ความรัก...สีหมอก
Tags: ความรัก...สีหมอก,อิง,เอย,แก้วกุดั่น,กรรณิการ์,พัสสน,ก้องภพ
ตอน: บทที่ 8
บทที่ 8
หลังผ่านไปหนึ่งวันไข้ของกรรณิการ์ก็เริ่มลด ส่วนหนึ่งเพราะยาแต่อีกส่วนมาจากการดูแลของพัสสน
ชายหนุ่มแทบไม่ห่างจากเตียงของเด็กสาว ทำประหนึ่งเป็นบุรุษพยาบาล ทั้งเช็ดเนื้อตัวและยกข้าวขึ้นมาให้ถึงบนห้องแล้วยังคอยกำกับเรื่องกินยา ไม่สนใจถึงแม้คนป่วยจะแสดงทีท่าขัดขืน
ช่วงบ่าย เมื่อแน่ใจว่าคนป่วยอาการดีขึ้น พัสสนก็ยกเก้าอี้มานั่งข้างเตียง
“เอาล่ะ ตอนนี้ไข้ก็ลดลงแล้ว ทีนี้คงบอกฉันได้ซะทีนะว่าเธอชื่ออะไร”
กรรณิการ์นิ่งไปครู่เมื่อจับจ้องชายหนุ่มพลางหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เขาคอยเฝ้าดูแลเธอ
แม้เขาจะดุและเอาแต่ใจเมื่อทั้งขู่ทั้งปลอบตอนดึงดันป้อนข้าว ไม่รวมยามเช็ดเนื้อตัวที่เขาทั้งจูบทั้งหอม แต่น่าแปลกตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเขาเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก
“ถ้าเธอยังไม่ยอมบอก ฉันจะเรียกเธอว่าปุกปุยต่อไปนะ”
“เอยไม่ได้ชื่อปุกปุย”
ไม่เพียงกรรณิการ์จะชะงักเมื่อครั้งนี้เธอเปล่งเสียงออกมาได้ แต่พัสสนก็นิ่งงันเหมือนคาดไม่ถึง ก่อนที่เธอจะเห็นเขายิ้ม
“พูดได้แล้วหรือ”
น้ำเสียงทุ้ม ๆ และแววระยิบระยับในดวงตาสีฟ้าเข้มนั้น ทำให้เด็กสาวอดคิดไม่ได้ว่าเหมือนเขากำลังดีใจ
เด็กสาวเกือบยิ้มตอบ หากนึกได้ว่าก่อนหน้านั้นเขาทำอะไรไว้
เธอเสียตัวให้เขา
กรรณิการ์ปากสั่นจากความสะเทือนใจ หากฝืนข่มไว้เพราะเธอยังอยากมีเสียง
“ปล่อยเอยไปนะคะ เอย...อยากกลับบ้าน”
ตอนท้ายเด็กสาวเสียงสั่นเมื่อคิดถึงแก้วกุดั่น
พี่อิงคงห่วงเธอมาก
“ไม่ให้ไป!”
คำบอกเสียงเข้มขุ่นนั้นส่งผลให้กรรณิการ์ใจเสียจนน้ำตาหยดแหมะ
“แต่เอยคิดถึงบ้าน คิดถึงพี่อิง”
วินาทีนั้น เด็กสาวกลัวไปสารพัด
เธอจะถูกขังอยู่ที่นี่อีกนานไหม เขาจะเอาเธอไปขายหรือเปล่า แล้วเธอจะมีโอกาสเห็นหน้าพี่สาวอีกไหม
“ปล่อยเอยไปเถอะนะคะ เอยสัญญาเอยจะพูดเรื่องนั้นกับใคร”
พัสสนนิ่งไป รู้ดี ‘เรื่องนั้น’ ที่เด็กสาวพูดหมายถึงเรื่องไหน
เขาได้ตัวเธอ
ในเมื่อเธอเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว ที่ที่เธอสมควรอยู่ก็ต้องเป็นที่ที่เขาอยู่ไม่ใช่หรือ
ชายหนุ่มนึกอย่างขัดใจ ไม่อยากยอมรับว่าเห็นเธอเอาแต่ร้องไห้แบบนี้มันทำให้ปวดใจชะมัด
เพราะกลัวจะปวดใจมากกว่าเดิม พัสสนจึงเบือนหน้าหนีเมื่อพูดขึ้นเหมือนต้องการตอกย้ำ
“เธอเป็นผู้หญิงของฉัน ถ้าไม่อนุญาตก็ห้ามไปจากฉัน!”
“ไม่ใช่! เอยไม่ได้เป็นผู้หญิงของคุณ”
คำพูดสวนกลับทันควันนั้น ดึงชายหนุ่มให้หันขวับไปมอง ดวงตาสีฟ้าเข้มเป็นประกายวาววับสะท้อนความโกรธที่คุกรุ่น
“อยากให้ฉันพิสูจน์ใช่ไหม”
ชายหนุ่มเค้นเสียงถามแต่ไม่อยากได้คำตอบ เพราะมีอย่างอื่นที่อยากได้มากกว่า
กรรณิการ์ตกใจเมื่อจู่ ๆ ถูกกระชากตัว มีเวลาแค่เห็นแววตาแฝงอารมณ์ของเขาก่อนที่เธอจะถูกจูบ
ความคับแค้นใจและนึกกลัวไปสารพัดเป็นเหมือนแรงผลักดันจนเด็กสาวที่เคยอ่อนแอกลับมีเรี่ยวแรงในวินาทีนั้น
มือเล็ก ๆ ปัดป่ายก่อนทุบลงไปบนหลังไหล่ของคนที่กำลังบดขยี้ปากเธอ ยิ่งเจ็บเท่าไรเธอก็ทุบเขาแรงเท่านั้น กระทั่งชายหนุ่มยุติการรุกราน
เด็กสาวยังมีอาการหอบนิด ๆ จากการถูกช่วงชิงลมหายใจ แต่ดวงตายังคงจับจ้องชายหนุ่มอย่างหวาดระแวง หากไม่กี่วินาทีเธอก็ต้องกระพริบตาเมื่อเห็นเขายิ้มราวกับนึกขัน
“มีพิษสงเหมือนกันนะเรา”
เพราะยังงงและตั้งตัวไม่ติดกับอารมณ์แปรปรวนของอีกฝ่าย เด็กสาวจึงไม่ทันขัดขืนเมื่อชายหนุ่มเชยคางเธอขึ้นมาสบตาแล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ ราวกับชอบใจ
“ดูท่า...ฉันจะประเมินผิดไป เธอคงไม่ใช่กระต่ายน้อยของฉัน แต่เป็นแมวเหมียวจอมแสบมากกว่า”
เด็กสาวเม้มปากแน่นเพราะยังทำความเข้าใจได้ไม่ทัน
“ชื่อเล่นว่าเอยสินะ แล้วชื่อเต็ม ๆ ของเธอล่ะ”
กรรณิการ์ปัดมือที่ยึดคางของเธอ ก่อนบอก
“ถ้าบอกแล้ว คุณต้องปล่อยเอยไปนะ”
“รู้ไหมว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาต่อรอง”
แม้นึกกลัวกับคำบอกที่แฝงการขู่ แต่เด็กสาวก็ฝืนข่มไว้
“เอยไม่ได้ต่อรองแต่เอยขอร้อง ปล่อยเอยไปเถอะ เอยอยากกลับบ้าน”
“เธอนี่...ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ!”
พัสสนเข่นเขี้ยวอย่างขัดใจแกมโมโห
ผู้หญิงอะไรพูดไม่รู้เรื่องเอาซะเลย!
หากเมื่อมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ยามนี้กำลังมองเขาด้วยแววตาคล้ายจะอ้อนวอน ชายหนุ่มก็นึกสงสัย
“อายุยี่สิบหรือยัง”
พัสสนเห็นผู้หญิงตรงหน้าเม้มปากแน่น ก่อนที่เขาจะได้ยินคำตอบ
“ยังค่ะ”
เขาจะโดนคดีพรากผู้เยาว์ไหม
ชายหนุ่มคิดแต่ไม่กลัว เมื่อพิจารณาใบหน้าเล็ก ๆ ดวงตากลมโตที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวงอน ปลายจมูกรั้นนิด ๆ ปากบางสีชมพู สองข้างแก้มที่บางใสจนเห็นเส้นเลือด ทั้งหมดที่ประกอบเป็นดวงหน้าของเด็กสาว เขาก็รู้สึกว่ายิ่งกว่าคุ้ม อดคิดไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอเหมือนของขวัญที่ตกจากฟ้าลงมาสู่มือของเขา
แล้วอย่างนี้จะให้เขาปล่อยไปได้ยังไง ไม่มีทาง!
“อยู่กับฉัน ไม่ว่าเธออยากได้อะไร ฉันจะหามาให้”
พัสสนไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรกระทั่งได้ยินเสียงของตัวเอง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจนัก
อยู่มาจนอายุสามสิบสอง เขายังไม่เคยพูดแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน
แล้วคนนี้มีอะไรพิเศษ
“เอยไม่อยากได้อะไร เอยอยากกลับบ้าน”
ความคับข้องใจจากคำตอบที่ยังหาไม่ได้ถูกหลอมรวมเข้ากับความหงุดหงิดกับการได้ยินคำพูดที่ไม่อยากฟัง ทำให้วินาทีนั้นพัสสนโมโหวูบ
“ถ้ายังไม่อยากถูกล่ามโซ่ ทีหลังอย่าพูดเรื่องกลับบ้านอีก!”
แต่แล้ว อารมณ์โกรธก็ดิ่งวูบ เมื่อเด็กสาวร้องไห้ออกมาราวกับเสียขวัญ
สรุปว่าผู้หญิงของเขาเป็นกระต่ายหรือแมวเหมียวกันแน่
ชายหนุ่มข้องใจ พร้อมกับเริ่มสับสนในความรู้สึก
โกรธนะโกรธอยู่ แต่พอเห็นเธอเอาแต่ร้องไห้แบบนี้เขากลับนึกอยากกอด
หลังจากออกอาการฮึดฮัดขัดใจ ชายหนุ่มก็ทำในสิ่งที่ต้องการพลางพูดปลอบ
“ถ้าไม่อยากให้ฉันปล้ำก็หยุดร้องไห้ซะ”
กรรณิการ์หยุดร้องไห้ก็จริง แต่ยังคงสะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัว
เด็กสาวนึกถึงตอนถูกพรากสิ่งสำคัญ ความเจ็บปวดทั้งกายและใจเหมือนหวนกลับมาอีกครั้ง
“ไม่...อย่า...เอยกลัว”
เพราะเอาแต่พยายามดิ้นรน กรรณิการ์จึงไม่ทันเห็นว่าดวงสีฟ้าเข้มหม่นลงวูบหนึ่งราวกับจะสะท้อนความเสียใจของผู้เป็นเจ้าของ
ในขณะที่พัสสนเม้มปากแน่นเหมือนยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำยังไง กรรณิการ์ก็พบว่าเสียงของเธอหายไปอีกครั้ง
ความหวาดกลัวและเสียขวัญยิ่งพากันกดดันหัวใจของเด็กสาว กระทั่งมาถึงจุดที่ทนรับไม่ไหว
ท่ามกลางความคิดสุดท้ายว่าอ้อมกอดของเขาก็ไม่ต่างจากโซ่ที่พันธนาการตัวเธอ กรรณิการ์ก็หมดสติไป
พัสสนแทบอยากเป็นบ้า หลังจากเด็กสาวได้สติขึ้นมาแล้วทำเหมือนเป็นตุ๊กตา
ไม่ว่าเขาจะเพียรพูดด้วยสักแค่ไหน ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาก็คือความนิ่งงัน
ชายหนุ่มไม่รู้ตัว หลายชั่วโมงมานี้ความสนใจของเขาจดจ่ออยู่กับเด็กสาวที่ขังตัวเองไว้ในห้อง จนหลายครั้งแทบไม่มีสมาธิในการทำงาน
“นี่แฟ้มเอกสารรออนุมัติซื้อวัสดุก่อสร้างครับ ส่วนนี่...รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ผ่านมา”
สายฟ้าหันไปสบตากับคู่แฝดเมื่อเห็นเจ้านายของตนทำท่าเหม่อลอย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งชายหนุ่มจึงพูดต่อ
“คุณพอลครับ ให้ผมส่งผู้หญิงคนนั้นกลับบ้านไหมครับ”
ดูเหมือนครั้งนี้คำพูดของเขาจะไปกระตุ้นการรับรู้ของพัสสนจนได้ เมื่อดูจากการที่ชายหนุ่มหันขวับมามอง
“อย่ายุ่ง!”
นอกจากไม่มีทีท่าโกรธเพราะถูกตวาดแล้ว มือขวาคนสนิทของพัสสนยังคงพูดขึ้นอีกราวกับห่วงใย
“แต่เธอไม่ยอมกินอะไรเลย ร่างกายจะยิ่งแย่นะครับ”
พัสสนอึ้งไปเมื่อคำพูดของสายฟ้าทำให้นึกถึงตอนที่เด็กสาวได้สติขึ้นมา
นอกจากไม่ยอมพูดแล้ว เธอยังทำให้เขาทั้งโกรธและเป็นห่วงเมื่อไม่ยอมกินอะไรเลย ยิ่งเมื่อใช้ทั้งการขู่หรือปลอบก็ยังไม่ได้ผลเขาก็ว้าวุ่นใจ
ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ
ชายหนุ่มกำมือแน่นเมื่อรู้สึกเหมือนแว่วเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นในหัว
นั่นสิ แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถ้าเขายังจัดการไม่ได้ก็ไม่สมควรเป็น พัสสน พฤกษ์พนา อีกต่อไป
เย็นวันนั้น เมื่อเข้าไปในห้องอาหารก้องภพก็นิ่วหน้าเมื่อไม่เห็นแก้วกุดั่น หลังจากรออยู่พักใหญ่ชายหนุ่มก็เริ่มหงุดหงิด เมื่อตัดสินใจจะไปตามที่ตึกเล็กก็เห็นแม่บ้านใหญ่เดินมาจากสวนข้างบ้าน
“ป้ารัตน์ เห็นอิงไหม”
“ออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ ป้าเห็นมีเพื่อนขับรถมารับ”
ชายหนุ่มยิ่งโมโห แต่ซ่อนไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเมื่อเดินกลับเข้าไปในห้องอาหารแล้วเริ่มต้นกินข้าวเพียงลำพัง
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น แก้วกุดั่นก็กลับมาถึงบ้านรับอรุณ
หญิงสาวนึกหวั่นว่าอาจทำให้ก้องภพโกรธที่กลับมาไม่ทันร่วมกินข้าวเย็น แต่เพราะถูกทิวาขอร้องให้แวะกินข้าวเป็นเพื่อนเธอจึงปฏิเสธไม่ลงเพราะเกรงใจที่วันนี้เขาอุตส่าห์ยอมไปช่วยตามหากรรณิการ์
กระนั้น เธอก็นึกไม่ถึงว่าก้องภพจะเข้ามารอในตึกเล็ก
“คุณก้อง”
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟา ก่อนเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู
“ไปไหนมา”
“อิงไปตามหาน้องค่ะ”
ตอบไปแล้ว แก้วกุดั่นก็ใจไม่ดีเมื่อเห็นก้องภพทำหน้าบึ้ง
“ทำไมต้องไป ในเมื่อฉันก็ช่วยตามหาให้อยู่แล้ว”
แก้วกุดั่นยังไม่ทันตอบ คนใจร้อนก็ชิงพูดต่อ
“หรือว่าจริง ๆ แล้วทนคิดถึงกันไม่ไหวเลยเอาเรื่องน้องมาอ้าง”
“คุณก้องพูดเรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่เธอนัดกับไอ้หมอนั่นไง ฉันเคยสั่งแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามไปไหนกับมันอีก!”
ถึงตอนนี้แก้วกุดั่นจึงเข้าใจ
“อิงเคยบอกแล้วนะคะว่าทิวาเป็นเพื่อน แล้วก็เป็นเพื่อนที่สนิทมากด้วย คุณก้องไม่มีสิทธิ์ห้ามอิงไปไหนกับเขา”
“เพื่อนสนิทงั้นหรือ!”
ก้องภพเค้นเสียง ก่อนกระชากแก้วกุดั่นเข้ามาใกล้แล้วถามด้วยสุ้มเสียงเหมือนเยาะ
“สนิทแบบไหนล่ะ ถึงขั้นนอนเตียงเดียวกันหรือเปล่า”
“คุณก้อง!”
“โกรธหรือ ทำไม...ฉันพูดแทงใจดำสินะ”
แก้วกุดั่นโกรธจริง ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงชอบค่อนขอดเรื่องเธอกับทิวานัก แม้พยายามข่มใจกระนั้นก็ยังอดไม่ได้ต้องโต้กลับ
“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณก้องไม่ใช่หรือคะ”
ผลของการต่อปากต่อคำคือต้นแขนของเธอยิ่งถูกเขาบีบแน่น
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ในเมื่อเธอเป็นของฉัน แล้วฉันก็ไม่อนุญาตให้เธอไปเป็นของใครอีก”
“ไม่! อิงไม่ได้เป็นของคุณก้อง ไม่ได้เป็นของใครทั้งนั้น”
“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น เมื่อไรที่เจอน้องสาวของเธอฉันจะทำให้รู้ว่าเธอเป็นของใคร”
“คุณก้อง”
แก้วกุดั่นสั่นไปทั้งตัว หัวใจไหวสะท้านเมื่อสบกับแววตาของก้องภพที่ราวกับจะกลืนกิน
“วันที่เจอเอย วันนั้น...อิงจะเป็นของคุณก้อง”
เธอจำได้ สัญญาที่ให้ไว้เพื่อแลกกับการช่วยตามหากรรณิการ์
“ทำไม...ถึงอยากได้ตัวอิงนักคะ ในเมื่อคุณก้องสามารถหาผู้หญิงคนไหนก็ได้ที่เขาเต็มใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นอิง”
คำถามเสียงสั่นนั้นกระทบใจก้องภพจนนิ่งงัน
ทำไมต้องเป็นเธอ
ก้องภพรู้ดีเขามีคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้ว แต่เขาไม่คิดว่าจะต้องให้คำตอบนั้นกับแก้วกุดั่น
เธอไม่จำเป็นต้องรู้
“เพราะเธออยู่ใกล้สุดเวลาที่ฉัน...ต้องการ”
เขาเหมือนถูกปิศาจเข้าสิงเมื่อพูดออกไปแบบนั้น กระทั่งเห็นเธอน้ำตาไหล
“เพราะอิงอยู่ใกล้ที่สุด...เท่านั้นเองหรือคะ”
น้ำเสียงสะอื้นของเธอเหมือนจะประณามความใจร้ายของเขา แต่น่าแปลกเขากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของเธอราวกับเป็นตัวเอง
“คุณก้อง...เกลียดอิงมากหรือคะ”
อีกครั้งที่ก้องภพต้องนิ่งงันกับคำถามของแก้วกุดั่น
เกลียดหรือ
ชายหนุ่มถามตัวเอง ก่อนไล่สายตาพินิจใบหน้าของหญิงสาว
ใบหน้ารูปไข่ล้อมรอบด้วยผมสีดำยาวถึงกลางหลัง คิ้วได้รูปรับกับดวงตายาวเรียวทอแววหวานปนเศร้า จมูกโด่งเป็นสันและกลีบปากสีชมพู
ก้องภพยอมรับกับตัวเอง บางทีเขาก็เคยคิด...แก้วกุดั่นดูราวกับนางในวรรณคดีที่หลุดออกมาจากหนังสือ
ไม่ใช่!
เสียงนั้นเหมือนจะแย้งออกมาจากสมอง เมื่อภาพของผู้หญิงอีกคนผุดขึ้นจากความทรงจำ
ชมนาด
ก้องภพนิ่วหน้าเมื่อรู้ว่าเผลอปล่อยให้อดีตเข้ามามีอิทธิพล หากเมื่อให้ความสนใจกับแก้วกุดั่นอีกครั้ง เขาก็เหมือนถูกดึงดูดจากสีหน้าแววตาเศร้าสร้อยของเธอ โดยเฉพาะริมฝีปากที่กำลังสั่นระริก กระทั่งค่อย ๆ ก้มหน้าลงไปหา
วินาทีที่ริมฝีปากบรรจบกันทุกอย่างเหมือนอยู่เหนือการควบคุม ชายหนุ่มไม่รู้ตัวว่าทำราวกับคนเพิ่งเจอแหล่งน้ำกลางทะเลทรายเมื่อตักตวงดื่มกินอย่างหิวกระหาย กระทั่งได้ยินน้ำเสียงสั่นพร่า
“อย่า...”
ต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าก้องภพจะได้สติรับรู้ว่านั่นคือเสียงของแก้วกุดั่น ไม่เต็มใจนักเมื่อผละออกห่างแล้วจับจ้องหญิงสาวนิ่ง
ใบหน้าของแก้วกุดั่นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แววตาของเธอแดงช้ำยามมองเขาเหมือนจะตัดพ้อต่อว่า แต่เหนืออื่นใดริมฝีปากสั่นระริกนั้นราวกับผลเชอร์รี่ที่ถูกขบเม้มจนช้ำ แต่นั่นกลับทำให้เขานึกอยากก้มลงไปเด็ดชิมอีกครั้ง
ชายหนุ่มเผลอบีบต้นแขนหญิงสาวแน่นเพื่อระบายอารมณ์คั่งค้างก่อนผลักร่างบอบบางไปอีกทาง รอจนพายุในใจกลับสู่สภาวะปกติ จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
“คนเกลียดกันเขาไม่ทำแบบนี้หรอกนะ”
________________________________________________________
มาแปะตอนใหม่ ^____^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และ LIKE ที่มอบให้กันค่ะ
ปิ่นนลิน : ดูเหมือนเรื่องนี้มันจะเศร้าไปเนอะ ฮ่าาาา ทั้งพี่ทั้งน้องเจอมรสุมชีวิตทั้งคู่
หลังผ่านไปหนึ่งวันไข้ของกรรณิการ์ก็เริ่มลด ส่วนหนึ่งเพราะยาแต่อีกส่วนมาจากการดูแลของพัสสน
ชายหนุ่มแทบไม่ห่างจากเตียงของเด็กสาว ทำประหนึ่งเป็นบุรุษพยาบาล ทั้งเช็ดเนื้อตัวและยกข้าวขึ้นมาให้ถึงบนห้องแล้วยังคอยกำกับเรื่องกินยา ไม่สนใจถึงแม้คนป่วยจะแสดงทีท่าขัดขืน
ช่วงบ่าย เมื่อแน่ใจว่าคนป่วยอาการดีขึ้น พัสสนก็ยกเก้าอี้มานั่งข้างเตียง
“เอาล่ะ ตอนนี้ไข้ก็ลดลงแล้ว ทีนี้คงบอกฉันได้ซะทีนะว่าเธอชื่ออะไร”
กรรณิการ์นิ่งไปครู่เมื่อจับจ้องชายหนุ่มพลางหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เขาคอยเฝ้าดูแลเธอ
แม้เขาจะดุและเอาแต่ใจเมื่อทั้งขู่ทั้งปลอบตอนดึงดันป้อนข้าว ไม่รวมยามเช็ดเนื้อตัวที่เขาทั้งจูบทั้งหอม แต่น่าแปลกตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเขาเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก
“ถ้าเธอยังไม่ยอมบอก ฉันจะเรียกเธอว่าปุกปุยต่อไปนะ”
“เอยไม่ได้ชื่อปุกปุย”
ไม่เพียงกรรณิการ์จะชะงักเมื่อครั้งนี้เธอเปล่งเสียงออกมาได้ แต่พัสสนก็นิ่งงันเหมือนคาดไม่ถึง ก่อนที่เธอจะเห็นเขายิ้ม
“พูดได้แล้วหรือ”
น้ำเสียงทุ้ม ๆ และแววระยิบระยับในดวงตาสีฟ้าเข้มนั้น ทำให้เด็กสาวอดคิดไม่ได้ว่าเหมือนเขากำลังดีใจ
เด็กสาวเกือบยิ้มตอบ หากนึกได้ว่าก่อนหน้านั้นเขาทำอะไรไว้
เธอเสียตัวให้เขา
กรรณิการ์ปากสั่นจากความสะเทือนใจ หากฝืนข่มไว้เพราะเธอยังอยากมีเสียง
“ปล่อยเอยไปนะคะ เอย...อยากกลับบ้าน”
ตอนท้ายเด็กสาวเสียงสั่นเมื่อคิดถึงแก้วกุดั่น
พี่อิงคงห่วงเธอมาก
“ไม่ให้ไป!”
คำบอกเสียงเข้มขุ่นนั้นส่งผลให้กรรณิการ์ใจเสียจนน้ำตาหยดแหมะ
“แต่เอยคิดถึงบ้าน คิดถึงพี่อิง”
วินาทีนั้น เด็กสาวกลัวไปสารพัด
เธอจะถูกขังอยู่ที่นี่อีกนานไหม เขาจะเอาเธอไปขายหรือเปล่า แล้วเธอจะมีโอกาสเห็นหน้าพี่สาวอีกไหม
“ปล่อยเอยไปเถอะนะคะ เอยสัญญาเอยจะพูดเรื่องนั้นกับใคร”
พัสสนนิ่งไป รู้ดี ‘เรื่องนั้น’ ที่เด็กสาวพูดหมายถึงเรื่องไหน
เขาได้ตัวเธอ
ในเมื่อเธอเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว ที่ที่เธอสมควรอยู่ก็ต้องเป็นที่ที่เขาอยู่ไม่ใช่หรือ
ชายหนุ่มนึกอย่างขัดใจ ไม่อยากยอมรับว่าเห็นเธอเอาแต่ร้องไห้แบบนี้มันทำให้ปวดใจชะมัด
เพราะกลัวจะปวดใจมากกว่าเดิม พัสสนจึงเบือนหน้าหนีเมื่อพูดขึ้นเหมือนต้องการตอกย้ำ
“เธอเป็นผู้หญิงของฉัน ถ้าไม่อนุญาตก็ห้ามไปจากฉัน!”
“ไม่ใช่! เอยไม่ได้เป็นผู้หญิงของคุณ”
คำพูดสวนกลับทันควันนั้น ดึงชายหนุ่มให้หันขวับไปมอง ดวงตาสีฟ้าเข้มเป็นประกายวาววับสะท้อนความโกรธที่คุกรุ่น
“อยากให้ฉันพิสูจน์ใช่ไหม”
ชายหนุ่มเค้นเสียงถามแต่ไม่อยากได้คำตอบ เพราะมีอย่างอื่นที่อยากได้มากกว่า
กรรณิการ์ตกใจเมื่อจู่ ๆ ถูกกระชากตัว มีเวลาแค่เห็นแววตาแฝงอารมณ์ของเขาก่อนที่เธอจะถูกจูบ
ความคับแค้นใจและนึกกลัวไปสารพัดเป็นเหมือนแรงผลักดันจนเด็กสาวที่เคยอ่อนแอกลับมีเรี่ยวแรงในวินาทีนั้น
มือเล็ก ๆ ปัดป่ายก่อนทุบลงไปบนหลังไหล่ของคนที่กำลังบดขยี้ปากเธอ ยิ่งเจ็บเท่าไรเธอก็ทุบเขาแรงเท่านั้น กระทั่งชายหนุ่มยุติการรุกราน
เด็กสาวยังมีอาการหอบนิด ๆ จากการถูกช่วงชิงลมหายใจ แต่ดวงตายังคงจับจ้องชายหนุ่มอย่างหวาดระแวง หากไม่กี่วินาทีเธอก็ต้องกระพริบตาเมื่อเห็นเขายิ้มราวกับนึกขัน
“มีพิษสงเหมือนกันนะเรา”
เพราะยังงงและตั้งตัวไม่ติดกับอารมณ์แปรปรวนของอีกฝ่าย เด็กสาวจึงไม่ทันขัดขืนเมื่อชายหนุ่มเชยคางเธอขึ้นมาสบตาแล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ ราวกับชอบใจ
“ดูท่า...ฉันจะประเมินผิดไป เธอคงไม่ใช่กระต่ายน้อยของฉัน แต่เป็นแมวเหมียวจอมแสบมากกว่า”
เด็กสาวเม้มปากแน่นเพราะยังทำความเข้าใจได้ไม่ทัน
“ชื่อเล่นว่าเอยสินะ แล้วชื่อเต็ม ๆ ของเธอล่ะ”
กรรณิการ์ปัดมือที่ยึดคางของเธอ ก่อนบอก
“ถ้าบอกแล้ว คุณต้องปล่อยเอยไปนะ”
“รู้ไหมว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาต่อรอง”
แม้นึกกลัวกับคำบอกที่แฝงการขู่ แต่เด็กสาวก็ฝืนข่มไว้
“เอยไม่ได้ต่อรองแต่เอยขอร้อง ปล่อยเอยไปเถอะ เอยอยากกลับบ้าน”
“เธอนี่...ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ!”
พัสสนเข่นเขี้ยวอย่างขัดใจแกมโมโห
ผู้หญิงอะไรพูดไม่รู้เรื่องเอาซะเลย!
หากเมื่อมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ยามนี้กำลังมองเขาด้วยแววตาคล้ายจะอ้อนวอน ชายหนุ่มก็นึกสงสัย
“อายุยี่สิบหรือยัง”
พัสสนเห็นผู้หญิงตรงหน้าเม้มปากแน่น ก่อนที่เขาจะได้ยินคำตอบ
“ยังค่ะ”
เขาจะโดนคดีพรากผู้เยาว์ไหม
ชายหนุ่มคิดแต่ไม่กลัว เมื่อพิจารณาใบหน้าเล็ก ๆ ดวงตากลมโตที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวงอน ปลายจมูกรั้นนิด ๆ ปากบางสีชมพู สองข้างแก้มที่บางใสจนเห็นเส้นเลือด ทั้งหมดที่ประกอบเป็นดวงหน้าของเด็กสาว เขาก็รู้สึกว่ายิ่งกว่าคุ้ม อดคิดไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอเหมือนของขวัญที่ตกจากฟ้าลงมาสู่มือของเขา
แล้วอย่างนี้จะให้เขาปล่อยไปได้ยังไง ไม่มีทาง!
“อยู่กับฉัน ไม่ว่าเธออยากได้อะไร ฉันจะหามาให้”
พัสสนไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรกระทั่งได้ยินเสียงของตัวเอง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจนัก
อยู่มาจนอายุสามสิบสอง เขายังไม่เคยพูดแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน
แล้วคนนี้มีอะไรพิเศษ
“เอยไม่อยากได้อะไร เอยอยากกลับบ้าน”
ความคับข้องใจจากคำตอบที่ยังหาไม่ได้ถูกหลอมรวมเข้ากับความหงุดหงิดกับการได้ยินคำพูดที่ไม่อยากฟัง ทำให้วินาทีนั้นพัสสนโมโหวูบ
“ถ้ายังไม่อยากถูกล่ามโซ่ ทีหลังอย่าพูดเรื่องกลับบ้านอีก!”
แต่แล้ว อารมณ์โกรธก็ดิ่งวูบ เมื่อเด็กสาวร้องไห้ออกมาราวกับเสียขวัญ
สรุปว่าผู้หญิงของเขาเป็นกระต่ายหรือแมวเหมียวกันแน่
ชายหนุ่มข้องใจ พร้อมกับเริ่มสับสนในความรู้สึก
โกรธนะโกรธอยู่ แต่พอเห็นเธอเอาแต่ร้องไห้แบบนี้เขากลับนึกอยากกอด
หลังจากออกอาการฮึดฮัดขัดใจ ชายหนุ่มก็ทำในสิ่งที่ต้องการพลางพูดปลอบ
“ถ้าไม่อยากให้ฉันปล้ำก็หยุดร้องไห้ซะ”
กรรณิการ์หยุดร้องไห้ก็จริง แต่ยังคงสะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัว
เด็กสาวนึกถึงตอนถูกพรากสิ่งสำคัญ ความเจ็บปวดทั้งกายและใจเหมือนหวนกลับมาอีกครั้ง
“ไม่...อย่า...เอยกลัว”
เพราะเอาแต่พยายามดิ้นรน กรรณิการ์จึงไม่ทันเห็นว่าดวงสีฟ้าเข้มหม่นลงวูบหนึ่งราวกับจะสะท้อนความเสียใจของผู้เป็นเจ้าของ
ในขณะที่พัสสนเม้มปากแน่นเหมือนยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำยังไง กรรณิการ์ก็พบว่าเสียงของเธอหายไปอีกครั้ง
ความหวาดกลัวและเสียขวัญยิ่งพากันกดดันหัวใจของเด็กสาว กระทั่งมาถึงจุดที่ทนรับไม่ไหว
ท่ามกลางความคิดสุดท้ายว่าอ้อมกอดของเขาก็ไม่ต่างจากโซ่ที่พันธนาการตัวเธอ กรรณิการ์ก็หมดสติไป
พัสสนแทบอยากเป็นบ้า หลังจากเด็กสาวได้สติขึ้นมาแล้วทำเหมือนเป็นตุ๊กตา
ไม่ว่าเขาจะเพียรพูดด้วยสักแค่ไหน ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาก็คือความนิ่งงัน
ชายหนุ่มไม่รู้ตัว หลายชั่วโมงมานี้ความสนใจของเขาจดจ่ออยู่กับเด็กสาวที่ขังตัวเองไว้ในห้อง จนหลายครั้งแทบไม่มีสมาธิในการทำงาน
“นี่แฟ้มเอกสารรออนุมัติซื้อวัสดุก่อสร้างครับ ส่วนนี่...รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ผ่านมา”
สายฟ้าหันไปสบตากับคู่แฝดเมื่อเห็นเจ้านายของตนทำท่าเหม่อลอย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งชายหนุ่มจึงพูดต่อ
“คุณพอลครับ ให้ผมส่งผู้หญิงคนนั้นกลับบ้านไหมครับ”
ดูเหมือนครั้งนี้คำพูดของเขาจะไปกระตุ้นการรับรู้ของพัสสนจนได้ เมื่อดูจากการที่ชายหนุ่มหันขวับมามอง
“อย่ายุ่ง!”
นอกจากไม่มีทีท่าโกรธเพราะถูกตวาดแล้ว มือขวาคนสนิทของพัสสนยังคงพูดขึ้นอีกราวกับห่วงใย
“แต่เธอไม่ยอมกินอะไรเลย ร่างกายจะยิ่งแย่นะครับ”
พัสสนอึ้งไปเมื่อคำพูดของสายฟ้าทำให้นึกถึงตอนที่เด็กสาวได้สติขึ้นมา
นอกจากไม่ยอมพูดแล้ว เธอยังทำให้เขาทั้งโกรธและเป็นห่วงเมื่อไม่ยอมกินอะไรเลย ยิ่งเมื่อใช้ทั้งการขู่หรือปลอบก็ยังไม่ได้ผลเขาก็ว้าวุ่นใจ
ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ
ชายหนุ่มกำมือแน่นเมื่อรู้สึกเหมือนแว่วเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นในหัว
นั่นสิ แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถ้าเขายังจัดการไม่ได้ก็ไม่สมควรเป็น พัสสน พฤกษ์พนา อีกต่อไป
เย็นวันนั้น เมื่อเข้าไปในห้องอาหารก้องภพก็นิ่วหน้าเมื่อไม่เห็นแก้วกุดั่น หลังจากรออยู่พักใหญ่ชายหนุ่มก็เริ่มหงุดหงิด เมื่อตัดสินใจจะไปตามที่ตึกเล็กก็เห็นแม่บ้านใหญ่เดินมาจากสวนข้างบ้าน
“ป้ารัตน์ เห็นอิงไหม”
“ออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ ป้าเห็นมีเพื่อนขับรถมารับ”
ชายหนุ่มยิ่งโมโห แต่ซ่อนไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเมื่อเดินกลับเข้าไปในห้องอาหารแล้วเริ่มต้นกินข้าวเพียงลำพัง
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น แก้วกุดั่นก็กลับมาถึงบ้านรับอรุณ
หญิงสาวนึกหวั่นว่าอาจทำให้ก้องภพโกรธที่กลับมาไม่ทันร่วมกินข้าวเย็น แต่เพราะถูกทิวาขอร้องให้แวะกินข้าวเป็นเพื่อนเธอจึงปฏิเสธไม่ลงเพราะเกรงใจที่วันนี้เขาอุตส่าห์ยอมไปช่วยตามหากรรณิการ์
กระนั้น เธอก็นึกไม่ถึงว่าก้องภพจะเข้ามารอในตึกเล็ก
“คุณก้อง”
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟา ก่อนเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู
“ไปไหนมา”
“อิงไปตามหาน้องค่ะ”
ตอบไปแล้ว แก้วกุดั่นก็ใจไม่ดีเมื่อเห็นก้องภพทำหน้าบึ้ง
“ทำไมต้องไป ในเมื่อฉันก็ช่วยตามหาให้อยู่แล้ว”
แก้วกุดั่นยังไม่ทันตอบ คนใจร้อนก็ชิงพูดต่อ
“หรือว่าจริง ๆ แล้วทนคิดถึงกันไม่ไหวเลยเอาเรื่องน้องมาอ้าง”
“คุณก้องพูดเรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่เธอนัดกับไอ้หมอนั่นไง ฉันเคยสั่งแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามไปไหนกับมันอีก!”
ถึงตอนนี้แก้วกุดั่นจึงเข้าใจ
“อิงเคยบอกแล้วนะคะว่าทิวาเป็นเพื่อน แล้วก็เป็นเพื่อนที่สนิทมากด้วย คุณก้องไม่มีสิทธิ์ห้ามอิงไปไหนกับเขา”
“เพื่อนสนิทงั้นหรือ!”
ก้องภพเค้นเสียง ก่อนกระชากแก้วกุดั่นเข้ามาใกล้แล้วถามด้วยสุ้มเสียงเหมือนเยาะ
“สนิทแบบไหนล่ะ ถึงขั้นนอนเตียงเดียวกันหรือเปล่า”
“คุณก้อง!”
“โกรธหรือ ทำไม...ฉันพูดแทงใจดำสินะ”
แก้วกุดั่นโกรธจริง ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงชอบค่อนขอดเรื่องเธอกับทิวานัก แม้พยายามข่มใจกระนั้นก็ยังอดไม่ได้ต้องโต้กลับ
“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณก้องไม่ใช่หรือคะ”
ผลของการต่อปากต่อคำคือต้นแขนของเธอยิ่งถูกเขาบีบแน่น
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ในเมื่อเธอเป็นของฉัน แล้วฉันก็ไม่อนุญาตให้เธอไปเป็นของใครอีก”
“ไม่! อิงไม่ได้เป็นของคุณก้อง ไม่ได้เป็นของใครทั้งนั้น”
“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น เมื่อไรที่เจอน้องสาวของเธอฉันจะทำให้รู้ว่าเธอเป็นของใคร”
“คุณก้อง”
แก้วกุดั่นสั่นไปทั้งตัว หัวใจไหวสะท้านเมื่อสบกับแววตาของก้องภพที่ราวกับจะกลืนกิน
“วันที่เจอเอย วันนั้น...อิงจะเป็นของคุณก้อง”
เธอจำได้ สัญญาที่ให้ไว้เพื่อแลกกับการช่วยตามหากรรณิการ์
“ทำไม...ถึงอยากได้ตัวอิงนักคะ ในเมื่อคุณก้องสามารถหาผู้หญิงคนไหนก็ได้ที่เขาเต็มใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นอิง”
คำถามเสียงสั่นนั้นกระทบใจก้องภพจนนิ่งงัน
ทำไมต้องเป็นเธอ
ก้องภพรู้ดีเขามีคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้ว แต่เขาไม่คิดว่าจะต้องให้คำตอบนั้นกับแก้วกุดั่น
เธอไม่จำเป็นต้องรู้
“เพราะเธออยู่ใกล้สุดเวลาที่ฉัน...ต้องการ”
เขาเหมือนถูกปิศาจเข้าสิงเมื่อพูดออกไปแบบนั้น กระทั่งเห็นเธอน้ำตาไหล
“เพราะอิงอยู่ใกล้ที่สุด...เท่านั้นเองหรือคะ”
น้ำเสียงสะอื้นของเธอเหมือนจะประณามความใจร้ายของเขา แต่น่าแปลกเขากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของเธอราวกับเป็นตัวเอง
“คุณก้อง...เกลียดอิงมากหรือคะ”
อีกครั้งที่ก้องภพต้องนิ่งงันกับคำถามของแก้วกุดั่น
เกลียดหรือ
ชายหนุ่มถามตัวเอง ก่อนไล่สายตาพินิจใบหน้าของหญิงสาว
ใบหน้ารูปไข่ล้อมรอบด้วยผมสีดำยาวถึงกลางหลัง คิ้วได้รูปรับกับดวงตายาวเรียวทอแววหวานปนเศร้า จมูกโด่งเป็นสันและกลีบปากสีชมพู
ก้องภพยอมรับกับตัวเอง บางทีเขาก็เคยคิด...แก้วกุดั่นดูราวกับนางในวรรณคดีที่หลุดออกมาจากหนังสือ
ไม่ใช่!
เสียงนั้นเหมือนจะแย้งออกมาจากสมอง เมื่อภาพของผู้หญิงอีกคนผุดขึ้นจากความทรงจำ
ชมนาด
ก้องภพนิ่วหน้าเมื่อรู้ว่าเผลอปล่อยให้อดีตเข้ามามีอิทธิพล หากเมื่อให้ความสนใจกับแก้วกุดั่นอีกครั้ง เขาก็เหมือนถูกดึงดูดจากสีหน้าแววตาเศร้าสร้อยของเธอ โดยเฉพาะริมฝีปากที่กำลังสั่นระริก กระทั่งค่อย ๆ ก้มหน้าลงไปหา
วินาทีที่ริมฝีปากบรรจบกันทุกอย่างเหมือนอยู่เหนือการควบคุม ชายหนุ่มไม่รู้ตัวว่าทำราวกับคนเพิ่งเจอแหล่งน้ำกลางทะเลทรายเมื่อตักตวงดื่มกินอย่างหิวกระหาย กระทั่งได้ยินน้ำเสียงสั่นพร่า
“อย่า...”
ต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าก้องภพจะได้สติรับรู้ว่านั่นคือเสียงของแก้วกุดั่น ไม่เต็มใจนักเมื่อผละออกห่างแล้วจับจ้องหญิงสาวนิ่ง
ใบหน้าของแก้วกุดั่นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แววตาของเธอแดงช้ำยามมองเขาเหมือนจะตัดพ้อต่อว่า แต่เหนืออื่นใดริมฝีปากสั่นระริกนั้นราวกับผลเชอร์รี่ที่ถูกขบเม้มจนช้ำ แต่นั่นกลับทำให้เขานึกอยากก้มลงไปเด็ดชิมอีกครั้ง
ชายหนุ่มเผลอบีบต้นแขนหญิงสาวแน่นเพื่อระบายอารมณ์คั่งค้างก่อนผลักร่างบอบบางไปอีกทาง รอจนพายุในใจกลับสู่สภาวะปกติ จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
“คนเกลียดกันเขาไม่ทำแบบนี้หรอกนะ”
________________________________________________________
มาแปะตอนใหม่ ^____^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และ LIKE ที่มอบให้กันค่ะ
ปิ่นนลิน : ดูเหมือนเรื่องนี้มันจะเศร้าไปเนอะ ฮ่าาาา ทั้งพี่ทั้งน้องเจอมรสุมชีวิตทั้งคู่
พันวลี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ย. 2558, 20:19:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ย. 2558, 20:19:47 น.
จำนวนการเข้าชม : 1400
<< บทที่ 7 | บทที่ 9 >> |
Zephyr 28 ก.ย. 2558, 00:27:14 น.
ตัวแทน.....แม่...
วันหนึ่งที่อิงรู้ความจริง
วันนั้นอิงต้องรักก้องแล้วแน่ๆ
แล้วจะเจ็บลึกขนาดไหนกันนะ
ตัวแทน.....แม่...
วันหนึ่งที่อิงรู้ความจริง
วันนั้นอิงต้องรักก้องแล้วแน่ๆ
แล้วจะเจ็บลึกขนาดไหนกันนะ
ปิ่นนลิน 28 ก.ย. 2558, 13:47:12 น.
สงสารอิงกะเอย
พี่พอลขังเอยไม่ได้นะ เอยไม่ใช่แมวหรือกระต่าย!
พี่ก้องก้อเอาแต่ใจจจ
สงสารอิงกะเอย
พี่พอลขังเอยไม่ได้นะ เอยไม่ใช่แมวหรือกระต่าย!
พี่ก้องก้อเอาแต่ใจจจ
LAM 26 พ.ย. 2558, 14:36:53 น.
ชอบอ่ะ
ชอบอ่ะ