ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๒๗ .. นาทีที่เริ่มต้น



องก์อัมพุทกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาถึงสะพานลอยหน้าปากซอย ที่อยู่เยื้องกับทางเข้ามหาวิทยาลัย เพราะความรีบเร่งเกรงว่าวิชชุ์วิธูจะรอนาน มีผลทำให้หญิงสาวถึงกับเหงื่อซึมทีเดียว

แต่ละก้าวไม่ได้รวดเร็วอย่างใจคิด พอเธอสาวเท้าพร้อมอาการกระหืดกระหอบมาได้ครึ่งสะพานลอย องก์อัมพุทก็ชะโงกมองไปด้านล่างบริเวณปากทางเข้าสถานศึกษา เพื่อมองหาว่า ‘พี่วิชชุ์’ จอดรถอยู่ตรงจุดใด

ครั้นไม่พบก็เริ่มคิดว่า อาจถูกอีกฝ่ายแกล้งล้อเล่น เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่พูดคุยสัพเพเหระกันเมื่อเช้า ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ววิชชุ์วิธูจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

องก์อัมพุทสาวเท้าช้าลงกว่าเดิม รู้สึกใจคอไม่ดีเท่าไหร่นักหากอีกฝ่ายเป็นอย่างที่คิด แต่สุดท้าย เธอก็เลือกที่จะเชื่อว่า วิชชุ์วิธูจะไม่ทำเช่นนั้นกับเธอ

หญิงสาวเดินลงบันไดสะพานลอยขั้นสุดท้ายเหลียวหน้าเหลียวหลัง มองหารถยนต์ที่คาดว่าจะเป็นยานพาหนะของคนที่นัดหมาย ก่อนจะนึกได้ว่า แทนที่จะมัวเดาสุ่มอยู่แบบนี้สู้โทรศัพท์หาเขาจะไม่ดีกว่าหรือ

“พี่วิชชุ์อยู่ที่ไหนคะ”

คำถามถูกป้อนทันทีที่ติดต่อได้ ความร้อนใจทำให้องก์อัมพุทไม่ทันได้ระมัดระวัง ถึงการใช้คำพูดที่เหมาะสม แต่ปลายสายก็ไม่ได้ตำหนิอะไรนอกจากบอกไปตามตรง

“พี่ยูเทิร์นรถมาจอดแถวหน้าร้านสะดวกซื้อ เห็นว่าบ้านศิษย์เก่าอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย เลยคิดว่ามาจอดฝั่งนี้จะดีกว่า แล้วหนูพุดอยู่ตรงไหน ฟังเสียงเหมือนวิ่งมาเหนื่อยๆเลย”

“อ้าว ... พุดข้ามสะพานมาหาพี่วิชชุ์หน้า ม. ... รอพุดอีกประเดี๋ยวแล้วกันค่ะ”

“จ้ะ ... พี่รอหนูพุดได้เสมอล่ะ”

จู่ๆองก์อัมพุทก็รู้สึกสะเทิ้นสะท้านกับคำพูดของวิชชุ์วิธูอย่างไม่ทราบสาเหตุ และเพราะไม่คิดจะเข้าข้างตัวเอง เธอจึงคิดว่า เขาคงหมายถึงการเต็มใจรอมากกว่าอื่น

พอเจ้าตัวคิดได้ดังนั้นก็ระบายลมหายใจพรูใหญ่ หันกลับไปทางสะพานลอย ก่อนจะก้าวเท้าย้อนไปยังฝั่งที่เพิ่งข้ามมาเมื่อไม่กี่นาทีนี้

ถือว่าเป็นการออกกำลังกายก็แล้วกัน ... ยัยพุดเอ๊ย!


yle="color: #959595; ">
วิชชุ์วิธูยืนกอดอกทิ้งสะโพกอิงประตูรถฝั่งผู้โดยสาร จับตามององก์อัมพุทที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินอย่างเร่งรีบ นับตั้งแต่ลงจากตีนบันไดสะพานลอย คนที่นับเวลาแต่ละนาทีจึงอดคลี่ยิ้มไม่ได้เมื่อรู้ว่า ทั้งหมดทั้งมวลที่เห็นเป็นเพราะเธอไม่ต้องการให้เขารอนาน

ชายหนุ่มเปลี่ยนอิริยาบถจากเดิมมาอยู่ในท่ายืนตรง หันหน้าไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายกระหืดกระหอบก้าวมาอยู่ต่อหน้าในขณะนี้

"พี่ทำให้หนูพุดลำบากรึเปล่าครับ ... ดูสิ เหงื่อซึมเลย"

"ไม่หรอกค่ะ แค่นี้เอง ..."

คนฟังอมยิ้มกับสิ่งที่เห็น เพราะคนตอบพยายามแสดงอาการหอบหายใจให้น้อยที่สุด แล้วใช้หลังมือซับเหงื่อแถวๆใต้คาง ก่อนจะระไปข้างแก้มและหน้าผาก ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทันทีเมื่อถูกทักเช่นนั้น

"เหนื่อยไหมครับ ... นี่ก็หน้าร้านสะดวกซื้อพอดี เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำเย็นๆมาให้"

"ก็ ... นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่เป็นไร ว่าแต่ ธุระของพี่วิชชุ์ล่ะคะ ที่บอกจะมาพบลูกศิษย์ พอจะจำบ้านหรือจุดสังเกตได้บ้างหรือยัง"

วิชชุ์วิธูมององก์อัมพุทไม่วางตา แทบจะทุกอากัปกิริยาการเคลื่อนไหว ล้วนแล้วแต่น่าเอ็นดูไปเสียหมดในสายตาของเขา

ผนวกกับคำถามอย่างห่วงใยให้ความสำคัญในเรื่องของเขา มากกว่าเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยของตัวเอง ทำให้ยิ่งรู้สึกดีขึ้นอีกหลายเท่า จนมันคงจะแสดงออกมาอย่างเปิดเผยให้องก์อัมพุทสงสัย

"เอ่อ ... หน้าพุดมีอะไรติดเหรอคะ พี่วิชชุ์ถึงมองแล้วก็ยิ้มแบบนั้น"

"หนูพุดไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ... เคยเป็นยังไงก็ยังเป็นยังงั้น"

"คะ?"

ชายหนุ่มไม่ได้หลบสายตาหรือบ่ายเบี่ยงในสิ่งที่พูด เขาต้องการยืนยันว่ามันเป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นองก์อัมพุทเมื่อ ๑๐ ปีก่อน หรือ ในตอนนี้ นึกเสียดายก็แต่ว่า เธอคงไม่เข้าใจ

"ไปกันเถอะ ... พี่เองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าบ้านอดีตลูกศิษย์อยู่ตรงไหน รู้แต่ว่า เป็นซอยเดียวกับหนูพุดนั่นล่ะ"

"เหรอคะ ... บังเอิญจัง"

"ไม่บังเอิญหรอก มา ... ขึ้นรถ เดี๋ยวหนูพุดบอกทางเข้าไปในซอย พอถึงบ้านก็บอกพี่ด้วย พี่จะส่งหนูพุดให้ถึงบ้านก่อน"

วิชชุ์วิธูบอกองก์อัมพุทด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ไม่ได้เจาะจงทำให้เกิดพิรุธใด หญิงสาวจึงไม่รู้สึกว่ามีนัยยะอื่นซ่อนอยู่ในทุกคำพูดของเขา

ทั้งสองคนขึ้นไปนั่งประจำที่ก่อนวิชชุ์วิธูจะขับรถเคลื่อนไปข้างหน้า แล้วเลี้ยวเข้าไปในซอยเดียวกับที่องก์อัมพุทบอกให้เขาทราบว่า เส้นทางจากปากซอยหน้าบ้านเธอ จะไปทางไหนได้บ้าง

"พี่วิชชุ์แน่ใจนะคะ ว่าไม่ได้จำผิด ... นี่ใกล้จะถึงบ้านพุดแล้ว ไม่ยักรู้ว่าพุดมีรุ่นน้องใกล้บ้านด้วย"

อดีตอาจารย์นิ่งฟังเงียบๆ พลางยกมุมปากน้อยๆกับคำถามซื่อๆของอดีตลูกศิษย์ที่ยังไม่รู้ตัวว่า คนที่เขาต้องการมาพบคือ เธอนั่นเอง

"แล้วบ้านหนูพุดหลังไหนล่ะครับ ... พี่อาจจะขอแวะไปเยี่ยม ... ทักทายคุณแม่หนูพุดเสียหน่อย"

แล้วชายหนุ่มก็ได้เห็นคนนั่งข้างๆหันขวับมาทางเขา ฉายแววฉงนปนลังเลสื่อสะท้อนออกมาชัดเจน เพราะระหว่างทางเธอก็ช่วยสอดส่ายสายตามองหาบ้านต้องสงสัย ที่คิดว่าน่าจะเป็นบ้านคนที่กำลังหาอยู่

"จะดีหรือคะ ที่บ้านพุดไม่มีอะไร ..."

"ดีสิ ... พี่ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย"

วิชชุ์วิธูตอบหนักแน่นเน้นเสียงจริงจังท้ายประโยค จนทันเห็นอีกฝ่ายวางสีหน้าไม่ถูก และเขาเองก็เพิ่งคิดได้ว่า อาจจะรุกคืบมากเกินไปทำให้ต้องเบือนสายตาทำทีมองหาบ้านเป้าหมายไปด้วย

แต่แล้วพอเหลือบมององก์อัมพุทอีกครั้ง วิชชุ์วิธูกลับเกิดความรู้สึกชื้นในอกอย่างประหลาด เมื่อเขาได้เห็นรอยระเรื่อเหนือผิวแก้มซีกขวา ค่อยซับสีเลือดฝาดเข้มขึ้นของคนโดยสารข้างกาย และพอไม่รู้จะทำอย่างไรก็ก้มหน้างุดเม้มปากแล้วเบี่ยงหน้าหลบเขาไปอีกทาง

"พี่วิชชุ์คะ ... ถึงบ้านพุดแล้วค่ะ"

เสียงเรียกเบาๆพลางหันมาบอกและชี้ตำแหน่ง ให้เจ้าของรถทราบจุดหมายปลายทาง โดยที่คนบอกไม่ยอมสบตากับเขาอย่างก่อนหน้านี้

วิชชุ์วิธูไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร ... เขากลับเต็มอิ่มในความรู้สึกนักหนากับช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที






ละอองชลนั่งอยู่บนเตียงไม้หลังใหญ่ใต้ถุนเรือน รอองก์อัมพุทอย่างใจจดใจจ่อ เพราะไม่รู้ว่าที่ลูกสาวรีบร้อนออกไปนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร

ขณะที่ข้างกายของเธอมีตะกร้าใบเขื่องพร้อมอุปกรณ์ของเจ้าจัน ซึ่งเจ้าหน้าขนตัวน้อยก็กำลังหลับตานอนสบายให้สตรีสูงวัยลูบหัวเกาคางอย่างเพลิดเพลิน

แต่ครู่เดียวเจ้าจันก็ลืมตาผงกหัวยกขึ้นมา หันไปหันมาเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง จนคนอุทิศตักให้ต้องก้มลงมองกับท่าทางตลกๆของมัน

"มีอะไรเจ้าจัน ... ตกใจอะไรจ๊ะ ฮึ"

เจ้าของเรือนถามราวกับลูกแมวฟังเข้าใจ ยามมันกระดิกหูเล็กน้อยแล้วตั้งตรง แถมดวงตากลมวาวยังจับจ้องไปยังทางเข้าออกของบ้าน คล้ายรับรู้ถึงความผิดปกติ

ทว่า ความสนใจของเธอก็อยู่ที่มันไม่นาน เมื่อมีรถยนต์คันหนึ่งค่อยๆเคลื่อนผ่านเขตรั้วหน้าบ้าน กระทั่งมาจอดสนิทหน้าเรือนถัดจากรถสีครามหม่นของบุตรี

"รถใครกัน"

ละอองชลเปรยถามตัวเองมากกว่าขอความเห็นจากเจ้าตัวจ้อย แล้วคำตอบก็ค่อยเผยออกมาในเวลาไม่นาน

สตรีสูงวัยเห็นแล้วว่าด้านหนึ่งคือองก์อัมพุทที่ก้าวลงจากรถคันนั้น แต่ผู้ชายแปลกหน้าที่ก้าวตามลงมา ก่อนจะเดินเข้ามายืนเคียงกับลูกสาวของเธอครู่หนึ่ง พูดคุยกันเล็กน้อยแล้วปล่อยให้ฝ่ายหญิงเดินนำแทน ... ยิ่งทำให้สงสัยหนักขึ้นว่า เขาเป็นใคร

จากลักษณะภายนอกที่ละอองชลเห็น รูปร่างของเขาสูงโปร่งท่วงท่าสง่าผ่าเผย การเดินเหินยิ่งดูทะมัดทะแมงแต่ให้ความรู้สึกทรงภูมิ นี่ถ้าสวมแว่นตาเสียหน่อย แล้วมาบอกว่าเป็นครูบาอาจารย์ เธอก็พร้อมจะเชื่ออย่างสนิทใจในทันที

"ออกไปไหนมาพุด ... แล้วพาใครมาด้วยล่ะลูก"

องก์อัมพุทไม่ทันได้ตอบคำถามมารดา เนื่องจากสังเกตเห็นเจ้าจันผละจากตักที่นอนแล้วกระโจนลงจากเตียง ท่ามกลางความตกอกตกใจของสตรีต่างวัยทั้งสองคน

"เจ้าจัน!"

เจ้าตัวน้อยหาได้สนใจเสียงเรียกอันตื่นตระหนกของใคร มันวิ่งตรงไปยังบุคคลแปลกหน้าสำหรับละอองชล แต่ท่าทางจะเป็นคนคุ้นเคย ... สำหรับมัน

ภาพที่สองแม่ลูกได้เห็นพร้อมกันคือ เจ้าจันหยุดต่อหน้าชายหนุ่มแล้วเดินเข้าไปคลอเคลียบริเวณข้อเท้า ซึ่งคลุมด้วยกางเกงยีนส์สีซีดที่สวมใส่ มันเอียงหน้าถูไถหัวเล็กๆของมันจนเขาต้องย่อกายลง แล้วช้อนร่างนุ่มนิ่มที่คลอเคลียขึ้นมาอุ้ม เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถเดินต่อไปได้

"ดูสิ ... เจ้าจันนะเจ้าจัน"

"ใครเหรอลูก ... ดูท่าสนิทกันดีนะ"

ละอองชลถามองก์อัมพุทอีกครั้ง โดยที่สายตายังคงจับจ้องผู้ชายที่มากับลูกสาวของเธอ แต่คำว่า ‘สนิทกันดี’ กลับก่อปฏิกิริยาให้ปรากฏผ่านผิวแก้ม จนคนเป็นแม่นึกฉุกใจอะไรบางอย่างขึ้นมา

"พี่วิชชุ์ ... คุณวิชชุ์วิธูน่ะค่ะแม่"

"พี่วิชชุ์? ... ใช่พี่วิชชุ์ที่หนูเคยบอกหรือเปล่า"

ชื่อนี้ ... ละอองชลจดจำได้ดี ก็เธอเพิ่งได้ยินมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ตอนที่องก์อัมพุทมาถึงบ้านเมื่อเช้านี่เอง




และแล้วบุคคลที่อยู่ในหัวข้อสนทนาก้าวเข้ามาถึงใต้ถุนเรือน องก์อัมพุทจึงยื่นมือขอเจ้าหน้าขนจอมซนมาอุ้มเสียเอง ซึ่งวิชชุ์วิธูก็ส่งให้ไม่ขัดข้อง เพราะยังมีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำ

ชายหนุ่มยกมือไหว้ทำความเคารพสตรีสูงวัยที่นั่งมองเขา นับแต่เจ้าตัวเดินเข้ามาอยู่ในครองสายตาของใครต่อใคร

"สวัสดีครับ ... คุณอา"

"ไหว้พระเถอะจ้ะ ... คุณเป็นเพื่อนกับยัยพุดหรือคะ"

ละอองชลรับไหว้ยิ้มละมุนกับกิริยามารยาทนอบน้อม และการเจาะจงเลือกใช้สรรพนามเรียกขาน ก่อนเอ่ยถามสถานะต่อกันตรงๆ

แต่คำถามจากมารดาที่องก์อัมพุทได้ยิน ทำเอาเธอต้องหันไปสบตากับคนที่ถูกเข้าใจว่าเป็นเพื่อน ด้วยสีหน้าท่าทางประดักประเดิด ไม่รู้จะตอบแทนเขาอย่างไรดี

วิชชุ์วิธูเห็นว่า เขาควรจะเฉลยความตั้งใจของตนเองเสียที จึงใช้โอกาสนี้บอกให้เข้าใจตรงกัน ... ทุกคน

"เมื่อก่อนผมเคยเป็นอาจารย์บรรณารักษ์ครับ แต่ลาออกไปทำธุรกิจหลังจากหนูพุดเรียนจบมัธยมปลายพอดี ... ตอนนี้เลยถือตัวเองว่า เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของหนูพุดครับ"

"ฮ้าย ... อะไรกันลูก แล้วทำไมหนูไม่บอกแม่ว่า คุณวิชชุ์เขาเป็นครูบาอาจารย์ของหนูมาก่อน ... ตายจริง เชิญค่ะ เชิญนั่ง ... ไปๆพุด ไปหาน้ำหาท่ามารับรอง อะไรเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหาทำไมไม่ดูแลอาจารย์ ... ฮึ"

ละอองชลได้ฟังเท่านั้นก็รีบเชื้อเชิญเป็นการใหญ่ แทบลืมฟังประโยคบอกเล่าช่วงท้ายไปเลย แล้วหันมาตำหนิลูกสาวเป็นการใหญ่ ฐานที่บกพร่องทั้งการเป็นเจ้าบ้านที่ดี และลูกศิษย์ที่สมควรปฏิบัติต่ออาจารย์

องก์อัมพุทกะพริบตาปริบ มองมารดาสลับกับคนที่เพิ่งแนะนำตัวเองอย่างมีพิธีรีตองผิดไปจากที่เคย เมื่อความงุนงงหมดไป เธอจึงค่อยเริ่มคิดทบทวนคำพูดของวิชชุ์วิธู และปะติดปะต่อลำดับเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาได้ว่า

ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิด ... อีกทั้งไม่ใช่เป็นการเข้าข้างตัวเองจนเกินไป

มันประมวลภาพออกมาเป็นฉากๆให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ... ศิษย์เก่าที่ 'พี่วิชชุ์' ของเธอมีธุระด้วย ... คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากจาก ผู้หญิงไม่รู้เรื่องรู้ราวเท่าทันเหลี่ยมคนเจ้าเล่ห์ที่ชื่อ องก์อัมพุท ... คนนี้เอง





"หนูพุด ... ใจคอจะไม่พูดกับพี่จริงๆเหรอ ... ข้าวก็กินแล้ว ไม่น่าจะโมโหหิวนี่นา"

วิชชุ์วิธูแกล้งหยอกองก์อัมพุทที่เอาแต่นั่งเงียบ หลังจากเต็มใจเป็นแขกร่วมรับประทานอาหารมื้อกลางวัน กับละอองชล และคนที่กำลังปั้นหน้าบึ้งตึง ออกอาการเจ้าแง่แสนงอนชัดเจน ทั้งยังอุ้มเจ้าจันไว้ในอ้อมแขนราวกับต้องการยึดมันให้เป็นพวกกับเธอ

หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างช้อนสายตาขึ้นมองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ... เขาพูดถูกที่เธอโมโห แต่ไม่ใช่เพราะความหิว ... เป็นเพราะเขาต่างหาก

"แกล้งพุดนี่สนุกมากเหรอคะ พี่วิชชุ์"

"ก็น่ารัก น่าแกล้ง ... "

"พี่วิชชุ์"

เสียงแหวเรียกชื่อเขาห้วนดุ แทนที่จะทำให้วิชชุ์วิธูเลิกวอแวยั่วแหย่เธอ เขากลับก้าวมาใกล้ก่อนจะขยับลงนั่งข้างๆ บนเตียงไม้ใต้ถุนเรือนตัวเดิม

"พี่ล้อเล่น ... พี่กลัวว่า ถ้าบอกไปตรงๆ หนูพุดจะไม่ให้พี่มา"

"เลยต้องเอาเรื่องศิษย์เก่ามาอ้าง ... คิดได้ยังไงคะมุกนี้ ... คิดนานมั้ย"

ที่องก์อัมพุทถามออกไปอย่างนั้น เพราะจริงๆแล้วใจครึ่งหนึ่งของเธอ ก็แค่โมโหแกมหมั่นไส้กับลูกไม้ของวิชชุ์วิธู ส่วนอีกครึ่งมันเหมือนจะพองฟูเกือบลอยละล่อง หากเธอต้องคอยรั้งๆมันเอาไว้ก่อน

"แล้วหนูพุดจะให้พี่บอกยังไง ... จะให้บอกทื่อๆว่า พี่ขอมาหาที่บ้าน อย่างนั้นเหรอ ... แต่จะว่าไป พี่ก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักหรอก นึกถึงว่าถ้าใครรู้ว่าเราเคยเป็นอาจารย์เป็นศิษย์กันมาก่อน ... แล้ว ..."

จากท่าทางทีเล่นทีจริงของชายหนุ่มข้างกาย เปลี่ยนเป็นเสียงอ่อนเนิบเนือย เท้าความย้อนไปถึงอดีตให้คนฟังรู้สึกว่า คนพูดกำลังรู้สึกผิดด้วยสำนึกแห่งวิชาชีพ จนออกอาการสลดหดหู่แค่ไหน ... ซึ่งมันก็ดึงความสนใจจากเธอได้ไม่ยากนัก

"แล้ว ... แล้วอะไรคะ ในเมื่อตอนนี้พี่วิชชุ์ไม่ได้เป็นอาจารย์ พุดก็เรียนจบมาตั้งหลายปี ทำการทำงานจนจะขึ้นคาน ... เอ่อ มันจะเป็นอะไรไป"

หญิงสาวชะงักคำพูดที่คิดว่าจะช่วยเสริมให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น เพราะเพิ่งคิดได้ว่า เหมือนจะเข้าเนื้อตัวเองเข้าไปทุกที

วิชชุ์วิธูฟังแล้วเหลือบมองมายังองก์อัมพุท ก่อนหันหน้ามาประสายสายตา นัยน์ตาของเขาราวกับเปล่งประกายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ยามที่หญิงสาวเผลอสบดวงตาคู่นั้น

"นั่นสิ ... เพราะแบบนี้ พี่ถึงได้รออยู่ที่นั่น ... รอให้หนูพุด ... ขึ้นมารับพี่ลงไปไง"

องก์อัมพุทไม่อยากเชื่อเลยว่า จะได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาจากคนที่เธอเฝ้าฝัน เรียกได้มาปักใจมาตลอด ๑๐ ปี มิหนำซ้ำ ... เขากำลังพูด ... กำลังบอกเธอ ... ในอาณาเขตของเธอเอง

เขาหมายความอย่างที่พูดจริงๆใช่ไหม ... ว่ารู้สึกไม่ต่างไปจากเธอเลย

"พี่วิชชุ์ ... พี่วิชชุ์กำลังแกล้งล้อเล่น ... เหมือนที่ผ่านมาใช่ไหมคะ ... พุดไม่เล่นด้วยนะคะ ... เอ่อ พุด ..."

คลื่นความเห่อร้อนเคลื่อนมาบนผิวหน้าระลอกแล้วระลอกเล่า พร้อมกับความรู้สึกหวิววาบในทรวงอก แต่เพราะความหวั่นใจมันผสมปนเปกับความตื่นเต้น จึงก่อปฏิกิริยาท่าทางให้ไม่อยากจะเชื่อถือ และด้วยน้ำเสียงสั่นๆไม่มั่นใจที่องก์อัมพุทแสดงให้วิชชุ์วิธูเห็น ทำให้เขาต้องเอื้อมมือมาคว้าเจ้าจันมาใส่ตะกร้า ...

นาทีสำคัญขนาดนี้ เขาไม่อยากให้มีแมวมาขวางคอ!

ขณะที่ชายหนุ่มจับเจ้าหน้าขนตัวนุ่มลงภาชนะ หญิงสาวกลับฉวยจังหวะนี้ลุกขึ้นเตรียมหนีขึ้นเรือน แต่ก็ช้าไปกว่ามือของวิชชุ์วิธูที่ยื่นมาคว้าไว้ได้ทัน

"หนูพุด ... พี่ไม่เคยคิดจะล้อเล่น ... ทุกการกระทำไม่มีอะไรที่พี่ไม่ตั้งใจ"

"เอ่อ ... พี่วิชชุ์คะ ปล่อยพุดเถอะค่ะ ... เดี๋ยวแม่ลงมาเห็น"

ความขัดเขินและกระดากอาย ทำให้องก์อัมพุทบ่ายเบี่ยงแกมลังเล พลางเหลียวซ้ายแลขวาเกรงว่า จะมีใครมาเห็นเข้า จึงขอให้คนยึดกุมข้อมือปล่อยเธอให้เป็นอิสระ เพราะแค่นี้เธอก็แทบจะไปไม่เป็นอยู่แล้ว

แม้วิชชุ์วิธูจะไม่อยากทำตามคำขอ แต่เขาก็พอจะมั่นใจได้ว่า คงสามารถคุยกันต่อได้จนจบ เนื่องจากท่าทีของหญิงสาวที่ได้เห็นถนัดตา เป็นสัญญาณบอกชัดเจนว่า อีกฝ่ายจะไม่เดินหนีเขาไปไหนแล้ว หากเป็นเขาเองที่ยังอ้อยอิ่งไม่คลายมือง่ายๆ

ทว่า รอยยิ้มกริ่มปริ่มเปรมบนใบหน้าอยู่กับวิชชุ์วิธูได้ไม่ถึงนาที ก็มีเหตุให้ต้องขมวดคิ้วอย่างคนถูกขัดจังหวะให้เสียอารมณ์

นั่นเพราะเสียงกระชากห้าวห้วนแทรกเข้ามาเรียกชื่อองก์อัมพุท ... ซึ่งเมื่อเขาได้ยินแล้วคิดว่า มันไม่น่าฟังเลยสักนิด และยังทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นที่สุด

"ยัยพุด ... ทำอะไรน่ะ"











*******************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอขอบคุณสำหรับไลค์ให้กำลังใจฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2558, 10:14:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2558, 10:14:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1015





<< บทที่ ๒๖ .. ใครจะเข้าใจ   บทที่ ๒๘ .. สานต่อ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account