พรหมลิขิตกระซิบรัก
นัมแทบง นายแบบหนุ่มผู้ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงเจ้าของฉายารอยยิ้มเทวดาหากแต่เมื่ออยู่หลังกล้องเขาคือผู้ชายหน้าเดียวที่มีแววตาดุจน้ำแข็ง....
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...

... พรหมลิขิตกระซิบรัก...

Tags: ดารา นางแบบ ซุปตาร์ โรแมนติก ซึ้้ง

ตอน: การเดินทาง

ห้าชั่วโมงบนเครื่องบินจากท่าอากาศสุวรรณภูมิสู่สนามบินอินชอนประเทศเกาหลีใต้ ฝนตกต้อนรับเธอแต่เช้าเลยตอนเวลา08.45น. ที่นี่เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วสินะหวังว่าฉันจะมีแต่ความสุขตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ กุมาริกายิ้มบอกตนเองในใจ

“อากาศเย็นเหมือนกันนะยิ่งฝนตกแบบนี้หนาวไหมเบบี๋” พีมะถามอย่างห่วงใย

เมื่อเห็นว่าร่างเล็กพยักหน้าตากล้องหนุ่มก็ถอดแจ๊กเกตที่สวมทับมาด้านนอกออกเตรียมคลุมให้ แต่กุมาริกาส่ายน้ำปฎิเสธ

“แล้วพีจะไม่หนาวเหรอเราทนได้มันยังไม่ถึงกับหนาวมากหรอก อีอย่างเราชอบที่มันไม่ร้อนดีแล้วก็ไม่มีเหงื่อด้วย” กุมาริกาบอกติดตลก

“ไม่ต้องมาทนได้หรอก ขืนไม่สบายขึ้นมาเราได้เดือดร้อนพอดี อย่าลืมว่าในประเทศนี้เราคุยกับใครรู้เรื่องที่ไหน” พีมะกระชับเสื้อตนเองกับร่างเล็ก

ล่ามสาวหัวเราะร่วนกับคำพูดของตากล้องหนุ่ม มองเขาด้วยความขอบคุณ สองหนุ่มสาวเดินไปยังจุดนัดพบที่กุลธีร์บอกไว้ว่าจะมีคนจากประธานนัมมารับ

“พีมองหาป้ายที่จะมารับพวกเราหน่อยสิว่าอยู่ตรงไหนใช้ความสูงให้เป็นประโยชน์หน่อย เรานี่อิจฉาชะมัดอยากจะสูงกว่านี้อีกซัก5-6นิ้วก็ยังดีแม่นะแม่ทำไมให้ความสูงลูกมาน้อยเหลือเกิน” กุมาริกาชะเง้อมอง

คำพูดของล่ามสาวทำให้เขาอดเอ็นดูไม่ได้เอามือโยกหัวทุยเบาๆยิ้มกับความสดใสของกุมาริกาเพราะเธอตัวเล็กน่ารักนะสิฉันถึงได้ชอบ... พีมะบอกคำตอบในใจก่อนหันไปชี้อีกมุมนึงที่มีคนชูป้ายชื่อเขากับเธออยู่

“อยู่นั่นไงยินดีต้อนรับมิสกุมาริกาและมิสเตอร์พีมะ K- magazine ป้ายใหญ่กว่าที่คิดนะเนี่ยจัดว่าประธานนัมให้เกียรติเราน่าดู”

รอยยิ้มกว้างเมื่อครู่จางหายไปจากใบหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นเพียงคุณลุงคนขับรถที่ประธานนัมส่งมา ซ่อนแววตาผิดหวังไว้ลำพังแล้วแสดงตัวว่าเธอกับพีมะคือคนที่เขามารับ

“ทำไมเงียบไปล่ะ รู้สึกไม่สบายรึเปล่ายังไม่แปลที่คุยกับลุงคนขับรถให้เราฟังเลยนะ" พีมะถามขึ้นเมื่อรถเริ่มวิ่งเข้าถนนใหญ่แล้ว

“เปล่านี่แค่ง่วงนิดหน่อย ลุงเขาแค่บอกว่าจะพาพวกเราไปพบประธานนัมก่อนแล้วถึงจะพาไปที่พักก็เท่านั้นเอง” กุมาริกาฝืนยิ้มให้แจ่มใส

การเดินทางของสองหนุ่มสาวชาวไทยจากสนามบินอินชอนถึงบริษัทนัมโมเดลกินเวลาเกือบ2 ชั่วโมงดีว่าถนนที่นี่รถไม่ติดเหมือนเมืองไทยแม้ว่ารถจะเยอะก็ตาม ในเวลาไม่นานรถที่พวกเขานั่งมาถูกจอดลงที่หน้าตึกดีไซน์สวยรูปทรงหกเหลี่ยม พีมะมองลุงคนขับที่หันมาพูดอะไรบางอย่างกับล่ามสาว

“ที่นี่แหล่ะถึงแล้ว” กุมาริกาพยักหน้าและเปิดประตูลงไปยืนข้างรถตามด้วยร่างสูงของตากล้องหนุ่มชาวไทย ที่ดูดีไม่แพ้นายแบบเกาหลี

“ผมไม่คิดว่าที่นี่จะเป็นที่เที่ยวที่น่าสนใจเลยนะตอนออกจากสนามบินมีแต่ทุ่งหญ้ากับแม่น้ำ แต่พอเราข้ามสะพานเข้าเมืองยังกับคนละโลกเลยมีแต่ตึกเต็มไปหมด ดูรถนี่ซิเราว่ารถที่นี่ใหม่ทุกคันเลยว่าไหม เรายังไม่เห็นรถเก่าเลยแถมเท่าที่ดูมีแต่ยี่ห้อรถที่บ้านตัวเองผลิตทั้งนั้น” พีมะตั้งข้อสังเกต

กุมาริกาขำกับความช่างสังเกตของตากล้องหนุ่ม ก่อนอธิบายในสิ่งที่พีมะถามขณะที่รอคนขับรถหยิบของฝากท้ายรถที่กุลธีร์ฝากมา

“พีช่างสังเกตจัง คนที่นี่เขาอยู่ตึกมากกว่าบ้านแบบคนไทย ที่ดินในเกาหลีราคาแพงมากนะคนที่จะมีบ้านเดี่ยวมีเนื้อที่ได้นี่ต้องมีเงินและรายได้ดีมากๆเพราะแม้กระทั่งที่จอดรถยังต้องมีพอกับจำนวนรถด้วยรู้ไหมไม่งั้นจะโดนปรับได้ ประเทศเกาหลีผลิตรถเองได้ราคาเลยไม่ได้สูงมากแบบบ้านเราที่ต้องนำเข้าไงและเขาก็เป็นชาตินิยมรวมถึงส่งเสริมให้คนในประเทศใช้ของที่ตนเองผลิตได้นอกจากจะกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศแล้วก็ยังกระตุ้นยอดขายในต่างประเทศเก่งด้วยใช่ไหมล่ะอย่างที่เราๆรู้กัน” กุมาริกาบอกยิ้มๆ เดินตามลุงคนขับรถที่ผายมือไปทางตัวตึก

“สุดยอดขาวชะมัด”ช่างภาพหนุ่มมองตามสาวหุ่นดีที่เดินสวนกับตัวเองจนกุมาริกาต้องหัวเราะ

“ยังมีให้นายดูอีกเยอะจนเบื่อเร็วเข้า มัวแต่มองเดี๋ยวสาวที่นี่ก็คิดว่านายโรคจิตหรอก”

“โธ๋เบบี๋...ก็แค่มองยังไงพีก็คิดว่าผิวสีสวยกว่าเป็นไหนๆ” พีมะยกแขนเรียวขึ้นไล้ทำหน้าทะเล้นจึงโดนเจ้าของแขนเนียนตีเข้าให้

“โอ้ย!เจ็บนะจับหน่อยก็ไม่ได้” พีมะแกล้งโอด

“สมอยากทะเล้นนักนี่” กุมาริกาย่นจมูกน่ารัก

การหยอกล้อของสองหนุ่มสาวตกเป็นเป้าสายตาของใครอีกคนที่กำลังลงจากรถยืนเต็มความสูง กดปีกหมวกลงต่ำ ใบหน้าหล่อถูกปกปิดด้วยผ้าคาดปากเหมือนเคย

“ยังเล่นไปทั่วเหมือนเคยนะกัมมี่”เสียงเข่นเขี้ยวรอดออกมาจากเจ้าของผ้าคาดปาก

กุมาริกากับพีมะยืนสงบนิ่งอยู่บริเวณส่วนรับแขกชั้นบนสุดที่เป็นชั้นของประธานบริษัทนัมโมเดล หลังจากคุณลุงคนขับรถพามาส่งก่อนแนะนำให้พวกเขารู้จักกับเลขาคนสนิทของเจ้าของบริษัท

คุณเลขาแนะนำตัวเองว่าชื่อซงยูจินและให้พวกเรารอท่านประธานสักครู่ ก่อนพยักหน้าให้ลุกตามเธอไป ประตูกระจกฝ้าบานใหญ่ถูกเคาะและเปิดกว้าง เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่าเจ้าของบริษัทคนสวยยืนยิ้มหวานรออยู่

สองหนุ่มสาวกระพุ่มมือไหว้ตามธรรมเนียมไทยและเอ่ยทักทาย “สวัสดีค่ะ/ครับท่านประธานนัม”

“ซา-วัด-ดี-คา” ภาษาไทยด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองตอบกลับมาแม้ไม่ชัดแต่น่ารักมากสำหรับคนฟัง ร่างระหงสวมกอดกุมาริกาเบาๆและส่งมือไปจับทักทายตากล้องหนุ่ม นัมเยรินผายมือให้นั่งในส่วนที่เป็นโซฟารับแขก

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง แล้วก็ดีใจมากที่ได้มาทำงานร่วมงานกัน หวังว่าการเดินทางคงไม่ลำบากนะกัมมี่..พีมะชิ” นัมเยรินบอกเสียงอ่อนหวาน

## ชิใช้แทนคำว่าคุณในภาษาไทย##

“ค่ะ/ครับ”

“ประธานนัมพูดภาษาไทยเก่งมากนะครับถึงไม่ค่อยชัดแต่ผมพอฟังรู้เรื่อง” พีมะเอ่ยชม

“กุลธีร์สอนฉันต้องขอบคุณเขา” นัมเยรินยิ้มหวานดูอ่อนกว่าวัยสี่สิบกว่ามาก

“เดี๋ยวฉันจะให้เลขายูพาพวกคุณชมรอบๆ เธอเป็นคนสนิทของฉันเองและพูดภาษาอังกฤษได้ดี” ประธานคนสวยหันไปยิ้มกับพีมะและกุมาริกา

“สวัสดีอีกครั้งค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะพาพวกคุณไปดูชั้นที่ทำงานแล้วก็แนะนำตัวกับทีมงานค่ะ” เลขายูกล่าวเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วเพื่อตัดการไม่เข้าใจในการสนทนาของตากล้องหนุ่มที่ไม่เข้าใจภาษาเกาหลี

“ค่ะ/ครับ”

“งั้นก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะได้กลับไปพักผ่อน ฝากคุณดูแลด้วยนะเลขายู”

“ค่ะ ท่านประธาน เชิญค่ะเดี๋ยวดิฉันจะอธิบายส่วนที่ทำงานในแต่ละชั้นให้ฟัง”

ประธานสาวเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งนึกเคืองน้องชายตนเองว่ามัวแต่ทำอะไรอยู่นะ กุมาริกาจะคิดยังไงบ้างหนอที่หมอนั่นไม่ไปรับทั้งที่วันนี้ไม่ได้มีงานสักหน่อย เธอโทรไปก็ไม่รับคิดจะเล่นตลกอะไรอีกนะมือบางเอื้อมกดอินเตอร์คอม

“ตามผู้จัดการคิมให้ฉันหน่อย”

ในขณะที่เดินตามทางเพื่อมาขึ้นลิฟท์เลขาสาวก็อธิบายส่วนต่างๆที่สำคัญของบริษัทไปด้วย ว่าแต่ละชั้นมีแผนกอะไรกันบ้างทำเอาสองหนุ่มสาวตื่นตาตื่นใจไม่น้อย

“ออฟฟิศนัม โมเดลมีทั้งหมด 8 ชั้นนะคะ ชั้น1อย่างที่คุณเห็นตอนเดินเข้ามาคือเป็นร้านกาแฟ ที่นี่จะเรียก Fancafe จะมีพวกของพรีเมี่ยมที่เป็นของดาราหรือนายแบบของเราจำหน่ายอยู่ด้วยว่างๆก็ลองเข้าไปดูได้ ชั้นสองเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ทุกคนที่มาติดต่องานจะต้องมาตรงนี้ก่อน”

“อ่อคะตอนฉันขึ้นมาก็คิดว่าสร้างได้เป็นสัดส่วนแปลกดีคือต้องเดินขึ้นบันไดจากชั้น1ขึ้นมาก่อนถึงจะเจอประชาสัมพันธ์รวมถึงลิฟท์” ล่ามสาวบอกอย่างชอบในไอเดีย

“นั่นสิไม่เคยเห็นมาก่อน” พีมะบอก

“เป็นความต้องการของท่านประธานค่ะส่วนแผนกต่างๆทั่วไปก็จัดแยกเป็นสัดส่วนเช่นกัน ชั้น3จะเป็นชั้นของฝ่ายจัดการ ฝ่ายบัญชี ฝ่ายการตลาด ชั้น4 จะเป็นชั้นที่เราได้ใช้กันมากที่สุดเพราะเป็นร้านอาหารสวัสดิการบริษัท ชั้น5 เป็นแผนกครีเอทีฟแล้วก็พวกมีเดียต่างๆ พีมะชิอยู่ชั้นนี้ค่ะ ส่วนชั้น6 เป็นสตูดิโอให้เช่าแล้วก็ห้องประชุม ชั้น7 เป็นคลาสเรียนที่กุมาริกาชิต้องสอน และชั้น8 เป็นชั้นของท่านประธานที่เราลงมาเมื่อครู่” คุณเลขายูอธิบายยืดยาวผายมือเชิญให้คนทั้งคู่เข้าลิฟท์

“ที่นี่ตกแต่งแบบโมเดิร์นมากเลยเนอะ เขาว่านะมันให้ความรู้สึกน่าทำงานมากกว่าออฟฟิศเราอีกว่าไหม” กุมาริกาคุยกับพีมะอย่างสนใจสถานที่

ประตูลิฟท์เปิดออกอีกครั้งที่ชั้น5 สีที่ใช้ตกแต่งชั้นนี้คือสีเทาดำ เลขายูเดินนำหน้าโดยมีตากล้องและล่ามสาวเดินตามหลัง ด้วยความเป็นชาวต่างชาติและที่สำคัญหน้าตาดีไม่แพ้นายแบบเลยเรียกความสนใจได้ไม่น้อยหลังจบคำทักทายแบบแปร่งๆที่กุมาริกาสอนให้พูดตั้งแต่อยู่บนเครื่องเรียกเสียงปรบมือดังขึ้นเกลียวกราว พีมะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารส่วนใหญ่ ถึงจะมีคนเข้าใจเขาไม่มากแต่ภาษามือก็สื่อสารได้อย่างสากล คงไม่มีปัญหาอะไรมากสำหรับการปรับตัวนั่นคือสิ่งที่ตากล้องหนุ่มคิด

“งั้นเชิญคุณทำความรู้จักกับทีมงานก่อนสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันขอพาคุณกุมาริกาไปดูชั้นที่เธอต้องทำงานก่อน” เลขายูเอ่ยขอตัว

“ขอบคุณครับ” พีมะยิ้ม

กุมาริกายกมือโบกล้อเลียนและยิ้มขำเมื่อเห็นตากล้องหนุ่มกำลังตกอยู่ในวงล้อมของทีมงานสาวๆ ขณะที่เดินออกมาเลขาคนสนิทของประธานนัมก็ถามคำถามที่เธอต้องยิ้มไปพร้อมกับการส่ายหน้า

“คุณกุมาริกากับคุณพีมะเป็นคนรักกันรึเปล่าคะ ดูคุณทั้งคู่สนิทกันมาก”

“เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้นค่ะแค่เราสนิทกันมากเพราะรู้จักกันมานาน” ล่ามสาวเอ่ยแก้

เลขายูพากุมาริกาเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้น6 แทนการใช้ลิฟท์เพราะเหนือขึ้นไปอีกชั้นเดียวซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาของหญิงสาวแต่อย่างใด “ที่นี่เราจะใช้การเดินแทนการใช้ลิฟท์ถ้าห่างกันแค่ชั้นหรือสองชั้นค่ะ”

“ดิฉันก็ทำบ่อยๆเวลาอยู่เมืองไทยค่ะ” กุมาริกาตอบ

“ตอนนี้ในสังกัดนัมโมเดลมีนักแสดงมากกว่า10คนที่เป็นที่รู้จักและอีกเกือบ10คนที่กำลังผลักดันส่วนนายแบบเรามี8คนที่มีชื่อเสียงและกำลังจะปั้นนางแบบอย่างจริงจังเป็นปีแรก โดยปีนี้เราส่งร่วมประกวดด้วยเธอมีพรสวรรค์มาก สูง สวย ฉลาด คุณนัมแทบงเป็นคนพาเธอมาค่ะ” เลขายูบอกข้อมูลเหมือนชวนคุยแต่ท้ายประโยคสะกิดใจหญิงสาวไม่น้อย

“ท่านประธานเล่าว่าคุณเก่งมากที่สำคัญสวยมากด้วยอันนี้เป็นความคิดเห็นของฉันนะคะ” เลขายูยิ้มชวนคุย

“ไม่เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะประธานนัมชมฉันเกินไปแล้วตอนนี้ก็รู้สึกว่าเริ่มจะประหม่าแล้วล่ะคะตื่นเต้นยังไงไม่รู้เพราะยังไม่เคยสอนคนอื่นแบบจริงจังเลยคะ” กุมาริกาถ่อมตัวอมยิ้มขัดเขิน

มองทางเดินสีขาวต่างจากชั้นล่างที่ขึ้นมาชั้นนี้ดูสว่างสมเป็นห้องเรียนจริงๆ แบ่งเป็นห้องเล็ก 3 ห้องกลาง2 ห้องใหญ่1 เลขาสาวผลักประตูเข้าไปในห้องหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีการสอนอยู่ ก่อนพยักหน้าให้ล่ามสาวเดินตามเข้ามาในนั้นมีคนที่กุมาริกาคุ้นหน้าอยู่3ใน8คนและแน่นอนคนที่เธอจำได้คือดาราหนุ่มที่เธอเคยเป็นล่ามให้คราวที่แล้วนั่นเอง ครูสาวที่อยู่ในห้องฝึกบุคคลิกบอกให้คุณซุปตาร์ทั้งหลายเอ่ยทักทายเธอ ล่ามสาวจึงทักทายตอบพร้อมรอยยิ้มหวานผูกมิตร

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อกุมาริกา กริณรัตน์เป็นคนไทยจะมาสอนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยค่ะ เรามาเรียนกันด้วยความสนุกนะคะ ยินดีที่ได้พบทุกคนค่ะ ” กุมาริกาหันมองไปทางหนุ่มคุ้นหน้าที่ยกมือขึ้น

“ค่ะคุณฮามินแจ”

“ผมดีใจจังที่ได้พบกัมมี่ชิอีกได้รับของขวัญขอบคุณที่ผมฝากไปให้แล้วใช่ไหมครับ” สิ้นเสียงคำถามก็เรียกเสียงวี้ดวิ้วในห้อง
ของบรรดาชายหนุ่มได้ไม่น้อย

“ค่ะฉันได้รับแล้วขอบคุณมากนะคะ แต่...”กุมาริกายังไม่ทันได้แก้ความว่าเธอไม่ได้ใส่มัน เพราะมันซ้ำกับเส้นที่เธอมีอยู่แล้ว คุณเลขาก็พูดตัดบทขึ้นมาซะก่อน

“พอๆทุกคน หวังว่าจะไม่หยอกกวนเวลาคุณครูจนเกินพอดีเดี๋ยวครูจะหนีกลับเอาได้ เธอจะมาสอนพวกคุณในวันพรุ่งนี้ เอาล่ะเชิญเรียนกันต่อได้ค่ะ”

คุณเลขาพยักหน้าให้ล่ามสาวเดินตามออกมา ก่อนบอกอย่างมีน้ำใจว่าถ้ามีใครไม่เชื่อฟังหรือก้าวร้าวใส่เธอให้บอกได้รวมถึงให้ระมัดระวังภาพพจน์ของด้วย “ฉันจะเป็นคนดูแลพวกคุณเองขาดเหลืออะไรบอกได้เลยนะ”

“ได้ค่ะ” กุมาริกาเพียงยิ้มรับ

หลังจากเสร็จขั้นตอนทุกอย่างกุมาริกาและพีมะถูกพาลงมาที่ชั้น4 ซึ่งจัดเป็นเหมือนโซนอาหารสำหรับพนักงานในตึก

“มันดีมากเลยว่าไหม..เบบี๋ควรบอกบอสให้ทำบ้างนะสวัสดิการพนักงาน” ตากล้องหนุ่มมองห้องอาหารอย่างตื่นตา

“สุดยอดฉันเห็นด้วย” กุมาริกาพยักหน้าหัวเราะ

“เชิญคุณสองคนรับประทานอาหารกันก่อนค่ะ”

“เลขายูพูดกับฉันแบบไม่เป็นทางการดีกว่าค่ะกัมมี่ขอเรียกคุณว่าออนนี่แล้วกันนะคะ เรายังต้องทำงานร่วมกันอีกสักพักใหญ่สนิทกันไว้ดีกว่ากัมมี่ว่าพวกเราต้องเพิ่งออนนี่อีกเยอะเลย”

##ผู้หญิงเกาหลีจะเรียกหญิงสาวที่อายุมากกว่าตัวเองว่า ออนนี่ 언니 แปลว่าพี่สาว##


“ได้ค่ะ งั้นอีกครึ่งชั่วโมงพี่ลงมาใหม่แล้วกันนะคะจะได้เป็นส่วนตัว” เลขายูยิ้ม

“ค่ะ”กุมาริกาตอบรับและตากล้องหนุ่มเพียงพยักหน้ายิ้ม

เมื่อเห็นว่าเลขาของท่านประธานไปแล้วพีมะก็ถอนหายใจพิงหลังลงกับพนักเก้าอี้ “เฮ้อ...อึดอัดจังเลยคิดผิดรึเปล่าเนี่ยอะไรก็ฟังไม่รู้เรื่องดีว่ายังพอมีคนพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง พีเปิดTranslate ซะปวดนิ้วไปหมด”

“เอาน่าสนุกดีออก กลับไปนายเก่งภาษาเกาหลีแน่เดี๋ยวฉันสอนคำง่ายๆให้ ไปหาของกินกันเถอะหิวชะมัด” กุมาริกาดึงแขนตากล้องหนุ่มให้เดินตามไป

“อาหารนี่ดูเยอะแปลกๆนะ” พีมะตั้งข้อสงสัย

“อาหารชุดก็แบบนี้แหละมีข้าว มีไข่เจียว มีพวกผักดอง3อย่างนี่ยังน้อยนะ ซุปเต้าเจี้ยวอืม..อร่อย ลองชิมสิ”

จากนั้นสองคนก็เพลิดเพลินไปกับการกินโดยไม่ได้สนใจคนรอบตัวบางคนที่เอาแต่จ้องคนทั้งคู่ตามเขม็ง ด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ “ชิ..ให้มากินข้าวทำยังกับมานั่งเดทกัน หงุดหงิดชะมัด”

“ออนนี่ของกัมมี่มานู่นแล้ว”พีมะทำปากยื่นหันไปตามทางที่เลขายูจินกำลังเดินมา

“นายต้องเรียกเธอว่านูน่า ผู้ชายเกาหลีเขาจะเรียกผู้หญิงอายุมากกว่าว่านูน่า ส่วนผู้ชายอย่างผู้จัดการคิมนายจำได้ไหมนั่นเรียกว่าฮยองแปลว่าพี่ชาย”

“อ้าวพีเคยได้ยินเบบี๋เรียกโอป้าไม่ใช่เหรอ”

“นั่นก็ใช่แต่มันสำหรับผู้หญิงเขาเรียก สรรพนามการใช้ของเกาหลีมันยากกว่าภาษาไทยอ่ะ ผู้หญิงผู้ชายใช้เรียกต่างกันถ้าพีใช้ผิดจะโดนขำเอาได้”

“วุ่นวายยุ่งยากชะมัดเลย” ตากล้องหนุ่มหน้ายุ่ง

“พอกินได้ไหมคะอาหาร”ยูจินถามมองใบหน้าใสที่ทำให้เธอถูกเรียกให้ลงมาด่วนและย้ำให้ดูแลเป็นพิเศษ ล่ามสาวคนนี้ต้องมีความหมายพิเศษกับเจ้านายคนน้องของเธอเป็นแน่เลขาสาวคิด

“มัสชิตะ”พีมะตอบคำว่าอร่อยแทนหญิงสาวที่เพิ่งสอนเขาอยู่เมื่อครู่

“เขากำลังหัดพูดเกาหลีขั้นพื้นฐานเพื่อความอยู่รอดค่ะ”กุมาริกาอธิบายขำๆ

“พวกคุณสนิทกันจังเลยนะคะ ถ้าเรียบร้อยแล้วเราไปดูที่พักกันเลยไหมค่ะ” ยูจินเสนอ

ตากล้องหนุ่มลุกขึ้นหันหลังเตรียมเดินตามคุณเลขาแต่ต้องชะงักเพราะเสียงเรียกของกุมาริกา

“เดี๋ยวพีนายจะไปไหนมาเก็บถาดอาหารก่อน” กุมาริกาเรียกตากล้องหนุ่มไว้

“ต้องเก็บด้วยเหรอ” พีมะขมวดคิ้ว

“เก็บสิที่นี่ทุกอย่าง ถ้านายไปกินนายต้องยกไปเก็บเองอย่าวางไว้เด็ดขาดมันเป็นเรื่องของมารยาทเข้าใจไหมไว้เขาจะอธิบายให้ฟังถ้าเจอตัวอย่างอื่นอีก” กุมาริกาแนะนำธรรมเนียมมารยาทของคนเกาหลีให้ตากล้องหนุ่มเข้าใจไปด้วย

“เชิญคะ”ยูจินเปิดประตูรถคันที่ไปรับเธอกับพีมะมาจากสนามบินขึ้นไปนั่งข้างลุงคนขับแล้วให้เธอกับพีมะนั่งด้านหลังกันสองคน

“ออนนี่ไกลมากไหมคะจากที่นี่ไปที่พัก”กุมาริกาถามเส้นทางที่ต้องเริ่มใช้วันพรุ่งนี้

“ไม่ไกลหรอกคะเดินประมาณสิบนาทีแต่พวกคุณมีสัมภาระไงคะ”

“อ่อ..คะ พี่เขาบอกว่าเราสามารถเดินมาถึงที่นี่ได้ในเวลา10นาที แสดงว่าใกล้นะ” กุมาริกาพยักหน้ารับรู้หันมาอธิบายให้คนไม่รู้เรื่องฟัง

“ถึงแล้วค่ะ ที่นี่เป็นหอพักของบริษัทคะ นักแสดง นายแบบในสังกัดเราบางคนก็พักอยู่ที่นี่ค่ะ” เลขายูจินอธิบายมองหนุ่มสาวที่หันไปหันมามองรอบด้าน

“ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ยเพื่อนบอส” พีมะบอกตื่นเต้น

“ห้องพวกคุณอยู่คนละชั้นนะคะคุณพีมะอยู่ชั้น3ส่วนคุณกัมมี่อยู่ชั้น5ค่ะ”

เมื่อเห็นสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามของตากล้องหนุ่ม ยูจินจึงอธิบายเพื่อความสบายใจ

“คือมันเป็นเรื่องของห้องว่างคะ ปกติชั้น3เป็นชั้นรับรองแขกของบริษัทแต่ตอนนี้ว่างอยู่เพียงห้องเดียว เพราะตอนนี้มีผู้สื่อข่าวจากจีนและญี่ปุ่นเข้าพักอยู่ด้วยเพื่อมาทำข่าวพวกนักแสดงในค่าย ส่วนชั้น5เป็นที่พักส่วนตัวของท่านประธานค่ะ”

ตอนนี้สีหน้ามุ่ยของคนที่เหมือนจะมีปัญหาในตอนแรกดูจะหมดไปแล้วและเดินตามไปโดยดี ยิ่งเปิดดูห้องก็ยิ่งพอใจลืมข้อสงสัยจนหมดสิ้น

“ว้าว ก็โอเคเลยนะ เหมือนห้องพักโรงแรมเลยไว้พีขึ้นไปหาข้างบนเอง กลัวรึเปล่าอยู่คนละชั้น” พีมะถามมองรอบห้องอย่างพอใจ

“ไม่หรอกน่าเราอยู่ได้” กุมาริกาปฎิเสธเสียงใส

“โอเคนะคะงั้นเชิญพักผ่อนตามสบายเจอกันตามตารางงานพรุ่งนี้ค่ะ” เลขายูจินเอ่ยถาม

“ให้เราไปด้วยไหม”พีมะมองใบหน้าใสอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรพีพักเถอะเหนื่อยพอกัน อีกอย่างเดี๋ยวเขาจะนินทาได้แล้วโทรคุยกัน” กุมาริกาเอ่ยอ้าง

“เฮ้อ ธรรมเนียมประเพณีอีกสินะ โอเค” พีมะถอนหายใจ

หญิงสาวยิ้มหันไปพยักหน้ากับยูจินเป็นสัญญาณว่าไปกันเถอะ ครึ่งวันเข้าไปแล้วเธอยังไม่เห็นหน้าคนที่คิดถึงเลย ขนาดเธอมาหาจนถึงที่แล้วนะ กุมาริกาคิดอย่างเศร้าใจ

รหัสประตูถูกกดและประตูถูกเปิดกว้างห้องนี้ใหญ่กว่าห้องของพีมะสองเท่า มีครัวเล็กๆข้างในด้วย พลันตากลมก็เหลือบไปเห็นรูปภาพของคนใจร้ายตั้งอยู่จนหญิงสาวเผลอย่นจมูกใส่ อาการนั้นไม่ได้รอดพ้นสายตาของยูจินไปได้

“ตอนนี้คุณแทบงอยู่ที่บริษัทแล้วคะกลับมาจากถ่ายละครเมื่อเช้า ตอนที่คุณทานข้าวกันคุณแทบงยังโทรตามให้พี่ลงมาดูแลอีกรอบเลย”

“แปลว่าเขาเห็นฉันแล้วเหรอคะ” กุมาริกาถามตามที่สงสัยแต่ภายในใจกำลังครุ่นคิดบางอย่าง มองกระดาษใบเล็กที่เลขายูส่งให้

“อันนี้เบอร์ติดต่อพี่แล้วก็รหัสห้องนี้ค่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ตามพี่ได้ ส่วนนี่มือถือเครื่องใหม่คุณแทบงสั่งให้เอาให้คุณค่ะ เบอร์คุณแทบงอยู่ในเครื่องพร้อมใช้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ขอตัวก่อนนะคะคุณจะได้พักผ่อนด้วย”

“ขอบคุณค่ะ” กุมาริการับสิ่งที่คุณเลขายื่นให้มาถือไว้ในมือ

รอยยิ้มหายไปพร้อมๆกับบานประตูที่ปิดลงไม่เข้าใจในสิ่งที่นัมแทบงทำกับเธอ เวลานี้เธออยากเจอเขาที่สุดแต่เขากลับแอบดูเธองั้นเหรอ เขาส่งคนมาอำนวยความสะดวกและมองดูเธอจากที่ไหนสักแห่งโดยไม่ปรากฏตัว ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ มองดูสมาทโฟนเครื่องใหม่ในมือก่อนวางมันลงบนโต๊ะกลางห้อง ทรุดตัวนั่งบนโซฟาดูกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กในมือ

ไฟกระพริบที่หน้าจอมือถือสว่างขึ้นตามด้วยเสียงเรียกเข้าเป็นจังหวะ สมาทโฟนส่ายไปมาตามแรงสั่นสะเทือน กุมาริกามองอย่างเมินเฉยแต่ชื่อที่บันทึกไว้กลับทำให้หัวใจเธอสั่นระรัว

“เจ้าของเธอโทรมา”

ตัวอักษรเกาหลีปรากฏอยู่หน้าจอ เสียงแผ่วเบาที่เอ่ยตามประโยคที่อ่านออกเสียงทำให้น้ำตารื้น

เขาหมายถึงเธอจริงๆเหรอหรือแค่ทำให้เธอกังวลใจกับความหมายของมัน ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเขาล้อเล่นกับเธอมากไปแล้วนะ มองมือถือสั่นไปมาอย่างครุ่นคิด

ในเมื่อเขาไม่มาให้เธอเจอ เธอก็จะไม่สนใจเขาเหมือนกัน เสียงเงียบไปหลังจากดังอยู่ห้าครั้งติด ก่อนปรากฏข้อความแอฟพลิเคชั่นนิ้วเรียวกดเพื่ออ่านมัน

“เลขายูบอกว่าส่งเธอถึงห้องแล้วทำไมไม่รับสาย”

กุมาริกาไล่สายตาไปตามข้อความ ก่อนตัดสินใจปิดเครื่องทิ้ง กลายเป็นเครื่องเธอที่ข้อความเข้ามาแทนและตามมาอีกหลายประโยคเมื่อเธอไม่ตอบ

“ปิดเครื่องทำไม”

“ทำไม...ไม่รับโทรศัพท์”

“อ่านแล้วไม่ตอบแปลว่าอะไร”

“โกรธไม่พอใจอะไร”

“เดี๋ยวตอนค่ำเข้าไปหานะ”

กุมาริกาตัดสินใจตอบเมื่อเห็นข้อความสุดท้าย นัมแทบงบอกจะมาหาเธอที่นี่เธอยังไม่ต้องการที่จะพบเขาตอนนี้ และที่นี่มันดูไม่เหมาะสม “ไม่ต้องมาฉันจะออกไปข้างนอก”

นัมแทบงกดอ่านทันทีที่ข้อความเด้งขึ้นมา หัวคิ้วขมวดเข้าหากันก่อนกดข้อความตอบกลับไป

“ไปกับไอ้ตากล้องนั่นนะ อยู่ด้วยกันมาทั้งวันยังไม่พออีกรึไง”

“ใช่ไม่พอและอย่ามาพูดถึงเพื่อนสนิทเขาไม่ดีนะ” กุมาริกาทำหน้าบึ้งใส่หน้าจอแล้วปิดเครื่องเปิดกระเป๋าหยิบเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุดใหม่อย่างอารมณ์ดีขึ้นได้แกล้งคนเย็นชาบ้างก็คงดี

“แทบงถ่ายต่อได้แล้วกล้องพร้อมแล้ว”ผู้จัดการคิมเรียกแต่ต้องเก็บปากเกือบไม่ทันเมื่อใบหน้าของดาราหนุ่มราวกับไปทะเลาะกับใครมา

“ฮยองถ้าข้อความเข้าบอกผมด้วยแต่ห้ามอ่านเด็ดขาดเข้าใจมั้ย” นัมแทบงสั่งด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

“อะไรของมันว่ะ เมื่อกี้ยังอารมณ์ดีชวนไปซื้อเค้กข้าวฝากคุณล่ามอยู่เลย”คิมเซจุนยืนงง

“ใกล้กันหน่อยครับคุณแทบง คุณมินเซ ชิดมากกว่านี้อีกRelaxสายตาด้วยครับคุณแทบงดูดุไปถ้าจะมองคนรัก” ตากล้องบอก

“สักครู่ครับ” นัมแทบงยกมือบังดวงตาไว้ก่อนกรอกตาไปมาเพื่อผ่อนคลาย ก่อนจะหันไปกอดดาราสาวอีกครั้งอย่างมืออาชีพ

“แทบงเสร็จแล้วไปหาอะไรอร่อยๆกินกันไหม” ชินมินเซนางเอกที่เล่นละครเรื่องล่าสุดด้วยกันชวนคุย แนบหน้าชิดกับอกกว้างฉวยโอกาสขณะถ่ายแบบไต่นิ้วเรียวขึ้นไปหยุดที่ท้ายทอยดาราหนุ่มจนร่างสูงนิ่งขึงไป

“ผมไม่ว่างแล้วก็...ไม่ชอบให้ใครจับต้นคอ”นัมแทบงดึงมือสาวใจกล้าออกเปลี่ยนมาวางไว้ที่ตรงบ่าแทนก่อนจะผละออกทันทีที่ตากล้องบอกจบงาน

“โอเคเสร็จแล้วครับ ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี” ทีมงานถ่ายแบบปรบมือให้กำลังใจกันเมื่องานลุล่วงไปด้วยดี
นัมแทบงโค้งเล็กน้อยก่อนเดินจากไปโดยไม่ได้สนใจดาราสาวคู่จิ้นในละครของตัวเองสักนิด ปล่อยให้นางเอกสาวต้องยิ้มเจื่อนรับหน้าคนอื่นที่มองอย่างสนใจ

หลังจากมีภาพจูบดูดดื่มในละครระหว่างเธอกับแทบงกระแสจับคู่เลยมีมากมาย เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเข้าใกล้เขา ผู้ชายบ้าอะไรใจแข็งชะมัดผู้หญิงทอดสะพานขนาดนี้ยังไม่ยอมข้ามอีก จับนิดจับหน่อยมองจิกจนเธอแทบจะเป็นรูคนอะไรหน้าตายชะมัด ถ้าไม่เพราะกระแสคู่จิ้นล่ะก็เธอไม่มีทางง้อหรอกเซ็งชะมัดชินมินเซกัดปากเข่นเขี้ยวตาลุกเป็นไฟจนผู้จัดการของหล่อนต้องเดินมาแก้สถานะการณ์

“มินเซคนดีเหนื่อยใช่ไหมค่ะ ไม่ทำหน้าบึ้งแบบนั้นมองแบบนี้ดูดุไปนะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัวกันดีกว่า ไปค่ะ” หางเสียงทุ้มต่ำรวมถึงแรงกดที่แขนทำเอาเธอได้สติ เปลี่ยนเป็นยิ้มหวานทันที

“ค่ะ..มินเซเหนื่อยนิดหน่อยไปเปลี่ยนเสื้อกันเถอะออนนี่ แล้วมือถือฉันอยู่ไหนล่ะเดี๋ยว...โทรมาไม่รับสายจะโกรธอีกเมื่อกี้ก็งอนไปทีแล้ว”ดาราสาวสวมบทนักแสดงทันทีแกล้งทำเว้นวรรคชื่อให้ไปนึกกันเอาเอง

“มินเซจะเล่นอะไรก็หัดบอกล่วงหน้าก่อนสิพี่ตกใจหมดเดี๋ยวได้หลุดกันพอดี เอ้านาฬิกากับกำไลเหมือนแทบงใส่เปี๊ยบเลย”ผู้จัดการคนสนิทเจ้ากี้เจ้าการ

“ยี้สีม่วงฉันไม่ชอบเลย ทำไมไม่เอาสีอื่นล่ะนาฬิกาเนี่ย”

“ก็รุ่นนี้ขายดีมากแล้ววันนี้แทบงใส่สีดำ พอพี่เห็นเสร็จก็ไปเอามาทันทีไม่ได้จองที่ร้านเขาไว้ก่อน เขาก็มีแค่สีม่วงก็ต้องเอามาก่อนนะสิ”

“หมอนั่นน่ารำคาญชะมัด พี่เห็นหน้าเขาไหมนิ่งสนิทสุดยอดฉันล่ะกลัวจริงๆ นี่ถ้าไม่หล่อถูกใจ ฉันก็ไม่อยากเข้าใกล้หรอกนะ” ชินมินเซกรอกตา

“เอาน่าถึงแอนตี้แฟนเธอจะมากแต่กระแสจิ้นเธอกับแทบงก็มีไม่น้อยในโซเชี่ยลแคปรูปเสื้อผ้า เครื่องประดับที่พวกเธอใส่เหมือนกันจนเป็นข่าว แค่นี้กระแสเธอก็ไม่ตกแล้วมินเซ”

นัมแทบงเดินจ้ำอ้าวไปที่รถตู้ส่วนตัว สายตาไม่ได้ละไปจากหน้าจอสมาทโฟนของตนเองเลย

“ย๊ากกส์ ยัยเด็กบ้า ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความด้วย คิดจะปั่นหัวฉันรึไง”

“เธอโกรธที่นายไม่ได้ไปรับรึเปล่า แล้วเธอมากับใครไม่ใช่ตากล้องเท่ๆที่ถ่ายแบบให้นายเหรอเห็นสาวๆในบริษัทกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่นึกว่ามาสมัครนายแบบ ฉันก็ไม่ทันเห็น”

“ก็หมอนั่นแหละแค่ไปตัดผมสั้นมาก็งั้นๆ” ดาราหนุ่มนึกขวาง

“นายไม่พอใจงั้นเหรอ ไหนบอกว่ายังไม่ได้คบกัน ทำไมท่าทางนายมันหึงเขาชัดๆ แล้วยังสร้อยคอนั่นอีกก่อนกลับมาเกาหลีนายลากฉันไปซื้อ ฉันเห็นเธอใส่มาด้วย นายเห็นรึเปล่าแทบง” ผู้จัดการคิมลอบมองผ่านกระจกหลัง รู้สึกว่าเขาคงพูดถูกจุดหมอนั่นเข้าให้แล้วรอยยิ้มเทวดาถึงโผล่มาผิดเวลาอย่างนี้

“เฮ้อ!!” ผู้จัดการหนุ่มถอนหายใจ

นัมแทบงมองเวลายามเย็นผ่านกระจกอย่างอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม...ใช่ เขาเห็นเธอใส่มันมาด้วยสร้อยคอรูปดาวที่เขาซื้อให้คราวก่อน จู่ๆก็ยกมือขึ้นปิดโหนกแก้มที่ยกสูงขึ้นของตัวเองไว้ เขาควบคุมมันไม่ได้อีกแล้ว สิ่งนั้นพี่สาวเขาเรียกมันว่าความสุข คำพูดของนัมเยรินตอนอยู่บนเครื่องขณะที่เขากำลังดูรูปยัยตัวแสบในมือถืออยู่ รอยยิ้มกว้างก็เปิดขึ้นจนพีสาวเขาสงสัยชะโงกดู

“เธอน่ารักใช่ไหมล่ะ แค่ดูรูปเธอนายก็นึกถึงตอนที่อยู่กับเธอใช่ไหมล่ะ รอยยิ้มนั่นนายควบคุมมันไม่ได้เลย ที่นายเป็นแบบนี้เพราะนายมีความสุขไงแทบง” ประกายตาจ้าจากพี่สาวทำให้ดาราหนุ่มคิดถึงมันเจ้าของรอยยิ้มสดใส คำพูดที่ไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่คิดอะไรก็พูดออกมาทันที ไม่ว่าจะโมโหหรือว่าดีใจ ...

“ฉันคิดถึงเธอจริงๆแหละกัมมี่” นัมแทบงพึมพำ

“ประธานนัมบอกให้นายกลับบ้านเลยไม่ให้ไปที่หอพักนัม นายจะแวะกินอะไรก่อนไหม” ผู้จัดการคิมคอยมองสีหน้า

“กิน..แต่หลังจากที่ไปหอพักนัมก่อน” ดาราหนุ่มยืนยันจะไปสถานที่โดนห้าม

“ไม่ได้ท่านประธานสั่งไว้ไม่เหมาะ เดี๋ยวคนอื่นเอาไปนินทาไม่ดี จะให้ฉันไปรับกัมมี่ไปกินข้าวที่บ้านวันหลัง”

“ขับไปอิแทวอน(ชื่อย่านที่พักของบริษัทนัม)ไม่ต้องพูดมากน่าฮยอง”

“ดื้อ จริงๆเลยหมอนี่” ผู้จัดการคิมได้แต่ส่ายหัวระอา




ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ



พบกะรัณย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ย. 2558, 12:10:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.ย. 2558, 12:10:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 978





<< คำสั่งพิเศษ   คนงอนกับคนตาม >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account