เพียงใจปรารถนา
อดีตอันแสนโหดร้ายในวัยเด็กทำให้ เวหา เติบโตมาเป็นผู้ชายแข็งกร้าวและเย็นชา ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถผ่านด่านหัวใจเขาไปได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไร้ความรู้สึก เมื่อผู้หญิงที่เขาแอบรัก แต่ไม่สามารถครอบครอง ถูกคนรักของตนเองขอเลิกและไปแต่งงานกับ ปริญดา หญิงสาวผู้ซึ่งเพียงต้องการหนีปัญหา เธอจึงต้องตกเป็นจำเลยแห่งความโกรธแค้นของชายหนุ่ม ที่สำคัญ...เขาทำให้เธอตกหลุมรัก ยอมจำนน และทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีเพื่อแก้แค้นให้สมน้ำสมเนื้อที่เธอทำให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเสียใจ!

แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 39


สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน เพิ่งจะวันจันทร์ก็เริ่มขี้เกียจซะแล้วค่ะ แหะๆ ^^'' ฝากเวย์กับปริมให้ติดตามด้วยนะคะ พรุ่งนี้เหลืออีกบทหนึ่งแล้ววันพุธจะมาลงบทส่งท้ายให้ค่ะ

ขอให้สนุกกับการอ่านและขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนะคะ


เพียงใจปรารถนา ตอนที่ 39

เวหาที่ได้ยินเสียงโวยวายจากข้างในห้องก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจกลัวว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ยิ่งปริญดากำลังอยู่ในอารมณ์โมโหอาจจะเผลอทำอะไรไปโดยไม่ได้ยั้งคิด

เขาเดินกอดอกกลับไปกลับมา สับสนว่าจะเข้าไปเองดีหรือว่าเรียกให้พยาบาลมาเป็นตัวกลางดี เสียงจากด้านในเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร ยิ่งกังวลเขาก็ยิ่งเครียด โดยเฉพาะปริญดาที่กำลังท้องอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ส่วนอีกฝ่ายก็ดูท่าจะอารมณ์ร้อนไม่แพ้กัน

เวหาทนไม่ไหว เดินไปที่หน้าประตูแล้วแง้มเปิดออก แต่ยังไม่ทันจะได้ยินอะไร เสียงกรีดร้องโหยหวนที่เขารู้ทันทีว่าเป็นของภารตรีก็ดังลั่นห้อง ตามด้วยเสียงตะคอกแหบแห้งของบิดาที่สั่งให้หยุด จากนั้นก็มีเสียงร้องตกใจตามมา เวหาไม่รอช้ารีบเปิดประตูเข้าไปทันที

พอเขาพรวดพราดเข้ามาข้างใน ก็ต้องผงะตกใจ ที่เห็นทั้งปวราและปริญดากำลังช่วยกันเรียกบิดาซึ่งตอนนี้ร่างทั้งร่างชักเกร็งกระตุก มือและเท้างอหงิก ตาเหลือกลาน

เวหาพยายามตั้งสติ จากนั้นก็รีบก้าวยาว ๆ ไปที่เตียง “ปริม ช่วยผมคลายเสื้อผ้าพ่อออกก่อน ผมจะจับพ่อนอนตะแคงจะได้ไม่สำลัก” เขาสั่งหญิงสาวที่ยังดูเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูก เธอพยักหน้ารับแล้วรีบทำตาม ส่วนเขาก็กดปุ่มเรียกพยาบาลไปด้วย

“ดี ลูกอย่างแกตาย ๆ ไปซะได้ก็ดี! มีแต่สร้างปัญหาให้ฉันอับอายขายขี้หน้า!” ภารตรียังไม่หยุดคำบริภาษ สีหน้าปราศจากความทุกข์ร้อนใจ จนปวราเหลืออดแผดเสียงออกไปบ้าง

“นี่คุณยังมีความเป็นแม่อยู่ไหม! ลูกทั้งคนคุณยังไล่ให้ไปตายได้ จิตใจคุณมันทำด้วยอะไร!” พูดไปน้ำตาก็ไหลพรากไป รู้สึกสงสารภาคภูมิจับใจที่เกิดมาเป็นลูกของผู้หญิงไร้หัวใจคนนี้

ปวราหันไปชี้หน้าเด็กรับใช้ของภารตรี “พาเจ้านายเธอออกไปเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ฉันจะพาคนมาลากตัวออกไป!”

เด็กรับใช้ทำหน้าราวกับกินยาขม มองสลับปวรากับภารตรีเลิกลั่ก จะไปบอกให้เจ้านายออกไปเธอก็ไม่กล้า จึงได้แต่เรียกเสียงสั่น

“คะ คุณนายคะ..กลับ..” พูดยังไม่ทันจบเด็กสาวก็สะดุ้งโหยงกับเสียงคำรามของภารตรี

“ฉันจะให้มันอยู่หรือให้มันตาย จะให้มันไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ที่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องของแก!”

ทุกคนหันไปมองภารตรีด้วยสายตารังเกียจ แม้แต่เด็กรับใช้ก็ยังอ้าปากค้าง คาดไม่ถึงว่าคำเหล่านั้นจะหลุดออกมาจากปากคนเป็นมารดาได้ โดยเฉพาะเวหาที่จ้องเขม็งไปที่ภารตรีราวกับหล่อนเป็นนางอรสพิษ ความเกลียดแค้นของเขาตอนนี้พุ่งไปที่หล่อนเพียงคนเดียว ความทรงจำในวัยเด็กชัดเจนขึ้นทันทีว่าหล่อนเคยพูดจาและมีท่าทางดูถูกเขากับมารดาไว้อย่างไรบ้าง

จังหวะนั้นพยาบาลสองคนเดินเข้ามาด้านใน ทำลายบรรยากาศมาคุภายในห้อง ทั้งคู่ร้องตกใจที่เห็นคนไข้นอนชัก พยาบาลคนหนึ่งจึงสั่งให้อีกคนไปตามหมอเข้ามา จากนั้นก็สั่งให้ทุกคนออกไปรอข้างนอก เพื่อให้อากาศในห้องถ่ายเทได้สะดวก ภาคภูมิจะได้หายใจคล่องขึ้น

แต่ภารตรีไม่สนใจคำสั่ง หล่อนเดินก้าวฉับ ๆ ไปที่ปลายเตียง มองลูกชายที่ไม่ได้สติแล้วคำรามกรอด

“หวังว่าวันนี้แกคงยังไม่รีบชิงตายไปซะก่อนนะ” พูดเสร็จหล่อนก็หันไปเรียกเด็กรับใช้ที่เงอะ ๆ เงิ่น ๆ ให้กลับ ก่อนออกไป หล่อนก็กราดสายตาอาฆาตมองสองแม่ลูก แต่พอสบตากับเวหาหล่อนถึงกับผงะ เพราะสายตาที่มองตอบกลับมาดุดันน่ากลัว ยิ่งหน้าตาละม้ายคล้ายกชอรก็ยิ่งทำให้หล่อนผวารีบเรียกให้เด็กรับใช้ออกไปด้วยกัน

ปวราและปริญดาไม่สนใจภารตรี ตอนนี้ทั้งคู่ห่วงอาการของภาคภูมิมากกว่า และยังคงยืนดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ยอมออกไปจากห้อง จนพยาบาลต้องขอร้องทั้งคู่ถึงยอมทำตาม

เมื่อออกจากห้อง คุณหมอกับบุรุษพยาบาลอีกสองคนที่เข็นอุปกรณ์แพทย์มาด้วยก็สวนมาพอดี ปวราจึงรีบบอกเหตุการณ์คร่าว ๆ ว่าทำไมภาคภูมิถึงได้เกิดอาการชัก ก่อนที่คุณหมอจะบอกให้ญาติทั้งหมดรอดูอาการด้านนอกจนกว่าหมอจะออกมา

“คุณเห็นไหมคะว่าคุณย่าน่ะร้ายกาจแค่ไหน” ปริญดาเปิดฉากบอกเวหาทันที “นับวันท่านก็ยิ่งหมดความน่าเคารพนับถือ สิ่งที่ท่านทำวันนี้แสดงเห็นแล้วว่าพ่อต้องทนรองรับอารมณ์และกดดันมากแค่ไหนที่ต้องคอยทำตามคำสั่งท่านตลอดเวลา และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่พ่อต้องกลายเป็นคนซึมเศร้าและคิดที่จะฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำอีก”

เวหาหลับตา พยักหน้ารับรู้ เมฆหมอกแห่งความโกรธเกลียดในตัวบิดาที่ครอบคลุมจิตใจเขาอยู่ค่อย ๆ พล่าเลือนหายไป การกระทำและคำพูดของภารตรีเมื่อสักครู่นี้ทำให้เขารู้สึกขนลุกกับความคิดน่ารังเกียจที่หล่อนสามารถแช่งลูกตัวเองได้ลงคอ

“เวย์...” ครั้งนี้เป็นปวราที่เรียกเวหา หล่อนมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วจับต้นแขนเขาเอาไว้ “คราวนี้เวย์พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมคุณภาคถึงต้องยอมทนทำตามคำสั่งคุณย่า นิสัยคุณภาคเป็นคนไม่ชอบมีเรื่องมีราว ยิ่งกับแม่ตัวเองเขาก็ยิ่งไม่อยากมีปัญหา ใช่ว่าคุณภาคจะไม่เคยเถียงหรือคัดค้าน แต่อารมณ์เกรี้ยวโกรธรุนแรงของคุณย่าอย่างที่เวย์เห็นวันนี้ ก็ทำให้คุณภาคต้องเลิกราความตั้งใจไปหลายครั้ง” น้ำตาหล่อนรื้นขึ้นมา เพราะหล่อนจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้ดีว่าภารตรีอาละวาดก่นด่าสาดเสียเทเสียภาคภูมิยังไงบ้าง

“ยิ่งเวลาที่คุณภาคคุยเรื่องที่จะไปรับเวย์มาอยู่ด้วยกัน ข้าวของในบ้านแทบจะไม่มีเหลือเพราะคุณย่าทิ้งขว้างทำลายจนในที่สุดคุณภาคก็ต้องยอมตัดใจ”

เวหาสูดหายใจเข้าลึก พยายามจัดระเบียบความรู้สึกของตนเองที่ตอนนี้มันตีกันให้วุ่น เขาเริ่มสับสนกับความคิดที่เคยยึดติดในใจมาตลอดตั้งแต่รู้ว่าบิดาพยายามทำทุกอย่างเพื่อพบเขาแต่เขาคิดว่าเป็นเพราะบิดารักเขาไม่มากพอที่จะทำตามความต้องการของตนเองโดยไม่ยอมให้คนอื่นมาขัดขวางได้ แต่มาถึงตอนนี้ วันที่ได้เห็นอารมณ์รุนแรงของคุณย่า ก็ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป

ปวราเห็นเวหามีท่าทางกำลังสับสน หลอ่นใช้โอกาสนี้ลองพูดเกลี่ยกล่อมเขาอย่างใจเย็น “เวย์...แม่อยากให้เวย์ลองเปิดใจดูนะ อย่าให้ความเกลียดชังในอดีตมาทำลายโอกาสที่เวย์จะได้ครอบครัวคืนมาอีกครั้ง ยังไงซะท่านก็เป็นพ่อของเรา ในเมื่อเวย์รู้แล้วว่าเหตุผลที่พ่อทำไปนั้นเพราะอะไร แล้วทำไมเวย์ยังคิดลังเลอยู่อีกล่ะลูก” หล่อนพูดพลางสบตาปริญดา เห็นลูกสาวพยักหน้าเป็นเชิงให้ลองพูดต่อหล่อนจึงคิดหาคำที่จะโน้มน้าวใจเขาให้อ่อนลง

“ ชีวิตมันสั้นนัก ขืนเวย์มีแต่ความโกรธเกลียดเกาะกินจิตใจอยู่แบบนี้ วันเวลาจะผ่านไปอย่างสูญเปล่านะ และแม่ไม่อยากเห็นเวย์เสียใจภายหลัง แม่พยายามบอกเหตุผลและความจริงขนาดนี้ แต่ถ้าเวย์ยังทำใจยอมรับคุณภาคไม่ได้ แม่กับปริมก็คงรู้สึกผิดไปจนวันตาย...” ปวรารำพันพลางพ่นลมหายใจ น้ำตาแห่งความอดสูไหลริน

“แม่...” ปริญดาเรียกมารดาเสียงสั่น น้ำตาไหลตามท่านเพราะอดคิดแบบนั้นไม่ได้เหมือนกัน

เวหามองทั้งคู่ที่ต่างพากันร้องไห้เขาก็ไม่สบายใจ “ปริมกับคุณแม่ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น ผมจะยอมรับพ่อได้หรือไม่ เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกและการตัดสินใจของผมคนเดียว ไม่เกี่ยวกับปริมหรือคุณแม่ อย่าคิดมากไปเลยครับ”

“ถ้าเวย์ไม่อยากให้แม่กับปริมคิดมาก ก็ช่วยทบทวนความรู้สึกตัวเองดี ๆ อีกครั้ง แม่ขอบอกไว้เลยว่าคุณภาครักเวย์และก็รักแม่ของเวย์มากด้วย อยากให้เวย์คิดถึงตรงนี้ให้ดี ๆ แม่ขอแค่นี้แหล่ะ”

“ใช่ค่ะ ที่ปริมทำไปทุกอย่างก็เพราะอยากจะช่วยให้คุณกับพ่อได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการไถ่โทษที่พวกเรามีส่วนทำให้ครอบครัวคุณต้องแตกแยก”

เวหาไม่พอใจที่เธอพูดแบบนั้น แต่ก็รู้ว่าเขาคงห้ามความคิดเธอไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากเขา “ผมสัญญาว่าจะทบทวนความรู้สึกตัวเองอีกครั้ง เพื่อปริมกับคุณแม่จะได้สบายใจ”

ปริญดายิ้มดีใจ “ขอบคุณนะคะ”

ปวราเองก็เอ่ยเช่นกัน “ขอบใจเวย์มากนะ”

“ขอโทษนะครับ” พยาบาลหนุ่มเปิดประตูห้องเรียกทั้งสามคน “ไม่ทราบว่าท่านไหนชื่อคุณเวย์ครับ”

เวหาเลิกคิ้ว แล้วก้าวไปข้างหน้า “ผมเองครับ”

“คุณหมอเชิญคุณที่ด้านในหน่อยครับ พอดีตอนนี้คนไข้หายจากอาการชักแล้ว เขาเพ้อเรียกชื่อคุณแล้วร้องไห้อยู่ตลอด คุณหมอก็เลยอยากให้คุณไปพบคนไข้สักพัก เผื่อว่าอาการเขาจะสงบลงมากกว่านี้น่ะครับ”

หัวใจเวหาบีบรัด ท้องไส้ปั่นป่วนกังวลกับการเผชิญหน้ากับบิดาอีกครั้ง

“เวย์คะ...” ปริญดากระซิบเรียกเขา “แค่ไปให้พ่อเห็นหน้าเท่านั้น พ่อจะพูดหรือทำอะไรคุณก็แค่อยู่เฉย ๆ ถือว่าสงสารพ่อเถอะนะคะ ตอนนี้มีคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยได้”

“นะเวย์ ตอนนี้อาการคุณภาคจะดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับเวย์เท่านั้น” ปวราเสริมอีกคน

เวหามีท่าทีอึกอักลังเล จด ๆ จ้อง ๆ ประตูห้องที่บุรุษพยาบาลเปิดคอยท่าเอาไว้ ปวราและปริญดาต่างก็ลุ้นมองเวหาว่าเขาจะยอมเข้าไปหรือไม่ จนในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมาสั้น ๆ ว่า

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมมานะครับ”



เวหาได้ยินเสียงบิดาคร่ำครวญชื่อเขาสลับกับชื่อมารดาขณะเดินตามบุรุษพยาบาลเข้ามาในห้อง เมื่อเขามาหยุดยืนข้าง ๆ เตียง หมอที่กำลังจดบันทึกผลการตรวจอยู่ก็เงยหน้ายิ้มให้เขา

“คุณเวย์ใช่ไหมครับ”

เวหาพยักหน้ารับ สายตามองผ่านหมอไปยังบิดาที่นอนจ้องเพดาน ตาแดงก่ำ ริมฝีปากของท่านขยับพึมพำเรียกชื่อเขาพร้อมกับคำขอโทษเสียงแหบแห้ง วินาทีนั้น ความเวทนาสงสารก็แล่นมาจุกอกเขาอย่างจัง

“ผมเดาว่าคุณเวย์คงเป็นลูกชายของคนไข้ เพราะเห็นคนไข้เพ้อเรียกชื่อคุณและแทนตัวเองว่าพ่อตลอดเวลา” คุณหมอพูดขึ้น
เวหาพยักหน้ารับอีกครั้งโดยไม่ตอบอะไร

“ตอนนิ้จิตใจคนไข้ย่ำแย่มากครับ บาดแผลทางร่างกายเองก็น่าเป็นห่วง จากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ผมคิดว่าคงกระทบกระเทือนความรู้สึกของคนไข้อย่างแรงจนทำให้เกิดอาการชัก ปกติผมเป็นหมอประจำตัวคนไข้ บางครั้งต้องมีการมัดมือมัดเท้าเพื่อป้องกันไม่ให้เขาคิดสั้น แต่ก็ไม่เคยเห็นเขามีอาการเครียดจัดจนชักแบบนี้เลยสักครั้ง” คุณหมอยื่นแฟ้มให้พยาบาลข้างกาย แล้วหันไปมองคนไข้ที่ยังเพ้อเรียกชื่อซ้ำ ๆ ไม่หยุด

“เรื่องอะไรก็ตามที่คนไข้เป็นกังวลใจเรื่องคุณอยู่ ผมอยากให้คุณบอกเขาว่าไม่เป็นไร บอกเขาว่าคุณยอมให้อภัยเขาแล้ว บอกให้เขาเลิกโทษตัวเองกับสิ่งที่ผ่านมา เลิกทำร้ายตัวเองเพราะคุณกับครอบครัวกำลังรอเขากลับไปอยู่”

เวหาน้ำตาคลอ เมื่อคำพูดทุกคำที่หมอแนะนำมันตรงเข้าแทงใจเขาจนเจ็บลึก เขาเงยหน้าสบตากับหมอที่ราวกับว่าตนเองรู้ความเป็นมาของครอบครัวเขาเป็นอย่างดีด้วยแววตาประหลาดใจ

คุณหมอยิ้มบาง ๆ แล้วตอบ “เคสแบบนี้ผมเจอมาเยอะครับ พื้นหลังความเจ็บปวดที่คนไข้ได้รับล้วนเกิดจากความเศร้าเสียใจในอดีตที่ฝังใจมาตลอด อีกอย่าง ผมจะรักษาใคร ผมก็ต้องตรวจสอบประวัติมาก่อนว่าทำไมคนไข้ถึงได้มีความคิดฆ่าตัวตาย เพราะฉะนั้นคุณเวย์ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมผมถึงแนะนำคุณไปแบบนั้น”

“เวย์...นั่นเวย์ใช่ไหม”

น้ำเสียงเครือแหบพร่าของภาคภูมิเรียกทุกคนให้หันไปสนใจเขา พยาบาลสาวที่ยืนอยู่ข้างเตียงพยายามช่วยพยุงภาคภูมิลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบห้ามเขาไว้เมื่อภาคภูมิทำท่าว่าจะลงจากเตียงไปหาลูกชายของเขา

“คนไข้ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ตอนนี้ลูกชายคุณมาอยู่ตรงนี้แล้ว เขาไม่หนีไปไหนแน่นอน หมอให้สัญญา”

ภาคภูมินั่งนิ่งเมื่อสิ้นคำหมอ สายตาจดจ้องมองเวหาไม่วางตาราวกับกลัวว่าเขาจะหายวับไป

“เวย์...พ่อขอโทษ...พ่อขอโทษสำหรับทุก ๆ สิ่งที่ทำให้เวย์กับแม่เจ็บปวด...พ่อขอโทษ” ภาคภูมิรีบพูดเสียงขาด ๆ หาย ๆ กลัวเวหาจะไม่รับฟังเขาอีก

เวหายืนนิ่งแข็งเป็นหิน ทำอะไรไม่ถูก จนคุณหมอต้องตบไหล่เขาเบา ๆ แล้วกระซิบบอก “ตอนนี้หมอเชื่อว่ามีคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้คนไข้ผ่านพ้นช่วงเวลาชีวิตอันแสนทรมานนี้ไปได้....” คุณหมอมองเสี้ยวหน้าที่ดูลังเลของเวหาแล้วก็พอจะเดาความรู้สึกเขาได้ จึงพูดต่ออย่างให้กำลังใจ

“แค่คุณโยนความโกรธแค้นออกไปจากใจ....แล้วคุณจะรู้ว่าความสุขกำลังรอคุณอยู่ที่ปลายทาง”

เมื่อพูดจบ คุณหมอก็กำชับกับเวหาอีกครั้งว่าหากมีอะไรฉุกเฉินก็ให้กดปุ่มเรียกพยาบาลได้ตลอดเวลา จากนั้นทั้งหมดก็ขอตัวออกจากห้องไป

เวหาจด ๆ จ้อง ๆ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ความเงียบจนน่าอึดอัดปกคลุมไปทั่วห้อง ยิ่งเห็นสายตาตัดพ้อของบิดาที่มองมาทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงอย่างนั้น

“เวย์...พ่อ...” ภาคภูมิเองก็อึกอักไม่ต่างกัน ยิ่งมองสีหน้าว่างเปล่าของเวหาแล้วใจเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยว แผลที่ข้อมือปวดตุบๆ เจ็บร้าวแข่งกับหัวใจของเขา

เวหาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะผ่อนออกมายาว ๆ เขามองตอบบิดาอย่างชั่งใจชั่วครู่ ดวงตาเหี่ยวย่นที่ชุ่มไปด้วยคราบน้ำตาของท่านฉายแววขอความเห็นใจ ปากที่แห้งแตกพยายามจะพูดอะไรบ้างอย่างแต่ก็เงียบไป เขาเลื่อนสายตาไปที่ข้อมือที่มีผ้าพันแผล สังเกตุว่ามือข้างนั้นสั่นน้อย ๆ คงจะปวดแผลน่าดู

“พ่อ...พ่อขอโทษ...พ่อผิดเอง..พ่อขอโทษ...ขอโทษ” ภาคภูมิได้แต่พร่ำคำขอโทษ เขายกสองมือปิดหน้า น้ำตาไหลมาเป็นสายอีกครั้ง

เวหาถอนหายใจ นี่ถ้าเขายังคงเอาแต่ยืนนิ่งเฉยไม่ทำอะไร เขาก็ไม่ผิดไปจากคำพูดของปริญดาที่ว่าเขาเป็นคนใจร้ายใจดำปฎิบัติกับผู้ที่เป็นบิดาราวกับไม่ใช่พ่อลูกกัน

“ร่างกายพ่อยังไม่แข็งแรง ควรจะพักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ” เวหาบอก เดินไปที่ปลายเตียงแล้วจับผ้าห่มมาคลุมขาให้
ภาคภูมิประหลาดใจเงยหน้ามองเวหาที่กำลังส่งยิ้มมาให้ หัวใจภาคภูมิเต้นลิงโลด ใบหน้าซีดเซียวมีสีสันขึ้นทันที ยิ่งเห็นรอยยิ้มของลูกชายที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับ มันสร้างความสุขความปิติดีใจที่เขาไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้มานานแสนนาน

“เวย์...”

“หมอบอกว่าร่างกายและจิตใจของพ่อตอนนี้อ่อนแอมาก เพราะงั้นพ่อก็ไม่ควรจะเครียดหรือคิดมากจะดีกว่านะครับ” เขาพูดไปยิ้มไป มือก็คอยช่วยพยุงร่างผอมแห้งของบิดาให้นอนลง

“แต่พ่ออยากจะ...”

“ผมรู้ว่าพ่อมีหลายอย่างอยากจะพูดกับผม แต่พ่อควรจะพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อน ผมสัญญาว่าจะอยู่ตรงนี้จนกว่าพ่อจะตื่น หลังจากนั้นพ่ออยากคุยอะไรกับผม ผมยินดีเปิดใจคุยกับพ่อทุกอย่าง โอเคไหมครับ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มของเวหาและแววตาที่อ่อนโยนกว่าครั้งแรกที่เจอกัน ทำให้ภาคภูมิคล้อยตามและเอนกายลงนอน

“เวย์พูดจริง ๆ นะลูก” ภาคภูมิถามซ้ำ

“จริง ๆ ครับ ผมจะนั่งรอพ่อตื่นอยู่ตรงโซฟานี่แหล่ะ พ่อสบายใจได้” เวหายิ้มให้พลางตบมือบิดาเบา ๆ ภาคภูมิจึงคว้ามือใหญ่ของลูกชายมากุมไว้ น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งไปไม่นานรื้นขึ้นมาอีกครั้ง

“ขอบใจ...ขอบใจที่เวย์ยอมพูดกับพ่อ” เขาบีบมือหนาของลูกชายไว้แน่น “พ่อรู้ว่าเวย์คงไม่อภัยให้พ่อง่าย ๆ แต่อย่างน้อย แค่เวย์ยอมฟังความรู้สึกพ่อบ้าง แค่นั้นพ่อก็ดีใจแล้ว...”

มืออุ่นร้อนของเวหาส่งผ่านความอบอุ่นไปยังมืออันเย็นเฉียบของภาคภูมิ แผ่ซ่านไปทั่วร่างและเข้าสู่หัวใจอันเหี่ยวเฉาของเขาจนกลับมาเต้นแรงเลือดลมสูบฉีดอีกครั้ง ยิ่งเห็นใบหน้าคมเข้มที่เหมือนดังภาพซ้อนของกชอรมองตอบเขากลับมา ยิ่งสร้างกำลังใจให้เขาไม่ยอมแพ้ต่อความอ่อนแอของร่างกายที่กำลังทรมานเขาอยู่ตอนนี้

ภาคภูมิใช้แรงอันน้อยนิดบีบมือเวหาและจับไว้มั่น “พ่อขอจับมือลูกจนกว่าจะหลับได้ไหม...”

เวหาพยักหน้า “งั้นผมไปปิดไฟให้ก่อนนะครับ”

เขาเดินไปกดปิดสวิตช์ไฟที่ข้างเสา ก่อนจะเดินกลับที่เตียง เอื้อมไปจับมือบิดาเอาไว้ “พ่อนอนเถอะนะครับ ตื่นขึ้นมาจะได้มีแรงคุยกับผมไง”

ภาคภูมิยิ้มมุมปาก ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วค่อย ๆ หลับตาลง เพียงไม่นาน ลมหายใจของเขาก็เป็นจังหวะขึ้นลงสม่ำเสมอเข้าสู่นิทราไปด้วยรอยยิ้มที่ยังคงค้างติดอยู่บนริมฝีปาก

เมื่อเห็นว่าคนบนเตียงหลับสนิทแล้ว เวหาจึงดึงมือตนเองออกจากมือของบิดาช้า ๆ เลื่อนผ้าห่มมาคลุมที่หน้าอก แล้วเดินไปนั่งที่โซฟา สองแขนเหยียดยาววางบนต้นขา มือประสานกันไว้ สายตาจับจ้องมองใบหน้าบิดาที่กำลังหลับสบายพลางใช้ความเงียบภายในห้องไตร่ตรองประมวลความคิดตนเอง หลังจากที่หลายวันมานี้ความรู้สึกของเขาวกไปวนมาว่าจะทำอย่างไรกับบิดาดี เขาย้ำกับตัวเองนักหนาว่าไม่ควรให้อภัยคนที่ทำให้มารดาต้องฆ่าตัวตาย ทำให้เขาต้องกลายเป็นเด็กเก็บกดและมองว่าผู้หญิงร่ำรวยทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเขาเป็นคนไม่ดีเพราะฝังใจว่าผู้หญิงมีเงินคือคนที่แย่งบิดาไปและทำลายครอบครัวของเขา

แต่มาถึงตอนนี้ เมื่อได้พบกับบิดาอีกครั้งและเห็นท่านต้องอยู่ในสภาพทุกข์ทรมานกับโรคซึมเศร้า พบกับย่าที่เขาแทบจำอะไรเกี่ยวกับท่านไม่ได้จนการมาพบกันในสถานการณ์กระอักกระอวนและได้เห็นการวางอำนาจออกคำสั่งราวกับบ้าคลั่งที่อยู่เหนือทุกคน ทำให้เขาตกใจไม่น้อยที่บิดาทนยอมให้มารดาตนเองบงการชีวิตได้ยาวนานขนาดนี้ และย่าก็คงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บิดาเขาทำอะไรไม่ได้ตามใจนัก

ความโกรธแค้นต่อบิดาที่ฝังรากลึกในใจเขามานานลดทอนลงไปมากเมื่อได้มาเห็นกับตาตนเองว่าคุณย่ามีอิทธิพลและสร้างความเจ็บปวดให้บิดาได้ขนาดไหน และการแสดงออกที่ชัดเจนว่าบิดานั้นรักและดีใจที่ได้พบเขา นั่นก็เป็นสิ่งที่ตอกย้ำคำพูดของปริญดาและปวราว่าบิดารักและคิดถึงเขากับมารดาอยู่เสมอ แต่เพราะมีคุณย่าเป็นตัวขัดขวางจึงทำให้หลายปีมานี้เขากับบิดาจึงไม่เคยมีโอกาสได้พบกัน

ความจริงเขาก็เหนื่อยเหลือเกินกับการแบกความรู้สึกเกลียดชังนี้เอาไว้ อีกไม่นาน เขากับปริญดาจะสร้างครอบครัวใหม่ด้วยกัน หากเขายังมีทิฐิและยึดติดกับเรื่องในอดีต เขาก็คงจะหาความสุขสงบในชีวิตได้ยากเต็มที่ มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องลืมเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ไม่น่าจดจำแล้วยอมให้อภัยบิดา ให้โอกาสท่านกลับเข้ามาในชีวิตเขาเหมือนที่ทุกคนคอยย้ำกับเขามาตลอดหลายวันมานี้จริงๆเสียที

เสียงเคาะประตูเบา ๆ ทำลายความคิดชายหนุ่ม เวหายืนขึ้น มองบิดาที่ยังคงหลับสนิท ก่อนจะเดินไปเปิดประตู

“เป็นยังไงบ้างคะ ปริมเห็นคุณหายไปนาน ก็เลยเป็นห่วง” ปริญดาพึมพำถาม สายตาเพ่งมองไปในห้องที่ปิดไฟมืดเหลือแต่เพียงแสงลาง ๆ ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง

“ตอนนี้พ่อหลับอยู่น่ะ ผมกำลังจะออกไปพอดี เราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่า” เวหาประคองเอวหญิงสาวแล้วปิดประตูเบา ๆ ตามหลัง

ปวราที่ยืนรออยู่รีบเดินเข้ามา ถามเสียงตื่นเต้น “เวย์ได้คุยกับพ่อไหม แล้วเป็นยังไงกันบ้าง”

“ผมเห็นว่าพ่อเจอเรื่องหนัก ๆ มาเยอะแล้ววันนี้ ก็เลยให้พ่อได้พักผ่อนก่อน ผมบอกไปว่าจะรออยู่ในห้องจนกว่าพ่อจะตื่นขึ้นมาแล้วค่อยคุยกัน”

รอยยิ้มผุดที่มุมปากปวรา อย่างน้อยหล่อนก็พอรู้ว่าความรู้สึกของเวหาที่มีต่อภาคภูมิค่อย ๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น “ดีแล้วล่ะจ้ะ ขอบใจเวย์มากนะ แล้วนี่...เวย์จะอยู่รอพ่อตื่นอย่างที่ว่าหรือเปล่า”

เวหาหันไปมองปริญดาที่ตอนนี้เสื้อผ้าเริ่มแห้งแต่ผมของเธอยังเปียกชื้น พอมองไปที่ด้านนอกฝนก็หยุดตกไปแล้ว เขาล้วงหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา “พอดีผมมีนัดตอนห้าโมงเย็น งานนี้ไม่สำคัญเท่าไรผมยกเลิกได้ แต่ผมเป็นห่วงปริม เพราะเธอตากฝนจนตัวเปียก เลยอยากจะพาเธอกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยกลับมาที่นี่อีกครั้ง”

ปริญดาทำเสียงขัดใจ “ปริมไม่เป็นไรจริงๆค่ะ...คุณอยู่...” ไม่ทันพูดจบ หญิงสาวเอามือปิดปากจามถึงสองครั้งติดกัน

“ไม่เป็นไรจริง ๆ” เวหาพูดประชดพลางส่ายหน้า

ปริญดาถูจมูกจนแดง “แต่ปริมกลัวว่าพ่อตื่นขึ้นมาไม่เจอคุณ ท่านจะใจเสียอีกน่ะสิคะ” และอีกครั้งที่เธอจามติดกัน จนปวราต้องเปิดกระเป๋าหยิบทิชชูให้ลูกสาว

“แม่ว่ากลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างที่เวย์บอกดีกว่านะ เป็นหวัดขึ้นมาแล้วจะแย่ เดี๋ยวแม่อยู่เฝ้าพ่อเอง หมดแรงขนาดนั้นดูท่าอีกนานกว่าจะตื่น”

“คิดว่าคงไม่เกินสองสามชั่วโมงหรอกครับ ถ้าพ่อตื่นมาก่อนผมฝากบอกพ่อด้วยแล้วกันว่าผมกำลังมา”

ปวรายิ้มรับ จิตใจหล่อนเบ่งบานที่ได้ยินเวหาพูดถึงภาคภูมิได้อย่างปกติและเรียกว่า ‘พ่อ’ ได้เต็มปากเต็มคำ “ได้สิ เดี๋ยวแม่บอกให้ เวย์พาปริมไปเถอะจ้ะ”

“ขอบคุณครับ” เวหายิ้มตอบ แล้วหันไปโอบเอวปริญดา ลิ่วตาให้เธอรู้ว่าคราวนี้เธอเถียงเขาไมได้อีก

ปริญดาจึงได้แต่มองค้อน บอกมารดาว่าเดี๋ยวเธอกลับมา แล้วจำใจเดินตามเขาไปที่รถอย่างว่าง่าย

ปวราพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก ยิ้มตามคนทั้งคู่ที่เดินเลี้ยวหายไปทางมุมตึก ถ้าหากเวหาและภาคภูมิปรับความเข้าใจกันได้ หล่อนก็จะเหมือนยกภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่งออกไปจากอก ทีนี้ก็เหลือแต่ก้างชิ้นใหญ่อย่างภารตรี ที่หล่อนไม่รู้ว่าจะต้องใช้วิธีไหนมาจัดการไม่ให้มากวนใจภาคภูมิได้อีกต่อไป



“โอย...” ภาคภูมิร้องคราง แผลที่ข้อมือปวดเสียจนปลุกเขาตื่นขึ้นมา

“เจ็บแผลเหรอครับ”

เสียงทุ้มใหญ่ดังสะท้อนข้างหูใกล้ ๆ ภาคภูมิหันไปมอง “เวย์...”

เวหายิ้ม “ครับผมเอง เดี๋ยวผมตามพยาบาลมาฉีดยาแก้ปวดให้พ่อดีกว่านะครับ” พูดเสร็จก็ยื่นมือจะไปกดปุ่มเรียกพยาบาล

“ไม่เป็นไรลูก” ภาคภูมิส่ายหน้า ฝืนยิ้มทั้งที่สีหน้าซีดเซียวแสดงความเจ็บปวด “พ่อไม่อยากหลับต่อ แผลแค่นี้พ่อทนมาหลายครั้งแล้ว พ่อทนได้ พ่ออยากคุยกับลูกมากกว่า”

เวหาสะอึกกับประโยคนั้น แต่ก็ยังคงยิ้มกว้างตอบบิดา “อย่างนั้นก็ได้ครับ” เขาเดินไปปรับหัวเตียง แล้วจัดท่าให้บิดาได้นั่งสบาย ๆ ตอนนั้นหางตาภาคภูมิก็เห็นปริญดากับปวรานั่งอยู่ตรงโซฟา

“อ้าว ปริมกับปิ่นก็อยู่ด้วยเหรอ”

“ค่ะพ่อ ทุกคนเป็นห่วงพ่อก็เลยมากันหมดเลย” ปริญดาเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เวหา สบตากับเขาเล็กน้อยแล้วยิ้ม สีหน้าของเธอดูสดชื่นเมื่อหันไปพูดกับบิดาต่อ

“หนูรู้ว่าพ่ออยากคุยกับเวย์ตามลำพัง” เธอเดาจากแววตาที่ดูผิดหวังเมื่อเห็นเธอกับมารดาอยู่ในห้องด้วย “แต่เราสามคนคิดว่าไหน ๆ เวย์เขาก็เปิดใจที่จะคุยกับพ่อแล้ว ปริมกับแม่เองก็มีเรื่องที่อยากจะบอกพ่อเหมือนกัน แล้วเรื่องนั้นก็เกี่ยวข้องกับเวย์ด้วย พ่อคงไม่ว่าอะไรนะคะ”

ภาคภูมิเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่รู้เลยว่าปริญดาและปวรารู้จักกับเวหาได้อย่างไร และคิดว่าคงเป็นเรื่องนี้ที่ปริญดาพูดถึง

“เอาสิ พวกเราจะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจกันอีกต่อไป”

“ใช่ครับ วันนี้พวกเราจะไม่มีอะไรต้องค้างคาใจกันอีกต่อไป...” เวหาทวนประโยคบิดาซ้ำ ส่งยิ้มอบอุ่นให้ และเผื่อแผ่ไปถึงปริญดาที่ยืนอยู่ข้างกัน เวหาเอื้อมไปจับมือหญิงสาวมากุมไว้ ก่อนจะหันกลับไปหาบิดา

“ก่อนอื่น ผมอยากบอกข่าวดีระหว่างผมกับปริมก่อน ปริมบอกว่าพ่อรู้แล้วว่าเธอกำลังท้องและกำลังจะแต่งงาน”

ภาคภูมิมองสลับกันไปมาระหว่างทั้งคู่ แววตาสงสัยใคร่รู้เมื่อเลื่อนสายตามองไปยังมือที่ทั้งคู่จับกันอยู่ สายตาที่จ้องประสานกันบ่งบอกถึงความรักของหนุ่มสาวที่เขาดูออกได้ในทันที

“นี่อย่าบอกนะว่า...”

ปริญดายิ้มเขินอาย และเป็นเวหาที่ตอบแทน “ครับ ผมกับปริมกำลังจะแต่งงานกัน และปริมก็กำลังมีลูกกับผม”

ดวงตาภาคภูมิเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง อึ้งจนพูดไม่ออก เขาหันไปสบตากับปวราที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ตรงโซฟา เห็นหล่อนพยักหน้ายิ้ม ๆ มีน้ำตาเอ่อคลอหน่วยก็ทำให้รู้ว่าเวหาพูดมานั้นเป็นความจริง

“พ่อคงอยากรู้ว่าผมกับปริมมาคบกันได้ยังไง ผมเองก็ยังแปลกใจ ไม่คิดว่าโชคชะตาจะเล่นตลกให้ผมได้รู้จักปริม และทำให้ผมได้มาเจอพ่อ...” เวหาหัวเราะในลำคอ “และพ่อก็คงอยากรู้ ว่าทำไมผมถึงไม่โกรธไม่เกลียดแม่ของปริม หรือรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่กำลังจะมีลูกกับปริมทั้ง ๆ ที่ปริมเป็นน้องต่างแม่ของผม”

ภาคภูมิพอจะเดาเรื่องราวออก เหตุผลเดียวที่เวหาจะไม่รู้สึกโกรธเกลียดปริญดาและปวรานั่นก็คือ...เวหาได้รู้ความจริงแล้ว เขาผ่อนลมหายใจยาว ความลับที่เขาตั้งใจจะเก็บไว้ตลอดชีวิต ตอนนี้ไม่เป็นความลับอีกต่อไป เขาหันไปสบตากับปริญดาด้วยแววตาสงสารเห็นใจ “ปริม...พ่อเสียใจ”

ปริญดาส่ายหน้า น้ำตาร้อน ๆ เอ่อคลอ “หนูต่างหากที่ต้องเสียใจ เป็นเพราะหนูเกิดมาเลยทำให้แม่ไม่มีทางเลือก หนูทำให้พ่อต้องเสียครอบครัวที่พ่อรัก ทำให้คุณย่าเกลียดพ่อ หนูเองที่เป็นต้นเหตุของทุก ๆ เรื่อง” หญิงสาวสะอื้นร้องไห้ ปวราที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ อดน้ำตาไหลเพราะสงสารลูกสาวไม่ได้

“ปริม...พ่อไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะลูก” ภาคภูมิร้องท้วง หัวใจเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นปริญดาร้องไห้ตัดพ้อต่อว่าตนเอง

“พ่อรักหนูเหมือนลูกแท้ ๆ ไม่เคยมองว่าหนูเป็นปัญหาของพ่อเลย วันที่หนูเพิ่งเกิด ร่างกายหนูผอมมากจนต้องอยู่ในตู้อบหลายวัน รู้ไหมว่าพ่อไปเฝ้าดูหนูอยู่ทุกวัน พ่อรักหนูขนาดนี้ ปริมก็ไม่ควรจะคิดโทษตัวเองนะลูก”

ปริญดาน้ำตาไหลอาบแก้ม รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้รับความรักมากมายจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบุญธรรม แต่ในทางกลับกัน ความรู้สึกนี้มันก็ทิ่มแทงใจเธอเพราะความรักนั้นควรจะเป็นเวหาต่างหากที่สมควรได้รับไม่ใช่เธอ

“แต่ปริมเป็นคนแย่งพ่อไปจากเวย์ เขาควรได้รับความรักจากพ่อไม่ใช่หนู...”

“ปริม...” เวหาทำเสียงดุ ใบหน้าเครียดขึงมองปริญดา “ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกคิดแบบนั้นซะ ผมคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก”

ปริญดาได้แต่ก้มหน้าร้องไห้พูดอะไรไม่ออก เธอรู้ว่าเวหาไม่คิดเล็กคิดน้อยเหมือนเธอ แต่เวหาคือคนที่เธอรัก การทำใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนทำลายชีวิตเขามันช่างยากเย็นเหลือเกิน

เวหาใช้สองมือประคองใบหน้าเธอให้สบตาเขา เช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มแล้วพูดขึ้น “ครั้งนี้ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย” สายตาเขามุ่งมั่นจริงจัง

“ผมไม่เคยคิดว่าคุณแย่งพ่อไปจากผม ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมรู้ความจริง ผมโยนความคิดพวกนั้นทิ้งไปหมดแล้ว ความรู้สึกที่ผมมีตอนนี้คือความรักที่มีให้คุณกับลูก และผมก็ยังเคารพนับถือแม่ของคุณเหมือนแม่ของผมเอง เพราะฉะนั้นคุณก็ควรเลิกคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองเสียที ตกลงนะ”

ปริญดาพยักหน้า มองสบตาเขาที่กำลังส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ เป็นยิ้มที่เธอรู้ตัวว่าคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถ้าปราศจากมัน ร่างของเธอถูกดึงเข้าไปกอด มือใหญ่ลูบขึ้นลงบนแผ่นหลังสร้างความรู้สึกปลอดภัยราวกับเขาคือที่คุ้มกันอันตรายสิ่งเดียวที่เธอมี

ภาคภูมิมองภาพตรงหน้า ความตื้นตันสุขล้นแล่นขึ้นมากลางอก ไม่เคยคาดคิดว่าได้เห็นวันนี้ วันที่ลูกชายและลูกสาวที่เขารักและเอ็นดูเหมือนลูกแท้ ๆ ได้ลงเอยมีความสุขด้วยกัน ถึงแม้มันจะแปลกอยู่สักหน่อยที่ทั้งคู่มีเขาเป็นบิดาคนๆ เดียวกัน แต่นั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับทั้งสองคนได้ทำตามที่หัวใจตัวเองปรารถนา ไม่ต้องมาเหมือนเขาและปวราที่ผิดหวังและทนทุกข์อยู่กับชีวิตที่ตนเองไม่ได้ต้องการ

“พ่อดีใจที่เห็นเวย์กับปริมรักกันมากขนาดนี้ การได้อยู่กับคนที่เรารัก ถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตเราแล้ว” น้ำเสียงเขาสั่นเครือในตอนท้าย ก้มหน้าลงเพื่อซ่อนน้ำตา

“พ่อครับ..” เวหากระซิบเรียก “ผมรู้ว่าพ่อเสียใจแค่ไหนที่ต้องพัดพรากจากแม่ไป แต่แม่จากเราไปตลอดกาลแล้วครับ และแม่คงจะเสียใจถ้ารู้ว่าพ่อยังคงทุกข์ทรมานและคิดจะฆ่าตัวตายตามแม่ไปแบบนี้”

“แต่พ่อ..พ่อทำใจไม่ได้...พ่อรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้แม่ต้องฆ่าตัวตาย...” ยิ่งพูดภาคภูมิก็ยิ่งร้องไห้หนัก เขายกมือสองข้างขึ้นมากุมศีรษะลืมความเจ็บที่ข้อมือไปชั่วขณะ

ปริญดาเห็นว่าเธอควรจะปล่อยให้เวหาได้คุยตามลำพังกับบิดา เธอจึงค่อย ๆ หมุนตัวเดินไปนั่งรอข้าง ๆ มารดาที่กำลังกลั้นอาการร้องไห้ จนเธอต้องคอยปลอบไปด้วย

หัวใจของเวหาบีบรัดเจ็บปวด เขาคิดไม่ถึงว่าบิดาจะมีอาการเศร้าเสียใจเรื่องการตายของมารดหนักหนาสาหัสเช่นนี้ คนที่จะทำให้บิดาปลดเปลื้องความทุกข์เหล่านี้ก็คงมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น

“ผมเองก็เสียใจไม่แพ้กันครับ” เขาบอกบิดา “แต่ผมมีความรู้สึกตรงกันข้าม เพราะผมเห็นแม่ตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ผมช่วยอะไรแม่ไม่ได้เลย ความเสียใจนั้นก็เพิ่มทวีคูณกลายเป็นความโกรธเกลียด แค้นทุกคนที่ทำให้แม่ต้องตาย และมันก็ทรมานผมทุกครั้งที่คิดถึงแม่” เขากล้ำกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอ

“เป็นความผิดพ่อเอง...เพราะพ่อไม่เข้มแข็งพอที่จะทำตามความรู้สึกตัวเอง”

“ผมก็เคยคิดแบบนั้นมาตลอด คิดว่าทุกอย่างเป็นความผิดของพ่อ และจะไม่ให้อภัยพ่อเด็ดขาดที่ทำให้แม่ตายและทิ้งให้ผมต้องอยู่คนเดียว” แต่น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ไม่มีอารมณ์โกรธแฝงอยู่เลย “แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังจะมีครอบครัว มีลูก อนาคตที่สดใสกำลังรอผมอยู่ และผมไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ถ้าไม่รู้จักปล่อยวางและทิ้งความเจ็บปวดในอดีตไปซะ”

ภาคภูมิใจเต้นแรง แววตาประกายความหวัง “เวย์หมายความว่ายังไง...”

เวหายิ้มจนเห็นลักยิ้มเด่นชัด เป็นยิ้มที่แสดงถึงความจริงใจไม่ปิดบัง “ผมมาคิดดู ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะโกรธพ่อต่อไปเพื่ออะไร แม่ก็เสียไปนานแล้ว ที่ผ่านมาพ่อก็ต้องทนทุกข์กับโรคซึมเศร้ามานานหลายปี ความจริง ถ้าผมไม่ได้มาเจอพ่อ ผมก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีความรู้สึกโกรธเกลียดพ่ออยู่ แล้วมันจะต่างอะไรถ้าตอนนี้ผมจะลืมมันไปเหมือนที่ผ่าน ๆ มา จริงไหมครับ”

น้ำตาภาคภูมิเอ่อซึม คำพูดของลูกชายเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ชะโลมจิตใจที่มืดมนของเขาให้กลับมาสดชื่นมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาจ้องมองใบหน้าของลูกชายให้ชัด ๆ เพื่อย้ำให้ตัวเองแน่ใจว่าที่เขาได้ยินนั้นไม่ได้ฝันไป และประโยคถัดมาของเวหาก็ทำให้เขาถึงกับน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง โผเข้ากอดร่างใหญ่ของลูกชาย ซบหน้าร้องไห้แต่มีรอยยิ้มประดับบนฝีปากบนบ่ากว้างนั้นด้วยความเป็นสุขใจ
<><>>><><>><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><

คุณ lamyong เวย์ยอมอภัยให้พ่อแล้ว หายงอลหรือยังคะ ^^

คุณ Zephyr เวย์มัวแต่ยึดติดกับอดีตกว่าจะยอมรับพ่อได้อีกครั้งก็ต้องใช้เวลา คุณย่านี่ไม่ไหวเลยใช่ไหมคะ แหะๆ ^^



เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ต.ค. 2558, 13:03:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2558, 13:03:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1391





<< ตอนที่ 38   ตอนที่ 40 >>
โอชิน 5 ต.ค. 2558, 15:08:43 น.
อยากเห็นจุดจบของคุณป้าภารตี..นางคือแม่มดวัยชรา..!
ในที่สุดสองพ่อลูกก็เข้าอกเข้าใจกันสักทีนะ เฮ้อ โล่งอก ^_^


lamyong 5 ต.ค. 2558, 17:35:09 น.
ให้มาหั่นหอมแถวนี้เนี่ย น้ำตาไหลพราก ๆ เลย T_T ดีใจกับเวย์ด้วยที่ลงเอยกันได้สักที


Zephyr 9 ต.ค. 2558, 21:09:35 น.
ตบยายแม่มดภารตี
ทิ้งนางเข้าบ้านคนชราไปเห้อะะะะะ
รำคาญนางจริงจัง
แก่แล้วไม่ปล่อยวาง
ลูกหลานหายหมด
เหงานะๆๆๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account