พรหมลิขิตกระซิบรัก
นัมแทบง นายแบบหนุ่มผู้ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงเจ้าของฉายารอยยิ้มเทวดาหากแต่เมื่ออยู่หลังกล้องเขาคือผู้ชายหน้าเดียวที่มีแววตาดุจน้ำแข็ง....
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...

... พรหมลิขิตกระซิบรัก...

Tags: ดารา นางแบบ ซุปตาร์ โรแมนติก ซึ้้ง

ตอน: คิดถึง

อากาศลบสิบแปดองศาหรับคนเกาหลีคงแค่เย็นสบายแต่สำหรับเธอมันค่อนข้างหนาว กุมาริกาจึงเลือกจะปล่อยผมดำยาวสลวยแทนการเกล้าผมขึ้น เพราะจะได้ทำให้ผิวช่วงต้นคอของเธอไม่โดนลม เสื้อโค้ทสีน้ำเงินตัวยาวจึงถูกนำมาสวมทับเสื้อตัวในอีกชั้นเข้ากับกางเกงยีนส์สีอ่อน เสียงข้อความจากโทรศัพท์ทำให้ล่ามสาวกดเปิดดูเมื่อเห็นว่าเป็นพีมะจึงกดตอบสั้นๆ

“5นาทีเจอกันหน้าตึก”

พีมะมองร่างเล็กในชุดทะมัดทะแมง ในสายตาเขากุมาริกาต่างจากคนอื่นตรงที่เธอไม่พยายามทำตัวเองให้เหมือนใครเป็นธรรมชาติ เธอจึงเป็นสีรุ้งสำหรับชีวิตเขา

“หนาวเหรอ เอาถุงร้อนนี่ไปสิถือไว้ที่มือช่วยได้นะ” พีมะเขย่าถุงที่ถืออยู่ในมือแรงๆก่อนส่งมันให้ร่างเล็กที่ยกมือขึ้นถูกันอยู่

“เหมือนเราจะใส่โทนเดียวเลยนะ” กุมาริกามองเสื้อเชื้ตลายสก๊อตสีน้ำเงินตัดดำยิ้มๆกับกางเกงยีนส์สีซีด

“เขาเรียกใจตรงกันพีเท่ใช่ไหมล่ะ”พีมะแกล้งชมตัวเองแต่หญิงสาวกลับพยักหน้ารับพร้อมชูนิ้วโป้งส่งให้ เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายในทันที

“เอ่อจริงสิ พีได้เจอนางแบบของพีรึยังเมื่อวานอ่ะ” กุมาริกาถามระหว่างทางเดิน

“นางแบบของพี...ใครเหรอ” พีมะบอกงงๆ

“ก็คนที่ประธานนัมขอให้พีมาเก็บภาพไง”

“อ่อ..ยังเลยเห็นคนดูแลบอกว่าพาไปเปลี่ยนสีผม”

“แล้วจะแยกทำงานยังไงดูงานพีเยอะเลย”

“เมื่อวานพีดูตารางงานที่บอสส่งมาให้อยู่ก็ถือว่าไม่สาหัสมากแค่ต้องเดินทางแทบทุกวันเท่านั้นเองระหว่างบริษัทนัมกับสถานที่ที่ใช้ในการประกวดเพื่อเก็บภาพถ่ายไม่ได้ยุ่งยากอะไร ที่มันลำบากกับพีและเป็นปัญหาหลักก็ภาษานั่นแหละที่ต้องปรับตัวกันไป ช่วงบ่ายนี้พีออกไปสถานที่จัดงาน ต้องไปถ่ายตอนเขาเปิดรับสมัครเบบี๋กินข้าวคนเดียวนะ” พีมะหันมาบอกเมื่อกำลังจะเดินเข้าบริษัท

“อืม พีต้องเหนื่อยแย่เลยไปหลายที่” ล่ามสาวมองอย่างเป็นห่วง

“เดี๋ยวพีจะโทหานะ”

กุมาริกายิ้มพยักหน้าเหมือนเด็กจนคนมองอดยิ้มมีความสุขไม่ได้เอ่ยพูดตรงกับใจ “อย่ามาทำน่ารักแต่เช้า”

“อันยองฮาเซโยว”

กุมาริกาหันไปมองเสียงทักจากด้านข้างยิ้มทักทายตอบ เมื่อเห็นสายตาจากดาราหนุ่มมองไปที่คนข้างตัวจึงเอ่ยแนะนำ

“อันยองฮาเซโยว ฮันมินแจชิ.เอ่อ..นี่พีมะเขาเป็นช่างภาพค่ะมาจากบริษัทเดียวกันกับฉันค่ะ”

“สวัสดีครับยินดีที่ได้รู้จัก ผมพอจะรู้ข่าวมาบ้างว่าเมื่อวานสาวๆทั้งตึกแตกตื่นนึกว่าดาราไทยมา” ฮามินแจยื่นมือส่งให้

ตากล้องหนุ่มเอื้อมมือไปจับทักทาย ไอ้เด็กนี่คงปลื้มเบบี๋อีกคนล่ะสิท่า พีมะคิดในใจยิ้มไปตามมารยาทโดยอัตโนมัติ

“คุณฮันมินแจเป็นนักแสดงที่เขาเป็นล่ามให้คราวก่อน” กุมาริกาหันมาแปลให้ตากล้องหนุ่มฟัง

“งั้นผมไปทำงานก่อนนะเจอกันในคลาสเรียน ผมมีสัมภาษณ์เช้านี้ ผู้จัดการผมมานู่นแล้ว”

กุมาริกากับตากล้องหนุ่มหันไปทางผู้ชายตัวใหญ่ที่กำลังเดินมา

“งั้นฉันไปก่อนนะคะ”กุมาริกาเอ่ยขอตัวและตากล้องหนุ่มเพียงผงกหัวแทนการพูด

“ดูเหมือนว่าที่นี่เราจะมีคู่แข่งเยอะจัง สงสัยพีต้องระวังไว้หน่อยแล้ว” พีมะบอกติดตลกแต่หางเสียงเข้ม

“คู่แข่งอะไรก็แค่คนที่เคยร่วมงานกัน เขาเองก็เพิ่งเคยคุยกับฮามินแจนอกเหนืองานครั้งแรกก็เมื่อกี้เหมือนกัน” กุมาริกาทำหน้ามุ่ยใส่

“เด็กนั่นยิ้มหน้าบานขนาดนั้นดีใจอะไรนักหนา” คำพูดของตากล้องหนุ่ม ทำให้ร่างเล็กหยุดชะงักนิ้วเรียวจับที่สร้อยคอตัวเอง

“เขาเข้าใจผิดแน่เลย” กุมาริกาบ่นพึมพำ

“หยุดทำไมเหรอ มีอะไรรึเปล่าหรือลืมอะไร” พีมะมองสะดุดตากับสร้อยคอที่เขาเห็นหญิงสาวใส่บ่อยในช่วงนี้ มือบางจับจี้รูปดาวมีสีหน้ากังวลอะไรบางอย่าง

“ปะ..เปล่า แค่คิดอะไรนิดหน่อย แต่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่มั้งไปกันเถอะ”

สองหนุ่มสาวเดินตรงไปขึ้นลิฟท์ก่อนหยุดยืนเมื่อเจอร่างอวบของผู้จัดการส่วนตัวของนัมแทบงยืนอยู่ที่หน้าประตูลิฟท์นั่น กุมาริกาอดใจเต้นไม่ได้ประหนึ่งร่างสูงของดาราหนุ่มอยู่ตรงหน้า

“สวัสดีครับคุณล่าม” ผู้จัดการคิมเอ่ยทัก

“สวัสดีค่ะผู้จัดการคิม” ล่ามสาวเอ่ยทักตอบ

“นอนหลับสบายไหมครับเมื่อคืน”

“ค่ะ ขอบคุณ” กุมาริกาดึงพีมะเข้าไปในลิฟท์เมื่อเห็นว่าตากล้องหนุ่มไม่ยอมขยับ ก่อนจะยืนขมวดคิ้วหน้าบึ้งเพราะไม่รู้ว่าผู้จัดารดาราหนุ่มคุยอะไรกับล่ามสาว

“ดูเหมือนว่าคุณตากล้องน่าจะหงุดหงิดนะครับ เขาไม่เข้าใจภาษาเกาหลีใช่ไหมครับ” คิมเซจุนเหลือบมองไม่เต็มตา

“ค่ะ ผู้จัดการคิม โปรดใช้ภาษาอังกฤษกับเขานะคะ” กุมาริกายิ้มพร้อมกับลิฟท์ที่เปิดในชั้นที่ตากล้องหนุ่มทำงาน

“ไปก่อนนะเบบี๋ ถ้าพีว่างจะขึ้นไปหา” พีมะบอกยิ้มๆ ก่อนผงกศีรษะเล็กน้อยไปทางผู้จัดการซุปตาร์คนดังเป็นการเอ่ยลาแทนคำพูดเหมือนเคย

พีมะเดินครุ่นคิดไม่ทันระวังตัวจึงกระแทกเข้ากับร่างโปร่งตรงหน้าแรงประทะทำให้ร่างที่เล็กกว่านั้นลงไปนอนกับพื้น ขณะที่เขาเพียงแค่เสียหลักเล็กน้อย ดวงตาคมโตคู่สวยมองเขายังกับจะเผาให้ไหม้ ภาษาสากลจึงถูกยกมาใช้ชั่วคราวและแสดงออกว่าเขาไม่สามารถเข้าใจภาษายืดยาวที่เธอพูดออกมาได้

ขาเรียวยาวที่พ้นกางเกงขาสั้นทำเอาพีมะอดมองไม่ได้ ขาเธอยาวจริงๆแถมเรียวสวยมากด้วย ตาคมเผลอสำรวจร่างที่ลงไปกองอยู่กับพื้นโดยละเอียด คนที่พบในตึกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นนักแสดงกับนายแบบ ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นนางแบบด้วยก็ได้ขายาวขนาดนี้ ตากล้องหนุ่มจึงส่งมือให้สาวสวยตรงหน้าจับเพื่อดึงเธอลุกขึ้น

เธอมีใบหน้าที่สวยแต่ดูเฉี่ยวมีสไตล์ ตั้งแต่เขามาถึงที่นี่เขาพึ่งเจอคนตรงหน้านี่แหละที่ดูตาโต ไม่หมวย จมูกโด่งสวย สูง หุ่นดีมากมากจริงๆอันนี้เขาคิดกับตัวเองผมสีทองถูกก้าวไว้เป็นหางม้าหรือเธอจะไม่ใช่สาวเกาหลี

“ผมขอโทษ ผมไม่ทันมอง ” พีมะบอกเป็นภาษาสากล

“กว่าจะช่วยดึงฉันลุกได้ โรคจิตชะมัดมองขาคนอื่นเขาอยู่ได้ ฉันรู้ว่าขาฉันสวยย่ะ”พัคโบราสบตานิ่งบ่นพึมพำมองผู้ชายตรงหน้าที่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเขาเป็นคนต่างชาติ

“คุณได้รับบาดเจ็บรึเปล่า” พีมะพยายามบังคับตนเองให้มองใบหน้าเธอขณะพูด เพราะสายตาตัวเองกำลังพยายามหาจุดโฟกัสบนตัวเธอซึ่งมีอยู่มากมาย เสื้อกล้ามคอกว้างสีขาวซีทรูตัวยาวทับบนเสื้อสายเดี่ยวเส้นสปาเกตตี้ด้านในสีชมพูความยาวของมันปิดกางเกงขาสั้นเธอเกือบมิดแต่ก็นั่นแหละ...ไม่สามารถหยุดสายตาได้เลย

“ฉันไม่เป็นไร ไม่เจ็บ” พัคโบราตอบเมื่อโดนถามย้ำอีกครั้ง

แต่พอสบตาฝ่ายตรงข้ามที่มองมายิ้มๆหญิงสาวก็เผลอพูดบางสิ่งออกไปแล้วเดินหนีมาอย่างฉุนเฉียว แต่..ช่างเถอะหมอนั่นไม่เข้าใจอยู่แล้วนี่ คิดในใจว่าหน้าตาก็ดีไม่น่าไม่มีมารยาทเลยมองเธอยังกับจะถอดเสื้อผ้า

ตากล้องหนุ่มหันมองไปตามร่างระหงที่เดินห่างไปไกลแล้วบอกกับตัวเอง“ภาษาอังกฤษก็พอเข้าใจแต่ไอ้คำหลังนี่มันภาษาเกาหลีใช่รึเปล่า เธอออกเสียงว่าอะไรไซ-คุเหรอ...หมายถึงอะไร“..ไซคุ”
## 사이코 –saiko-ไอ้โรคจิต##

คิมเซจุนลอบมองหญิงสาวร่างเล็กสลับกับก้มมองพื้น เมื่อพบว่าถูกล่ามสาวจับได้ว่าแอบมองจึงยิ้มเจื่อนให้ก่อนจะสะดุ้งเมื่อล่ามสาวถามกลับ

“มีอะไรจะบอกรึเปล่าค่ะผู้จัดการคิม”

“คือ..เมื่อคืนคุณล่ามนอนหลับสบายนะครับ”

“ค่ะคุณถามฉันมาครั้งนึงแล้วนะคะแต่ฉันก็ยังจะตอบเหมือนเดิมว่า...หลับสบายดี” กุมาริกามองหน้าผู้จัดการคิมก่อนนึกสงสัยว่าอาการอึกอักที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากเธอรึรึเปล่านะ

“ครับ..ขอให้คุณล่ามสนุกกับงานนะครับ ถึงแล้วครับเชิญครับ” ผู้จัดการคิมกดลิฟท์ค้างไว้เพื่อให้ร่างเล็กเดินออกมาก่อน นึกบ่นในใจนี่ถ้าเธอรู้ว่าเขาต้องลงจากชั้นนี้เมื่อกี้เพื่อมารอเธอที่ชั้น2เธอจะว่ายังไงนะแทบงนะแทบงนายจะมาทำให้ฉันเสียคนไม่ได้นะ

กุมาริกามองผู้จัดการคิมอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเขาเดินตามเธอออกมาจากลิฟท์ ลางสังหรณ์อะไรบางอย่างทำให้ร่างเล็กชะงักขาก่อนหันมาตั้งคำถาม

“ผู้จัดการคิมมาทำอะไรชั้นนี้ค่ะ หรือว่า...”

“เอ่อ..ครับแทบงอยู่ในคลาสวันนี้คุณเลยเห็นผมที่นี่”

กุมาริกาถอนหายใจพยักหน้ารับรู้ก่อนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเดินตรงไปที่ห้องเป้าหมายบ่นพึมพำกับตัวเอง

“อย่าเกร็งกัมมี่ อย่าประหม่ามันจะทำให้เธอขายหน้าเขา”

“คุณล่ามพูดว่าอะไรนะครับ”

“ฉันพูดกับตัวเองนะค่ะ” กุมาริกามองบานเกร็ดที่ถูกปิดลงจนทำให้ไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่ด้านในได้

มือบางผลักประตูเข้าไปมองเห็นร่างสูงที่ดูแตกต่างไปจากครั้งแรกที่พบนั่งอยู่ตรงนั้น แต่ก็ยังดูดีเหมือนเดิมไม่สิอาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ผมหยิกเป็นลอนแค่โหนกแก้มคราวที่แล้วถูกยืดจนตรงและตัดจนสั้นปิดหน้าผากที่เคยเปิด สีผมที่เคยดำเข้มกลายเป็นสีอ่อนจนแปลกตา

“ซอนแซงนิมมองแบบนี้ผมอายนะ” ประโยคแรกที่เขาเอ่ยกับเธอก็เรียกเสียงเต้นของหัวใจให้ไม่เป็นจังหวะได้แล้ว
##선생님 ซอนแซงนิม แปลว่าคุณครู

“ฉันแค่ไม่คิดว่านักเรียนคนแรกที่ต้องสอนวันนี้จะเป็นดาราดัง” กุมาริกานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามข่มความอายที่เริ่มแสดงออกมาบนใบหน้า

“ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ” นัมแทบงบอกยิ้มมุมปาก

“ฉันต้องโกรธคุณเรื่องอะไร... เอาล่ะเรามาเรียนเรื่องคำที่ใช้ในชีวิตประจำวันกันก่อนนอกจากคำทักทายที่คุณรู้แล้วมีคำไหนที่คุณอยากทราบอีกไหม”

“เลิกใช้คำเป็นทางการกัมมี่ ทำไมเราไม่คุยกันเหมือนเดิม” นัมแทบงมองนิ่ง จ้องไปในดวงตากลมที่บัดนี้เจ้าของดวงตาเบือนหนีไปอีกทาง

“คุณถามว่าผมอยากรู้คำไหนงั้นเหรอ..โพโกชิพอ” เสียงทุ้มยิ่งน่าฟังเข้าไปอีกเมื่อมันออกมาจากปากคนที่เธออยากฟัง กุมาริกาหันไปมองดวงตาแช่แข็งที่น่าจะเย็นเฉียบ แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว

“โพโกชิพอ ถ้าเป็นภาษาไทยผมจะต้องพูดว่ายังไง” นัมแทบงบอกย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง

ริมฝีปากอิ่มเม้มอย่างข่มใจสั่งตนเองห้ามอ่อนแอเพราะดวงตาคู่เรียวนั่น กัดริมฝีปากอิ่มระงับความสั่นไหวเอ่ยประโยคที่เขาอยากรู้

“โพโก ชิพอ-보고 싶어 ในภาษาไทยใช้คำว่า ผมคิดถึงคุณ ”

“กัมมี่ ผมคิดถึงคุณ” เสียงทุ้มที่พยายามออกเสียงให้ชัดเท่าที่จะชัดได้ ทำให้ล่ามสาวหัวตารื้นไปหมดจนต้องลุกขึ้นยืนเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะรู้สึกว่าตนเองกำลังเผยความในใจออกมาโดยที่ตัวเองไม่ยินดี

“ทั้งโกรธทั้งน้อยใจพี่ใช่ไหม” คำนามเรียกแทนตัวเองของดาราหนุ่มทำให้กุมาริกาอบอุ่นในใจแค่เพียงได้ยิน น้ำตาที่กลั้นไว้ก็พลันไหลออกมาจนควบคุมไม่ได้ นิ้วยาวไล้หยดน้ำตาที่ผิวแก้ม รอยยิ้มเทวดาของทุกคนปรากฏต่อหน้าเธอเพียงผู้เดียว

“พี่นี่แย่จังเลยนะ ทำให้คนสวยงอนจนขี้แย ทำยังไงดีล่ะ...ดีกันนะ”

นัมแทบงยิ้มทั้งปากและตา เขาน่ารักจริงๆ ตาเรียวเล็กนั่นหญิงสาวบอกตัวเองว่าเธอชอบมันมากจริงๆ รอยยิ้มที่ทำให้น้ำในตาแห้งเหือดคงมีแค่ผู้ชายคนนี้ที่ทำได้ เธอรู้ใจตัวเองแล้ว เธอชอบเขาเข้าแล้วจริงๆ จะทำยังไงดีล่ะกุมาริกาถ้าเขาไม่ได้ชอบเธอเท่าที่เธอชอบเขา แค่ได้อยู่ใกล้เขาแอบชื่นชมรอยยิ้มนี้เงียบๆต่อไปเหรอ

“ใช่...โอป้าแย่มาก” ล่ามสาวยิ้มทั้งน้ำตา

“งั้นไปหาอะไรอร่อยๆกินกันไหม แพงๆก็ได้ถ้าเธอต้องการ” นัมแทบงเสนอ

“แพงๆหรูๆ ก็ได้เหรอ...”กุมาริกายิ้มกวน แต่แล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่เอาดีกว่าเขาอยากกินของอร่อยมากกว่าของแพง โอป้ามีอะไรแนะนำไหม”

“งั้นเย็นนี้พี่จะทำอาหารสูตรพิเศษให้กินไปที่บ้านพี่แล้วกันเดี๋ยวให้ผู้จัดการคิมขับรถให้ ตกลงตามนี้นะ”

กุมาริกาพยักหน้ารับ บ้านของเขาที่อยู่กับประธานนัมน่ะเหรอ นี่เธอกำลังจะได้ไปบ้านของเขาแล้วเหรอ เธออยากจะตะโกนดีใจแต่ติดที่ร่างสูงมองเธอนิ่งไม่กระพริบ

“อย่ามองแบบนี้สิ มันอายนะ”

“พี่นึกว่าจะเห็นคนกระโดดดีใจ..เฮ้อ ผิดหวังชะมัดเจอกันมื้อเย็นนะพี่ไปทำงานก่อนห้ามดื้อล่ะ”นัมแทบงบีบแก้มนวลอย่างเอ็นดูก่อนเดินออกไป เมื่อถึงปากประตูก็หันมาพูดสิ่งที่ทำให้เธอใจเต้นไม่หยุด

“มองแบบนี้ ยิ้มแบบนี้ ร้องไห้แบบนี้กับพี่คนเดียวนะ” คนพูดจากไปแล้วมีแต่เสียงทุ้มที่ยังดังก้องอยู่อย่างนั้น ร่างเล็กทรุดตัวลงกับเก้าอี้ มือบางเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงหัวใจ ตุบๆๆ ตุบๆๆ

“ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงขนาดนี้นะ”กุมาริกาโบกมือไปมาหวังช่วยทดแทนอากาศร้อนแปลกๆที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้า
ไม่ใช่แค่กุมาริกาที่รู้สึกแปลกๆ ร่างสูงก็แปลกจนเผลอมีอาการประหลาดด้วยเหมือนกัน คิมเซจุนมองใบหน้านิ่งที่ปกติจะเรียบเฉยเป็นนิจกลับเปลี่ยนเป็นตรงกันข้ามผ่านทางกระจกมองหลัง

“นายชอบใจอะไรถึงยิ้มค้างมาสักพักแล้วแทบง ฉันเห็นแล้วมันขนลุกน่าดูที่นายเอาแต่อมยิ้มแบบนั้น”

“ฮยอง...ผมแสดงออกขนาดนั้นเลยเหรอ”

ผู้จัดการคิมมองดาราหนุ่มที่คว้าหมอนประจำตัวของเขาเองขึ้นมากอด ปรับเบาะเอนซบหน้าลงกับหมอนเน่าเขาราวกับเป็เพื่อนสนิท ถ้ามันเป็นช่วงเวลาปกติเขาคิดว่าหมอนใบนั้นคงถูกปามาที่เขาแล้วไม่ใช่เอาไปซุกไว้แบบนั้น...ความรักไม่ได้
ทำให้คนตาบอดได้อย่างเดียวแต่มันสามารถทำลายรูป รส กลิ่น สี เสียงทั้งหมดด้วย...

-ไม่ว่าใครจะบอกว่าคนที่ตนเองชอบหน้าตาธรรมดาแค่ไหน คุณก็จะมองว่าเธอน่ารักอยู่ดี...

-ไม่ว่ารสชาติอาหารจะอร่อยหรือไม่ถูกปาก หากคนที่กินด้วยถูกใจมันก็อร่อยได้อยู่ดี...

-ไม่ว่าจะเจอกลิ่นหอมเย้ายวลแค่ไหนแต่จมูกก็จะจำได้แค่กลิ่นของเธออยู่ดี...

-ไม่ว่ารอบตัวจะเปลี่ยนเป็นสว่างหรือมืดสีที่เห็นก็เป็นชมพูอยู่ดี...และ

-ไม่ว่าเสียงที่ได้ยินจะเปล่งออกมาในอารมณ์ไหนๆก็อยากฟังเสียงนั้นอยู่ดี

...นั่นแหละคนมีความรัก...


“ฮยองเย็นนี้รับกัมมี่ไปส่งที่บ้านหลังเธอเลิกงานด้วย” นัมแทบงบอกอย่างอารมณ์ดี

“ต้องไปส่งด้วยเหรอเดินไปสองตึกก็ถึงแล้ว” ผู้จัดการคิมถามงงๆ ว่าชายหนุ่มจะให้เขาไปรับทำไมในเมื่อเดินใกล้กว่าตั้งเยอะ

“รับมาที่บ้านผม ถามมากจัง อ่อ...รับเธอมาคนเดียวนะอย่าให้ไอ้ตากล้องนั่นมาด้วยเด็ดขาดเข้าใจไหม” นัมแทบงออกคำสั่ง

“อ่อ...เข้าใจแล้ว” ผู้จัดการคิมพยักหน้าแอบขำกับท่าทีของดาราหนุ่ม





ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ













พบกะรัณย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ต.ค. 2558, 08:42:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ต.ค. 2558, 21:33:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 934





<< คนงอนกับคนตาม   หึง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account