ยกเลิก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 7
ที่โรงพยาบาลหมอบอกว่าแอนดี้เสียเลือดมากจำเป็นต้องได้เลือดทนแทนด่วน แต่เป็นกรุ๊ปเลือดที่คนไข้ใช้มากทำให้ตอนนี้ทางโรงพยาบาลไม่มีเลือดให้เขา!
“ไม่เป็นไรค่ะฉันเลือดกรุ๊ปเดียวกับเขาเอาเลือดฉันไปก็ได้”
คุณหมอมองสภาพที่อิดโรยของฉันพลันส่ายหน้า “แต่คุณก็ได้รับบาดเจ็บมาเหมือนกันเราเกรงว่าต่อให้ช่วยแอนดี้ได้แต่ตัวคุณเองก็อาจจะแย่”
“ไม่เป็นไรค่ะฉันทนได้ขอแค่ช่วยแอนดี้ให้ได้ก็พอ” ฉันเข้าไปจับแขนหมออ้อนวอนเขา ฉันกลัวว่าแอนดี้จะมีเวลาไม่มากพอ พิษบาดแผลอาจจะทำให้เขาเป็นอะไรไปก่อนที่เลือดจะมา “นะคะหมอ”
หมอทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะมองหน้าฉันอย่างกังวล “ตกลง”
...ในที่สุดฉันก็ตื่นจากความสลบไสล...พยาบาลบอกว่าฉันหมดสติไปทันทีที่ให้เลือดแอนดี้เสร็จ...ใช้เวลากว่าสามวันถึงได้ฟื้นขึ้นมา ฉันถามถึงแอนดี้ทันทีที่ฟื้นขึ้นมา
“คุณแอนดี้ปลอดภัยดีค่ะ”
ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นเมื่อรู้ว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉันจะไปเยี่ยมเขาได้มั้ยคะ”
“ได้สิคะ..เพียงแต่รอให้คุณอาการดีขึ้นกว่านี้อีกหน่อยพอออกจากโรงพยาบาลแล้วค่อยไปเยี่ยมดีกว่านะคะ”
“หมายความว่ายังไงนะคะ..เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วหรือคะ”
“ใช่คะ ศีรษะของเขาได้รับความกระทบเทือนมากต้องทำCT SCAN ซึ่งโรงพยาบาลเราเป็นแค่โรงพยาบาลอำเภอไม่มีเครื่องมือ เราจึงส่งเขาไปยังโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมมากกว่าค่ะ แล้วตอนนี้ก็ได้ข่าวว่าย้ายเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลที่กรุงเทพแล้ว”
“อ้อค่ะ..แล้วอีกนานมั้ยคะกว่าที่ฉันจะออกจากโรงพยาบาลได้”
“อีกวันสองวันก็น่าจะออกได้แล้วล่ะค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้คุณจะดูแลตนเองตามคำแนะนำหรือเปล่า..” พยาบาลพูดอย่างอ่อนโยน บอกกับฉันเป็นนัยๆว่าถ้าฉันไม่ดูแลตัวเองให้ฟื้นตัวก่อน เวลาที่ฉันจะได้ไปหาแอนดี้ก็ย่อมเลื่อนไกลออกไป
“ได้ค่ะพยาบาลให้ฉันทำอะไรฉันทำได้ทั้งนั้นขอแค่ได้กลับบ้านไวๆ...”
....................................................................................................
ฉันเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว พวกเขาไม่ให้ฉันเยี่ยมแอนดี้ สิ่งแรกที่ฉันทำหลังออกจากโรงพยาบาลคือการไปหาแอนดี้ เขายังคงพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพียงแต่พอฉันไปถึงกลับถูกปฏิเสธ บอกว่าไม่มีคนไข้ชื่อนี้ พวกเขาต้องไม่รู้แน่ๆว่าฉันเป็นอะไรกับคนไข้ฉันจึงพยายามบอกความสัมพันธ์ของเราสองคน พยาบาลประจำหอผู้ป่วยเข้าใจและสงสารฉันแต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้....ฉันพยายามค้นหาข่าวการประสบอุบัติเหตุของเขาไม่ว่าจะเป็นทางอินเตอร์เนท หนังสือพิมพ์หรือแม้แต่ในทีวี...แต่กลับไม่มีข่าวคราวของเขาเลย เขาถูกลืมจากโลกใบนี้ไปแล้วอย่างนั้นหรือ...ไม่มีทางดาราดังอย่างเขาแค่ขยับตัวก็มีข่าวแล้ว..มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่หรือไม่ก็..พวกเขากำลังปิดข่าว...แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรขออย่าให้แอนดี้เป็นอะไรไปก็พอ..สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้คือเดินคอตกกลับบ้าน ฉันโทรติดต่อกลับไปยังโรงพยาบาลแห่งแรกที่พวกเราเข้ารักษาตัวเพื่อยืนยันที่อยู่พวกเขาก็ยังยืนยันว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งนี้..ที่เดียวกันกับที่ฉันเพิ่งกลับออกมา...
ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มที่ฉันไม่รู้ข่าวคราวของแอนดี้เลยและที่น่าแปลกอีกเรื่องก็คือข่าวคราวที่แฟนคลับมักจะอัพเดทเรื่องราวของแอนดี้เสมอๆก็เงียบหายตามไปด้วย ฉันจึงได้แต่รอกับรอ...ฉันนั่งมองน้ำตาที่หยดแหมะลงบนหน้าบันทึกของตัวเองอย่างร้าวรานความรู้สึกทุกอย่างถูกเขียนบรรยายลงไปหมดสิ้นถึงแม้ว่ามันไม่ได้ช่วยให้ฉันตามหาแอนดี้เจอแต่อย่างน้อยมันก็ช่วยบรรเทาเบาบางความทุกข์ในใจของฉันลงบ้าง....
.....อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่โรงพยาบาลต้องออกรายการพิเศษทางทีวีเพื่อรับบริจาคช่วยผู้ป่วยยากไร้ซึ่งเป็นประเพณีที่ต้องทำกันทุกปี ทางโรงพยาบาลจะคัดเลือกเจ้าหน้าที่ที่หน้าตาดีและมีความมนุษยสัมพันธ์เพื่อช่วยรับโทรศัพท์ในงานแต่คงไม่ใช่ฉันเช่นเคย เพราะต่อให้คุณสมบัติอย่างอื่นครบถ้วนแต่ถ้าหน้าตาไม่ผ่านก็ไม่ได้โอกาสนั้นเหมือนกัน
“แอนนา..รู้ยัง...ว่าเธอได้รับคัดเลือกให้ไปคอยให้คำปรึกษาในงานด้วยนะ” เพื่อนที่ทำงานคนหนึ่งบอกฉันด้วยท่าทางตื่นเต้นเหมือนว่าได้ไปทำเอง...”ถึงแม้จะไม่ได้ออกสื่อหน้าเวทีเหมือนคนที่นั่งรับบริจาคก็ตามแต่อย่างน้อยเธอก็จะได้ไปออกงานใหญ่นะ..เห็นเขาว่าปีนี้มีเหล่าดาราคนดังมากันเพียบเลย..แม้แต่แอนดี้พระเอกดังคนที่ไม่ค่อยจะออกงานเท่าไหร่ยังควงแฟนมางานนี้เลยนะ” คำว่าแอนดี้ทำให้ฉันหูผึ่ง
“เธอว่าไงนะ”
“ว่าไง? ตรงไหน?” เพื่อนทำหน้าไม่เข้าใจว่าฉันถามอะไร
“เธอว่าแอนดี้เขามาด้วยหรือ”
“อือ..ใช่..มากับแฟนด้วย”
ฉันพยายามเก็บอาการตื่นเต้นไว้ข้างในเพราะตลอดเวลาที่คบกันฉันขอร้องแอนดี้ให้เก็บทุกอย่างเป็นความลับมาตลอดแม้แต่เพื่อนที่ทำงานก็ไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา ส่วนพวกที่กองถ่ายก็ให้เขาเข้าใจกันเอาเองว่าฉันเป็นเด็กรับใช้ในบ้านและเป็นญาติห่างๆที่เคยติดสอยมากองเพื่อช่วยงานเล็กๆน้อยๆส่วนตัวของเขา “แล้วเธอรู้มั้ยว่าแฟนของเขาเป็นใคร”
“จะเป็นใคร้” เพื่อนลากเสียงสูง “ก็นางเอกคู่บุญของเขานั่นไงล่ะ..นางเป็นไฮโซด้วยนะจ๊ะขอบอก ..เป็นลูกคนมีเชื้อ..เป็นหลานเจ้าสัวมีธุรกิจร้อยล้านพันล้าน...เห็นว่ามีโรงพยาบาลในเครือด้วยนะโรงพยาบาลใหญ่ๆทั้งนั้นด้วย..”
“เขาเปิดตัวตอนไหนเหรอว่าเป็นแฟนกัน”
“เมื่อเช้า..ตอนนักข่าวไปสัมภาษณ์นาง..บอกว่าคืนนี้จะเป็นการออกงานในฐานะคนรักเป็นครั้งแรก..เป็นงานการกุศล..ผลบุญจะได้ช่วยให้ความรักยืนยาว..เห็นนักข่าวเขาแซวกันแบบนั้นนะไม่พูดเอง”
“อ้อ..” คืนนี้แล้วสินะที่ฉันจะได้เจอกับเขาแล้ว อยากรู้จังว่าจากอุบัติเหตุครั้งนั้นจะทำให้หน้าผากเขามีรอยแผลเป็นหรือเปล่านะ ดาราอย่างเขาต้องใช้หน้าตาหากินคงไม่ดีแน่ถ้าหากใบหน้าที่หล่อเหลาเรียบเนียนจะมีรอยราคีแบบนั้น....
......งานในค่ำคืนนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าคนดังอย่างที่เพื่อนบอกไว้จริงๆ...โต๊ะให้คำปรึกษาถูกจัดไว้มุมหนึ่งหลังเวทีเพราะต้องการบรรยากาศที่เงียบสงบกว่าโซนอื่น มีคนนั่งรับโทรศัพย์ด้วยกันอีกราวสิบคน มีทั้งหมอ พยาบาลและนักจิตวิทยา งานของฉันไม่ค่อยยุ่งยากนักสองสามนาทีสายของฉันจึงจะดังสักครั้งต่างจากที่หน้าเวทีที่เสียงโทรศัพท์ดังไม่ขาดสาย ฉันจึงอาศัยเวลาว่างสอดส่ายสายตาชะเง้อหาแอนดี้อยู่เป็นระยะ คนดังมากมายถูกเชิญขึ้นไปบนเวทีไม่ซ้ำหน้าบ้างก็ร้องเพลงบ้างก็พูดเชิญชวนบริจาคแต่ก็ไม่เห็นวี่แววเขาเลย...ผ่านไปจนถึงช่วงท้ายของรายการเป็นการเล่าเรื่องราวของคนไข้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆมีฉายเรื่องราวประกอบ ฉันนั่งดูผ่านจอทีวีที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ ..โอ้..ลืมไปแล้วว่าเขาเคยมารับบทคนไข้ของฉัน
แล้วหลังจากนั้นพิธีกรก็ขอเสียงปรบมือให้กับนักแสดงกิติมศักดิ์...ที่กำลังจะขึ้นไปบนเวที...แอนดี้...เป็นแอนดี้จริงๆด้วย ทันทีที่เห็นเขาใจฉันแทบเต้นออกมานอกอก อยากจะกระโดดไปอยู่ที่หน้าเวที...ใบหน้าของเขายังหล่อเหลาหมดจดไม่มีรอยแผลเป็นใดๆอย่างที่ฉันกังวลแถมดูท่าทางยังแข็งแรงดีซะด้วย..เขาพูดคุยกับพิธีกรอย่างเป็นกันเองและเชิญชวนให้คนมาบริจาคอย่างน่าฟัง และคนแรกที่ขอบริจาคให้โรงพยาบาลเป็นเงินถึงสิบล้านบาทตามคำเชิญของเขาก็คือ.. ”.เจน...นางเอกคู่บุญทั้งในจอและนอกจอนั่นเองครับ...ขอเสียงปรบมือดังๆให้กับคู่รักใจบุญด้วยครับ....
.......ฉันเฝ้ารอโอกาสจะพบเขาจนงานเลิกสุดท้ายก็พลาดตลอด..จึงออกมาดักรอที่ทางเข้าลานจอดรถ โอกาสเป็นของฉันเมื่อเจนถูกดึงตัวไปสัมภาษณ์อีกทางและเขาขอปลีกตัวออกมารอที่รถ ฉันวิ่งเข้าไปกอดแอนดี้ด้วยความดีใจ พร่ำพรรณนาความรู้สึกที่ไม่รู้ข่าวคราวของเขาจนกระทั่งได้มาเจอเขาในวันนี้...แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าคือ
“ขอโทษนะครับ..เอ่อ..เราเคยรู้จักกันเหรอครับ”
น้ำเสียงทีพูดอย่างเกรงใจเหมือนคนแปลกหน้า กิริยาระมัดระวังและแววตาของเขาที่ว่างเปล่ามันกำลังจะบอกฉันว่า...สมองของเขาถูกกระทบกระเทือนจน...
“นายจำฉันไม่ได้!..ใช่มั้ยแอนดี้?” .....โอ้ไม่นะ..!!!!!!!!!!
“ไม่เป็นไรค่ะฉันเลือดกรุ๊ปเดียวกับเขาเอาเลือดฉันไปก็ได้”
คุณหมอมองสภาพที่อิดโรยของฉันพลันส่ายหน้า “แต่คุณก็ได้รับบาดเจ็บมาเหมือนกันเราเกรงว่าต่อให้ช่วยแอนดี้ได้แต่ตัวคุณเองก็อาจจะแย่”
“ไม่เป็นไรค่ะฉันทนได้ขอแค่ช่วยแอนดี้ให้ได้ก็พอ” ฉันเข้าไปจับแขนหมออ้อนวอนเขา ฉันกลัวว่าแอนดี้จะมีเวลาไม่มากพอ พิษบาดแผลอาจจะทำให้เขาเป็นอะไรไปก่อนที่เลือดจะมา “นะคะหมอ”
หมอทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะมองหน้าฉันอย่างกังวล “ตกลง”
...ในที่สุดฉันก็ตื่นจากความสลบไสล...พยาบาลบอกว่าฉันหมดสติไปทันทีที่ให้เลือดแอนดี้เสร็จ...ใช้เวลากว่าสามวันถึงได้ฟื้นขึ้นมา ฉันถามถึงแอนดี้ทันทีที่ฟื้นขึ้นมา
“คุณแอนดี้ปลอดภัยดีค่ะ”
ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นเมื่อรู้ว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉันจะไปเยี่ยมเขาได้มั้ยคะ”
“ได้สิคะ..เพียงแต่รอให้คุณอาการดีขึ้นกว่านี้อีกหน่อยพอออกจากโรงพยาบาลแล้วค่อยไปเยี่ยมดีกว่านะคะ”
“หมายความว่ายังไงนะคะ..เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วหรือคะ”
“ใช่คะ ศีรษะของเขาได้รับความกระทบเทือนมากต้องทำCT SCAN ซึ่งโรงพยาบาลเราเป็นแค่โรงพยาบาลอำเภอไม่มีเครื่องมือ เราจึงส่งเขาไปยังโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมมากกว่าค่ะ แล้วตอนนี้ก็ได้ข่าวว่าย้ายเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลที่กรุงเทพแล้ว”
“อ้อค่ะ..แล้วอีกนานมั้ยคะกว่าที่ฉันจะออกจากโรงพยาบาลได้”
“อีกวันสองวันก็น่าจะออกได้แล้วล่ะค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้คุณจะดูแลตนเองตามคำแนะนำหรือเปล่า..” พยาบาลพูดอย่างอ่อนโยน บอกกับฉันเป็นนัยๆว่าถ้าฉันไม่ดูแลตัวเองให้ฟื้นตัวก่อน เวลาที่ฉันจะได้ไปหาแอนดี้ก็ย่อมเลื่อนไกลออกไป
“ได้ค่ะพยาบาลให้ฉันทำอะไรฉันทำได้ทั้งนั้นขอแค่ได้กลับบ้านไวๆ...”
....................................................................................................
ฉันเดินกลับบ้านด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว พวกเขาไม่ให้ฉันเยี่ยมแอนดี้ สิ่งแรกที่ฉันทำหลังออกจากโรงพยาบาลคือการไปหาแอนดี้ เขายังคงพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเพียงแต่พอฉันไปถึงกลับถูกปฏิเสธ บอกว่าไม่มีคนไข้ชื่อนี้ พวกเขาต้องไม่รู้แน่ๆว่าฉันเป็นอะไรกับคนไข้ฉันจึงพยายามบอกความสัมพันธ์ของเราสองคน พยาบาลประจำหอผู้ป่วยเข้าใจและสงสารฉันแต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้....ฉันพยายามค้นหาข่าวการประสบอุบัติเหตุของเขาไม่ว่าจะเป็นทางอินเตอร์เนท หนังสือพิมพ์หรือแม้แต่ในทีวี...แต่กลับไม่มีข่าวคราวของเขาเลย เขาถูกลืมจากโลกใบนี้ไปแล้วอย่างนั้นหรือ...ไม่มีทางดาราดังอย่างเขาแค่ขยับตัวก็มีข่าวแล้ว..มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่หรือไม่ก็..พวกเขากำลังปิดข่าว...แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรขออย่าให้แอนดี้เป็นอะไรไปก็พอ..สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้คือเดินคอตกกลับบ้าน ฉันโทรติดต่อกลับไปยังโรงพยาบาลแห่งแรกที่พวกเราเข้ารักษาตัวเพื่อยืนยันที่อยู่พวกเขาก็ยังยืนยันว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งนี้..ที่เดียวกันกับที่ฉันเพิ่งกลับออกมา...
ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มที่ฉันไม่รู้ข่าวคราวของแอนดี้เลยและที่น่าแปลกอีกเรื่องก็คือข่าวคราวที่แฟนคลับมักจะอัพเดทเรื่องราวของแอนดี้เสมอๆก็เงียบหายตามไปด้วย ฉันจึงได้แต่รอกับรอ...ฉันนั่งมองน้ำตาที่หยดแหมะลงบนหน้าบันทึกของตัวเองอย่างร้าวรานความรู้สึกทุกอย่างถูกเขียนบรรยายลงไปหมดสิ้นถึงแม้ว่ามันไม่ได้ช่วยให้ฉันตามหาแอนดี้เจอแต่อย่างน้อยมันก็ช่วยบรรเทาเบาบางความทุกข์ในใจของฉันลงบ้าง....
.....อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่โรงพยาบาลต้องออกรายการพิเศษทางทีวีเพื่อรับบริจาคช่วยผู้ป่วยยากไร้ซึ่งเป็นประเพณีที่ต้องทำกันทุกปี ทางโรงพยาบาลจะคัดเลือกเจ้าหน้าที่ที่หน้าตาดีและมีความมนุษยสัมพันธ์เพื่อช่วยรับโทรศัพท์ในงานแต่คงไม่ใช่ฉันเช่นเคย เพราะต่อให้คุณสมบัติอย่างอื่นครบถ้วนแต่ถ้าหน้าตาไม่ผ่านก็ไม่ได้โอกาสนั้นเหมือนกัน
“แอนนา..รู้ยัง...ว่าเธอได้รับคัดเลือกให้ไปคอยให้คำปรึกษาในงานด้วยนะ” เพื่อนที่ทำงานคนหนึ่งบอกฉันด้วยท่าทางตื่นเต้นเหมือนว่าได้ไปทำเอง...”ถึงแม้จะไม่ได้ออกสื่อหน้าเวทีเหมือนคนที่นั่งรับบริจาคก็ตามแต่อย่างน้อยเธอก็จะได้ไปออกงานใหญ่นะ..เห็นเขาว่าปีนี้มีเหล่าดาราคนดังมากันเพียบเลย..แม้แต่แอนดี้พระเอกดังคนที่ไม่ค่อยจะออกงานเท่าไหร่ยังควงแฟนมางานนี้เลยนะ” คำว่าแอนดี้ทำให้ฉันหูผึ่ง
“เธอว่าไงนะ”
“ว่าไง? ตรงไหน?” เพื่อนทำหน้าไม่เข้าใจว่าฉันถามอะไร
“เธอว่าแอนดี้เขามาด้วยหรือ”
“อือ..ใช่..มากับแฟนด้วย”
ฉันพยายามเก็บอาการตื่นเต้นไว้ข้างในเพราะตลอดเวลาที่คบกันฉันขอร้องแอนดี้ให้เก็บทุกอย่างเป็นความลับมาตลอดแม้แต่เพื่อนที่ทำงานก็ไม่มีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา ส่วนพวกที่กองถ่ายก็ให้เขาเข้าใจกันเอาเองว่าฉันเป็นเด็กรับใช้ในบ้านและเป็นญาติห่างๆที่เคยติดสอยมากองเพื่อช่วยงานเล็กๆน้อยๆส่วนตัวของเขา “แล้วเธอรู้มั้ยว่าแฟนของเขาเป็นใคร”
“จะเป็นใคร้” เพื่อนลากเสียงสูง “ก็นางเอกคู่บุญของเขานั่นไงล่ะ..นางเป็นไฮโซด้วยนะจ๊ะขอบอก ..เป็นลูกคนมีเชื้อ..เป็นหลานเจ้าสัวมีธุรกิจร้อยล้านพันล้าน...เห็นว่ามีโรงพยาบาลในเครือด้วยนะโรงพยาบาลใหญ่ๆทั้งนั้นด้วย..”
“เขาเปิดตัวตอนไหนเหรอว่าเป็นแฟนกัน”
“เมื่อเช้า..ตอนนักข่าวไปสัมภาษณ์นาง..บอกว่าคืนนี้จะเป็นการออกงานในฐานะคนรักเป็นครั้งแรก..เป็นงานการกุศล..ผลบุญจะได้ช่วยให้ความรักยืนยาว..เห็นนักข่าวเขาแซวกันแบบนั้นนะไม่พูดเอง”
“อ้อ..” คืนนี้แล้วสินะที่ฉันจะได้เจอกับเขาแล้ว อยากรู้จังว่าจากอุบัติเหตุครั้งนั้นจะทำให้หน้าผากเขามีรอยแผลเป็นหรือเปล่านะ ดาราอย่างเขาต้องใช้หน้าตาหากินคงไม่ดีแน่ถ้าหากใบหน้าที่หล่อเหลาเรียบเนียนจะมีรอยราคีแบบนั้น....
......งานในค่ำคืนนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าคนดังอย่างที่เพื่อนบอกไว้จริงๆ...โต๊ะให้คำปรึกษาถูกจัดไว้มุมหนึ่งหลังเวทีเพราะต้องการบรรยากาศที่เงียบสงบกว่าโซนอื่น มีคนนั่งรับโทรศัพย์ด้วยกันอีกราวสิบคน มีทั้งหมอ พยาบาลและนักจิตวิทยา งานของฉันไม่ค่อยยุ่งยากนักสองสามนาทีสายของฉันจึงจะดังสักครั้งต่างจากที่หน้าเวทีที่เสียงโทรศัพท์ดังไม่ขาดสาย ฉันจึงอาศัยเวลาว่างสอดส่ายสายตาชะเง้อหาแอนดี้อยู่เป็นระยะ คนดังมากมายถูกเชิญขึ้นไปบนเวทีไม่ซ้ำหน้าบ้างก็ร้องเพลงบ้างก็พูดเชิญชวนบริจาคแต่ก็ไม่เห็นวี่แววเขาเลย...ผ่านไปจนถึงช่วงท้ายของรายการเป็นการเล่าเรื่องราวของคนไข้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆมีฉายเรื่องราวประกอบ ฉันนั่งดูผ่านจอทีวีที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ ..โอ้..ลืมไปแล้วว่าเขาเคยมารับบทคนไข้ของฉัน
แล้วหลังจากนั้นพิธีกรก็ขอเสียงปรบมือให้กับนักแสดงกิติมศักดิ์...ที่กำลังจะขึ้นไปบนเวที...แอนดี้...เป็นแอนดี้จริงๆด้วย ทันทีที่เห็นเขาใจฉันแทบเต้นออกมานอกอก อยากจะกระโดดไปอยู่ที่หน้าเวที...ใบหน้าของเขายังหล่อเหลาหมดจดไม่มีรอยแผลเป็นใดๆอย่างที่ฉันกังวลแถมดูท่าทางยังแข็งแรงดีซะด้วย..เขาพูดคุยกับพิธีกรอย่างเป็นกันเองและเชิญชวนให้คนมาบริจาคอย่างน่าฟัง และคนแรกที่ขอบริจาคให้โรงพยาบาลเป็นเงินถึงสิบล้านบาทตามคำเชิญของเขาก็คือ.. ”.เจน...นางเอกคู่บุญทั้งในจอและนอกจอนั่นเองครับ...ขอเสียงปรบมือดังๆให้กับคู่รักใจบุญด้วยครับ....
.......ฉันเฝ้ารอโอกาสจะพบเขาจนงานเลิกสุดท้ายก็พลาดตลอด..จึงออกมาดักรอที่ทางเข้าลานจอดรถ โอกาสเป็นของฉันเมื่อเจนถูกดึงตัวไปสัมภาษณ์อีกทางและเขาขอปลีกตัวออกมารอที่รถ ฉันวิ่งเข้าไปกอดแอนดี้ด้วยความดีใจ พร่ำพรรณนาความรู้สึกที่ไม่รู้ข่าวคราวของเขาจนกระทั่งได้มาเจอเขาในวันนี้...แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าคือ
“ขอโทษนะครับ..เอ่อ..เราเคยรู้จักกันเหรอครับ”
น้ำเสียงทีพูดอย่างเกรงใจเหมือนคนแปลกหน้า กิริยาระมัดระวังและแววตาของเขาที่ว่างเปล่ามันกำลังจะบอกฉันว่า...สมองของเขาถูกกระทบกระเทือนจน...
“นายจำฉันไม่ได้!..ใช่มั้ยแอนดี้?” .....โอ้ไม่นะ..!!!!!!!!!!
ผู้หญิง
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ก.ย. 2558, 18:24:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ย. 2558, 18:24:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 659
<< 6 | 8 >> |