ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๒๖ .. ใครจะเข้าใจ

องก์อัมพุทรู้สึกว่าสัปดาห์แห่งการทำงานผ่านไปอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนมันจะส่งผลดีต่อตัวของเธอเอง ให้มีเวลาได้ใช้ความคิด ได้ไตร่ตรองเรื่องราวของเมฆพัดและเภตรา รวมไปถึงคนที่เธอเฝ้าฝันถึงมาเนิ่นนาน

จะว่าไปชีวิตของเธอในช่วงนี้ค่อนข้างจะเป็นไปตามแบบแผน เช้าทำงานเย็นกลับบ้าน ดูแลเจ้าจันและปฏิบัติภารกิจประจำวัน

แต่สิ่งพิเศษเหนืออื่นใดที่เพิ่มเข้ามา นั่นคือ การพูดคุยกับวิชชุ์วิธูก่อนเข้านอน ด้วยเหตุผลของเขาที่อาจฟังแล้วแปร่งๆแปลกๆว่า ไม่อยากให้เธอคิดมาก ... ซึ่งเขาก็ช่วยได้จริงๆ

ความจริงองก์อัมพุทคลายความโกรธต่อเมฆพัดไปมากแล้ว แต่ที่ยังแสดงอาการมึนตึงเพราะเธอไม่รู้ว่า หากต้องเผชิญหน้ากันอีกครั้งในวันหนึ่ง เธอจะทำหน้ายังไง เมื่อต้องยอมรับความจริงเรื่องความสัมพันธ์ของพี่ชายและเพื่อนรัก

ในที่สุด เภตราก็กลายมาเป็นพี่สะใภ้ของเธอ ตามความตั้งใจตั้งแต่สมัยที่พวกเธอยังเรียนอยู่มัธยมปลาย

ซึ่งก็อาจจะไม่ได้แตกต่างไปจากองก์อัมพุท ที่มีอดีตอาจารย์บรรณารักษ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งอยู่ ณ ขณะนี้

หรือความปรารถนาที่เคยอธิษฐานไว้ กำลังจะเป็นจริง

"เงี้ยว"

เจ้าจันส่งเสียงทักทายหลังจากมันกระโดดขึ้นมาอยู่บนเตียง เป็นอันรู้กันระหว่างหญิงสาวกับแมวน้อยว่า ถึงเวลานอนของมันแล้ว

"ไงจ๊ะ เจ้าจัน ง่วงแล้วเหรอ ... คืนนี้ พี่วิชชุ์คงไม่โทร.มาแล้วล่ะ อย่ารอเลย ... นอนกันดีกว่าเนอะ"

"เงี้ยววว"

เจ้าตัวน้อยลากเสียงครางเบาๆ ก่อนย่างเท้าเข้ามาคลอเคลียคนที่ตบผ้าห่มข้างกายเชื้อเชิญ เป็นการบอกตำแหน่งให้เจ้าจันมาหา ซึ่งมันก็ทำตามอย่างเข้าใจ

หญิงสาวลูบหัวลูบตัวเจ้าจันแผ่วเบาเมื่อมันนอนขดซบซุกตรงนั้น แต่ใจก็ยังอดคิดถึงคนที่เธอบอกเจ้าตัวนุ่มนิ่มว่า ‘ไม่ต้องรอ’ ไม่ได้อยู่ดี

ทำไมคืนนี้เขาจึงเงียบหายไป

องก์อัมพุทถอนหายใจอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรมากไปกว่านี้ เพราะไม่ว่าใครต่างก็เงียบหายกันไปหมด ทั้งพี่ชาย เพื่อน หรือแม้แต่ ...

ความคิดที่วนเวียนไปไหนได้ไม่ไกลจากวิชชุ์วิธู ทำให้เธอเริ่มตระหนักถึงบางสิ่ง

เขาเป็นอะไรสำหรับเธอ ... และเธอต้องการเป็นอะไรสำหรับเขากันแน่

หญิงสาวระบายความคับข้องในอกอีกครั้ง ไม่อยากคิดอะไรเกินกว่าที่เป็นอยู่ บางทีเธอคิดว่า ความกังวลใจที่เกิดขึ้น เธอควรจะหาใครสักคนที่เข้าใจเธอมากที่สุดเป็นที่ปรึกษา

แล้วองก์อัมพุทก็ผุดยิ้มในหน้าเมื่อนึกถึงใครคนนั้นได้ ...

เธอก้มมองดูเจ้าแมวน้อยที่หลับสบายอยู่ข้างตัว ก่อนจะค่อยเลื่อนกายลงนอนอย่างระมัดระวัง พอศีรษะถึงหมอนก็หลับตา ปล่อยวางความรู้สึกนึกคิดพร้อมเข้าสู่ห้วงนิทรา

แม้คืนนี้จะไร้จันทร์เป็นเพื่อน ... ก็ใช่ว่าคืนต่อไปจะไม่มีนี่นา




พาหนะสีครามหม่นค่อยๆขับเคลื่อนมาตามเส้นทางอันคุ้นเคย กระทั่งชะลอและจอดสนิทบริเวณหน้าบ้านหลังที่เป็นที่หมายขององก์อัมพุท

อากาศยามเช้ายังสดชื่น ทำให้สารถีสาวขับรถโดยลดกระจกทั้งลงมาตลอดเส้นทาง ยิ่งพอเข้าในเขตบ้าน ดอกมะลิที่ผลิบานสีขาวพราวริมรั้วก็โชยความหอมมาแตะปลายจมูก จนหญิงสาวอดสูดลมหายใจเข้าลึกไม่ได้

องก์อัมพุทก้าวลงจากรถหลังดับเครื่องยนต์ แล้วมองซ้ายมองขวาหาเจ้าของบ้าน เมื่อไม่เห็นเธอจึงขยับมาเปิดประตูรถด้านหลัง คว้าตะกร้าที่มีเจ้าจันลุกขึ้นนั่งตาแป๋ว หลังจากที่มันหลับมาตลอดการเดินทาง

“ไงจ๊ะเจ้าจัน ... ถึงบ้านเราแล้ว”

แทนเสียงร้องตอบรับอย่างที่เคยได้ยิน เธอเห็นเจ้าจันเหลียวทางนั้นทีทางนี้ทีดูลอกแลก ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของมันชวนให้ขบขันเหลือเกิน

“พาใครมาด้วยเหรอพุด ... แม่ได้ยินเสียงรถ คิดว่าน่าจะใช่ ... แต่ก็ยังไม่เห็นหนูเดินเข้ามาเสียที”

องก์อัมพุทได้ยินเสียงละอองชลจึงรีบยกตะกร้าเจ้าจันคล้องแขน และหยิบของฝากอีกสองถุงใหญ่ ถอยหลังแล้วปิดประตูรถหันมาทางที่คาดว่ามารดากำลังยืนอยู่

“แม่ ... สวัสดีค่ะ พุดพาเจ้าจันมาด้วย”

“เจ้าจัน?”

หญิงสาวพยายามยกมือไหว้ทั้งที่ของก็พะรุงพะรัง นั่นล่ะละอองชลจึงได้เห็นเจ้าหน้าขนอยู่ในภาชนะใบเขื่อง ที่ตัวกำลังโงนเงนเอียงไปเอียงมาตามการเคลื่อนไหวของตะกร้า

“เจ้าลูกแมวนี่น่ะเหรอพุด ... ไปเก็บมาจากไหนน่ะ ถึงต้องหอบต้องหิ้วกันมา”

“ค่ะแม่ ... เก็บได้จากบ้านเภา เอ่อ ... เก็บได้ค่ะ เลยอาสาพี่วิชชุ์มาเลี้ยงเอง”

มารดาเลิกคิ้วเป็นคำถาม แต่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบเดี๋ยวนั้น เพราะเป็นห่วงลูกสาวที่ถือสัมภาระมากมายเกินตัว

“มาพุด ... แม่ช่วย ดูสิ ทั้งแมวทั้งของ ไปๆ ขึ้นบ้านก่อน ... ท่าทางเจ้าจันของหนูอยากจะออกมาเต็มแก่แล้ว”

“ค่ะแม่”

องก์อัมพุททำตามอย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่ได้ส่งของให้แม่ของเธอช่วยถือ เนื่องจากมันไม่ได้หนักหนาอะไร พลางบอกให้ละอองชลเดินนำขึ้นบ้าน แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเปรยกลั้วหัวเราะ

“พอกันเลยทั้งพี่ทั้งน้อง ... จะกลับบ้านก็ไม่ยอมบอกล่วงหน้า”

“พุดน่ะนานๆทีนะคะแม่ ... แต่พี่พัดน่ะไม่เห็นเคยจะบอกอะไรเลย”

คนเดินตามตอบกลับอย่างกระเง้ากระงอดในที ยามนี้เธอรู้สึกเหมือนเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้าน มากกว่าหญิงสาวผู้คล่องแคล่วในหน้าที่การงาน

ละอองชลชะงักเท้าที่ก้าวมาถึงชานพักระหว่างขั้นบันได หันมาสบตากับบุตรีเอ่ยถามทันใด

“งอนอะไรพี่เขาล่ะลูก ... ถึงได้งอแงงอดแงดแบบนี้”

“เปล่างอนค่ะแม่ ... โกรธต่างหาก”

“เอาล่ะๆ ... แม่จะรอฟังว่าโกรธอะไร ... มาคราวก่อนพี่เรายังพาแฟนมาแนะนำให้แม่รู้จัก ... อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้”

มารดาพูดไปยิ้มไปกับเรื่องของเมฆพัด หารู้ไม่ว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ทำให้อารมณ์ขององก์อัมพุทขุ่นเคืองขึ้นมาได้อีก ซึ่งเธอก็ต้องทำทีไม่สนใจเงียบไปเสียเฉยๆ




ข้าวของที่หอบพะรุงพะรังรวมทั้งตะกร้าเจ้าแมวน้อย ถูกวางลงบนพื้นพรมที่ปูไว้สำหรับรองนั่งรองนอน หญิงสาวแยกถุงของกินของใช้ส่งให้มารดา

“ซื้อมาทำไมลูก แม่ไม่ได้อดได้อยากสักหน่อย แค่หนูมาแม่ก็ดีใจแล้ว ... แล้วจะอยู่กับแม่ได้กี่วันจ๊ะ”

“ตอนแรกพุดกะว่าจะมานอนกอดแม่สัก ๒ คืนค่ะ เช้าวันจันทร์ก็บึ่งรถไปทำงาน แต่ติดว่าเจ้าจันมาด้วย คงต้องกลับเย็นวันอาทิตย์ค่ะแม่”

พูดพลางก็หันไปยกตะกร้ามาวางตรงหน้า แล้วเปิดฝาอุ้มเจ้าหน้าขนตัวนุ่มขึ้นมาอวดมารดา

“น่ารัก ... ท่าทางเพิ่งไม่กี่เดือน ... ไปไงมาไงฮึเรา มาอยู่กับลูกสาวฉันได้”

ละอองชลถามเจ้าจันที่แหงนหน้ามองมาทางเธอพอดี องก์อัมพุทจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่พบมัน และรับมาอยู่ในความดูแลเสียเอง

ระหว่างที่ฟังลูกสาวเท้าความ มารดาก็เอื้อมมือมาลูบหัวเจ้าจันเพื่อสร้างความคุ้นเคย จนสามารถอุ้มนั่งบนตักกระทั่งมันหลับไปเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง

เมื่อองก์อัมพุทเล่าจบ ละอองชลก็เอ่ยถามถึงเจ้าของชื่อที่ได้ยินตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นมานั่งบนเรือนทันที ด้วยความที่ยังติดใจสงสัยว่า คนๆนี้สำหรับลูกสาวของเธอ ท่าจะไม่ใช่รู้จักกันธรรมดา

“แล้ว ... พี่วิชชุ์คนที่หนูพูดถึงนี่ ใครจ๊ะ ...”

“เอ่อ ... พี่วิชชุ์ ... คุณวิชชุ์วิธู เคยเป็นอาจารย์บรรณารักษ์ตอนที่พุดเรียน ม.ปลายค่ะแม่ ... บังเอิญที่ได้มาเจอกันอีก”

ละอองชลรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาที่ผิดแปลกไปของลูกสาว อาการอึกอักและขัดเขินยามพูดถึง ‘พี่วิชชุ์’ ดูผิดปกติชอบกล เห็นดังนั้นเธอก็ไม่อยากซักไซ้ไล่เลียงให้มากนัก จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปประเด็นอื่นแทน

“พุดพูดถึงสมัยเรียน แม่ก็นึกถึงหนูเภาขึ้นมา นี่แม่ก็ว่าจะถามหนูนะ ว่าไปเป็นแม่สื่อแม่ชักให้พี่ชายกับเพื่อนเรารึยังไง สองคนนั่นถึงได้มาคบหากันได้”

องก์อัมพุทชะงักมือที่กำลังเขี่ยหางเจ้าจันไปมา ขณะมันหลับตาพริ้มบนตักแม่ของเธอ แต่ประสาทสัมผัสรับรู้ไม่ได้หลับไปด้วย เพราะยังมีปฏิกิริยาตอบสนอง บ่งบอกได้ว่ารำคาญที่ถูกรบกวน

“พี่พัดบอกแม่แบบนั้นหรือคะ”

“เป็นอะไรไปพุด ... แม่เห็นนะว่าหนูต้องทำเสียงแข็งทุกครั้งที่พูดถึงพี่เขา ... เกิดอะไรขึ้นลูก”

หญิงสาวเงยหน้าสบตากับมารดา ครู่เดียวก็เบือนไปทางอื่นเพื่อซ่อนความน้อยใจไม่ให้ใครเห็น แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย เมื่อละอองชลเอื้อมมือมาวางบนศีรษะแล้วลูบเบาๆไม่ต่างกับเจ้าจัน

“บอกแม่สิลูก ... เวลาหนูไม่สบายใจ หนูเคยบอกแม่ทุกอย่างนี่ลูก ถึงแม้ว่าแม่จะช่วยแก้ปัญหาให้หนูไม่ได้ แต่แม่ก็ช่วยแบ่งเบาปัญหามาจากหนูได้นะลูกนะ”

คำพูดอ่อนโยนของละอองชลยิ่งกระตุ้นความน้อยอกน้อยใจ จนต่อมน้ำตาผลิตน้ำใสๆให้เอ่อท้นก่อนหยดเผาะลงพื้นยามก้มหน้า อย่างน้อยในเวลานี้ ... ขอให้เธอได้พูดสิ่งที่ไม่กล้าพูดบ้าง

“พุด ... หนูรู้สึกว่า หนูเป็นใครก็ไม่รู้ เหมือนไม่ใช่น้องของพี่พัด ... ไม่ใช่เพื่อนสนิทกับเภา ... หนูคิดว่า หนูรู้จักพี่ชายของหนู พอๆกับที่รู้จักเพื่อนของหนูดี ... รู้มาแต่แรกว่า เภาชอบพี่พัด แต่พี่พัดไม่สนใจ แล้วทำไมคะแม่ ... ทำไมตอนนี้พวกเขาถึงมาคบกันลับหลังหนู ... แม่คะ พุด ... เสียใจนะคะ ที่คนที่เรารัก เขาไม่ได้รักเรา ไม่ได้แคร์ความรู้สึกเราเลย ...ฮือๆ”

องก์อัมพุทสุดจะกลั้นทั้งความในใจทั้งน้ำตา เธอระบายทุกสิ่งทุกอย่างอออกมา เพราะรู้ว่า แม่ คือคนที่เข้าใจเธอได้ดีที่สุด

ละอองชลไม่อาจทนดูลูกสาวสะอื้นไห้อยู่เฉยๆได้ ผู้เป็นแม่จึงจับเจ้าจันลงตะกร้าตามเดิม ปล่อยให้แมวน้อยดิ้นขลุกขลักไปตามเรื่อง แล้วขยับตัวเข้ามาโอบกอดคนที่กำลังเสียอกเสียใจ โดยมุ่งความสนใจอยู่ที่คนตรงหน้า ซึ่งหญิงสาวก็ผวาเข้าซบซุกปล่อยโฮไม่อายใคร

“โธ่เอ๊ย ... ลูก ใจเย็นๆนะลูกนะ แม่เชื่อว่าพี่พัดกับหนูเภาคงมีเหตุผล ตอนนี้ทุกคนโตกันหมดแล้ว ไม่ใช่เด็กๆเหมือนเมื่อก่อน ... แม่อยากให้พุดใจเย็น รอฟังเหตุผลของพวกเขาก่อนดีไหมลูก”

“แล้วทำไม ... ต้องปิดบังพุดล่ะคะ ... พุดไม่เคยไปขัดขวาง ไม่เคยกีดกัน มีแต่จะช่วยลุ้นช่วยเชียร์ ...”

“นั่นล่ะลูก ... พุดอย่าลืมสิว่า แต่ละคนไม่เหมือนกัน เราอย่าไปยึดติดแต่ความรู้สึกของตัวเองฝ่ายเดียว ... แล้วแม่จะบอกอะไรให้นะลูก บางครั้ง เรื่องบางเรื่องเราก็รู้เหตุผลของมันอยู่แล้ว เราเองที่อาจจะหลงลืม หรือไม่ได้ใส่ใจจำเอง ... จริงไหม”

คำปลอบประโลมเชิงเตือนสติของมารดา กระตุกความคิดขององก์อัมพุทได้ชะงัดจนเธอหยุดสะอึกสะอื้นทันใด

หญิงสาวค่อยผละจากอ้อมกอดอบอุ่นของแม่ ใช้หลังมือทั้งสองข้างปาดน้ำตาลวกเหมือนเด็กเล็กๆ ก่อนจะสบสายตากันอีกครั้ง

“แม่คิดว่า พี่พัดกับเภา ... พวกเขามีเหตุผลที่ยังบอกใครไม่ได้เหรอคะ”

ละอองชลพยักหน้าช้าๆแทนคำพูด ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เธอก็จะรอฟังวันที่เมฆพัดพร้อมและกล้ายืดอกยอมรับ

องก์อัมพุทชั่งใจไตร่ตรองเสี้ยววินาที ว่าควรจะบอกเรื่องความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ระหว่างเมฆพัดกับเภตราให้มารดารับทราบดีหรือไม่

แต่ถ้าพวกเขามีเหตุผล ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ ... เธอที่เป็นทั้งน้องสาวและเพื่อนสนิท ก็ควรจะให้โอกาสพวกเขา และรอ ... ใช่ไหม?

“แม่ไม่ได้เข้าข้างใคร แม่พูดตามสายตาที่แม่เห็น ... หนูลองคิดดูนะว่า หนูรู้สึกเสียใจขนาดนี้ ตาพัดกับหนูเภาจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้ยังไง ... เพราะต่อให้เขารักกัน แต่ถ้าเขารู้สึกผิด ... ผิดต่อพุด ... แล้วเรายังตั้งแง่ แม่กลัวว่าเรื่องราวมันจะบานปลายไปกันใหญ่นะลูก”

องก์อัมพุทนิ่งฟังละอองชล ค่อยๆใช้ความคิดและเหตุผลอย่างที่แม่บอก ใจหนึ่งก็อดแย้งอย่างดื้อดึงไม่ได้

นี่เธอกำลังจะกลายเป็นตัวปัญหาในสายตาคนอื่น เพราะเอาแต่ฟูมฟายโวยวายอยู่แบบนี้ ... อย่างนั้นหรือ

แต่ความคิดติดลบก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อเธอลองหลับตามทบทวนเรื่องราวย้อนกลับไป ... รำลึกถึงวันที่มิตรภาพระหว่างองก์อัมพุทกับเภตรายังงดงาม

แล้วพอลืมตาขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวก็เผยยิ้มให้มารดาได้เห็น ทั้งที่ใบหน้ายังเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา

“พุดเข้าใจแล้วค่ะแม่ ... เภาก็คงเป็นอย่างพุด ใครกันจะลืมรักครั้งแรกได้ง่ายๆ ... จริงไหมคะ”




วิชชุ์วิธูก้มมองโทรศัพท์ในมือสลับกับบรรยากาศยามเช้าที่สดใสนอกหน้าต่าง และสิ่งที่เขาทำได้คือ การระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายให้กับ ... อะไรสักอย่างที่เขาก็ไม่อาจหาคำจำกัดความเรียกได้

เป็นเพราะเมื่อคืนชายหนุ่มต้องไปงานเปิดตัวโรงงานของคู่ค้าทางธุรกิจแทนปารตี ทำให้ไม่สามารถติดต่อกับองก์อัมพุทได้ระหว่างงาน กว่าจะเสร็จภารกิจเวลาก็ล่วงไปมากโข เขาจึงตัดใจไม่โทร.มารบกวนการพักผ่อนของหญิงสาว และหวังว่า เธอจะเข้าใจ

พอรู้สึกตัวตื่นเช้านี้สิ่งแรกที่วิชชุ์วิธูทำ คือคว้าโทรศัพท์มาไล้หน้าจอก่อนได้คิดว่า วันหยุดควรจะปล่อยให้องก์อัมพุทได้มีเวลาเป็นของตัวเอง

แต่ ... มันเป็นแค่ความคิดของเขา เพราะขณะนี้เจ้าตัวกำลังกำลังรอสัญญาณตอบรับจากปลายทาง

“สวัสดีค่ะ ... พี่วิชชุ์ โทร.มาแต่เช้าเลย”

“ไม่ได้สิ ... เมื่อคืนพี่ผิดนัด พี่ไม่สบายใจ ... แต่ดูเหมือนหนูพุด จะไม่สนใจพี่เลย”

วิชชุ์วิธูพ้อกึ่งออดเหมือนจะอ้อนกรายๆ จนเขาก็แปลกใจที่ทำไปได้ขนาดนั้น แต่ก็ไม่เื่ท่ากับที่รู้สึกดีและใจชื้นขึ้น เมื่อเสียงหวานหูที่ได้ยิน ไม่มีร่องรอยขุ่นข้อง

ทว่า ก็อดคิดไปอีกแง่ไม่ได้ ... หรือองก์อัมพุทจะไม่สนใจเขาจริงๆ

“แล้วจะให้พุดทำยังไงล่ะคะ ...”

“วันนี้หนูพุดว่างไหมครับ ... พี่อยากชวนหนูพุดไปทานข้าว หรือไม่ก็ซื้อของมาทำทานกัน”

ชายหนุ่มเอ่ยถามไม่ลังเล อย่างน้อยทางเลือกที่เขาเสนอมีมากเกินกว่าจะปฏิเสธได้ง่ายๆ ทว่า ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนเบาอย่างเกรงใจ แทนที่จะเป็นเขา

“พอดีว่า ตอนนี้พุดอยู่บ้านแม่ค่ะ ... เอ่อ คงไปกับพี่วิชชุ์ไม่ได้ ขอโทษนะคะ”

เป็นคำปฏิเสธที่จริงใจสำหรับวิชชุ์วิธูจริงๆ ความเกรงใจและรู้สึกผิดถ่ายทอดผ่านเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์จนรับรู้ได้ เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะบอกองก์อัมพุทดีไหม ... ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมาขอโทษขอโพยเขา

แต่ยังก่อน ... ตอนนี้อดีตอาจารย์บรรณารักษ์ขอเก็บข้อมูล เอาไว้เป็นข้อต่อรองเสียก่อน

“บ้านแม่? ... หนูพุดอยู่กรุงเทพฯนี่ครับ”

“พุดแค่ทำงานค่ะ ... บ้านพุดอยู่กำแพงแสน”

กำแพงแสน!

แค่นี้เอง ...

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เหตุใดวิชชุ์วิธูจึงคิดเช่นนั้นขึ้นมา แล้วจู่ๆเขาก็วกมาถามถึงสถานที่ที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ถ้าเริ่มจากที่นี่ ... บางที เขาอาจได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจ

“เอ ... กำแพงแสน ... ดูเหมือนจะเป็นวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยดังด้วยนี่ครับ”

“อ๋อ ค่ะ เกษตรฯ พี่พัด ... พี่ชายพุดที่พี่วิชชุ์เคยเจอนั่นล่ะค่ะ ... เขาก็เรียนมหาวิทยาลัยนี้เหมือนกัน”

“สงสัยเพราะใกล้บ้านแน่ๆ ... เลยไม่เลือกมาเรียนที่บางเขน”

วิชชุ์วิธูชวนคุยอย่างปกติให้ดูแนบเนียนที่สุด ซึ่งเขาใจเย็นพอหากมันจะเป็นหนทางไปสู่คำตอบ ... โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว

“เปล่าค่ะ พี่พัดเรียนวนศาสตร์ เลยต้องไปอยู่กรุงเทพฯ ... พุดได้ยินแม่บ่นจะแย่ว่า บ้านเราใกล้ๆทำไมไม่เรียน อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยแท้ๆ”

รอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มผุดขึ้นทันที แต่ก่อนที่องก์อัมพุทจะสงสัย เขาก็ชิงออกปากบอกเธอว่า

“หนูพุดคงอยู่บ้านกับคุณแม่ทั้งวัน ... พี่รู้ว่าหนูพุดอยู่ที่ไหน ทำอะไรก็สบายใจแล้วครับ”

วิชชุ์วิธูฟังเสียงหวานๆนุ่มๆขอโทษอีกครั้ง ที่ต้องปฏิเสธการชวนของเขา ก่อนร่ำลาและวางสาย พร้อมๆกับที่ชายหนุ่มหันไปเห็นสีหน้าของตัวเองในกระจกด้วยความบังเอิญ แล้วชี้ไปยังเงาของตัวเองที่อยู่ในนั้น

“ไอ้วิชชุ์ ... นายมันไอ้เจ้าเล่ห์”





วันนี้เป็นวันที่องก์อัมพุทรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจที่สุด เพราะแค่ระยะเวลาไม่ถึง ๓ เดือน ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นรอบตัวเธอ ซึ่งหลังจากได้ระบายความอัดอั้นตันใจให้มารดาได้รับรู้ ก็สบายใจขึ้นมากจนลงมาเดินเล่นกับเจ้าจันได้อย่างสบายอารมณ์

แค่มีคนรับฟัง ... แค่มีคนเข้าใจ ... แค่เท่านี้จริงๆ สิ่งที่คิดว่าหนักหนาสำหรับเธอ ก็ดูจะบรรเทาเบาบางไปแทบหมดสิ้น

ขณะที่องก์อัมพุทกำลังเฝ้าดูลูกแมวน้อยของเธอ สำรวจสุมทุมพุ่มไม้รอบบริเวณบ้าน โทรศัพท์มือถือก็บรรเลงเพลงซึ้งที่เธอตั้งไว้ให้ได้ยิน

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าของหมายเลขที่รอการตอบรับเป็นใคร แต่ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคิดว่าวิชชุ์วิธูคงจะไม่ติดต่อมาในช่วงที่เธออยู่บ้าน

แล้วความสงสัยก็ชนะทุกสิ่ง ... ความอยากรู้ทำให้เธอรับสายไม่รีรอ

“สวัสดีค่ะพี่วิชชุ์ ...”

“หนูพุด ... ขอโทษนะที่โทร.มารบกวน พอดีวันนี้มีมีธุระกับอดีตลูกศิษย์น่ะ เขาอยู่แถวเกษตรฯ กำแพงแสน แต่พี่เข้าไปหาเขาไม่ถูก ... ไม่รู้ว่าจะลำบากหนูพุดไหม ถ้าจะให้ช่วยพี่สักหน่อย ...”

“อะไรนะคะ ... ถ้าอย่างนั้น ... เอ่อ พี่วิชชุ์อยู่ที่ไหนคะตอนนี้”

ความห่วงใยต่อวิชชุ์วิธู ทำให้องก์อัมพุทอยากช่วยเหลือเขาให้ได้เร็วที่สุด จนลืมอะไรบางอย่างไปในพริบตา

“หน้ามหาวิทยาลัยครับ ... พี่ทำที่อยู่เขาหายไปตอนไหนไม่รู้ ... แต่จะกลับทั้งๆที่มาจนถึงที่แล้ว ก็เสียดาย ... นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าคุยกับหนูพุด ... แต่พี่ก็เกรงใจ ...”

“ไม่เป็นไรค่ะ ... พุดว่าง ... พี่วิชชุ์รออยู่ที่ประตูหน้ามหาวิทยาลัยนั่นล่ะ พุดขอเวลาสัก ๑๐ นาทีค่ะ”

หญิงสาวพูดรัวเร็วไม่ได้สังเกตน้ำเสียงหรือบางสิ่งที่เกือบจะเรียกได้ว่า ผิดปกติวิสัยของอดีตอาจารย์บรรณารักษ์ของเธอ

องก์อัมพุทตัดสัญญาณโทรศัพท์ เรียกหาเจ้าจันก่อนรวบตัวอุ้มไปหาละอองชล ขอฝากแมวน้อยกับมารดาและบอกว่า จะไปหน้าปากซอยสักครู่หนึ่ง แล้วก็ผลุนผลันวิ่งออกไปโดยไม่ใช้รถยนต์ หรือแม้แต่จักรยาน




๑๐ นาที ...

วิชชุ์วิธูไม่รู้เหมือนกันว่า ๑๐ นาทีที่องก์อัมพุทบอกให้เขารอจะนานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆคือ วันนี้เขากำลังจะได้พบกับหญิงสาวตามความตั้งใจ ... ตั้งแต่แรกที่ตื่นนอน

ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวา ความเบิกบานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากที่เขาไม่ได้เป็นอาจารย์บรรณารักษ์ ... ไม่มีลูกศิษย์ที่ชื่อ องก์อัมพุท ในโรงเรียนมัธยมแห่งนั้น

๑๐ ปี ... ที่วิชชุ์วิธูปล่อยให้มันผ่านไป โดยที่เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่า เด็กสาวที่เคยเฝ้ามอง จะเติบโตขึ้นเป็นเช่นไร ...

แต่วันนี้ ... แค่ ๑๐ นาที ที่มีหญิงสาวเป็นคนบอกให้เขารอ ... และยังเป็นคนเดียวกันกับเด็กสาวคนนั้น

มันกลับให้ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ยิ่งกว่า ๑๐ ปี ก่อนหน้านี้เสียอีก









****************************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอบคุณสำหรับไลค์กำลังใจฮะ

คุณkaelek ... มันตติก์ก็ .. ตามนั้นฮะ ส่วนนายรุจน์ อาจจะมี หรือไม่ คงแล้วแต่วาสนาและชะชตากรรม ... มั้งฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ต.ค. 2558, 15:08:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ต.ค. 2558, 16:12:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1008





<< บทที่ ๒๕ .. สิ่งที่คั่งค้าง   บทที่ ๒๗ .. นาทีที่เริ่มต้น >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account