แกะรอยกามเทพ (รีไรต์)
'เทวานิรมิต' โรงแรมหรูกลางกรุงที่ใครเขาว่างดงามดุจเทวดารังสรรค์
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง
1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต
'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา
'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน
และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ
ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง
1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต
'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา
'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน
และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ
ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๖
๖
สถานที่นัดพบกันของเพื่อนเก่าคือร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ย่านสยาม หลังกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง หญิงสาวก็มาถึงร้านตามเวลานัด ทว่าคนที่เพิ่งเลิกงานนั่งดื่มเบียร์สดรอก่อนอยู่แล้ว เขายกแก้วทักทายเมื่อเห็นเธอ
ทิวบุญนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาเตี้ยฝั่งตรงข้าม ก่อนเธอจะสั่งเบียร์อีกเหยือกสำหรับตัวเอง ครั้นลับร่างบริกรแล้วชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นทันที
"โลกกลมชะมัด ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเธอทำงานข้างบน"
"เพิ่งมาทำน่ะ"
วิเศษขยับตัวมาข้างหน้า เขาลดเสียงลงเกือบกระซิบจนเธอตั้งนิ่วหน้าตั้งใจฟัง
"ถามจริง คุณลักขณาจ้างมาหรือเปล่า"
"บ้า" เพื่อนสาวตอบเสียงหลง "เปล่าย่ะ พูดงี้รู้อะไรดีๆ บอกมานะ"
"ไม่เอาดีกว่า นี่ออกมาพักผ่อนนะ จะคุยเรื่องงานทำไม"
ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังซดเบียร์อึกใหญ่ เขาเอนหลังพิงพนัก ประสานมือไว้ใต้ท้ายทอยอย่างยียวน เรียกค้อนขวับจากคนที่อุตส่าห์สนใจฟัง ก่อนเจ้าหล่อนจะหรี่ตาลงอย่างมีเลศนัย
"งั้นถามใหม่ก็ได้ รู้จักคนชื่ออุ้มบุญหรือเปล่า"
ทิวบุญลอบสังเกตเพื่อนซึ่งถึงกับงันไป เมื่อได้สติแล้วจึงเสยผมแรงๆ เขากระเด้งตัวนั่งตรงพลางชี้นิ้วมายังเธอ
"นี่เธอไปรู้อะไรมาแค่ไหน" เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม
"รู้ไม่มากหรอก ทำไม"
วิเศษถอนใจหนักๆ สีหน้าสีตาขุ่นลงอย่างเห็นได้ชัด
"รู้หรือเปล่าว่าเป็นผู้หญิงที่หย็องจะไม่ยุ่งด้วยอีก เข็ด เข็ดจริงๆ ไม่ขอยุ่งกับคนที่ดูถูกคนอย่างนั้นอีก"
เธอมองเพื่อนดื่มเบียร์อึกใหญ่พร้อมกับนึกละอายใจ ตั้งแต่รู้จักกันมาเธอเคยเห็นแต่สีหน้า ท่าทางล้นๆ รั่วๆ ของอีกฝ่าย ไม่เคยเห็นเขาจริงจังหรือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเช่นนี้เลย แต่ก็เกิดขึ้นเพราะน้องตน
"แล้วนี่รู้จักผู้หญิงคนนั้นได้ยังไง"
ทิวบุญถอนหายใจก่อนตอบเช่นกัน "อุ้มเป็นน้องเราเอง เรามาทำงานที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้แหละ"
คิ้วหนายังคงเลิกขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ เธอจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง จากที่เคยรู้จักตัวตนกันมา เธอเชื่อใจชายผู้นี้ได้ว่าเขาจะไม่นำไปพูดต่อกับใคร
วิเศษรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่แปลกใจสักนิดที่เธอกล้าตัดสินใจอย่างนั้น เธอใจแข็งกว่าที่คิด หยาบกระด้างกว่าใบหน้าอ่อนหวานของเธอ
"หย็องเสียใจด้วยนะเรื่องหลาน" กับเพื่อน...เขายังคงใช้ฉายาเรียกแทนตัวดังเดิม "แต่ทิวจะเอาตัวเองมาพัวพันปัญหาไปเพื่ออะไร ให้มันจบไปไม่ดีกว่าหรือ"
"ไม่ใช่ว่าเราเป็นพี่ที่ดีหรอกนะ แต่นี่มันไม่ยุติธรรมที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องได้รับความเจ็บปวด เสียใจ โดยที่อีกคนยังลอยหน้าลอยตา ใช้ชีวิตปกติสุขดี"
"แล้วทิวจะทำอะไรเขาได้"
"ถ้าเป็นนายวิน เราก็อยากเห็นเขาลำบาก ตกงาน หรือถ้าเป็นนายทัดเทพ เราอาจช่วยคุณลักขณาก็ได้" เธอบอกความตั้งใจเหมือนมันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเลย "ตกลงนายจะบอกได้ไหมว่าอุ้มคบอยู่กับใคร"
วิเศษสั่นศีรษะ เขาช่วยอะไรเจ้าหล่อนไม่ได้เลย ในเมื่อเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอุ้มบุญคบกับใคร ตนจึงได้พยายามหยอดพยายามจีบไปเรื่อย กระทั่งถูกตอกหน้ากลางเพื่อนร่วมงาน ความชื่นชมในรูปลักษณ์ภายนอกที่มีต่ออีกฝ่ายจึงสลายวับทันที
"หย็องก็ไม่รู้ ทิวไม่คิดบ้างเหรอว่าอาจไม่ใช่คนในเทวานิรมิต"
เธอเคยคิด แต่นั่นเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน
"เป็นไปได้ยาก อุ้มไม่มีเพื่อนมาก ไม่มีสังคมที่ไหน แล้วในบันทึกนั่นมันก็ดูจะปลาบปลื้มสองคนนั้นกว่าใคร" เธอวิเคราะห์
"แต่เราว่าน้องเธอคงไม่ปลื้มคุณทัดเทพแล้วล่ะ"
"ทำไม" หญิงสาวรีบโพล่งถาม
ทิวบุญวางเหยือกเบียร์ลงกับโต๊ะกระจกเบื้องหน้า เธอขยับตัวนั่งตรงอย่างตั้งใจฟัง เมื่อมันเป็นเรื่องที่น้องไม่ได้บันทึกไว้ เธอไม่ทราบมาก่อนเลย
........................
วิเศษหวนนึกถึงวันที่เขาและลูกน้องคนหนึ่งขึ้นไปดูระบบไฟในห้องประชุมบนชั้นแปด แต่เมื่อกลับออกมาผ่านหน้าห้องทำงานผู้บริหารใหญ่ก็พบกับเลขาฯ คนก่อนของผู้เป็นนายและอุ้มบุญเดินหน้าเสียออกมาจากห้องทำงานนั้น โดยเฉพาะผู้ที่เขาเพียรตามตื๊อนั้นมีน้ำตาคลอหน่วย เขาไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร กระทั่งวันถัดมาที่ขึ้นไปซ่อมบำรุงระบบไฟต่ออีกครั้งก็ไม่พบแม่เลขาฯ คนเดิมนั้นอีกเลย
"หย็องไม่รู้นะว่าเรื่องอะไร แต่เขาว่ากันว่าเลขาฯ คนก่อนก็เป็นคนของคุณลักขณานี่แหละ ไม่รู้ว่า...น้องเธอไปเกี่ยวข้องจนโดนหางเลขไปด้วยได้ยังไง ถึงบอกไงว่าทิวอย่าพาตัวมาพัวพันดีกว่า
"บางทีหย็องก็เบื่อพวกช่างเมาท์กับพวกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่นั่นนะ แถมโดนน้องเธอด่าซะกลางโรงอาหารอีก ถ้าไม่ติดที่เห็นแก่คุณวิรัชรับเด็กเรียนไม่จบอย่างเราเข้าทำงาน แล้วก็คุณทัดเทพที่อุตส่าห์ไว้ใจ หย็องอาจออกไปนานแล้ว"
ที่แท้เพื่อนต่างคณะที่เธอทราบข่าวว่าโดนรีไทร์จากมหาวิทยาลัยก็มาอยู่ที่นี่เองสินะ แต่ฟังจากคำบอกเล่าของเขาก็ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าโรงแรมนั้นคือสถานที่ที่เทวานิรมิตจริงหรือไม่ หรือซาตาน ปิศาจต่างหากที่สร้างภาพลวงตาขึ้นมา
"ถ้าเป็นอย่างที่นายเล่า หย็อง เอ๊ย! เจ๋ง... นายว่ามันแปลกไหมที่คุณทัดเทพยังรับเราเข้าทำงาน ทั้งที่รู้ว่าเราเป็นพี่ของอุ้ม" เธอนึกทบทวน
"เรียกหย็องอย่างเดิมก็ได้" เขาบอกกลั้วหัวเราะพลางไล้ปลายนิ้วหมุนวนกับขอบแก้วอย่างตรึกตรอง "ก็แปลกนะ แต่เท่าที่รู้จักคุณทัดเทพมา เขาเป็นคนมีเหตุผล ถ้ามองมุมนี้ก็ไม่แปลกที่เขาจะรับทิว ขนาด...น้องเธอยังไม่โดนไล่ออกเลยนี่"
ทิวบุญคิดตามหากก็ยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด เธอรู้จักผู้บริหารหนุ่มไม่มากพอ เช่นเดียวกับอัครวินท์...หัวหน้าสายงานของอุ้มบุญ
"แล้วนายวินล่ะ นายว่าเขาเป็นคนยังไง"
วิเศษนิ่วหน้า "ไม่ตอบมากนะ ไม่รู้จริงๆ แต่เท่าที่เห็นภายนอกเขาก็ดูสุภาพ ใจดีล่ะมั้ง"
หญิงสาวตัดสินใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นเธอควรเริ่มทำความรู้จักกับหัวหน้าฝ่ายขายคนนั้นก่อนท่าจะดีที่สุด ในเมื่อเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นพี่สาวของอดีตลูกน้องใต้บัญชา นั่นคงทำให้เธอได้เห็นตัวตนแท้จริงอีกฝ่ายง่ายขึ้นนั่นเอง
........................
เมื่อตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้คนหนึ่งแล้ว ทิวบุญรู้สึกเหมือนตนก้าวกระโดดจากจุดเริ่มต้นเข้าใกล้เส้นชัยอีกเพียงครึ่งทาง สิ่งเดียวที่รั้งเธอไว้ตอนนี้คืองานซึ่งทับถมมากขึ้นทุกวัน ทั้งเตรียมเอกสารการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น แล้วยังต้องจัดหาของว่างและเครื่องดื่มสำหรับผู้ร่วมประชุมอีก
"ทางห้องอาหารข้างล่างส่งรายการขึ้นมาแล้วค่ะ คุณจะดูก่อนไหมคะ" เธอบอกเป็นอย่างสุดท้ายขณะรายงานความคืบหน้าแต่ละงานที่ได้รับมอบหมาย
"อะไรบ้างล่ะ ว่ามาเลย" เขาถามทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากเอกสารที่จะใช้ในที่ประชุม
"ขนมปังหน้าหมูเป็นไงคะ ดิฉันคิดว่าให้ความรู้สึกไทยๆ ดี มิสเตอร์กัว...ผู้ถือหุ้นจากจีนที่มาร่วมประชุมด้วยก็น่าจะประทับใจ ส่วนผลไม้เป็นเงาะกับมังคุด ปอกเปลือกครึ่งให้สวยและสะดวกต่อการรับประทาน เครื่องดื่มก็มีกาแฟ ชา"
ทัดเทพผงกศีรษะพอใจ เท่าที่ร่วมงานกับเลขาฯ คนใหม่มาเกือบเดือนก็พบว่าเธอทำงานได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง แทบไม่ต้องพูด สอน หรือมีเรื่องให้ตำหนิเลย และบางครั้งเธอยังกล้าเสนอความคิดเห็น อีกทั้งยังมีเหตุผลประกอบการตัดสินใจที่น่าชื่นชม
"ตกลงตามนั้น แต่เพิ่มปอเปี๊ยะทอดด้วยท่าจะดี ร้านของเราทำอร่อย"
"ค่ะ งั้นดิฉันขอตัวเลยนะคะ จะลงไปทานข้าวแล้วจะได้พูดคุยกับทางห้องอาหารเลยทีเดียว"
ชายหนุ่มเผลอเงยหน้ามองผู้ที่นั่งตรงข้ามเมื่อรู้สึกถึงกระแสเสียงประชด หรืออีกนัยก็เหมือนเธอเตือนให้เขาดูนาฬิกา เลยเวลาพักมาชั่วโมงเศษ แต่เขาก็กระดิกตัวไปไหนไม่ได้ด้วยมีเวลาเคลียร์งานอีกเพียงไม่นาน เขาก็ต้องออกไปรับลูกที่โรงเรียน มันเป็นหน้าที่ที่ตนเต็มใจทำและจะพยายามทำไม่ให้ขาดไปสักวัน
ทิวบุญวางกองเอกสารไว้บนโต๊ะหน้าห้องนั่นเอง พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้น เธอลังเลว่าจะรับสายดีหรือไม่ คงไม่แคล้วเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคารโทรมาเสนอดอกเบี้ยบัญชีเงินฝากของเจ้านายตน เธอหันมองประตูห้องทำงานที่ปิดสนิท แต่แล้วก็ตัดสินใจรับสายทั้งที่หิวท้องกิ่ว แล้วเสียงซึ่งกรอกตอบมานั้นก็ทำให้ลำไส้ซึ่งขดมวนนั้นคลี่คลาย กลายเป็นความอิ่มเอิบ ยินดีแทน
"คุณทิว ผมวินนะครับ คุณยุ่งอยู่ไหม แม่บ้านในโรงอาหารบอกว่าวันนี้ไม่เห็นคุณลงมา ผมเลยโทรมาชวนเผื่อว่าจะสนใจไปทานด้วยกัน"
มีคำตอบเดียวเท่านั้นที่เธอให้ได้...ด้วยความเต็มใจ!
...........................
ร้านที่อัครวินท์พามาเป็นร้านอาหารอิตาเลียนเล็กๆ ในซอยไม่ไกลจากเทวานิรมิต ก่อกำแพงด้วยอิฐมอญโดยไม่โบกปูนและทาสีทับแต่อย่างใด ภายในเป็นโต๊ะไม้ขัดมัน เก้าอี้ยาวต่อติดกันเป็นแถว แล้วยังมีเคาน์เตอร์และเก้าอี้ทรงสูงสำหรับชมเชฟนวดแป้งและอบพิซซ่าหน้าเตาเดี๋ยวนั้น ทิวบุญเลือกนั่งตรงนั้นโดยไม่ลังเล
"กลางวันคนไม่มากหรอกครับ แต่ถ้าเป็นตอนเย็นล่ะเต็มทุกโต๊ะ"
หญิงสาวมองป้ายกระดานดำซึ่งเขียนรายการอาหารและเวลาเปิดปิดร้านด้วยชอล์กบนผนัง แล้วก็เห็นว่าอีกเพียงชั่วโมงเศษก็จะถึงเวลาปิดพักช่วงบ่าย ก่อนเปิดอีกทีช่วงเย็น
"แสดงว่าวินพาสาวๆ มาบ่อย" เธอเย้าเขา สนิทสนมพอที่จะไม่ต้องรักษาความสุภาพ ห่างเหินไว้ต่อไป
"ผมเลยดูเป็นคนเจ้าชู้ไป" เขาพ้อกลั้วหัวเราะ ก่อนสั่งพาสต้าและพิซซ่ากับพนักงานพลางหันมาชวนคนข้างๆ "คุณทิวทานพิซซ่าด้วยกันนะ แล้วจะสั่งอะไรเพิ่มอีกดีครับ"
"ร็อกเก็ตสลัดแล้วกันค่ะ" เธอสั่งปิดท้ายพร้อมกับโน้มตัวไปกระซิบ "ร้านนี้ไม่แพงมากแน่นะคะ เงินเดือนเดือนแรกฉันยังไม่ออกเลย"
อัครวินท์หัวเราะเต็มเสียง ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยอายที่จะพูดให้ตัวเองดูแย่ และเขาก็มีความสุขเหมือนได้เปลี่ยนบรรยากาศกับความสมบูรณ์แบบรอบตัวมาสัมผัสอะไรแบบนี้เสียบ้าง
"คราวนี้ผมเป็นเจ้ามือก่อน คราวต่อไปตาคุณทิว"
อ้อ... 'ไม่แก่ สปอร์ต ใจดี กทม' สินะ เธอนิยามเขาอย่างที่คนอื่นฮิตพูดกัน
"ถ้าฉันเป็นเจ้ามือล่ะก็ ระวังเสียรอบวงนะคะ"
ทิวบุญลอบสังเกตคนที่มีรอยยิ้ม หัวเราะอย่างมีความสุขเหลือเกิน ใบหน้าขาวสะอาด ไม่มีแม้แต่ไรหนวดเครานั้นคงมีเชื้อสายจีน หากคิ้วคมเข้มรับกับขนตาสวยเสียยิ่งกว่าขนตาผู้หญิงก็เพิ่มความโดดเด่น ดึงดูดสายตาคนมองอย่างยากจะปฏิเสธความหลงใหลรูปลักษณ์นั้นได้ เมื่อรวมกับท่าทางสุภาพ เป็นมิตร แลดูไม่มีพิษมีภัยของเขา คงไม่แปลกหากอุ้มบุญหรือผู้หญิงคนไหนจะหลงรักบุรุษผู้นี้
หญิงสาวยกโทรศัพท์มือถือของตนมาถ่ายคลิปเมื่อเชฟชาวไทยที่ชายหนุ่มเล่าว่าเคยทำงานในร้านอาหารที่อิตาลีโยนแป้งพิซซ่าขึ้นกลางอากาศต่อหน้าต่อตา ก่อนแป้งแผ่นบางจะหล่นลงมาหมุนคว้างบนปลายนิ้วอย่างแม่นยำ เขาโยนมันสลับมือไปมา ก่อนวางลงอีกครั้งเพื่อโรยเครื่องซึ่งประเอบด้วยปาร์มาแฮม ซาลามี ปิดท้ายด้วยชีส แล้วจึงนำเข้าเตาอบซึ่งก่ออิฐเป็นปล่องไฟ
"ดีใจที่เห็นคุณทิวชอบที่นี่" เขาชวนคุยระหว่างรอ
"ค่ะ ฉันชอบอะไรแบบนี้"
"ไว้ไปทานเทปปันยากิด้วยกันสิครับ ผมมีร้านแนะนำ"
อัครวินท์หมายถึงร้านอาหารญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่มีกระทะร้อนและพ่อครัวปรุงต่อหน้าลูกค้า
"เอาสิคะ วินรู้จักที่ดีๆ เยอะเนอะ"
"มันเกี่ยวกับงานน่ะครับ บางทีก็ต้องเทคแคร์ลูกค้า คู่ค้า ก็เลยรู้จักพอสมควร"
"ฉันย้ายแผนกดีไหมนะ" ทิวบุญทำท่าแสนเสียดาย "รู้ไหมคะ จริงๆ ฉันมาสมัครแผนกคุณนะ แต่ก็มีอันเป็นไปเสียก่อน"
เธอลอบสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย มือที่ถือส้อมพันเส้นพาสต้าชะงักไปนิดหนึ่ง หากชายหนุ่มก็ส่งยิ้มบางกลับมา
"แบบนี้ก็ดีแล้วครับ ผมคงละอายน่าดูถ้ามีลูกน้องเก่งกว่าอย่างคุณทิว"
"อ้าว วินชอบคนโง่ๆ ก็ไม่บอก ฉันก็ลืมไปว่าผู้ชายชอบผู้หญิงใสๆ ซื่อๆ ถึงได้ใบจองหมู่บ้านคานทองมาไว้แล้วนี่แหละค่ะ"
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่ละคนก็มีเสน่ห์ของเฉพาะตัว"
ถึงจะตอบปลอบใจอย่างนั้นหากหญิงสาวก็สังเกตว่าอีกฝ่ายทานอาหารไม่อร่อยเสียแล้ว พาสต้าในจานเขาแทบไม่ได้ถูกตัก ต่อเมื่อเชฟยกพิซซ่ามาตัดแบ่งตรงหน้า เธอจึงตักชิ้นหนึ่งบริการเขาอย่างเอาใจ
เธอจะทำให้ไก่ตื่นก่อนไม่ได้ ใจเย็นและสงบปากคมๆ ของเธอเถอะน่าทิวบุญ
"สงสัยหมดมื้อนี้กลับไปฉันต้องสมัครฟิตเนสแล้วล่ะ" เธอครวญทีเล่นทีจริง
ได้ผล...เมื่อผู้ที่เงียบไปหันมองตาเป็นประกายอย่างสนใจคำพูดนั้น เธอไม่ได้ตาบอดนี่นะที่จะได้มองไม่เห็นว่าภายใต้เสื้อเชิ้ตรีดเรียบของเขาซ่อนรูปร่างอย่างคนออกกำลังกายหนักไว้แทบไม่มิด ไม่ใช่เนื้อเหลวเป๋วหรือผอมติดกระดูก หุ่นเช่นนี้จะมาจากสาเหตุใดไปได้ ประกอบกับผิวขาวของเขาที่ทำให้เธอมั่นใจว่าเขาคงใช้เวลาว่างในฟิตเนสแน่นอน
"คุณทิวชอบออกกำลังกายหรือ ดีนะครับ ดีกว่าไม่กล้าทานอะไรเพราะกลัวอ้วน หรือทานยาลดความอ้วน ผมไม่เข้าใจผู้หญิงแบบนั้นเลย"
"ฉันก็ไม่เข้าใจผู้หญิงที่ทำร้ายตัวเองเหมือนกันค่ะ ชีวิตก็ชีวิตเรา จะแคร์อะไรสายตาคนอื่นมากมาย" เธอตอบแฝงความนัย
อัครวินท์จ้องมองสุภาพสตรีที่มีทัศนคติน่าชื่นชม ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้รู้จักผู้หญิงที่มีความมั่นใจเช่นนี้ เธอไม่ได้สวย น่ารัก แต่เธอมีเสน่ห์ที่มาจากภายใน ต่างจากผู้หญิงส่วนใหญ่ที่แทบมาล้มพับต่อหน้าเขา หญิงสาวหน้าตากิริยาน่ารักก็จริง แต่ก็เป็นฝ่ายรอรับความรักจากเขาข้างเดียว
ความสุข ความรื่นรมย์เช่นนี้หาได้ยากจากผู้หญิงเหล่านั้น
"ไว้ไปฟิตเนสที่ผมเป็นสมาชิกก็ได้ครับ ผมมีบัตรสมนาคุณอยู่ ให้ทิวไปลองเล่นดูก่อนว่าชอบไหม ยังไง" เขาเสนอ
"ขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะ ถ้าฉันรอดตายจากงานประชุมบอร์ดที่ใกล้เข้ามานี้ได้ ฉันจะไปวิ่งสู้ฟัดกับคุณแน่"
เธอตะครุบโอกาสทองที่จะตีสนิทและรู้จักบุรุษนี้ให้มากขึ้นไว้ หัวใจโลดแรงกับความท้าทาย อุปสรรค และปมในใจซึ่งมีแววจะคลี่คลายเสียที
ถ้าคนใจร้าย หลอกลวงน้องเธอเป็นชายหนุ่มคนนี้จริงก็เท่ากับเธอได้เรียนรู้จุดอ่อนเขาไปโดยปริยาย หรือถ้าไม่... ก็เหลือผู้ชายจากในบันทึกของอุ้มบุญอีกคนเดียว เจ้านายของเธอ...
........................
สปาเก็ตตี้ครีมซอสอุ่นๆ ส่งกลิ่นหอมทันทีที่ถ่ายจากกล่องทูโกใส่จาน ให้ตาย ทิวบุญไม่เคยทำอย่างนี้กับเจ้านายคนไหน แต่เจ้าของเทวานิรมิตกำลังจะได้รับโอกาสนั้น เมื่อเธอต้องพยายามเอาใจเขาไม่น้อยกว่าเรื่องงาน
หญิงสาวประคองถาดใส่จานอาหารจากแพนทรี รูมมาถึงห้องทำงาน เธอเคาะประตูไม้เนื้อหนา ก่อนจะมีเสียงอนุญาตลอดออกมา
ทว่าชายหนุ่มไม่ได้อยู่ลำพัง มีผู้ซึ่งเธอไม่คาดคิดอยู่ในห้องด้วยกันกับเขา ลักขณาดูจะตะลึงงันไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นเธอยกถาดอาหารเข้ามา
"เดี๋ยวนี้มีบริกรส่วนตัวด้วยหรือคะเทพ" น้ำเสียงนั้นยากจะคาดเดาได้ว่าผู้พูดยินดีหรือยินร้าย
ทิวบุญไม่ได้เจอสตรีผู้นี้อีกเลยนับแต่แรกเข้าทำงาน และครั้งนี้เธอก็เป็นฝ่ายอึดอัดที่ถูกมองด้วยสายตาวาววับอย่างยากจะคาดเดาความคิดอีกฝ่าย รวมทั้งแววตาฉงน เลิกคิ้วมองมาของเจ้านายตนเอง เขาคงประหลาดใจไม่น้อยว่าเธอทำอะไร
ใช่สิ... นี่เธอทำบ้าอะไร! หญิงสาวเอ็ดอึงตัวเอง
"ดิฉันเห็นคุณเทพยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันน่ะค่ะ ก็เลยซื้อขึ้นมาฝาก"
"ผมทานแล้วล่ะ ขอบใจ" เขาตอบโดยไม่รักษาน้ำใจ
ร่างระหงไหวไหล่เก้อๆ เธอเองก็ลืมนึกไปว่าเขาอาจทานแล้วเรียบร้อยระหว่างเธอไม่อยู่ ทิวบุญหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ออกมาจากห้องนั้น เธอวางกระแทกถาดกับเคาน์เตอร์ครัวในแพนทรี รูมอย่างขุ่นเคืองตนเอง ก่อนจะจัดการเททั้งหมดใส่กล่องพลาสติกที่ล้างเก็บไว้
ต่อให้โกรธและเสียหน้าอย่างไรเธอก็เป็นยัยงก อย่างน้อยก็เก็บไว้อุ่นเวลาหิวคืนนี้ได้
"พี่ขอโทษแทนเทพด้วยนะคะ เขาก็เป็นคนแบบนี้ ไม่ค่อยนึกถึงความรู้สึกคนอื่น" เสียงหวานดังขึ้นเบื้องหลัง
เลขาฯ สาวหันไปมอง แล้วก็พบกับใบหน้าแสดงความเสียใจสุดซึ้งจนเศร้าหมอง ผิดกับอยู่ต่อหน้าสามี
"น้องทิวคงเข้าใจหัวอกพี่แล้วกระมัง"
เธอสั่นศีรษะ "ดิฉันเป็นแค่ลูกน้องค่ะ เทียบกับคุณลักขณาไม่ได้หรอก"
ลักขณาจับมืออีกฝ่ายบีบเบา เธอยิ้มเศร้าก่อนเดินจากไป
ทิวบุญคงเชื่อในบทบาทสุภาพสตรีเรียบร้อย น่าสงสาร ถ้าไม่เป็นเพราะสัญชาตญาณที่คอยบอกให้ระวังทุกคนในเทวานิรมิตแห่งนี้ ไม่มีใครจริงใจสักคน
..........................
"คุณทิว เข้ามาข้างในหน่อย"
เสียงทุ้มใหญ่จากโทรศัพท์ฐานบนโต๊ะทำงานเลขาฯ ดึงเธอกลับจากยามบ่ายอันแสนวุ่นวาย พนักงานสาวกรอกเสียงตอบรับพลางสังหรณ์ใจถึงงานซึ่งอาจประเดประดังเข้ามาอีก เมื่อมะรืนนี้ก็ถึงวันประชุมใหญ่ที่เตรียมการ
ทว่าทันทีที่ผลักประตูเข้าไปเธอก็เห็นคนที่มักคร่ำเคร่งกับงานลุกยืนเต็มความสูง เขากำลังเหวี่ยงเสื้อสูทขึ้นสวมทับ แฟ้มหนาต่างๆ บนโต๊ะทำงานวางเป็นระเบียบราวกับเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย
"เดี๋ยวไปรับมิสเตอร์กัวกับผม จะได้แนะนำให้รู้จักด้วย" เขาเฉลยความข้องใจของเธอ
"ตอนนี้หรือคะ"
"แล้วกำหนดการที่คุณให้ผมมันเมื่อไรกันล่ะ ข้อนี้คุณพลาดนะ มันเป็นหน้าที่ที่คุณต้องเตือนผมไม่ใช่หรือไง"
เธอรู้ล่ะว่าชายผู้นี้เป็นคนจริงจัง แต่เขาก็ไม่เคยดุหรือใส่อารมณ์อย่างไร้เหตุผล เว้นแต่สองวันมานี้นับแต่ภรรยาเขามาเยี่ยมเยียน เจ้านายของเธอก็กลับมามึนตึงใส่ จ้องมองเธอด้วยสายตาอ่านยากดังเดิม
ทิวบุญไม่อยู่รอให้เขาตอกย้ำราวเธอเป็นคนโง่เง่าอีกสักคำเดียว ร่างระหงกดปิดไฟล์งานและคอมพิวเตอร์ ก่อนเธอจะฉวยกระเป๋าหนังสีดำสะพายไหล่ พร้อมกับที่นายจ้างเดินนำลิ่วไปรอหน้าลิฟต์ เขารอเธอเข้ามาด้วยกันแล้วจึงกดหมายเลขชั้นล่างสุด
ลานจอดรถพนักงานและผู้บริหารอยู่ติดกับส่วนสำนักงานด้านหลังโรงแรม รถวอลโวสีเทาจอดอยู่พร้อมคนขับวัยกลางคน ทันทีที่เห็นเจ้านายกำลังตรงมาเขาก็รีบติดเครื่อง หญิงสาวขึ้นนั่งเบาะหน้าอย่างรู้งาน
ไม่มีใครพูดอะไรกันตลอดทาง นอกจากสายตาคนข้างหลังซึ่งเหลือบแลมาจากกระจกกลาง เธอรู้ได้ก็เพราะแอบมองเขาจากกระจกข้างเช่นกัน
..........................
เหวี่ยงอีกแล้วพ่อคุ๊ณณณ อย่าถือสาเจ้านายวัยทองเลยนะคะ
เพราะตอนหน้าฮีจะน่าร้ากกก และเริ่มหลงเสน่ห์เลขาฯ ตัวเองแล้วสิคะ หุๆๆๆ
และเหมือนเดิมมม ฝากอีบุ๊ก "โซ่พิสุทธิ์" ด้วยนะคะ > < โหลดได้ที่ meb และ hytexts ค่า
ใครยังไม่เคยอ่านอ่านตย.ก่อนได้น้า ใครอ่านแล้วแวะไปให้ใจและรีวิวแพรวก็จะขอบคุณมากๆ ค่ะ
สถานที่นัดพบกันของเพื่อนเก่าคือร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ย่านสยาม หลังกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง หญิงสาวก็มาถึงร้านตามเวลานัด ทว่าคนที่เพิ่งเลิกงานนั่งดื่มเบียร์สดรอก่อนอยู่แล้ว เขายกแก้วทักทายเมื่อเห็นเธอ
ทิวบุญนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาเตี้ยฝั่งตรงข้าม ก่อนเธอจะสั่งเบียร์อีกเหยือกสำหรับตัวเอง ครั้นลับร่างบริกรแล้วชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นทันที
"โลกกลมชะมัด ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเธอทำงานข้างบน"
"เพิ่งมาทำน่ะ"
วิเศษขยับตัวมาข้างหน้า เขาลดเสียงลงเกือบกระซิบจนเธอตั้งนิ่วหน้าตั้งใจฟัง
"ถามจริง คุณลักขณาจ้างมาหรือเปล่า"
"บ้า" เพื่อนสาวตอบเสียงหลง "เปล่าย่ะ พูดงี้รู้อะไรดีๆ บอกมานะ"
"ไม่เอาดีกว่า นี่ออกมาพักผ่อนนะ จะคุยเรื่องงานทำไม"
ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังซดเบียร์อึกใหญ่ เขาเอนหลังพิงพนัก ประสานมือไว้ใต้ท้ายทอยอย่างยียวน เรียกค้อนขวับจากคนที่อุตส่าห์สนใจฟัง ก่อนเจ้าหล่อนจะหรี่ตาลงอย่างมีเลศนัย
"งั้นถามใหม่ก็ได้ รู้จักคนชื่ออุ้มบุญหรือเปล่า"
ทิวบุญลอบสังเกตเพื่อนซึ่งถึงกับงันไป เมื่อได้สติแล้วจึงเสยผมแรงๆ เขากระเด้งตัวนั่งตรงพลางชี้นิ้วมายังเธอ
"นี่เธอไปรู้อะไรมาแค่ไหน" เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม
"รู้ไม่มากหรอก ทำไม"
วิเศษถอนใจหนักๆ สีหน้าสีตาขุ่นลงอย่างเห็นได้ชัด
"รู้หรือเปล่าว่าเป็นผู้หญิงที่หย็องจะไม่ยุ่งด้วยอีก เข็ด เข็ดจริงๆ ไม่ขอยุ่งกับคนที่ดูถูกคนอย่างนั้นอีก"
เธอมองเพื่อนดื่มเบียร์อึกใหญ่พร้อมกับนึกละอายใจ ตั้งแต่รู้จักกันมาเธอเคยเห็นแต่สีหน้า ท่าทางล้นๆ รั่วๆ ของอีกฝ่าย ไม่เคยเห็นเขาจริงจังหรือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเช่นนี้เลย แต่ก็เกิดขึ้นเพราะน้องตน
"แล้วนี่รู้จักผู้หญิงคนนั้นได้ยังไง"
ทิวบุญถอนหายใจก่อนตอบเช่นกัน "อุ้มเป็นน้องเราเอง เรามาทำงานที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้แหละ"
คิ้วหนายังคงเลิกขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ เธอจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง จากที่เคยรู้จักตัวตนกันมา เธอเชื่อใจชายผู้นี้ได้ว่าเขาจะไม่นำไปพูดต่อกับใคร
วิเศษรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่แปลกใจสักนิดที่เธอกล้าตัดสินใจอย่างนั้น เธอใจแข็งกว่าที่คิด หยาบกระด้างกว่าใบหน้าอ่อนหวานของเธอ
"หย็องเสียใจด้วยนะเรื่องหลาน" กับเพื่อน...เขายังคงใช้ฉายาเรียกแทนตัวดังเดิม "แต่ทิวจะเอาตัวเองมาพัวพันปัญหาไปเพื่ออะไร ให้มันจบไปไม่ดีกว่าหรือ"
"ไม่ใช่ว่าเราเป็นพี่ที่ดีหรอกนะ แต่นี่มันไม่ยุติธรรมที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องได้รับความเจ็บปวด เสียใจ โดยที่อีกคนยังลอยหน้าลอยตา ใช้ชีวิตปกติสุขดี"
"แล้วทิวจะทำอะไรเขาได้"
"ถ้าเป็นนายวิน เราก็อยากเห็นเขาลำบาก ตกงาน หรือถ้าเป็นนายทัดเทพ เราอาจช่วยคุณลักขณาก็ได้" เธอบอกความตั้งใจเหมือนมันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเลย "ตกลงนายจะบอกได้ไหมว่าอุ้มคบอยู่กับใคร"
วิเศษสั่นศีรษะ เขาช่วยอะไรเจ้าหล่อนไม่ได้เลย ในเมื่อเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอุ้มบุญคบกับใคร ตนจึงได้พยายามหยอดพยายามจีบไปเรื่อย กระทั่งถูกตอกหน้ากลางเพื่อนร่วมงาน ความชื่นชมในรูปลักษณ์ภายนอกที่มีต่ออีกฝ่ายจึงสลายวับทันที
"หย็องก็ไม่รู้ ทิวไม่คิดบ้างเหรอว่าอาจไม่ใช่คนในเทวานิรมิต"
เธอเคยคิด แต่นั่นเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน
"เป็นไปได้ยาก อุ้มไม่มีเพื่อนมาก ไม่มีสังคมที่ไหน แล้วในบันทึกนั่นมันก็ดูจะปลาบปลื้มสองคนนั้นกว่าใคร" เธอวิเคราะห์
"แต่เราว่าน้องเธอคงไม่ปลื้มคุณทัดเทพแล้วล่ะ"
"ทำไม" หญิงสาวรีบโพล่งถาม
ทิวบุญวางเหยือกเบียร์ลงกับโต๊ะกระจกเบื้องหน้า เธอขยับตัวนั่งตรงอย่างตั้งใจฟัง เมื่อมันเป็นเรื่องที่น้องไม่ได้บันทึกไว้ เธอไม่ทราบมาก่อนเลย
........................
วิเศษหวนนึกถึงวันที่เขาและลูกน้องคนหนึ่งขึ้นไปดูระบบไฟในห้องประชุมบนชั้นแปด แต่เมื่อกลับออกมาผ่านหน้าห้องทำงานผู้บริหารใหญ่ก็พบกับเลขาฯ คนก่อนของผู้เป็นนายและอุ้มบุญเดินหน้าเสียออกมาจากห้องทำงานนั้น โดยเฉพาะผู้ที่เขาเพียรตามตื๊อนั้นมีน้ำตาคลอหน่วย เขาไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร กระทั่งวันถัดมาที่ขึ้นไปซ่อมบำรุงระบบไฟต่ออีกครั้งก็ไม่พบแม่เลขาฯ คนเดิมนั้นอีกเลย
"หย็องไม่รู้นะว่าเรื่องอะไร แต่เขาว่ากันว่าเลขาฯ คนก่อนก็เป็นคนของคุณลักขณานี่แหละ ไม่รู้ว่า...น้องเธอไปเกี่ยวข้องจนโดนหางเลขไปด้วยได้ยังไง ถึงบอกไงว่าทิวอย่าพาตัวมาพัวพันดีกว่า
"บางทีหย็องก็เบื่อพวกช่างเมาท์กับพวกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่นั่นนะ แถมโดนน้องเธอด่าซะกลางโรงอาหารอีก ถ้าไม่ติดที่เห็นแก่คุณวิรัชรับเด็กเรียนไม่จบอย่างเราเข้าทำงาน แล้วก็คุณทัดเทพที่อุตส่าห์ไว้ใจ หย็องอาจออกไปนานแล้ว"
ที่แท้เพื่อนต่างคณะที่เธอทราบข่าวว่าโดนรีไทร์จากมหาวิทยาลัยก็มาอยู่ที่นี่เองสินะ แต่ฟังจากคำบอกเล่าของเขาก็ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าโรงแรมนั้นคือสถานที่ที่เทวานิรมิตจริงหรือไม่ หรือซาตาน ปิศาจต่างหากที่สร้างภาพลวงตาขึ้นมา
"ถ้าเป็นอย่างที่นายเล่า หย็อง เอ๊ย! เจ๋ง... นายว่ามันแปลกไหมที่คุณทัดเทพยังรับเราเข้าทำงาน ทั้งที่รู้ว่าเราเป็นพี่ของอุ้ม" เธอนึกทบทวน
"เรียกหย็องอย่างเดิมก็ได้" เขาบอกกลั้วหัวเราะพลางไล้ปลายนิ้วหมุนวนกับขอบแก้วอย่างตรึกตรอง "ก็แปลกนะ แต่เท่าที่รู้จักคุณทัดเทพมา เขาเป็นคนมีเหตุผล ถ้ามองมุมนี้ก็ไม่แปลกที่เขาจะรับทิว ขนาด...น้องเธอยังไม่โดนไล่ออกเลยนี่"
ทิวบุญคิดตามหากก็ยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด เธอรู้จักผู้บริหารหนุ่มไม่มากพอ เช่นเดียวกับอัครวินท์...หัวหน้าสายงานของอุ้มบุญ
"แล้วนายวินล่ะ นายว่าเขาเป็นคนยังไง"
วิเศษนิ่วหน้า "ไม่ตอบมากนะ ไม่รู้จริงๆ แต่เท่าที่เห็นภายนอกเขาก็ดูสุภาพ ใจดีล่ะมั้ง"
หญิงสาวตัดสินใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นเธอควรเริ่มทำความรู้จักกับหัวหน้าฝ่ายขายคนนั้นก่อนท่าจะดีที่สุด ในเมื่อเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นพี่สาวของอดีตลูกน้องใต้บัญชา นั่นคงทำให้เธอได้เห็นตัวตนแท้จริงอีกฝ่ายง่ายขึ้นนั่นเอง
........................
เมื่อตัดผู้ต้องสงสัยออกไปได้คนหนึ่งแล้ว ทิวบุญรู้สึกเหมือนตนก้าวกระโดดจากจุดเริ่มต้นเข้าใกล้เส้นชัยอีกเพียงครึ่งทาง สิ่งเดียวที่รั้งเธอไว้ตอนนี้คืองานซึ่งทับถมมากขึ้นทุกวัน ทั้งเตรียมเอกสารการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น แล้วยังต้องจัดหาของว่างและเครื่องดื่มสำหรับผู้ร่วมประชุมอีก
"ทางห้องอาหารข้างล่างส่งรายการขึ้นมาแล้วค่ะ คุณจะดูก่อนไหมคะ" เธอบอกเป็นอย่างสุดท้ายขณะรายงานความคืบหน้าแต่ละงานที่ได้รับมอบหมาย
"อะไรบ้างล่ะ ว่ามาเลย" เขาถามทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากเอกสารที่จะใช้ในที่ประชุม
"ขนมปังหน้าหมูเป็นไงคะ ดิฉันคิดว่าให้ความรู้สึกไทยๆ ดี มิสเตอร์กัว...ผู้ถือหุ้นจากจีนที่มาร่วมประชุมด้วยก็น่าจะประทับใจ ส่วนผลไม้เป็นเงาะกับมังคุด ปอกเปลือกครึ่งให้สวยและสะดวกต่อการรับประทาน เครื่องดื่มก็มีกาแฟ ชา"
ทัดเทพผงกศีรษะพอใจ เท่าที่ร่วมงานกับเลขาฯ คนใหม่มาเกือบเดือนก็พบว่าเธอทำงานได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง แทบไม่ต้องพูด สอน หรือมีเรื่องให้ตำหนิเลย และบางครั้งเธอยังกล้าเสนอความคิดเห็น อีกทั้งยังมีเหตุผลประกอบการตัดสินใจที่น่าชื่นชม
"ตกลงตามนั้น แต่เพิ่มปอเปี๊ยะทอดด้วยท่าจะดี ร้านของเราทำอร่อย"
"ค่ะ งั้นดิฉันขอตัวเลยนะคะ จะลงไปทานข้าวแล้วจะได้พูดคุยกับทางห้องอาหารเลยทีเดียว"
ชายหนุ่มเผลอเงยหน้ามองผู้ที่นั่งตรงข้ามเมื่อรู้สึกถึงกระแสเสียงประชด หรืออีกนัยก็เหมือนเธอเตือนให้เขาดูนาฬิกา เลยเวลาพักมาชั่วโมงเศษ แต่เขาก็กระดิกตัวไปไหนไม่ได้ด้วยมีเวลาเคลียร์งานอีกเพียงไม่นาน เขาก็ต้องออกไปรับลูกที่โรงเรียน มันเป็นหน้าที่ที่ตนเต็มใจทำและจะพยายามทำไม่ให้ขาดไปสักวัน
ทิวบุญวางกองเอกสารไว้บนโต๊ะหน้าห้องนั่นเอง พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้น เธอลังเลว่าจะรับสายดีหรือไม่ คงไม่แคล้วเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคารโทรมาเสนอดอกเบี้ยบัญชีเงินฝากของเจ้านายตน เธอหันมองประตูห้องทำงานที่ปิดสนิท แต่แล้วก็ตัดสินใจรับสายทั้งที่หิวท้องกิ่ว แล้วเสียงซึ่งกรอกตอบมานั้นก็ทำให้ลำไส้ซึ่งขดมวนนั้นคลี่คลาย กลายเป็นความอิ่มเอิบ ยินดีแทน
"คุณทิว ผมวินนะครับ คุณยุ่งอยู่ไหม แม่บ้านในโรงอาหารบอกว่าวันนี้ไม่เห็นคุณลงมา ผมเลยโทรมาชวนเผื่อว่าจะสนใจไปทานด้วยกัน"
มีคำตอบเดียวเท่านั้นที่เธอให้ได้...ด้วยความเต็มใจ!
...........................
ร้านที่อัครวินท์พามาเป็นร้านอาหารอิตาเลียนเล็กๆ ในซอยไม่ไกลจากเทวานิรมิต ก่อกำแพงด้วยอิฐมอญโดยไม่โบกปูนและทาสีทับแต่อย่างใด ภายในเป็นโต๊ะไม้ขัดมัน เก้าอี้ยาวต่อติดกันเป็นแถว แล้วยังมีเคาน์เตอร์และเก้าอี้ทรงสูงสำหรับชมเชฟนวดแป้งและอบพิซซ่าหน้าเตาเดี๋ยวนั้น ทิวบุญเลือกนั่งตรงนั้นโดยไม่ลังเล
"กลางวันคนไม่มากหรอกครับ แต่ถ้าเป็นตอนเย็นล่ะเต็มทุกโต๊ะ"
หญิงสาวมองป้ายกระดานดำซึ่งเขียนรายการอาหารและเวลาเปิดปิดร้านด้วยชอล์กบนผนัง แล้วก็เห็นว่าอีกเพียงชั่วโมงเศษก็จะถึงเวลาปิดพักช่วงบ่าย ก่อนเปิดอีกทีช่วงเย็น
"แสดงว่าวินพาสาวๆ มาบ่อย" เธอเย้าเขา สนิทสนมพอที่จะไม่ต้องรักษาความสุภาพ ห่างเหินไว้ต่อไป
"ผมเลยดูเป็นคนเจ้าชู้ไป" เขาพ้อกลั้วหัวเราะ ก่อนสั่งพาสต้าและพิซซ่ากับพนักงานพลางหันมาชวนคนข้างๆ "คุณทิวทานพิซซ่าด้วยกันนะ แล้วจะสั่งอะไรเพิ่มอีกดีครับ"
"ร็อกเก็ตสลัดแล้วกันค่ะ" เธอสั่งปิดท้ายพร้อมกับโน้มตัวไปกระซิบ "ร้านนี้ไม่แพงมากแน่นะคะ เงินเดือนเดือนแรกฉันยังไม่ออกเลย"
อัครวินท์หัวเราะเต็มเสียง ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยอายที่จะพูดให้ตัวเองดูแย่ และเขาก็มีความสุขเหมือนได้เปลี่ยนบรรยากาศกับความสมบูรณ์แบบรอบตัวมาสัมผัสอะไรแบบนี้เสียบ้าง
"คราวนี้ผมเป็นเจ้ามือก่อน คราวต่อไปตาคุณทิว"
อ้อ... 'ไม่แก่ สปอร์ต ใจดี กทม' สินะ เธอนิยามเขาอย่างที่คนอื่นฮิตพูดกัน
"ถ้าฉันเป็นเจ้ามือล่ะก็ ระวังเสียรอบวงนะคะ"
ทิวบุญลอบสังเกตคนที่มีรอยยิ้ม หัวเราะอย่างมีความสุขเหลือเกิน ใบหน้าขาวสะอาด ไม่มีแม้แต่ไรหนวดเครานั้นคงมีเชื้อสายจีน หากคิ้วคมเข้มรับกับขนตาสวยเสียยิ่งกว่าขนตาผู้หญิงก็เพิ่มความโดดเด่น ดึงดูดสายตาคนมองอย่างยากจะปฏิเสธความหลงใหลรูปลักษณ์นั้นได้ เมื่อรวมกับท่าทางสุภาพ เป็นมิตร แลดูไม่มีพิษมีภัยของเขา คงไม่แปลกหากอุ้มบุญหรือผู้หญิงคนไหนจะหลงรักบุรุษผู้นี้
หญิงสาวยกโทรศัพท์มือถือของตนมาถ่ายคลิปเมื่อเชฟชาวไทยที่ชายหนุ่มเล่าว่าเคยทำงานในร้านอาหารที่อิตาลีโยนแป้งพิซซ่าขึ้นกลางอากาศต่อหน้าต่อตา ก่อนแป้งแผ่นบางจะหล่นลงมาหมุนคว้างบนปลายนิ้วอย่างแม่นยำ เขาโยนมันสลับมือไปมา ก่อนวางลงอีกครั้งเพื่อโรยเครื่องซึ่งประเอบด้วยปาร์มาแฮม ซาลามี ปิดท้ายด้วยชีส แล้วจึงนำเข้าเตาอบซึ่งก่ออิฐเป็นปล่องไฟ
"ดีใจที่เห็นคุณทิวชอบที่นี่" เขาชวนคุยระหว่างรอ
"ค่ะ ฉันชอบอะไรแบบนี้"
"ไว้ไปทานเทปปันยากิด้วยกันสิครับ ผมมีร้านแนะนำ"
อัครวินท์หมายถึงร้านอาหารญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่มีกระทะร้อนและพ่อครัวปรุงต่อหน้าลูกค้า
"เอาสิคะ วินรู้จักที่ดีๆ เยอะเนอะ"
"มันเกี่ยวกับงานน่ะครับ บางทีก็ต้องเทคแคร์ลูกค้า คู่ค้า ก็เลยรู้จักพอสมควร"
"ฉันย้ายแผนกดีไหมนะ" ทิวบุญทำท่าแสนเสียดาย "รู้ไหมคะ จริงๆ ฉันมาสมัครแผนกคุณนะ แต่ก็มีอันเป็นไปเสียก่อน"
เธอลอบสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย มือที่ถือส้อมพันเส้นพาสต้าชะงักไปนิดหนึ่ง หากชายหนุ่มก็ส่งยิ้มบางกลับมา
"แบบนี้ก็ดีแล้วครับ ผมคงละอายน่าดูถ้ามีลูกน้องเก่งกว่าอย่างคุณทิว"
"อ้าว วินชอบคนโง่ๆ ก็ไม่บอก ฉันก็ลืมไปว่าผู้ชายชอบผู้หญิงใสๆ ซื่อๆ ถึงได้ใบจองหมู่บ้านคานทองมาไว้แล้วนี่แหละค่ะ"
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่ละคนก็มีเสน่ห์ของเฉพาะตัว"
ถึงจะตอบปลอบใจอย่างนั้นหากหญิงสาวก็สังเกตว่าอีกฝ่ายทานอาหารไม่อร่อยเสียแล้ว พาสต้าในจานเขาแทบไม่ได้ถูกตัก ต่อเมื่อเชฟยกพิซซ่ามาตัดแบ่งตรงหน้า เธอจึงตักชิ้นหนึ่งบริการเขาอย่างเอาใจ
เธอจะทำให้ไก่ตื่นก่อนไม่ได้ ใจเย็นและสงบปากคมๆ ของเธอเถอะน่าทิวบุญ
"สงสัยหมดมื้อนี้กลับไปฉันต้องสมัครฟิตเนสแล้วล่ะ" เธอครวญทีเล่นทีจริง
ได้ผล...เมื่อผู้ที่เงียบไปหันมองตาเป็นประกายอย่างสนใจคำพูดนั้น เธอไม่ได้ตาบอดนี่นะที่จะได้มองไม่เห็นว่าภายใต้เสื้อเชิ้ตรีดเรียบของเขาซ่อนรูปร่างอย่างคนออกกำลังกายหนักไว้แทบไม่มิด ไม่ใช่เนื้อเหลวเป๋วหรือผอมติดกระดูก หุ่นเช่นนี้จะมาจากสาเหตุใดไปได้ ประกอบกับผิวขาวของเขาที่ทำให้เธอมั่นใจว่าเขาคงใช้เวลาว่างในฟิตเนสแน่นอน
"คุณทิวชอบออกกำลังกายหรือ ดีนะครับ ดีกว่าไม่กล้าทานอะไรเพราะกลัวอ้วน หรือทานยาลดความอ้วน ผมไม่เข้าใจผู้หญิงแบบนั้นเลย"
"ฉันก็ไม่เข้าใจผู้หญิงที่ทำร้ายตัวเองเหมือนกันค่ะ ชีวิตก็ชีวิตเรา จะแคร์อะไรสายตาคนอื่นมากมาย" เธอตอบแฝงความนัย
อัครวินท์จ้องมองสุภาพสตรีที่มีทัศนคติน่าชื่นชม ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้รู้จักผู้หญิงที่มีความมั่นใจเช่นนี้ เธอไม่ได้สวย น่ารัก แต่เธอมีเสน่ห์ที่มาจากภายใน ต่างจากผู้หญิงส่วนใหญ่ที่แทบมาล้มพับต่อหน้าเขา หญิงสาวหน้าตากิริยาน่ารักก็จริง แต่ก็เป็นฝ่ายรอรับความรักจากเขาข้างเดียว
ความสุข ความรื่นรมย์เช่นนี้หาได้ยากจากผู้หญิงเหล่านั้น
"ไว้ไปฟิตเนสที่ผมเป็นสมาชิกก็ได้ครับ ผมมีบัตรสมนาคุณอยู่ ให้ทิวไปลองเล่นดูก่อนว่าชอบไหม ยังไง" เขาเสนอ
"ขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะ ถ้าฉันรอดตายจากงานประชุมบอร์ดที่ใกล้เข้ามานี้ได้ ฉันจะไปวิ่งสู้ฟัดกับคุณแน่"
เธอตะครุบโอกาสทองที่จะตีสนิทและรู้จักบุรุษนี้ให้มากขึ้นไว้ หัวใจโลดแรงกับความท้าทาย อุปสรรค และปมในใจซึ่งมีแววจะคลี่คลายเสียที
ถ้าคนใจร้าย หลอกลวงน้องเธอเป็นชายหนุ่มคนนี้จริงก็เท่ากับเธอได้เรียนรู้จุดอ่อนเขาไปโดยปริยาย หรือถ้าไม่... ก็เหลือผู้ชายจากในบันทึกของอุ้มบุญอีกคนเดียว เจ้านายของเธอ...
........................
สปาเก็ตตี้ครีมซอสอุ่นๆ ส่งกลิ่นหอมทันทีที่ถ่ายจากกล่องทูโกใส่จาน ให้ตาย ทิวบุญไม่เคยทำอย่างนี้กับเจ้านายคนไหน แต่เจ้าของเทวานิรมิตกำลังจะได้รับโอกาสนั้น เมื่อเธอต้องพยายามเอาใจเขาไม่น้อยกว่าเรื่องงาน
หญิงสาวประคองถาดใส่จานอาหารจากแพนทรี รูมมาถึงห้องทำงาน เธอเคาะประตูไม้เนื้อหนา ก่อนจะมีเสียงอนุญาตลอดออกมา
ทว่าชายหนุ่มไม่ได้อยู่ลำพัง มีผู้ซึ่งเธอไม่คาดคิดอยู่ในห้องด้วยกันกับเขา ลักขณาดูจะตะลึงงันไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นเธอยกถาดอาหารเข้ามา
"เดี๋ยวนี้มีบริกรส่วนตัวด้วยหรือคะเทพ" น้ำเสียงนั้นยากจะคาดเดาได้ว่าผู้พูดยินดีหรือยินร้าย
ทิวบุญไม่ได้เจอสตรีผู้นี้อีกเลยนับแต่แรกเข้าทำงาน และครั้งนี้เธอก็เป็นฝ่ายอึดอัดที่ถูกมองด้วยสายตาวาววับอย่างยากจะคาดเดาความคิดอีกฝ่าย รวมทั้งแววตาฉงน เลิกคิ้วมองมาของเจ้านายตนเอง เขาคงประหลาดใจไม่น้อยว่าเธอทำอะไร
ใช่สิ... นี่เธอทำบ้าอะไร! หญิงสาวเอ็ดอึงตัวเอง
"ดิฉันเห็นคุณเทพยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันน่ะค่ะ ก็เลยซื้อขึ้นมาฝาก"
"ผมทานแล้วล่ะ ขอบใจ" เขาตอบโดยไม่รักษาน้ำใจ
ร่างระหงไหวไหล่เก้อๆ เธอเองก็ลืมนึกไปว่าเขาอาจทานแล้วเรียบร้อยระหว่างเธอไม่อยู่ ทิวบุญหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ออกมาจากห้องนั้น เธอวางกระแทกถาดกับเคาน์เตอร์ครัวในแพนทรี รูมอย่างขุ่นเคืองตนเอง ก่อนจะจัดการเททั้งหมดใส่กล่องพลาสติกที่ล้างเก็บไว้
ต่อให้โกรธและเสียหน้าอย่างไรเธอก็เป็นยัยงก อย่างน้อยก็เก็บไว้อุ่นเวลาหิวคืนนี้ได้
"พี่ขอโทษแทนเทพด้วยนะคะ เขาก็เป็นคนแบบนี้ ไม่ค่อยนึกถึงความรู้สึกคนอื่น" เสียงหวานดังขึ้นเบื้องหลัง
เลขาฯ สาวหันไปมอง แล้วก็พบกับใบหน้าแสดงความเสียใจสุดซึ้งจนเศร้าหมอง ผิดกับอยู่ต่อหน้าสามี
"น้องทิวคงเข้าใจหัวอกพี่แล้วกระมัง"
เธอสั่นศีรษะ "ดิฉันเป็นแค่ลูกน้องค่ะ เทียบกับคุณลักขณาไม่ได้หรอก"
ลักขณาจับมืออีกฝ่ายบีบเบา เธอยิ้มเศร้าก่อนเดินจากไป
ทิวบุญคงเชื่อในบทบาทสุภาพสตรีเรียบร้อย น่าสงสาร ถ้าไม่เป็นเพราะสัญชาตญาณที่คอยบอกให้ระวังทุกคนในเทวานิรมิตแห่งนี้ ไม่มีใครจริงใจสักคน
..........................
"คุณทิว เข้ามาข้างในหน่อย"
เสียงทุ้มใหญ่จากโทรศัพท์ฐานบนโต๊ะทำงานเลขาฯ ดึงเธอกลับจากยามบ่ายอันแสนวุ่นวาย พนักงานสาวกรอกเสียงตอบรับพลางสังหรณ์ใจถึงงานซึ่งอาจประเดประดังเข้ามาอีก เมื่อมะรืนนี้ก็ถึงวันประชุมใหญ่ที่เตรียมการ
ทว่าทันทีที่ผลักประตูเข้าไปเธอก็เห็นคนที่มักคร่ำเคร่งกับงานลุกยืนเต็มความสูง เขากำลังเหวี่ยงเสื้อสูทขึ้นสวมทับ แฟ้มหนาต่างๆ บนโต๊ะทำงานวางเป็นระเบียบราวกับเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย
"เดี๋ยวไปรับมิสเตอร์กัวกับผม จะได้แนะนำให้รู้จักด้วย" เขาเฉลยความข้องใจของเธอ
"ตอนนี้หรือคะ"
"แล้วกำหนดการที่คุณให้ผมมันเมื่อไรกันล่ะ ข้อนี้คุณพลาดนะ มันเป็นหน้าที่ที่คุณต้องเตือนผมไม่ใช่หรือไง"
เธอรู้ล่ะว่าชายผู้นี้เป็นคนจริงจัง แต่เขาก็ไม่เคยดุหรือใส่อารมณ์อย่างไร้เหตุผล เว้นแต่สองวันมานี้นับแต่ภรรยาเขามาเยี่ยมเยียน เจ้านายของเธอก็กลับมามึนตึงใส่ จ้องมองเธอด้วยสายตาอ่านยากดังเดิม
ทิวบุญไม่อยู่รอให้เขาตอกย้ำราวเธอเป็นคนโง่เง่าอีกสักคำเดียว ร่างระหงกดปิดไฟล์งานและคอมพิวเตอร์ ก่อนเธอจะฉวยกระเป๋าหนังสีดำสะพายไหล่ พร้อมกับที่นายจ้างเดินนำลิ่วไปรอหน้าลิฟต์ เขารอเธอเข้ามาด้วยกันแล้วจึงกดหมายเลขชั้นล่างสุด
ลานจอดรถพนักงานและผู้บริหารอยู่ติดกับส่วนสำนักงานด้านหลังโรงแรม รถวอลโวสีเทาจอดอยู่พร้อมคนขับวัยกลางคน ทันทีที่เห็นเจ้านายกำลังตรงมาเขาก็รีบติดเครื่อง หญิงสาวขึ้นนั่งเบาะหน้าอย่างรู้งาน
ไม่มีใครพูดอะไรกันตลอดทาง นอกจากสายตาคนข้างหลังซึ่งเหลือบแลมาจากกระจกกลาง เธอรู้ได้ก็เพราะแอบมองเขาจากกระจกข้างเช่นกัน
..........................
เหวี่ยงอีกแล้วพ่อคุ๊ณณณ อย่าถือสาเจ้านายวัยทองเลยนะคะ
เพราะตอนหน้าฮีจะน่าร้ากกก และเริ่มหลงเสน่ห์เลขาฯ ตัวเองแล้วสิคะ หุๆๆๆ
และเหมือนเดิมมม ฝากอีบุ๊ก "โซ่พิสุทธิ์" ด้วยนะคะ > < โหลดได้ที่ meb และ hytexts ค่า
ใครยังไม่เคยอ่านอ่านตย.ก่อนได้น้า ใครอ่านแล้วแวะไปให้ใจและรีวิวแพรวก็จะขอบคุณมากๆ ค่ะ
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ต.ค. 2558, 16:15:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2558, 16:15:43 น.
จำนวนการเข้าชม : 1013
<< บทที่ ๕ + ฝากอีบุ๊ก "โซ่พิสุทธิ์" ด้วยค่ะ | บทที่ ๗ >> |
โอชิน 5 ต.ค. 2558, 18:20:14 น.
เกาะหลังทิวอยู่..ขอตามแกะรอยด้วยคน..!
ชิ..! ผู้ชายวัยทอง..เหวี่ยงจริงพ่อคุณ.. เดี๋ยวจับหม่ำเสียหรอก แฮ่..!!
เกาะหลังทิวอยู่..ขอตามแกะรอยด้วยคน..!
ชิ..! ผู้ชายวัยทอง..เหวี่ยงจริงพ่อคุณ.. เดี๋ยวจับหม่ำเสียหรอก แฮ่..!!
ภาพิมล_พิมลภา 6 ต.ค. 2558, 16:12:45 น.
คุณโอชิน - 5555 นี่ยังน้อยไปนะคะ! ถ้าชอบคนขี้เหวี่ยงมีอีกแน่นอน
คุณโอชิน - 5555 นี่ยังน้อยไปนะคะ! ถ้าชอบคนขี้เหวี่ยงมีอีกแน่นอน