แกะรอยกามเทพ (รีไรต์)
'เทวานิรมิต' โรงแรมหรูกลางกรุงที่ใครเขาว่างดงามดุจเทวดารังสรรค์
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง

1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต

'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา

'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน

และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ

ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'

fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕ + ฝากอีบุ๊ก "โซ่พิสุทธิ์" ด้วยค่ะ



ทิวบุญปรับตัวในการเริ่มทำงานวันที่สองด้วยการออกจากที่พักตั้งแต่แปดโมงเช้า เพียงสิบกว่านาทีเท่านั้นก็ขึ้นมาประจำยังโต๊ะทำงานเรียบร้อย เธอจะต้องไม่เข้าทำงานสายกว่าเจ้านายจอมขยันแน่ แล้วก็เป็นจริงดังคาดเมื่อสิบนาทีให้หลัง ชายหนุ่มก็ผลักประตูกระจกเข้ามา เขางันไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นเธอ

"กาแฟไหมคะ" เธอถามเหมือนตื่นขึ้นมาในยามเช้าอันสดใส

ทัดเทพมองรอยยิ้มบางของผู้ที่มีแซนด์วิชในมือและแก้วกาแฟหอมกรุ่นตรงหน้า ก่อนจะย้อนถามอย่างเจ้านายใจดี

"ไม่มีแซนด์วิช"

"มีอันเดียวค่ะ ดิฉันซื้อมาจากสถานีรถไฟฟ้า แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นปาท่องโก๋ ปากซอยน่าจะมี"

คำตอบตรงไปตรงมานั้นเรียกเสียงหัวเราะขัน ทิวบุญไม่อยากเชื่อว่าเวลายิ้ม หัวเราะ ดวงตาเขาโค้งเป็นสระอิ ดูอ่อนเยาว์จากเดิมไปมากทีเดียว

"ไม่ต้องลำบากคุณหรอก กาแฟอย่างเดียวก็พอ ขอบคุณครับ"

ลับร่างคนอารมณ์ดีเข้าห้องส่วนตัวของเขาไปแล้ว หญิงสาวจึงลุกจากเก้าอี้พร้อมแก้วกาแฟและแซนด์วิชที่เหลือไปจัดการต่อยังแพนทรี รูม ก่อนจะชงกาแฟดำใส่เพียงน้ำตาล หยิบซองครีมเทียมสำเร็จรูปติดไปด้วย

ทิวบุญผลักประตูห้องทำงานส่วนตัวของเขาเข้าไป ขณะอีกฝ่ายนั่งไขว่ห้างหมุนเก้าอี้หันข้างให้โต๊ะทำงาน ในมือหนาถือแท็บเล็ตซึ่งเขายอมละสายตาจากหน้าจอมายังเธอ

"นั่งก่อนสิ" เอ่ยพลางรับแก้วกาแฟมา

เลขาฯ คนใหม่จำต้องเลื่อนเก้าอี้ตัวตรงข้ามลงนั่ง เธอสังเกตว่าเขาดื่มกาแฟนั้นโดยไม่ได้เติมครีมเทียม เช่นเดียวกันกับตน

"เมื่อวานคุณวิรัชแนะนำอะไรบ้าง"

เธอคิดอยู่แล้วว่าเขาต้องถาม หรือท่าทีที่เปลี่ยนไปจากหลังมือเป็นหน้ามือวันนี้เพราะเขาต้องการดึงเธอเป็นพวกอีกคน

"คุณวิรัชพาไปดูส่วนต่างๆ ของเทวานิรมิตค่ะ สอนให้รู้จักระบบการทำงานที่นี่ แล้วก็แนะนำดิฉันกับทุกคนถ้าต้องการติดต่อข้างบน"

ข้างบนที่ใครๆ ก็รู้ดีว่าคือชั้นของผู้บริหาร พนักงานทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมา นอกจากจะถูกเรียกขึ้นมาเอง

คนฟังพยักหน้าพึงใจหากยังถามสืบไป "ทำไมถึงออกจากที่เก่า"

"เจ้านายคนเก่าถูกย้ายไปประจำประเทศอื่นค่ะ ดิฉันเข้ากับเจ้านายคนใหม่ไม่ได้จึงลาออก"

"มีปัญหาเรื่องการปรับตัว"

ทิวบุญอดทนกับคำถามราวสัมภาษณ์งานเหล่านั้น นั่นไม่อาจทำให้เธอเต้นไปได้หรอก ถ้าไม่มีสายตาที่จับจ้องเธอเต็มตากว่าทุกที

"เปล่าค่ะ ดิฉันจะพิสูจน์ให้เห็น"

ทัดเทพยกกาแฟขึ้นจิบอย่างใจเย็น แล้วก็เผลอคิดเปรียบเทียบผู้หญิงคนนี้ว่าเหมือนกาแฟดำขมฝาดแก้วนี้ แต่ก็หอมกรุ่น อาจไม่คุ้นลิ้นบางคน แต่เขาสัมผัสถึงเสน่ห์ ความพิเศษในตัวจากธรรมชาติได้ดี

"แล้วสองปีก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำงานที่ไหน"

หญิงสาวสังเกตวิธีการพูด ตั้งคำถามของเขาโดยไม่มีคำที่แสดงว่าเป็นประโยคคำถาม หากแต่เป็นการเลิกคิ้วเข้มขึ้นน้อยๆ ให้คู่สนทนาตอบออกมาเอง

"ทำค่ะ แต่ไม่ได้ลงในเรซูเม่"

"ทำอะไร"

"เก็บค่าเช่าที่นาให้พ่อ แล้วก็ปล่อยเงินกู้ค่ะ"

เมื่ออยากรู้ดีนักเธอก็ตอบตามตรง เวลาพูดกับเจ้านายฝรั่งเช่นนี้เขาไม่เคยถือ นั่นจึงทำให้เธอเข้ากับเจ้านายเก่าได้ดีและอยู่ทำงานที่นั่นนานที่สุด แต่ชายไทยผู้นี้ทำให้เธอเปลี่ยนความคิด อคติที่มีต่อเจ้านายชาวไทย เมื่อเขาเพียงหัวเราะในลำคอ ไม่ได้ถือสาที่คำตอบตีรวน ทิวบุญจึงมีรอยยิ้มกลับไป

"ขอโทษเถอะ ที่หัวเราะนี่ไม่ได้จะดูถูกนะ ผมเพียงแต่คิดว่าจะเป็นยังไงถ้าคุณใส่ลงไปในเรซูเม่"

"คุณอร แล้วก็คุณลักขณาคงจะหัวเราะดิฉันอีกคนมั้งคะ" เธอตอบยิ้มๆ

สีหน้าสีตาแช่มชื่นเมื่อครู่นี้เลือนหายไปอย่างน่าเสียดาย เหลือเพียงรอยยิ้มสุภาพอย่างที่เขาปั้นแต่ง เช่นเดียวกันกับรอยยิ้มของภรรยาเขาปรากฏอยู่ แล้วทิวบุญก็นึกรู้ว่าหมดเวลา

"ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ"

ชายหนุ่มผงกศีรษะง่ายๆ เขาไม่ได้โกรธเธอสักนิด ตราบใดที่เธอไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเทวานิรมิต ซึ่งเขาเชื่อว่าเจ้าหล่อนไม่ใช่คนเช่นนั้น เธอมั่นใจในความเป็นตัวเองเกินกว่าจะทำอะไรอันเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตนเอง ต่างจากพวกช่างประจบ ข้าสองเจ้าบ่าวสองนายที่ผ่านมา

พี่น้อง...อาจไม่เหมือนกันเสมอไป

......................

โรงอาหารพนักงานอยู่ชั้นล่างสุดของโรงแรม ไม่ไกลกันนักกับออฟฟิศที่พนักงานส่วนต่างๆ ทำงาน มันเป็นห้องโล่งติดเครื่องปรับอากาศ ด้านหนึ่งของผนังสีครีมมีเคาน์เตอร์วางถาดอาหารปรุงสำเร็จต่างๆ ซึ่งเป็นสวัสดิการของพนักงาน

ทิวบุญกวาดสายตาสำรวจโดยรอบ ไม่มีใครใส่เสื้อช็อปอย่างช่างสักคน นอกจากพนักงานออฟฟิศและพนักงานต้อนรับในชุดฟอร์มเรียบหรู หญิงสาวจึงเดินไปตักข้าวสวยใส่จานกระเบื้องเคลือบ เลือกตักกับข้าวอย่างหนึ่งในถาดราดบน พร้อมกับเสียงถามดังขึ้นข้างกาย

"ไข่ดาวไหมครับ"

เธอหันมองร่างสูงที่มายืนข้างๆ แล้วก็แลพบกับดวงตาเปื้อนยิ้มที่มองมา

"ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันไม่ชอบทานไข่ดาวสุก"

คำตอบที่บอกความต้องการของตัวเองชัดเจนนั้นทำให้ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะเก้อๆ ทว่าเธอไม่ได้ตัดไมตรีเสียทีเดียวเมื่อยืนรอ ก่อนจะตามไปนั่งตรงข้ามกับเขาสุดปลายโต๊ะกระดานสีขาวที่ต่อสองตัวเข้าด้วยกัน

"ลูกน้องไปไหนหมดแล้วคะ" เธอถามล้อๆ เมื่อเขามาทานข้าวลำพัง

นึกถึงอุ้มบุญที่ปลาบปลื้มบุรุษผู้นี้ขึ้นมา ถ้าอีกฝ่ายยังทำงานอยู่ก็คงจะเต็มใจเกาะติดเจ้านายโดยตรงคนนี้ไปไหนมาไหน ดีเหมือนกันที่คุณวิรัชไม่ได้แนะนำว่าเธอเป็นพี่สาวของอุ้มบุญ เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะปฏิบัติต่อผู้หญิงอื่นอย่างไรลับหลังน้องเธอ

"หนีไปทานข้างนอกกันก่อนแล้วครับ เหลือผมนี่ล่ะ มีงานติดพันเลยขี้เกียจออกไปไหนไกล" เขาพ้อไม่จริงจัง "คุณทัดเทพหรือคุณวิรัชใช้งานหนักครับ จะบ่ายแล้วคุณทิวถึงเพิ่งลงมา"

"อุ้ย นินทาเจ้านายจะดีหรือคะ" เธอป้องปากตอบกลั้วหัวเราะ

อัครวินท์หัวเราะขันตาม ผู้หญิงคนนี้มีชีวิตชีวา ใครอยู่ใกล้ได้พูดคุยด้วยก็มีความสุข จากที่เขานึกประทับใจในบุคลิกหน้าตาของเธอ เมื่อได้สนทนาวิสาสะด้วยก็นึกชอบใจตัวตนเจ้าหล่อนไปด้วย

"ไว้คุณทิวไปทานข้าวกับพวกผมก็ได้ บางทีเราก็ออกไปทานข้างนอกกัน ข้างบนนั้นคงไม่ค่อยมีใครมั้งครับ" เขาชวน

"ขอบคุณนะคะ ต้องมีโอกาสนั้นแน่ค่ะ" เธอตอบมั่นใจ

ทิวบุญอยากไปเสียเที่ยงพรุ่งนี้ถ้าเธอไม่ติดงาน หากอีกใจก็พอใจที่จะทานอาหารที่โรงอาหารพนักงานต่อไป จนกว่าจะได้พบบุคคลผู้ต้องสงสัยอีกคน หรือเธอต้องหาเรื่องตามช่างขึ้นไปข้างบนดีนะ

หญิงสาวนิ่งคิดจึงเงียบไป สีหน้าซึ่งยากคาดเดานั้นอยู่ในสายตาของอัครวินท์ เขาไม่ชอบท่าทางมีลับลมคมในเช่นนี้ของเธอเลย ราวกับมีเกราะกำบังที่มองไม่เห็นปิดกั้นตัวตนของเธออย่างยากที่ใครจะเข้าไป

...................

ทิวบุญมองหมายเลขบนหน้าจอโทรศัพท์ที่เธอกดค้างไว้แต่ยังไม่ได้โทรออกเสียทีด้วยความลังเลใจ เธอคิดถึงพ่อกับแม่ แต่กับน้อง... เธอคิดแทนอุ้มบุญแทบทุกลมหายใจ และนั่นก็ทำให้เธอลังเลที่จะติดต่อไป ไม่อยากมีปัญหากับอุ้มบุญอีก

เธอมาอยู่กรุงเทพฯ ได้สิบวันแล้ว หากไม่มีสายจากทางบ้านติดต่อมาเลย แต่แม่ก็เป็นอย่างนี้ ท่านเป็นแม่ที่กลัวจะรบกวนเวลาทำงานหรือเวลาพักผ่อนของลูก ส่วนพ่อก็ไม่ชอบพูดโทรศัพท์ ท่านไม่เคยใช้เลยหากไม่จำเป็น

เออนะ แต่ถ้าไม่ติดต่อไปแล้วเธอจะรู้ความเป็นไปทางนั้นได้อย่างไร หญิงสาวเถียงกับตัวเอง มัวมากังวลเช่นนี้เหมือนไม่ใช่ตัวเธอเลย คิดได้ดังนี้ก็เหมือนได้คำตอบให้ตนเอง เธอจึงตัดสินใจโทรไป ไม่นานปลายสายก็รับ

"ทิวหรือลูก" เสียงถามกลับบ่งบอกความยินดี "เลิกงานแล้วหรือ ทำอะไรอยู่ลูก"

เป็นแม่ที่รับสายอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ แค่เพียงได้ยินเสียง ใบหน้าคนเป็นลูกก็มีรอยยิ้มขึ้นมา

"เลิกแล้วแม่ ทิวอยู่ที่ห้องจ้ะ คิดถึงเลยโทรไป"

"กว่าจะคิดถึงก็หายไปนานเลยนะเรา" ฤทัยพ้อไม่จริงจัง

ทิวบุญหัวเราะไปตามเรื่อง นึกแซวท่านในใจว่าแม่ก็แหย่เช่นนี้ได้กับเธอเท่านั้น แต่เมื่อไรที่อุ้มบุญโทรกลับบ้านสักที แม่ก็จะพูดอ่อนหวาน ปะเหลาะเอาใจ ชื่นชมยกยอกันไปตามระเบียบ เธอเคยหมั่นไส้และนึกขวาง หากพอมองย้อนกลับไปตอนนี้ เธอกลับรู้สึกว่าความคิดเช่นนั้นไร้สาระสิ้นดี

"อ๊ะ แน่นอน ทิวฮ็อตน่าดูนะแม่ คนนู้นคนนี้แย่งตัวกันใหญ่ หนุ่มตรึมด้วย ขอบอก"

"วุ้ย ลูกคนนี้ ใครได้แกแม่แถมที่นาให้ด้วยเลย"

หญิงสาวยิ้มสบายใจที่พูดให้ท่านหัวเราะได้ เมื่อความคิดถึงบรรเทาลงแล้วก็ไม่ลืมถามถึงพ่อกับน้องด้วยความเป็นห่วง

"พ่อกับอุ้มเป็นไงบ้างจ๊ะ"

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง เธอได้ยินเสียงถอนหายใจของท่านแทรกมา ก่อนแม่จะตอบเสียงเบา

"อุ้มเข้าห้องนอนแล้ว ส่วนพ่อเรายังไม่กลับเลย ไปกินเหล้าบ้านเพื่อน"

"แล้วกลับยังไงล่ะแม่ ทิวไม่อยากให้พ่อขับรถตอนเมา มีใครไปรับหรือเปล่า"

ถ้าเธออยู่บ้าน หน้าที่ไปรับส่งพวกท่านไปไหนๆ เป็นหน้าที่สำคัญของเธอทีเดียว แต่อุ้มบุญก็ขับรถไม่เป็น ถ้าคนในบ้านจะไปไหนมาไหนก็คงมีแต่พ่อคนเดียว

"เดี๋ยวเพื่อนเขาคงมาส่ง เมื่อคืนก่อนก็มา"

ทิวบุญยังไม่ทันทักท้วงที่ท่านดูจะไปดื่มนอกบ้านติดๆ กัน ทว่ามารดาก็เอ่ยมาก่อน

"ตอนนี้น้องดีขึ้นบ้างแล้วนะทิว ไม่รบเร้าอยากได้นู่นนี่ อุ้มมันก็อยู่ของมันเงียบๆ บนห้อง แม่ก็สบายใจบ้างที่ไม่ต้องคอยห้ามพ่อลูกทะเลาะกัน"

"เหรอจ๊ะ" เธอไม่รู้จะตอบคำใด

ไม่ใช่ไม่ดีใจกับแม่หรืออิจฉาที่ท่านชื่นชมน้อง แต่เธอก็ยังไม่สบายใจเสียทีเดียว ยังคงสังหรณ์ไม่ดีถึงบางอย่าง แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าเพราะเหตุใด

"ทิวก็มาบ้านบ้างสิลูก ถ้าไม่เหนื่อย หยุดเสาร์อาทิตย์ก็มาค้างนี่ได้"

"จ้ะ" เธอรับคำท่าน

ทิวบุญนึกตำหนิตัวเองยิ่งนักที่เคยคิดว่าแม่ลำเอียง แม้แต่ตอนที่เลือกมาทำงานที่กรุงเทพฯ นี้ก็เพราะแรงผลักดันจากความคิดนั้นส่วนหนึ่ง หากเธอรู้แล้วว่าความรักและความคิดถึงของแม่ที่มีให้ลูกทุกคนล้วนเท่ากัน และเธอเองก็ไม่ได้ต้องการความรักความห่วงใยเกินเหตุจากแม่ดังที่น้องได้รับเลย

เธอชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตนคิดถูกหรือคิดผิดที่เลือกมาอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ได้รักพวกเธอจริง พวกเขาไม่มีค่าพอที่จะสนใจให้ความสำคัญทั้งนั้น แทนที่จะอยู่ดูแลพวกท่านที่บ้านต่างจังหวัด

แต่เมื่อมีโอกาสขึ้นหลังเสือแล้ว หญิงสาวก็ไม่อาจตัดใจลงมาง่ายๆ เช่นกัน

..........................

"อ้าว คุณทิว"

เสียงทักจากด้านหลังกรอบประตูเรียกให้ผู้ที่กำลังชงกาแฟแก้วที่สองของวันอยู่ในแพนทรี รูมหันมอง ก่อนบุรุษวัยกลางคนที่เธอเคยสอนงานตนจะก้าวเข้ามา

"คุณทิวนี่ก็ดื่มกาแฟหนักเหมือนกันนะ เมื่อเช้าก็เจอกันรอบหนึ่งแล้ว"

"ค่ะ หนังท้องตึงหนังตาเลยหย่อนมั้งคะ" เธอตอบติดตลก

มีรอยยิ้มกว้างประดับบนในหน้าหญิงสาวเหมือนทุกครั้งที่พูดคุย แม้ว่าตอนนี้ในใจเธอกำลังเซ็งเต็มที เมื่อพักเที่ยงที่ผ่านมาเธอพลาดเจอนายเจ๋งอีกครา

"คุณวิรัชคะ พวกช่างนี่ส่วนใหญ่เขาทานข้าวกันที่ไหนคะ ทิวไม่ยักเคยเจอในโรงอาหาร"

"เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกครับ อาจเป็นร้านค้าข้างนอกก็ได้ พวกนี้ชอบแอบดื่มเบียร์ ถ้าผมรู้ก็ไม่ได้ล่ะ แต่ถ้าคุณเทพทราบนี่จะโกรธมาก ต้องมีมาตรการเด็ดขาดลงมาทีเดียว" ผู้มากอาวุโสกว่าเล่า "คุณทิวต้องการให้ช่างซ่อมอะไรหรือเปล่า"

"อ๋อ พอดีมีน้ำหยดจากช่องแอร์ที่ห้องน่ะค่ะ" เธอตอบทั้งที่จริงมันเป็นปัญหาเล็กๆ

"งั้นก็โทรตามขึ้นมาเลยครับ วันนี้คุณเทพไม่เข้าพอดี เผื่อต้องซ่อมยังไงก็สะดวกด้วย"

อ้อ ที่แท้ผู้ที่ทำให้เธอวุ่นวายรับโทรศัพท์ถึงเขาทั้งวันก็ไม่เข้าสำนักงานหรอกหรือ เขาไม่ได้บอกเลขาฯ คนนี้สักคำ แต่เธอเพิ่งทราบจากผู้จัดการว่าวันนี้ทั้งวันเขาคงไม่เข้ามา

ทิวบุญเดินออกมาจากแพนทรี รูมพร้อมบุรุษวัยกลางคนที่ให้ทั้งความรู้และความเป็นกันเองด้วย พลางถามอีกฝ่ายถึงเจ้านายตน

"วันนี้คุณทัดเทพไปไหนหรือคะ ไม่ได้บอกทิวไว้ว่าจะไม่เข้าออฟฟิศ ใครโทรมาทิวก็บอกเขาว่าให้โทรมาช่วงบ่ายอีกทีหมดเลย สงสัยกลับไปนี่จะงานเข้าแน่"

เขาหัวเราะขันคำบอกเล่านั้น "ไปพักผ่อนของแกบ้างกระมัง คุณลักขณาก็ไม่อยู่นี่นะ ไปฮ่องกงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ก็เลยไม่มีอะไรต้องห่วง"

คนหน้าขรึมผู้นั้นเป็นปู่โสมเฝ้าโรงแรมเองหรอกหรือ เธอค่อนอย่างล้อเลียนในใจ แต่แล้วก็ไพล่นึกถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับเขาเมื่อวาน อีกฝ่ายดูจะอารมณ์ดี ผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับตอนอยู่ต่อหน้าภรรยาที่เขาแสดงออกถึงความมึนตึงใส่โดยไม่สงวนท่าที

เธอเห็นใจผู้หญิงที่ตกอยู่ในสถานการณ์นั้น เมื่อสามีตั้งมั่นจะฟ้องหย่าท่าเดียว เธออยากเชื่อว่าเขามีเหตุผลมากกว่านั้นที่คนนอกอาจไม่รู้

แต่เอ๊ะ! แล้วทำไมเธอถึงมองผู้ต้องสงสัยของตนในแง่นี้ได้นะ หญิงสาวกล่าวโทษความเป็นคนหัวแข็ง ขวางโลกของตนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ไม่ใช่รอยยิ้มทั้งปากและตาอย่างผู้บริสุทธิ์ของเขาเมื่อวานเลย

ทิวบุญขอตัวแยกย้ายกับผู้จัดการวัยกลางคนหน้าห้องทำงานนั่นเอง เธอผลักประตูกระจกเข้าไปพร้อมกับรีบพุ่งตรงไปยังโต๊ะทำงาน สมุดจดหมายเลขติดต่อภายในอยู่ในลิ้นชัก เธอไล่สายตาหาแผนกช่างซ่อมบำรุงไม่นานก็เจอ

หญิงสาวฟังเสียงสัญญาณรอสายด้วยใจระทึก บ้าจริง! เธอตื่นเต้นราวกับริอ่านทำตัวเป็นโปลิศจับขโมย และเมื่อเสียงห้าวรับสาย เธอก็ต้องสงบใจตอบกลับไป

"ช่วยส่งช่างมาดูห้องคุณทัดเทพ ชั้นแปดด้วยค่ะ มีน้ำแอร์หยด"

"ครับ" ปลายสายตอบรับสั้นๆ

ทิวบุญต้องรีบละล่ำละลักเอ่ยต่อเมื่อเกรงว่าอีกฝ่ายจะวางสายเสียก่อน

"เดี๋ยวค่ะ ขอช่างชื่อเจ๋งมาดูให้ได้ไหมคะ ได้ยินว่าเก่ง"

"ฮะ!" เสียงห้าวย้อนกลับมาอย่างไม่เชื่อหู ก่อนเสียงหัวเราะเบาจะดังตามมา "ได้ครับ ได้ เดี๋ยวจะไปดูให้"

หญิงสาวมองหูโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายทิ้งดื้อๆ แล้วจึงวางมันลงกับแป้น เธอเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขึ้นพิมพ์รายงานที่ได้รับมอบหมายไปพลาง ไม่อยากสร้างพิรุธเพียงเพราะความตื่นเต้น

อาจเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่อุ้มบุญเคยมีปากเสียงด้วย ซ้ำน้องยังบันทึกถึงอากัปกิริยาราวข่มขู่ของเขา ความตื่นเต้นเป็นพิเศษจึงอาจเกิดจากความหวาดระแวงบุรุษผู้นี้ลึกๆ ในใจ

.............................

เสียงหนักของประตูที่ถูกผลักเข้ามาเรียกสายตาพนักงานสาวให้เงยขึ้นมอง แล้วทิวบุญก็ได้เห็นผู้ชายร่างผอมสูงที่มือหนึ่งถือกล่องอุปกรณ์ อีกมือถือบันไดเหล็กมาพร้อมกัน ใบหน้ายาวนั้นคุ้นตาประหลาด และดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดไม่ต่างกัน ดวงตาลึกนั้นจึงเบิกกว้างมองเธอเช่นกัน

"หย็อง!"

"ทิว!"

หนุ่มสาวเอ่ยขึ้นพร้อมเพรียง เธอเห็นเขาวางบันไดและกล่องเครื่องมือช่างลงกับพื้นพลางสาวเท้ามาใกล้มากขึ้น ก่อนเจ้าหล่อนจะนึกได้

"แล้วนายเจ๋งล่ะ"

ชายหนุ่มหัวเราะพรืด เขางอตัวกุมท้องอันเป็นท่าทางประจำยามขบขัน

"ก็หย็องนี่แหละเจ๋ง ชื่อหย็องน่ะเพื่อนเรียกเล่นๆ ชื่อจริง... เอ๊ย ชื่อเล่นจริงๆ ก็คือเจ๋ง นายวิเศษไง" เขาสาธยายมากกว่าจะเรียกว่าอธิบาย

ทิวบุญฟุบหน้าลงกับโต๊ะ กำมือทุบโต๊ะด้วยความดีใจ โล่งใจ ตอนนี้เธอสามารถตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้หนึ่งคน ก็คืออดีตเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่รู้จักเมื่อครั้งออกค่ายอาสาด้วยกัน แม้เธอและเขาจะเรียนคนละคณะ แต่เจอหน้ากันทีไรก็มักเอ่ยทักประสาคนคุยกันถูกคอ

"อ้าว เป็นไรไปเจ๊" เขาว่าขันๆ กับปฏิกิริยาของเธอ "แล้วนี่นึกเฮี้ยนอะไรขึ้นมา ตัดผมซะสั้นอย่างกับหนูแทะ เกือบจำไม่ได้"

ดูปากหมอนี่เสียก่อนเถอะ คมไม่ต่างจากเธอ ไม่แปลกหรอกถ้าคนอย่างนี้ตามตื๊ออุ้มบุญแล้วถูกอีกฝ่ายชังน้ำหน้าเอาง่ายๆ แล้วที่น้องบันทึกไว้ว่าถูกจ้องหน้าอาฆาตก็คงจะเป็นเพราะสายตาที่จ้องมองผู้อื่นโดยไม่หลบตาของนายวิเศษนั่นเอง

“แล้วนี่ทิวมาทำงานที่นี่ได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเราไม่รู้เลย” วิเศษยังไม่หายแปลกใจ

"เดี๋ยวเล่าให้ฟัง วันนี้นายเลิกงานกี่โมงน่ะ ไปดื่มกันเถอะ"

ชายหนุ่มตบมือดังฉาดอย่างถูกใจ แหม ตอบได้สมกับเป็นเพื่อนเขาจริงๆ

"เออๆ วันนี้เลิกสองทุ่ม ขอเบอร์หน่อยสิ เดี๋ยวจะโทรไป"

ทิวบุญโคลงศีรษะขบขันกับโชคชะตาที่ช่างเล่นตลก แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็มั่นใจได้ว่ามีพวกกับเขาในเทวานิรมิต...ตั้งหนึ่งคน!

............................................

สวัสดีค่าาา วันนี้แพรวขอมาอัพเดตข่าว "โซ่พิสุทธิ์" นิดนึงนะคะ
ตอนนี้ก็ได้ส่งไฟล์ทั้งหมดเข้าโรงพิมพ์แล้ว ใครที่สั่งจองไว้กลางเดือนหน้าคงได้รับกันค่ะ
แต่ผู้ที่สนใจหนังสือตอนนี้ก็ยังสามารถสั่งได้ที่เพจ ภาพิมล / พิมลภา ได้อยู่นะคะ
หรือจะโหลดอีบุ๊กก็ได้ค่ะ เพิ่งอัพขึ้น meb สดๆ ร้อนๆ เลยยย

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMjAzOTQ0IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMzE5MzkiO30

ขอบคุณค่ะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2558, 15:51:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2558, 15:51:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1304





<< บทที่ ๔   บทที่ ๖ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account