ความรัก...สีหมอก
Tags: ความรัก...สีหมอก,อิง,เอย,แก้วกุดั่น,กรรณิการ์,พัสสน,ก้องภพ
ตอน: บทที่ 9
บทที่ 9
ราวหกโมงเย็นของวันนั้น เสียงประตูห้องซึ่งถูกเปิดเข้ามาอย่างแรงส่งผลให้กรรณิการ์สะดุ้งเฮือก
เด็กสาวมองคนหน้าบึ้งตึงซึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องด้วยความหวาดหวั่น ก่อนร้องอย่างตกใจเมื่อถูกกระชากตัวลงจากเตียง
“จะพาเอยไปไหน”
เมื่อคำถามไม่ได้รับคำตอบ กรรณิการ์ก็ยิ่งหวาดกลัวเมื่อถูกชายหนุ่มทำท่าจะดึงลงบันไดไปชั้นล่างเธอจึงพยายามสะบัดมือ
“เอยไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เขาจะพาเธอไปขายหรือเอาไปฆ่า
ความคิดเลวร้ายนั้นส่งผลให้น้ำตาไหล หากนั่นเหมือนเป็นแรงผลักดันให้ฮึดสู้จนรวบรวมเรี่ยวแรงผลักชายหนุ่มกระทั่งเซถลา อารามหวาดกลัวทำให้กรรณิการ์ไม่ทันระวังเมื่อรีบร้อนลงบันไดแต่กลับก้าวพลาด
ร่างเล็กถลาลงมานอนฟุบแน่นิ่งบนพื้น ก่อนตามด้วยเลือดที่เริ่มไหลออกจากบาดแผล
สายฟ้ากับพายุลอบมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนที่แฝดพี่จะเป็นคนพูดกับเจ้านายหนุ่มซึ่งเอาแต่นั่งมองคนเจ็บคนเตียงซึ่งมีผ้าสีขาวพันรอบศีรษะ
“คุณพอลครับไปกินข้าวเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้เดี๋ยวผมจะให้พายุเฝ้าเอาไว้”
แฝดพี่ยิ้มเหมือนจะปลอบใจเมื่อเห็นน้องชายมองมาด้วยแววตาขุ่นขวางราวกับไม่ชอบใจที่ถูกโยนภาระ
“ไม่ ฉันจะรอเขาฟื้น”
พัสสนตอบ ก่อนหลับตาลงด้วยความยอกแสลงใจเมื่อหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ตอนเห็นเด็กสาวกลิ้งตกบันไดหัวใจของเขาก็เหมือนดิ่งลงไปด้วย
เป็นเพราะเขา
ชายหนุ่มนึกโทษตัวเอง เมื่อเดาว่าความตั้งใจจะเอาตัวกรรณิการ์ลงไปกินข้าวเย็นด้วยกันในห้องอาหารคงทำให้เธอหวาดกลัวและเข้าใจผิด
กระต่ายน้อย ฉันขอโทษ
“นายสองคนไปเถอะ ฉันจะอยู่ดูแลเขาเอง”
เมื่อได้อยู่ตามลำพังสมใจ พัสสนก็ดึงมือคนเจ็บมากุม
“รีบตื่นเร็ว ๆ นะ อย่าเอาแต่นอนแบบนี้”
“คนเกลียดกันเขาไม่ทำแบบนี้หรอกนะ”
แก้วกุดั่นหลับตาลงเมื่อคำพูดสุดท้ายของก้องภพหวนกลับมาทำให้หวั่นไหวอีกครั้ง
เขาไม่เกลียดเธอ
หญิงสาวยิ้มทั้งที่เศร้าอยู่ลึก ๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาต้องการจากเธอ
“เพราะเธออยู่ใกล้สุดเวลาที่ฉัน...ต้องการ”
ก็แค่ตัวของเธอเท่านั้น
แก้วกุดั่นลืมตา ก่อนกระพริบถี่ ๆ เพื่อไล่ละอองน้ำในดวงตา
เธอคงมีค่าแค่นั้นสำหรับเขา
หญิงสาวเดินไปนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนพลางปล่อยใจให้กับความเหงาและเศร้าโศกเมื่อนึกถึงกรรณิการ์ ก่อนแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่มีเพียงแสงกระพริบจากดาวไม่กี่ดวง
“ไปอยู่ที่ไหนนะเอย”
ดวงตาหวานปนเศร้าเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำใส ยามบอกกับตัวเอง
เธอยินดีแลกทุกอย่าง ขอแค่ได้ตัวน้องสาวกลับคืนมา
หนึ่งชั่วโมงถัดมา การเฝ้ารอของพัสสนก็สัมฤทธิ์ผล
ชายหนุ่มยิ้มก่อนยื่นมือไปแตะเบา ๆ บนผ้าพันสีขาวรอบศีรษะของเด็กสาวซึ่งกำลังจับจ้องเขา
“เจ็บมากไหม”
เมื่อเห็นเธอทำตาปริบ ๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงพูดต่อ
“เธอตกบันได จำได้หรือยัง”
ครั้งนี้เขาเห็นแวววูบไหวในดวงตากลมโต ก่อนที่เธอจะหันมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าแววตาราวกับงุนงง จากนั้นก็หันมามองเขาอีกครั้ง
พัสสนยังคงยิ้มให้กับท่าทางน่าสงสารของเด็กสาว ก่อนที่รอยยิ้มจะเจื่อนจางลงเมื่อถูกตั้งคำถาม
“คุณเป็นใครคะ”
“เมื่อกี้...เธอว่าอะไรนะ”
ชายหนุ่มเห็นเด็กสาวหันมองรอบห้องอีกครั้งด้วยแววตาตื่นกลัว ก่อนกลับมามองเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้
“แล้วฉันเป็นใครคะ”
วูบนั้น พัสสนรู้สึกราวกับถูกคนเอาค้อนตีหัวจนมึนงง ก่อนตามด้วยความรู้สึกอยากหัวเราะ
เขาจะให้คำตอบยังไงดี ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร
ถึงตอนนี้พัสสนเริ่มแน่ใจ
ดูท่าการตกบันไดคงส่งผลกับความจำของเธอแน่
หลังจากถอนหายใจ ชายหนุ่มจึงบอก
“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะตามหมอชัชมาดูอาการของเธอ”
หลังจากนั้นไม่นาน นายแพทย์ประจำตระกูลพฤกษ์พนาก็ต้องมาตรวจอาการเด็กสาวเป็นรอบที่สอง ทั้งที่เมื่อชั่วโมงที่แล้วเพิ่งมารักษาอาการบาดเจ็บตรงศีรษะ
“สมองบางส่วนที่เกี่ยวกับความจำคงถูกกระทบกระเทือนตอนที่ตกบันไดลงมาครับ”
นั่นคือข้อสันนิษฐานของหมอชัช หลังใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงในการพูดคุยกับคนเจ็บ
พัสสนนิ่งงัน แม้ก่อนหน้านี้คาดเดาไว้แล้วแต่เมื่อได้รับการยืนยันเขาก็ยังตกใจ
“แล้ว...เธอจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน”
“ไม่แน่ใจครับ บางทีอาจแค่วันเดียวหรือไม่ก็เป็นอาทิตย์ แต่ก็มีเหมือนกัน...ที่อาจจะตลอดชีวิต”
“ขนาดนั้นเลยหรือ”
ชายหนุ่มเริ่มใจเสีย แววตาที่มองคนเจ็บสะท้อนความเห็นใจ
คล้อยหลังคุณหมอ พัสสนก็เดินเข้าไปหาคนที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งอยู่บนเตียง
“ไม่ต้องคิดมากนะกระต่ายน้อย ฉันจะดูแลเธอเอง”
“ฉันชื่อกระต่ายน้อยหรือคะ”
แววตาอ้างว้างเหมือนเด็กหลงทางนั้น ยิ่งทำให้ชายหนุ่มสงสาร
“เปล่า เธอชื่อเอย”
ถ้าเขาจำไม่ผิดนะ
“เอย” เด็กสาวทำท่าครุ่นคิด “แล้วชื่อจริงละคะ”
พัสสนอึ้งไปกับคำถามนั้น จะว่าไปเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ชื่อ...” ชายหนุ่มนิ่วหน้า ก่อนตัดสินใจ “เอิงเอย”
“คะ”
เขาเห็นเธอทำตาปริบ ๆ
“ทำไมฉันไม่คุ้นกับชื่อนี้เลย”
“ก็เพราะเธอจำอะไรไม่ได้ไง” เห็นเธอทำท่าจะแย้ง เขาจึงชิงพูด “หรืออยากให้เรียกปุกปุยเหมือนเดิม”
เมื่อเห็นเด็กสาวเงียบไปราวกับยอมจำนน พัสสนก็ค่อยโล่งอกแต่แค่ไม่กี่วินาที
“ฉัน...เป็นอะไรกับคุณคะ”
“แล้วเธออยากเป็นอะไรกับฉันล่ะ”
ดูเหมือนครั้งนี้คำถามของเขาจะทำให้เด็กสาวพูดไม่ออก อาจด้วยท่าทางสับสนของเธอแลดูน่าสงสารและความรู้สึกผิดเพราะคิดว่าตัวเองมีส่วนทำให้เธอเป็นแบบนี้ พัสสนจึงให้คำตอบที่ตรงกับใจออกไป
“เธอเป็นผู้หญิงของฉัน”
______________________________________________________
เอาตอนใหม่มาส่งค่ะ ^__^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และ LIKE ที่มอบให้กันค่ะ
Zephyr : การต้องกลายเป็นตัวแทนของใครสักคนคงทำให้คนคนนั้นไม่มีความสุขแน่ค่ะ ยิ่งถ้าเป็นตัวแทนในสายตาของคนที่รักด้วยแล้ว คงไม่ต่างจากตายทั้งเป็น...ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ย้อนหลังทุกตอนนะคะ ^^
ปิ่นนลิน : แต่ดูท่าคุณพอลจะคิดว่าเอยเป็นกระต่ายนะ ฮ่าาาา ส่วนคุณพี่ก้องก็นะ...ถ้าไม่เอาแต่ใจก็คงไม่ใช่ผู้ชายคนนี้
ราวหกโมงเย็นของวันนั้น เสียงประตูห้องซึ่งถูกเปิดเข้ามาอย่างแรงส่งผลให้กรรณิการ์สะดุ้งเฮือก
เด็กสาวมองคนหน้าบึ้งตึงซึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องด้วยความหวาดหวั่น ก่อนร้องอย่างตกใจเมื่อถูกกระชากตัวลงจากเตียง
“จะพาเอยไปไหน”
เมื่อคำถามไม่ได้รับคำตอบ กรรณิการ์ก็ยิ่งหวาดกลัวเมื่อถูกชายหนุ่มทำท่าจะดึงลงบันไดไปชั้นล่างเธอจึงพยายามสะบัดมือ
“เอยไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เขาจะพาเธอไปขายหรือเอาไปฆ่า
ความคิดเลวร้ายนั้นส่งผลให้น้ำตาไหล หากนั่นเหมือนเป็นแรงผลักดันให้ฮึดสู้จนรวบรวมเรี่ยวแรงผลักชายหนุ่มกระทั่งเซถลา อารามหวาดกลัวทำให้กรรณิการ์ไม่ทันระวังเมื่อรีบร้อนลงบันไดแต่กลับก้าวพลาด
ร่างเล็กถลาลงมานอนฟุบแน่นิ่งบนพื้น ก่อนตามด้วยเลือดที่เริ่มไหลออกจากบาดแผล
สายฟ้ากับพายุลอบมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนที่แฝดพี่จะเป็นคนพูดกับเจ้านายหนุ่มซึ่งเอาแต่นั่งมองคนเจ็บคนเตียงซึ่งมีผ้าสีขาวพันรอบศีรษะ
“คุณพอลครับไปกินข้าวเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้เดี๋ยวผมจะให้พายุเฝ้าเอาไว้”
แฝดพี่ยิ้มเหมือนจะปลอบใจเมื่อเห็นน้องชายมองมาด้วยแววตาขุ่นขวางราวกับไม่ชอบใจที่ถูกโยนภาระ
“ไม่ ฉันจะรอเขาฟื้น”
พัสสนตอบ ก่อนหลับตาลงด้วยความยอกแสลงใจเมื่อหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ตอนเห็นเด็กสาวกลิ้งตกบันไดหัวใจของเขาก็เหมือนดิ่งลงไปด้วย
เป็นเพราะเขา
ชายหนุ่มนึกโทษตัวเอง เมื่อเดาว่าความตั้งใจจะเอาตัวกรรณิการ์ลงไปกินข้าวเย็นด้วยกันในห้องอาหารคงทำให้เธอหวาดกลัวและเข้าใจผิด
กระต่ายน้อย ฉันขอโทษ
“นายสองคนไปเถอะ ฉันจะอยู่ดูแลเขาเอง”
เมื่อได้อยู่ตามลำพังสมใจ พัสสนก็ดึงมือคนเจ็บมากุม
“รีบตื่นเร็ว ๆ นะ อย่าเอาแต่นอนแบบนี้”
“คนเกลียดกันเขาไม่ทำแบบนี้หรอกนะ”
แก้วกุดั่นหลับตาลงเมื่อคำพูดสุดท้ายของก้องภพหวนกลับมาทำให้หวั่นไหวอีกครั้ง
เขาไม่เกลียดเธอ
หญิงสาวยิ้มทั้งที่เศร้าอยู่ลึก ๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาต้องการจากเธอ
“เพราะเธออยู่ใกล้สุดเวลาที่ฉัน...ต้องการ”
ก็แค่ตัวของเธอเท่านั้น
แก้วกุดั่นลืมตา ก่อนกระพริบถี่ ๆ เพื่อไล่ละอองน้ำในดวงตา
เธอคงมีค่าแค่นั้นสำหรับเขา
หญิงสาวเดินไปนั่งบนเก้าอี้หินอ่อนพลางปล่อยใจให้กับความเหงาและเศร้าโศกเมื่อนึกถึงกรรณิการ์ ก่อนแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่มีเพียงแสงกระพริบจากดาวไม่กี่ดวง
“ไปอยู่ที่ไหนนะเอย”
ดวงตาหวานปนเศร้าเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำใส ยามบอกกับตัวเอง
เธอยินดีแลกทุกอย่าง ขอแค่ได้ตัวน้องสาวกลับคืนมา
หนึ่งชั่วโมงถัดมา การเฝ้ารอของพัสสนก็สัมฤทธิ์ผล
ชายหนุ่มยิ้มก่อนยื่นมือไปแตะเบา ๆ บนผ้าพันสีขาวรอบศีรษะของเด็กสาวซึ่งกำลังจับจ้องเขา
“เจ็บมากไหม”
เมื่อเห็นเธอทำตาปริบ ๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงพูดต่อ
“เธอตกบันได จำได้หรือยัง”
ครั้งนี้เขาเห็นแวววูบไหวในดวงตากลมโต ก่อนที่เธอจะหันมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าแววตาราวกับงุนงง จากนั้นก็หันมามองเขาอีกครั้ง
พัสสนยังคงยิ้มให้กับท่าทางน่าสงสารของเด็กสาว ก่อนที่รอยยิ้มจะเจื่อนจางลงเมื่อถูกตั้งคำถาม
“คุณเป็นใครคะ”
“เมื่อกี้...เธอว่าอะไรนะ”
ชายหนุ่มเห็นเด็กสาวหันมองรอบห้องอีกครั้งด้วยแววตาตื่นกลัว ก่อนกลับมามองเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้
“แล้วฉันเป็นใครคะ”
วูบนั้น พัสสนรู้สึกราวกับถูกคนเอาค้อนตีหัวจนมึนงง ก่อนตามด้วยความรู้สึกอยากหัวเราะ
เขาจะให้คำตอบยังไงดี ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร
ถึงตอนนี้พัสสนเริ่มแน่ใจ
ดูท่าการตกบันไดคงส่งผลกับความจำของเธอแน่
หลังจากถอนหายใจ ชายหนุ่มจึงบอก
“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะตามหมอชัชมาดูอาการของเธอ”
หลังจากนั้นไม่นาน นายแพทย์ประจำตระกูลพฤกษ์พนาก็ต้องมาตรวจอาการเด็กสาวเป็นรอบที่สอง ทั้งที่เมื่อชั่วโมงที่แล้วเพิ่งมารักษาอาการบาดเจ็บตรงศีรษะ
“สมองบางส่วนที่เกี่ยวกับความจำคงถูกกระทบกระเทือนตอนที่ตกบันไดลงมาครับ”
นั่นคือข้อสันนิษฐานของหมอชัช หลังใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงในการพูดคุยกับคนเจ็บ
พัสสนนิ่งงัน แม้ก่อนหน้านี้คาดเดาไว้แล้วแต่เมื่อได้รับการยืนยันเขาก็ยังตกใจ
“แล้ว...เธอจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน”
“ไม่แน่ใจครับ บางทีอาจแค่วันเดียวหรือไม่ก็เป็นอาทิตย์ แต่ก็มีเหมือนกัน...ที่อาจจะตลอดชีวิต”
“ขนาดนั้นเลยหรือ”
ชายหนุ่มเริ่มใจเสีย แววตาที่มองคนเจ็บสะท้อนความเห็นใจ
คล้อยหลังคุณหมอ พัสสนก็เดินเข้าไปหาคนที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งอยู่บนเตียง
“ไม่ต้องคิดมากนะกระต่ายน้อย ฉันจะดูแลเธอเอง”
“ฉันชื่อกระต่ายน้อยหรือคะ”
แววตาอ้างว้างเหมือนเด็กหลงทางนั้น ยิ่งทำให้ชายหนุ่มสงสาร
“เปล่า เธอชื่อเอย”
ถ้าเขาจำไม่ผิดนะ
“เอย” เด็กสาวทำท่าครุ่นคิด “แล้วชื่อจริงละคะ”
พัสสนอึ้งไปกับคำถามนั้น จะว่าไปเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ชื่อ...” ชายหนุ่มนิ่วหน้า ก่อนตัดสินใจ “เอิงเอย”
“คะ”
เขาเห็นเธอทำตาปริบ ๆ
“ทำไมฉันไม่คุ้นกับชื่อนี้เลย”
“ก็เพราะเธอจำอะไรไม่ได้ไง” เห็นเธอทำท่าจะแย้ง เขาจึงชิงพูด “หรืออยากให้เรียกปุกปุยเหมือนเดิม”
เมื่อเห็นเด็กสาวเงียบไปราวกับยอมจำนน พัสสนก็ค่อยโล่งอกแต่แค่ไม่กี่วินาที
“ฉัน...เป็นอะไรกับคุณคะ”
“แล้วเธออยากเป็นอะไรกับฉันล่ะ”
ดูเหมือนครั้งนี้คำถามของเขาจะทำให้เด็กสาวพูดไม่ออก อาจด้วยท่าทางสับสนของเธอแลดูน่าสงสารและความรู้สึกผิดเพราะคิดว่าตัวเองมีส่วนทำให้เธอเป็นแบบนี้ พัสสนจึงให้คำตอบที่ตรงกับใจออกไป
“เธอเป็นผู้หญิงของฉัน”
______________________________________________________
เอาตอนใหม่มาส่งค่ะ ^__^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และ LIKE ที่มอบให้กันค่ะ
Zephyr : การต้องกลายเป็นตัวแทนของใครสักคนคงทำให้คนคนนั้นไม่มีความสุขแน่ค่ะ ยิ่งถ้าเป็นตัวแทนในสายตาของคนที่รักด้วยแล้ว คงไม่ต่างจากตายทั้งเป็น...ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ย้อนหลังทุกตอนนะคะ ^^
ปิ่นนลิน : แต่ดูท่าคุณพอลจะคิดว่าเอยเป็นกระต่ายนะ ฮ่าาาา ส่วนคุณพี่ก้องก็นะ...ถ้าไม่เอาแต่ใจก็คงไม่ใช่ผู้ชายคนนี้
พันวลี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ย. 2558, 17:29:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2558, 17:29:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 1441
<< บทที่ 8 | บทที่ 10 >> |