล๊อบบีหรือรอที่เทอเรสก็ได้ค่ะ”

พนักงานบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มหวาน วริญรำไพเลยเลือกเดินหอบกล่องไปตรงเทอเรสแทน เพื่อชมความงามของแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็อดคิดถึงบ่ายวันนั้นกับเขาที่เที่ยวไปในหลายๆ วัดไม่ได้

รวมทั้งบรรยากาศอันแสนหอมหวานบนเรือยอร์ชราคาหลายล้านของเขา ที่ทำเอาหัวใจเจ็บแปลบปลาบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ต้องทนเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องและควรจะเป็น

เวลาที่ใช้ในการรอคอยผ่านไปชั่วโมงครึ่ง แต่วริญรำไพกลับไม่เห็นว่านานเลย เมื่อปล่อยใจให้ล่องลอยไปหาแต่ห้วงเวลาอันแสนสุข โดยมีเขาเป็นคนหยิบยื่นให้

ทว่าสำหรับดลยาที่ยืนมองลงมาจากหน้าต่างห้องทำงาน เห็นว่านานเต็มทีแล้ว จึงถอนหายใจออกมาดังๆ ก่อนจะตัดสินใจลงไปหาผู้หญิงที่ตัวเองไม่คาดคิดว่าจะได้พบหน้ากันอีก

“คุณมีอะไรกับฉันเหรอ ถึงได้มาหาถึงนี่ รีบๆ หน่อยนะ เพราะฉันต้องเข้าประชุมสำคัญอีก แล้วก็มีนัดกับร๊อกจะออกไปแจกการ์ดต่อด้วย”

แม้จะเป็นการโกหกทั้งเพและไม่เคยทำมาก่อน แต่ดลยาก็เลือกที่จะทำ เพื่อไม่ให้เสียเหลี่ยมกับสาวสวยใสไร้ซึ่งภาษีสังคมใดๆ แต่กลับได้ใจและอาจจะได้ตัวคู่หมั้นตัวเองไปแล้ว

“ขอโทษนะคะที่มารบกวนคุณย่า แต่เอ๋ยจะใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ เสร็จแล้ว...” “ฉันไม่ชอบอ้อมค้อมรีบๆ พูดมาจะดีกว่า!” ยังไม่ทันจะได้พูดจบด้วยซ้ำ ดลยาก็สวน จนอีกฝ่ายต้องเงียบลง

“เอ่อ! คือเอ๋ยจะมาขอโทษในทุกๆ เรื่องที่ทำให้คุณย่าไม่พอใจค่ะ”

เลยรีบเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าสลดอย่างเห็นได้ชัด แต่อีกฝ่ายไม่คิดจะหลงกลสีหน้าท่าทางแบบนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะดูผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว

“เรื่องที่คุณพยายามจะแย่งว่าที่สามีของฉันไปน่ะเหรอ! แล้วคุณทำทำไม! แล้วจะมาขอโทษทำไมไม่ทราบ หรือนี่เป็นแผนเรียกคะแนนสงสารจากฉัน! ด้วยการตีสีหน้าซื่อๆ ท่าทีเหนียมๆ ทำตาเศร้า!”

ดลยาเสียงแข็งใส่ และไม่มีท่าทีว่าจะยอมรอมชอมง่ายๆ จนวริญรำไพต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนตัดสินใจเอ่ย “เอ๋ยมีเหตุผลค่ะ ถ้าคุณมีเวลาเอ๋ยก็จะเล่าให้คุณย่าฟัง เป็นคนแรกและคนเดียวเท่านั้น”

“หวังว่ามันคงจะน่าฟังและมีความจริงปะปนอยู่บ้างนะ!”

ดลยาไม่วายแดกดัน แต่สุดท้ายก็ยอมสงบแล้วฟังเรื่องราวความรักระหว่างพี่หินกับเอ๋ยเมื่อสิบสองปีก่อนด้วยดี แม้ในใจไม่อยากจะเชื่อ แต่สีหน้าท่าทางรวมทั้งน้ำตาของคนเล่าที่ไหลรินออกมา

ไม่อาจจะทำให้คนที่มีหัวใจอ่อนโยน มีเมตตากรุณาต่อผู้ด้อยกว่าอย่างดลยาเมินหมางไม่รับรู้รับฟังได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบหลังเรื่องราวจบลง วริญรำไพเลยตัดสินใจหอบกล่องก้าวเดินไปหาแล้วยื่นให้

“อะไร” อีกฝ่ายยังคงถามเสียงห้วนและไม่ยอมรับง่ายๆ

“เอ๋ยคงไม่ได้ไปงานแต่งของคุณย่า เลยเอาของขวัญมาให้ค่ะ เปิดดูสิคะ มันอาจจะไม่มีค่าอะไรมากมาย แต่เป็นของอีกชิ้นที่เอ๋ยตั้งใจทำขึ้น เพื่อรอให้พี่หินกลับมาค่ะ”

ดลยาตัดสินใจแกะกล่องกระดาษลูกฟูกออก แล้วก็พบเปลือกหอยที่เอามาต่อกันเป็นรูปเรือประมง มีรูปคนสามคนยืนโบกมือทั้งสองข้างใส่กรอบไม้ไว้อย่างดี และดูจะเป็นของเก่าเก็บมานานนม



กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2558, 15:17:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2558, 15:17:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1027





<< เจ็บปวดอย่างไม่เคยมีมาก่อน ๑๐๐%   ความจริงที่จำต้องเปิดใจ ๒ ๑๐๐% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account