พรหมลิขิตกระซิบรัก
นัมแทบง นายแบบหนุ่มผู้ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงเจ้าของฉายารอยยิ้มเทวดาหากแต่เมื่ออยู่หลังกล้องเขาคือผู้ชายหน้าเดียวที่มีแววตาดุจน้ำแข็ง....
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...

... พรหมลิขิตกระซิบรัก...

Tags: ดารา นางแบบ ซุปตาร์ โรแมนติก ซึ้้ง

ตอน: เข้าใจผิด

“หันไปทางซ้ายบิดเอวหน่อยครับ” พีมะสั่งงานโดยมีล่ามเกาหลีคอยช่วยแปลประโยคยาวๆเมื่อเขาพูดเป็นภาษาอังกฤษ มันก็สนุกไปอีกแบบนะถึงจะดูยุ่งยากไปบ้าง

“พีมะชิ..ฉันพานางแบบที่ต้องถ่ายรูปโปรไฟล์มาแล้วค่ะ” เสียงทีมงานเกาหลีเอ่ยแนะนำร่างสูงโปร่งที่อยู่ใกล้หางตาของเขา

“สวัสดีค่ะฉันพัคโบรา ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” นางแบบสาวโค้ง90องศาแนะนำตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

พีมะหันไปมองสตรีร่างสูงโปร่งผิวเธอขาวราวกับติดสปอตไลท์ไว้บนตัว ใบหน้าวีเชฟเข้ารูปเข้ากับเครื่องหน้าที่เขายังเจอไม่มากในคนประเทศนี้ ดวงตาโตคิ้วเข้มเรียวสวยถูกย้อมให้อ่อนสีลงใกล้เคียงกับสีผม

คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเก่อนที่เขาจะถึงบางอ้อ...เมื่อมีบางประโยคหลุดออกมาจากริมฝีปากของนางแบบสาว

“ไซคุ” พัคโบราชี้นิ้วค้างอ้าปากเหวอ

“เธอนั่นเอง...ผมพีมะเป็นช่างภาพ” พีมะแนะนำตนเองก่อนจะหันไปถามผู้ช่วยว่าประโยคที่นางแบบสาวพูดหมายถึงอะไร
อาการอึกอักของผู้ช่วยทำเอาตากล้องหนุ่มแปลกใจ หรี่ตามองใบหน้าคมตรงหน้ามุมปากกระตุกยิ้มนึกขำขึ้นมานี่เธอคงไม่ได้ด่าเขาเป็นภาษาบ้านเธอหรอกนะพีมะคิดในใจ

“เป็นคำด่าเหรอไง”

“ก็ไม่เชิงครับคุณไปทำอะไรให้เธอเข้าใจผิดรึเปล่า เอ่อ..คือผมคิดว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิดกันมากกว่า” ผู้ช่วยชาวเกาหลีพยายามอธิบายเหตุผลให้เขาฟังด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“มันคงไม่ใช่คำที่ร้ายแรงหยาบคายใช่ไหมชินฮยอก” ตากล้องหนุ่มถอนหายใจยืดตัวขึ้นตามอารมณ์ที่เริ่มตึงเอาสองมือล้วงลงในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวซีดของตน มองไปที่ผู้ช่วยนิ่งสลับกับหญิงสาวที่เขารู้แล้วว่าเธอคือนางแบบในความรับผิดชอบของตนเอง

“เธอบอกว่าคุณเป็นโรคจิต”

ผู้ช่วยหนุ่มบอกความหมายช้าๆอย่างไม่ค่อยสบายใจและความหมายของมันก็ทำให้ตาของคนฟังเบิกกว้าง ก่อนที่เขาจะโวยวายเต็มอารมณ์ “นี่คุณหาว่าผมเป็นโรคจิตเหรอ หน้าผมมันแสดงออกว่าหื่นขนาดนั้นเลยรึไง”

“ก็คุณเอาแต่มองขาของฉันนี่ แทนที่จะช่วยฉันกลับเอาแต่มองขาฉันอยู่ได้แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าคุณเป็นตากล้องด้วย” พัคโบราเถียงหน้าตูม

“นี่คุณตัดสินคนที่มองคุณว่าเป็นโรคจิตหมดเลยรึไง ถ้าอย่างนั้นคุณคงเป็นนางแบบไม่ได้หรอก” พีมะมองนางแบบสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง

“นี่คุณอย่ามามองฉันทุเรศด้วยสายตาแบบนี้นะ”

“พวกคุณเคยเจอกันมาก่อนแล้วเหรอ” ผู้จัดการนางแบบถามระคนแปลกใจพร้อมกับดึงนางแบบของตนเองไปด้วยไม่ให้อาละวาด

“เราชนกันที่หน้าชั้นนี้แหละคะเมื่อวานตอนหนูรีบไปหาพี่” พัคโบราอธิบายมองหน้าตากล้องหนุ่มอย่างพร้อมจะเอาเรื่อง

“ก็คุณเล่นใส่ซะสั้นไปถึงไหนๆ แล้วจะให้ผมมองคุณตรงไหนไม่ทราบในเมื่อบนตัวคุณมีแต่จุดโฟกัส” พีมะบอกกวนๆมองร่างนางแบบสาวที่เต้นอย่างกับองค์ลง

“เอาน่าโบรามันก็ไม่ถูกที่เธอเสียมารยาทว่าคุณพีแบบนั้น ยังไงเราเป็นเด็กกว่าขอโทษมันก็จบแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน” ผู้จัดการส่วนตัวเธอเอ่ยตัดปัญหาเพราะทราบมาว่าตากล้องจากเมืองไทยรายนี้สำคัญไม่น้อย

พัคโบราอยากจะกรี๊ดใส่ผู้ชายตรงหน้านี่จริงๆ มองคนที่ดูแลตนเองตาโต สรุปว่าเธอทำอะไรเขาไม่ได้เลยสินะแถมไอ้บ้านี่ยังกวนประสาทได้ใจเหลือเกิน ดูท่าทางเชิดใส่ของหมอนั่นสิทำยังกับว่าจะเป็นนายแบบซะเอง คอตั้งเชิดตรง มือเท้าเอวทั้งสองข้าง ยืนมองเธอตาดุ

“ชเวซงฮัมนีดะ” นางแบบสาวก้ม90องศาเอ่ยขอโทษยิ้มสะใจกับตนเองเมื่อเงยขึ้นมาเห็นใบหน้าของตากล้องหนุ่มดูบึ้งเข้าไปอีก

##ชเวซงฮัมนีดะ-죄송합니다 เป็นคำขอโทษแบบสุภาพ##


พีมะกรอกตาบอกกับตัวเองว่ายัยนางแบบนี่ต้องการที่จะกวนประสาทเขา ที่จู่ๆเธอก็พูดเป็นภาษาเกาหลีแทนที่จะใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนาเหมือนเมื่อครู่

“คุณนี่ไม่รู้จักคำว่ากาลเทศะเลยใช่ไหม ผมขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายโดยมารยาทคนที่ดูแลคุณคงบอกให้ทราบแล้วว่าผมไม่มีความรู้ในภาษาบ้านคุณเช่นเดียวกับที่คุณไม่รู้ภาษาบ้านผมแต่โดยมารยาทเมื่อต้องมาทำงานร่วมกันเราจำเป็นต้องใช้ภาษากลางที่ทั่วโลกเขาใช้สื่อสาร ถ้าคุณจะกวนประสาทผมบอกได้เลยผมไม่ทำงานกับเด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบเชิญคุณไปหาคนอื่นมาถ่ายแทนได้เพราะผมไม่ว่างมาเล่นเกมฝึกเชาว์ความรู้เดาว่าคุณพูดอะไรทั้งนั้น”

เสียงเกรี้ยวกราดในแบบของพีมะทำเอาทีมงานเกาหลีหัวปั่นเพราะหลังจากจบคำพูดเขาก็เดินออกไปจากสตูทันที เขาไม่ชอบคนไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองแล้วก็ไม่ชอบเป็นตัวตลกที่โดนยัยเด็กนั่นหลอกให้หัวปั่นได้ ร่างสูงเดินมาหยุดที่ตู้กดน้ำดื่มน้ำเย็นๆถูกกดดื่มติดต่อกันสองแก้วติดอย่างระงับอารมณ์

“เฮ้อ!!ไม่อยากทำงานกับต่างชาติก็เพราะแบบนี้ ยัยนั่นมันพูดอะไรอีกล่ะทีนี้คงไม่ได้หลอกด่าเราอีกนะ สงสัยต้องให้กัมมี่ติวเข้มซะหน่อยแล้ว”

“บ่นอะไรงึมงำอยู่คนเดียวพี” กุมาริกาวางมือบางไว้ที่หัวไหล่เพื่อนคนสนิทและเมื่อตากล้องหนุ่มหันมาเจอใบหน้าที่กำลังคิดถึงก็ยิ้มกว้างถูกใจ

“เรากำลังคิดถึงเบบี๋อยู่เลย”

“มีอะไรล่ะหรืองานมีปัญหา” กุมาริกายิ้มส่งให้

“ก็ไม่เชิงจะเรียกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของงานก็ได้ นางแบบที่เรารับผิดชอบถ่ายภาพให้น่ะกวนประสาทไม่ใช่น้อย รู้ไหมพอเราดุเข้าให้ยัยตัวแสบนั่นแกล้งพูดเกาหลีใส่เราซะงั้น ทั้งที่ก็รู้ว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง”

“ก็พีไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจล่ะเขาถึงกวนประสาทให้ หรือว่าไปทำเจ้าชู้ใส่เขา” กุมาริกาหรี่ตามองพูดจับผิด ทำเอาตากล้องหนุ่มหน้าแดง

“เห็นเราชีกอไปได้ ยัยเด็กแสบนั่นเรียกเราว่าไซคุ หาว่าเราไปมองขาเขาเราไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย รู้ไหมว่ายัยเด็กนั่นนุ่งสั้นแค่ไหนแล้วเราจะวางสายตาไว้ตรงไหนได้ล่ะ” ตากล้องหนุ่มเอ่ยแก้ตัว

“แล้วรู้ความหมายคำว่าไซคุได้ไง”

“ตอนแรกก็ไม่รู้ผู้ช่วยแปลให้ฟังเรานะควันออกหูเลย”

พีมะกระดกแก้วน้ำในมือจนหมดก่อนปาแก้วกระดาษลงถังขยะ สายตาเหลือบไปเห็นเงาร่างสูงคุ้นตากำลังเดินตรงมาทางตนเองก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ เปลี่ยนเป็นโอบไหล่กุมาริการั้งให้เดินไปด้วยกันอีกทาง ทำเอาคนตัวเล็กขืนตัวงงๆ


“ไปไหนพีเราต้องไปทำงานนะ”

“ก็ทำงานไงเราจะให้เบบี๋เป็นล่ามให้เดี๋ยวนี้ ไปจัดการยัยตัวแสบให้เราหน่อย”

นัมแทบงอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างเล็กโดนคว้าไปโอบต่อหน้าต่อตา ขายาวสับตามคนทั้งคู่ที่ดูเหมือนคู่รักมากกว่าเพื่อนสนิท ตาเรียวกรอกขึ้นบนอากาศก่อนไล่ลมยาวๆออกจากปาก

“ไอ้ตากล้องนั่นมันอยากตายรึไงกอดกัมมี่ของฉันแบบนั้น ยัยบ๊องนั่นก็อีกโง่รึไงไปให้เจ้านั่นกอดอยู่ได้ไม่รู้จักหวงตัวเอาซะเลย”

ร่างเล็กในอ้อมแขนตากล้องหนุ่มที่เดินกลับเข้ามาดึงดูดสายตาทุกคนไม่น้อย เนื่องจากความน่ารักเหมือนตุ๊กตา ผมดำตรงดูสวยเวลาที่เธอหันไปมา

“สวัสดีคะทุกคน สวัสดีชินฮยอกชิ” กุมาริกาทักทายผู้ช่วยของพีมะและได้รอยยิ้มตอบกลับมา

“สวัสดีค่ะฉันอีซองซุนเป็นผู้จัดการของนางแบบที่คุณพีมะดูแลคุณจะเรียกฉันว่าผู้จัดการอีก็ได้ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ทราบมาว่าคุณพูดเกาหลีได้ดี” ผู้จัดการอีซองซุนเอ่ยแนะนำตัว

“สวัสดีคะผู้จัดการอี ฉันกุมาริกาค่ะอาจจะออกเสียงยากไปหน่อยเรียกกัมมี่ก็ได้”ล่ามสาวยิ้มสดใสบอกเป็นกันเอง เมื่อหันไปมองหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่กำลังยืนหน้าตาบอกบุญไม่รับส่งสายตาไม่เป็นมิตรใส่เพื่อนของเธออยู่ก็นึกขำ


“สวัสดีค่ะฉันชื่อพัคโบรายินดีที่รู้จัก” นางแบบสาวแนะนำตนเองก่อนส่งมือทักทายตอบมือเล็กที่ยื่นมาตรงหน้า

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณสูงจังสมแล้วที่เป็นนางแบบฉันกลายเป็นคนแคระไปในทันทีเมื่อยืนข้างคุณ ขาคุณยาวและสวยจริงๆอย่างพีว่า...”

“ไม่หรอกคะเพราะฉันสูงฉันเลยดูไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่”

“ผมไปชมว่าเขาขาสวยเมื่อไหร่เบบี๋มีแต่บอกว่าขายาวต่างหาก” พีมะเอ่ยแก้

“โอเค..เราบอกเองว่าสวยแต่ขนาดฉันเป็นผู้หญิงยังชอบเลย”

พัคโบรายิ้มรับคำชมก่อนทำหน้ามุ่ยใส่คนพูดไม่เข้าหู ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทางสนใจเธอเหมือนกัน

“คุยอะไรกันดูน่าสนุกจังขอร่วมวงด้วยสิ” นัมแทบงยืนเอามือล้วงกระเป๋าในท่าสบายๆ แต่ก็ดูดีมากเพราะเขาเป็นนายแบบใช่ไหมนะ ร่างเล็กนึกในใจยิ้มน้อยๆส่งให้แต่อีกฝ่ายหน้าตูม

“โอป้า ลมอะไรหอบพี่มาที่นี่ได้ มาหาฉันเหรอค่ะ”พัคโบราเดินไปสอดแขนคล้องกับแขนนัมแทบงไว้ ซบไหล่ยิ้มร่าเริง

“ฉันก็เดินดูงานไปเรื่อยแหละ”นัมแทบงหันไปทางร่างเล็กทันทีเมื่อถูกคล้องแขนจากนางแบบสาวที่เขาสนิท แต่เมื่อเห็นว่าดวงตากลมโตมองมาก็ใจสั่นเกรงว่าจะเข้าใจผิดแต่เพราะภาพที่เห็นว่าเธอปล่อยให้ตากล้องคู่อริโอบได้จึงทำเมินเฉย

“ที่แท้ก็สมภารกินไก่วัดนี่เอง มิน่ายัยนี่ถึงทำตัวก๋ากั่นไม่กลัวเรา” พีมะบ่นเป็นภาษาไทยกับกุมาริกาแต่ก็ทำให้ร่างเล็กสีหน้าเจื่อนลงไปไม่น้อยเมื่อได้ยินจนดาราหนุ่มหวั่นใจในข้อความที่หญิงสาวได้รับบอกอย่างร้อนตัว

“นายพูดว่าอะไร... ไม่มีคนบอกนายรึไงว่ามันไม่มีมารยาทถ้านายอยู่ในประเทศคนอื่นและมีคนที่เขาไม่รู้ภาษาของนายอยู่ด้วย นายควรใช้ภาษาสากลไม่ใช่เหรอ” นัมแทบงตำหนิ

“ผมว่ามันไม่แปลกนะเพราะผมพูดกับคนสนิทของผมไม่ได้พูดกับทีมงานของคุณ...ที่สำคัญคนที่ทำงานกับคุณก็ไม่มีมารยาทยิ่งกว่าผมที่ใช้ภาษาของตนเองด่าผม..ผมว่ามันแฟร์ดีแล้วนี่”พีมะบอกพร้อมมองไปที่นางแบบสาวที่ยืนตัวติดกันกับคู่ปรับหัวใจ

“นี่นายจะพูดอะไรก็เกรงใจแทบงโอป้าบ้างนะยังไงนายก็มาทำงานให้กับบริษัทของเขา พูดจาหัดให้เกียรติคนจ้างด้วยทีนายยังพูดกับแฟนเสียงอ่อนเสียงหวานได้”

นัมแทบงตาขวางทันทีเมื่อนางแบบสาวเอ่ยพาดพิงถึงคนตัวเล็กที่ยืนก้มหน้าไม่มองหน้าของตน แม้แต่คนอื่นยังมองความสนิทสนมของกุมาริกากับตากล้องหนุ่มฉันท์ชู้สาวแล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้ยังไง..

พีมะสบตากร้าวตอบโต้ก่อนคว้ามือเล็กข้างตัวมากำไว้ “ผมจะพูดดีกับคนที่ดีกับผมเท่านั้น”

“นี่นาย...”พัคโบราอ้าปากเตรียมเถียง

“พอ..โบรานี่มันเป็นเรื่องของฉัน” นัมแทบงเอ่ยนิ่งเอาแขนที่คล้องตนเองไว้ออก กอดอกมองตอบพร้อมจะมีเรื่อง

“ยัยสมองมดเอ้ย!!คุณนัมแทบงคุณควรอธิบายให้ผู้หญิงในสังกัดคุณเข้าใจด้วยว่า ที่ผมตกลงมาทำงานที่นี่เพราะข้อตกลงระหว่างบริษัทกับพี่สาวคุณไม่ใช่คุณ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมไม่ทำงาน ไม่มีอารมณ์อีกอย่างผมจะทำงานเมื่อพร้อมเท่านั้นถ้าไม่พอใจบอกพี่สาวคุณปลดผมออกได้เลยทุกเวลา” พีมะระเบิดอารมณ์พร้อมกับดึงร่างเล็กให้ตามออกไปด้วยแต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะรู้สึกว่าร่างเล็กข้างตัวถูกดึงไว้

“ปล่อยฉัน...เพราะถ้าพีไร้มารยาทฉันก็คงเหมือนกันบางครั้งฉันก็รู้สึกว่าอยากพูดภาษาที่เราเข้าใจกันง่ายๆมากกว่าต้องแปลให้มันยุ่งยาก ซับซ้อน” กุมาริกาบิดแขนตนเองออกจากดาราหนุ่มและเดินไปตามแรงดึงของคนด้านหน้าจึงไม่เห็นสีหน้าของนัมแทบงที่กำลังโมโหแค่ไหน

“หมายความว่าไงโบราที่หมอนั่นพูด ทำไมมันจ้องหาเรื่องเธอได้” นัมแทบงหันหาคนข้างตัวทันที ไหนจะโมโหที่ร่างเล็กโดนดึงออกไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง

“ก็ฉันคิดว่าหมอนั่นเป็นโรคจิตนี่เลยว่าเขาแต่ก็ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย”

นัมแทบงกรอกตาเอามือกุมศีรษะกลายเป็นว่า...ว่าเขาเข้าตัวซะได้ “พรุ่งนี้ไปขอโทษเขาซะถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูพี่เยรินเธอโดนหนักแน่ เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่สาวฉันไม่ชอบคนไม่มีสัมมาคารวะหรือก้าวร้าวที่สุด ถ้าเจ้านั่นมันหาเหตุผลไม่ทำขึ้นมาเธอตายแน่”

พัคโบราทำหน้าเจื่อน ทำไมกลายเป็นว่างานนี้เธอผิดอยู่คนเดียวได้ล่ะ เพราะไอ้ตากล้องกร่างคนนั้นแท้ๆ ทีกับแฟนตัวเองทำเจี๋ยมเจี้ยม น้ำเสียงหวานหูน่าดูถึงจะฟังไม่เข้าใจก็เหอะ แถมวันนี้แทบงโอป้าก็หัวเสียเรื่องอะไรถึงมาลงกับเธอได้ ปกติเขา
แทบไม่วิจารณ์ใครด้วยซ้ำหรือเพราะผู้หญิงตัวเล็กคนนั้น..เธอไม่เคยเห็นนัมแทบงโมโหใครสักคน หรือปล่อยให้ใครมาทำให้ตัวเองควบคุมสีหน้าหรืออารมณ์ไม่ได้แต่นี่แสดงออกสุดตัว

“ชักสนุกแล้วสิพัคโบรา”

เสียงสั่นของมือถือยังดังขึ้นต่อเนื่องเมื่อเจ้าของไม่ยอมรับ จนตากล้องหนุ่มเอ่ยพูดเตือน

“จะไม่รับโทรศัพท์หมอนั่นเหรอ”

“พีรู้ได้ไงว่าเขาจะโทรมา”

“ก็เราลากเบบี๋ออกมาด้วย ดูหน้าหมอนั่นเราก็รู้แล้วว่ามันไม่พอใจแต่ขนาดเบบี๋ยืนอยู่ยัยนางแบบนั่นยังกล้าคล้องแขนผู้ชายต่อหน้าคนอื่นเลย ถ้าไม่มีอะไรมากกว่านั้นทำไมกล้าทำ” พีมะระบายความโกรธพาลพูดถึงคู่แข่งในทางไม่ดีซึ่งไม่ใช่ตัวเขาสักนิด

“มันไม่เกี่ยวกับเรานี่ เขาไม่ใช่แฟนเราสักหน่อย อีกอย่างที่นี่มันไม่ใช่ถิ่นของเราบางทีอาจเป็นเราก็ได้ที่มาไม่ถูกเวลา” กุมาริกาแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน

“รักหมอนั่นเข้าแล้วใช่ไหม..” ตากล้องหนุ่มเอ่ยถามยิ้มเศร้าเพราะรู้ดีในคำตอบอยู่แล้ว

ไม่มีคำตอบมีเพียงหยดน้ำอุ่นๆที่ไหลเป็นทางโดยไม่รู้ตัว จนต้องยกมือปาด มองคนถามอย่างขอโทษกับสิ่งที่เธอก็ไม่รู้ว่าต้องเขาขอโทษอะไร

“รักหมอนั่นใช่ไหม”

กุมาริกาพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบปล่อยให้คนถามช่วยเช็ดน้ำตาให้มือเป็นระวิง

“แล้วหมอนั่นรู้ไหม”

หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบอีกเหมือนเดิม พีมะยิ้มให้ทั้งที่ข้างในก็เจ็บไม่ต่างจากร่างเล็กตรงหน้า

“เลิกร้องไห้เถอะเราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่านะ กินให้อิ่มจะได้มีสติ ยิ่งร้องไห้ตอนท้องว่างเนี่ยมันยิ่งทำให้สมองตื้อว่าไหม...” พีมะแหย่ให้หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้น

“อืมไปสิเราอยากลองกินอาหารข้างทางดูสักหน่อย” กุมาริกายิ้ม

“ได้เลย หนาวๆแบบนี้แอลกอฮอล์น่าจะดี” พีมะบอกติดตลก

สองหนุ่มสาวนั่งอยู่ในเต็นท์ขายอาหารข้างทาง บนโต๊ะมีขวดสีเขียวที่ใส่เหล้าวางอยู่2ขวด พร้อมกับหญิงสาวที่เริ่มจะมีอาการพูดมากกว่าปกติ

“อาจุมมาขอโซจูอีกขวด” กุมาริกาบอกเสียงอ้อแอ้

“ไหวเหรอ.. พีว่าเบบี๋เมาแล้วล่ะ”

หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งหลังตรง ใบหน้าใสเริ่มแดงกล่ำน่ารักในสายตาคนมอง เธอกำลังเสียใจเขารู้ดีแค่เธอไม่พูดออกมา

“ไม่เมาๆ” กุมาริกาส่ายมือไปมาเช็ดน้ำหมูกที่ไหลออกมาเพราะอากาศเย็น

“งั้นเรามาชนแก้วกันต่อ ไม่เมาไม่เลิก” พีมะยกแก้ว

“ไม่เอาดีกว่า ถ้าฉันเมาไปมากกว่านี้ลำบากพีแน่ เอิ๊ก...เรากลับกันเถอะ”กุมาริการู้สึกลมตีกลับจนอยากเลอออกมา แล้วก็รู้สึกว่าของที่กินเข้าไปก่อนหน้านี้จะออกมาด้วยจนต้องเอามือปิดปาก

เธอไม่ใช่ผู้หญิงอวดดีในเรื่องที่ไม่สมควร ในเมื่อกินเหล้าก็ต้องรู้จักตัวเองเพื่อให้เหล้าไม่ทำร้ายตัวเอง นั่นคือสิ่งที่กุลธีร์สอนเธอเสมอ

นัมแทบงลุกขึ้นยืนทันทีเพียงแค่เห็นร่างบางโดนหิ้วปีกมาด้วยท่าทางโซซัดโซเซ

“นี่มันจะมากไปแล้วนะไปกินเหล้าจนเมาไม่ได้สติกับผู้ชายอื่นงั้นเหรอเดี๋ยวมันได้ฉวยโอกาสให้หรอก”

“เดี๋ยวนั่นนายจะไปไหน อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่น่าอย่าบอกว่านายไม่ยอมให้ฉันนอนเพราะมัวเฝ้าคุณล่ามกับตากล้องสุด
หล่ออยู่เนี่ยนะแทบง” ผู้จัดการคิมคว้าแขนดาราคนดังที่คว้าเสื้อคลุมเตรียมออกไปไว้

“ปล่อยน่าฮยอง...ผมจะไปดูกัมมี่”

“เขาเป็นเพื่อนกัน...”

“ไหนฮยองว่าผู้หญิงผู้ชายเป็นเพื่อนกันไม่ได้ไง ถ้าเกิดหมอนั่นมันหน้ามืดขึ้นมาปล้ำกัมมี่ล่ะ”

“ก็ถ้าคุณล่ามยอมจะทำไงได้...เฮ้ย”ผู้จัดการคิมร้องเสียงหลงเมื่อถูกดาราดังยกคอเสื้อขึ้นมองอย่างเอาเรื่องจนต้องเปลี่ยนคำพูด

“อย่ามาพูดแบบนี้...กัมมี่ไม่ใช่คนแบบนั้นฮยองก็รู้นี่”

“ฉันขอโทษฉันมันปากไม่ดีเอง ฉันแค่ลองใจนายดูเท่านั้น นายรู้ตัวรึเปล่าว่านายรักคุณล่ามเข้าให้แล้ว นายไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยถ้าแค่เป็นเรื่องของเธอไม่ว่าจะมากหรือเล็กน้อย มันจะดีเหรอถ้านายไม่พูดออกไป ดูเหมือนว่าไม่ใช่นายคนเดียวนะที่ชอบเธอ” ผู้จัดการคิมเตือนสติ

สีหน้ากังวลกลับมาอีกหน เขาไม่ยอมหรอกของๆเขามันก็คือของๆเขาพี่เยรินพาเธอมาเพื่อเขา ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธ์...
ร่างสูงผลุนผลันออกไปจนผู้จัดการส่วนตัวยังต้องส่ายหัวหวงเขาขนาดนี้ยังจะมาทำเก๊กอยู่ได้ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะไปรู้...แต่จะว่าไปตั้งแต่คุณล่ามมาแทบงก็เปลี่ยนไปเยอะมากนะ

“เฮ้!!รอฉันด้วยสิใครให้นายไปคนเดียวเดี๋ยวได้เกิดเรื่องพอดี”

ร่างสูงยกมือขึ้นเตรียมกดรหัสตัวเอง แต่ก็ค้างไว้ในอากาศอยู่หลายครั้งจนผู้จัดการคนสนิทพลอยหงุดหงิดไปด้วย

“นี่นายจะกดก็กดสิ มานี่ฉันกดเอง”

รหัสหกตัวซึ่งเป็นวันเดือนปีเกิดของดาราหนุ่มเขาจำมันขึ้นใจเสียงปลดล็อคทำเอาผู้จักการหนุ่มยิ้มกับผลงานแต่ยังไม่ทันผลักบานประตูร่างสูงก็กระโจนเข้าไปทันที

นัมแทบงมองหาเงาของคนทั้งคู่ที่เพิ่งเข้ามาไม่นาน ก่อนกัดกรามข่มอารมณ์มุ่งตรงไปยังห้องนอนทันที ภาพที่ตากล้องหนุ่มกำลังดึงเสื้อออกจากร่างที่ไม่ได้สติทำเอาดาราหนุ่มระงับอารมณ์ไม่อยู่ คว้าร่างที่กระทำอุกอาจขึ้นมาต่อยจนลงไปนอนกองกับพื้น

“แกเข้ามาได้ไงแล้วมาต่อยฉันทำไมวะ”พีมะตกใจพยายามดึงคอเสื้อตนเองออกจากมือดาราหนุ่ม

“แกจะทำอะไร” เสียงคุกคามรอดไรฟันดังออกมา นัมแทบงแทบอยากจะทำร้ายไอ้หมอนี่ให้ตาย

“แล้วแกกำลังคิดอะไรแย่ๆอยู่ล่ะ คนอย่างแกมีแต่จะทำให้กัมมี่เจ็บช้ำ ฉันไม่ยกกัมมี่ให้หรอก” พีมะมองตอบนิ่งอย่างประกาศ
สงคราม

กุมาริกาขยับตัวเหมือนได้ยินเสียงใครทะเลาะกันอยู่ไกลๆจนต้องปรือตามองก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นพีมะโดนนัมแทบงรั้งคอเสื้อไว้ จึงโซเซลงจากเตียงไปผลักดาราคนดังให้ออกห่างไป

“คุณไม่มีสิทธิทำร้ายเพื่อนของฉันนะ”

“เธอบ้าไปแล้วรึไง หมอนั่นจะรังแกเธอนะแล้วทำไมปล่อยตัวกินเหล้าจนขาดสติขนาดนี้”

“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ฉันรู้จักพีมะดีและรู้ดีว่าเขาไม่มีทางทำร้ายฉันแน่ๆเชิญคุณออกไปจากห้องฉันได้แล้ว ผู้จัดการคิมค่ะขอความกรุณาเอาซุปเปอร์สตาร์คนดังของคุณออกไปจากห้องนี้ด้วยค่ะ” กุมาริกาเอ่ยเสียงกร้าวซ่อนความน้อยใจที่มีอยู่ไว้ข้างใน

คิมเซจุนถอนหายใจดึงแขนดาราหนุ่มให้กลับแต่ดารหนุ่มกลับนิ่งไม่ขยับและเมื่อเห็นว่านัมแทบงกำลังมองอะไรก็ยิ่งต้องถอนหายใจ

“นายด้วยกลับไปห้องของนายได้แล้วคุณตากล้อง คุณล่ามจะได้พักผ่อนพรุ่งนี่ค่อยว่ากันคุยกันทั้งเมาๆยังไงมันก็ไม่มีทางจบ
อารมณ์ล้วนๆ หาสติไม่ได้สักคนทั้งคนเมาคนไม่เมา” ผู้จัดการคิมส่ายหน้าแล้วก็ยิ้มเจื่อนเมื่อหันไปเจอตาเรียวที่มองนิ่งดั่งแช่แข็งส่งมา

“ออกไปทั้งหมดนั่นแหละฉันอยากพักผ่อน” กุมาริกาเดินโซเซกลับไปขึ้นเตียงหันหลังให้กับทุกคนก่อนปล่อยน้ำตาให้ไหลซ่อนความรู้สึกแย่ๆที่กำลังบั่นทอนจิตใจตัวเอง

คิมเซจุนอยากจะบ้าตายนี่เขาเป็นผู้จัดการศิลปินหรือกรรมการห้ามมวยกันนะ เผลอเป็นไม่ได้จะวิ่งเข้าชาร์จกันตลอด

“พอได้แล้ว..นี่คุณตากล้องคุณจะทำร้ายเขานะคุณไม่รู้รึไงว่าเขาใช้หน้าตาทำมาหากินถ้าเกิดหน้าเขาเป็นรอยแผลขึ้นมามันจะยุ่งยากแค่ไหน”

“งั้นคุณก็ห้ามซุปตาร์คนดังของคุณอย่ามายุ่งเรื่องของพวกเราอีก”

“เรื่องของเรา นายอย่าเอากัมมี่ไปรวมในเรื่องของนายแล้วก็เลิกเรียกเธอว่าเบบี๋ซะทีนายไม่มีสิทธิ”

“เหอะ!!นายนี่ถ้าจะบ้า ฉันเรียกเธอว่าเบบี๋มาตั้งแต่นายยังอยู่โลกไหนไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นนายๆไม่มีสิทธิล้ำเส้นเข้ามาในพื้นที่ของเราเข้าใจไว้ซะด้วย”

“บังเอิญว่าในที่ของนายมีผู้หญิงของฉันอยู่”

ตาเขม่งที่จ้องกันราวกับสามารถพุ่งใส่กันได้ตลอดเวลาทำให้คิมเซจุนก็พลอยมองตาไม่กระพริบไปด้วยก่อนจะดึงเสื้อนัมแทบงให้เดินออกไปด้วยกัน เมื่อเห็นว่าดาราหนุ่มไม่ขยับก็ถอนหายใจหันไปที่ชายหนุ่มอีกคนที่ยังคงยืนนิ่งก็หันไปหา
“นายก็มาด้วยกันเลยสิคุณล่ามจะได้พักผ่อน”

เสียงเตือนของลิฟท์ดังขึ้นเตือนว่าถึงชั้นที่ต้องการ พีมะหันไปทางผู้จัดการคิม “คุณบอกว่าเขาจะมีปัญหาใช่ไหมถ้าหน้ามีรอยแผล ก็ได้..งั้นผมไม่ทำหน้าเขาเป็นแผลเหมือนผมก็ได้”

“โอ้ย!! ย๊ากกส์”

นัมแทบงทรุดลงไปนอนกับพื้นเพราะโดยกระแทกที่ท้องโดยไม่ทันตั้งตัว ส่วนคนทำร้ายผิวปากเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี ก่อนหยุดหันมาอีกครั้งอย่างนึกอะไรได้

“ถือว่าฉันเอาคืนเรื่องที่นายแสดงตัวเป็นคู่แข่งเต็มตัวและฉันก็ทำตามที่ผู้จัดการนายสั่งทุกประการแค่จุกมันไม่ทำให้นายตายหรอก อย่างน้อยนายก็เจ็บที่ตัวแต่ฉันเจ็บทั้งตัวและหัวใจ”







ช่วยติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ



พบกะรัณย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ต.ค. 2558, 08:36:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ต.ค. 2558, 08:36:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 959





<< หึง   คนเสียใจ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account