พรหมลิขิตกระซิบรัก
นัมแทบง นายแบบหนุ่มผู้ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงเจ้าของฉายารอยยิ้มเทวดาหากแต่เมื่ออยู่หลังกล้องเขาคือผู้ชายหน้าเดียวที่มีแววตาดุจน้ำแข็ง....
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...
... พรหมลิขิตกระซิบรัก...
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...
... พรหมลิขิตกระซิบรัก...
Tags: ดารา นางแบบ ซุปตาร์ โรแมนติก ซึ้้ง
ตอน: คนเสียใจ
เสียงข้อความเข้าทำให้ตากลมปรายตามองมือถือของตนเองอย่างชั่งใจชื่อของคนส่งทำให้ใจเธอเต้นรัวไม่ต่างจากกลอง เมื่อวานเธอไม่รับสายจากเขา ไม่อ่านหรือตอบข้อความ ล่ามสาวมองดูข้อความที่ปรากฏ
“เรื่องเมื่อวานคุยกันหน่อยช่วงบ่ายมีสัมภาษณ์แถวชองดัมดง มาเจอกันได้ไหมเธอไปทำงานกับตากล้องนั่นแถวนั้นไม่ใช่เหรอ”
กุมาริกากรอกตากับประโยคคำสั่งอีกสองสามประโยคแต่ไม่มีสักประโยคที่เอ่ยขอโทษกับเรื่องวุ่นวายเมื่อวานจนเผลอถอนหายใจแรงๆ
“มีอะไรรึเปล่าเบบี๋หรือว่าเหนื่อย” พีมะเอียงหน้าถามขณะเตรียมความพร้อมให้อุปกรณ์กล้องของตัวเองในมือไปด้วย
หญิงสาวส่ายหน้าหันหลังเดินไปนั่งตรงจุดรับรองสำหรับทีมงานมองดูพีมะทำงานเงียบๆ ด้านหลังของตากล้องหนุ่มดูตั้งใจกับการทำงานของตัวเอง ไม่บ่อยนักที่เธอจะได้เห็นเขาในมุมเคร่งขรึมแบบนี้แต่ก็ไม่ลืมใส่ใจคนอื่น
บ่อยครั้งที่เขาจะหันมามองดูเธออย่างใส่ใจคอยถามว่าเธอเบื่อไหม หิวไหม นั่นคือข้อดีของผู้ชายคนนี้จริงๆคือรู้จักใส่ใจห่วงใยคนอื่นไม่ใช่คอยแต่จะรับความรู้สึกคนอื่นแล้วทำเย็นชา
กุมาริกาส่ายหน้าขับไล่ความคิดของตนเองนี่เรากำลังเปรียบเทียบพีมะกับใคร ก่อนหันไปมองตากล้องหนุ่มที่กำลังถ่ายถ่ายภาพนางแบบบนเวทีและบรรยากาศรอบๆงานเพื่อส่งรูปทำสกู๊ปตามที่ได้รับมอบหมาย
ในสายตาเธอเขาดูเท่มากสำหรับการเป็นมืออาชีพด้านภาพถ่ายแต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกพิเศษกับพีมะเหมือนนัมแทบง ชื่อที่ผ่านเข้าหัวทำเอาหญิงสาวเม้มปากกดข้อความบางอย่างส่งกลับไป
กุลธีร์ส่งข้อความถึงหลานสาวเช่นกันเมื่อสงสัยเกี่ยวกับข้อความที่ตนเองส่งถึงประธานคนสวยเมื่อหลายวันก่อนแต่ไม่มีข้อความตอบกลับทั้งที่มันถูกเปิดอ่านแล้วจนต้องต่อสายถึงหลานสาวสุดที่รัก
“ว่าไงค่ะอากุลวันนี้คิดถึงหลานได้ต้องมีอะไรให้ช่วยใช่ป่ะ” กุมาริกาหัวเราะร่วนแกล้งแหย่ไปตามสาย
“นี่ยายหลานตอบมาเยรินมีปัญหาอะไรรึเปล่าเขาไม่ตอบข้อความอาเลยนะหรือว่างานยุ่ง” กุลธีร์พูดเรื่องที่ร้อนใจ
“ก็คงยุ่งนะแต่ว่าเห็นว่ามีนักธุรกิจจีนมารับไปดินเนอร์เมื่อวาน พี่ยูจินเลขาท่านประธานบอกว่าคนนี้รุกหนักตลอดๆ ส่งดอกไม้มาทุกวันแล้วตอนนี้มาติดต่องานน่าจะพักอยู่เกาหลี2-3อาทิตย์ได้” กุมาริกายิ้ม
“อะไรนะ...นักธุรกิจจีนเหรอแล้วยัยหลานเคยเห็นเขาไหม”
“ก็ตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็มีข่าวอยู่นะเขาก็ดูดีนะแถมเด็กกว่าประธานนัมตั้งหกปีข่าวว่าอย่างนั้น อากุลๆทำไมเงียบล่ะ” กุมาริกาเรียกชื่ออาหนุ่มที่จู่ๆก็เงียบไปเฉยๆ
“ปะ เปล่าเออ...ว่าแต่ที่นั่นหนาวไหมวันก่อนพ่อกับแม่เราโทรหาอาอยู่ สงสัยอาต้องไปดูสักหน่อยว่าอยู่กันยังไงสบายดีรึเปล่าจะเดือนแล้วเนี่ย” กุมาริกายิ้มกับข้ออ้างของอาหนุ่มทันที
“จริงๆก็อยู่สบายนะอากุล อาไม่ต้องห่วงเขาก็ได้”
“ไม่ได้สิเดี๋ยวพ่อแม่เรามาว่าอาอีกว่าไม่สนใจดูแลหลานงั้นอีกสองวันเจอกันขออาเคลียร์งานก่อนแค่นี้นะยัยหลาน”
กุมาริกายิ้มกับโทรศัพท์เป็นอันว่าแผนกระตุ้นให้เผยความรู้สึกของเธอสำเร็จก่อนจะสลดใจเมื่อนึกถึงเรื่องของตัวเอง หยิบนิตยสารที่วางอยู่มาเปิดอ่านฆ่าเวลารอตากล้องหนุ่ม ชะงักกับภาพของใครบางคนที่อากัปกิริยาเหมือนโดนถ่ายโดยไม่รู้ตัวมีหญิงสาวที่คุ้นตาว่าเป็นนางเอกที่ถ่ายทำด้วยกันคล้องแขนอยู่ ก่อนจะมองวงกลมคล้ายจับผิดในรูปสร้อยข้อมือที่ใส่คล้ายกันต่างกันแค่สีรวมถึงแหวนที่ใส่ก็คล้ายกันด้วย
ล่ามสาวกัดปากตนเอง ถึงเธอรู้ว่ามันไม่จริงแต่ก็อดรู้สึกแย่กับสิ่งที่เห็นไม่ได้ เสียงเรียกข้างตัวดังขึ้นทำให้ร่างเล็กตกใจสะดุ้ง
“ดูอะไรอยู่เหม่อเชียว ..อ่อ ซุปตาร์หน้าแข็งหมอนี่มีข่าวเยอะดีเหมือนกันนะที” พีมะมองหน้าที่ล่ามสาวเปิดทิ้งไว้พูดไปตามที่คิดวางกล้องลงบนโต๊ะก่อนเก็บลงกระเป๋าเงียบๆ
“ไม่รู้สิ...มันเรื่องของเขานี่”
“หวั่นไหวเหรอ..”
กุมาริกาสบตานิ่งเธอไม่ต้องการพูดให้คนตรงหน้าเสียใจแต่ก็ไม่อยากให้ความหวังโดยไม่รู้ตัวอีก
“ไม่รู้สิ มันก็รู้สึกหงุดหงิดมั้งแต่ก็ยังอยู่ในจุดที่ควบคุมได้อยู่” กุมาริกาบอกยิ้มๆ
“ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันเถอะพีเสร็จงานแล้ว” พีมะเปลี่ยนเรื่องเขาไม่อยากฟังเรื่องของคู่แข่ง
สองหนุ่มสาวเดินผ่านถนนย่านธุรกิจดังชองดัมดง แถวนี้นับเป็นย่านเกี่ยวกับเอนเตอร์เทนเม้นก็ว่าได้ มีทั้ง ค่ายหนัง สถานีวิทยุ โทรทัศน์และค่ายเพลงแทบทุกค่ายอยู่รวมกันทีนี่เลย
“เราไปกินร้านอาหารตรงหัวโค้งกันดีไหมใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินด้วยเสร็จแล้วก็กลับรถไฟกันเลยใกล้ดีหรือถ้าเบบี๋หิวกินแถวนี้ก่อนก็ได้”
“ไม่เป็นไรไปกินร้านนั้นก็ได้อิ่มแล้วก็ขี้เกียจเดินไกลแล้วล่ะ” กุมาริกาบอกขำๆ
ดาราหนุ่มดูข้อความที่ได้รับด้วยใบหน้าตึงซึ่งโดยปกติก็นิ่งอยู่แล้วแต่ตอนนี้ยิ่งดูบึ้งเข้าไปอีกจนผู้จัดการคิมต้องเอ่ยเตือนก่อนส่งขวดน้ำที่เขาต้องการให้ “แทบงนายอย่าทำหน้าตาหน้ากลัวแบบนี้สิ เดี๋ยวรูปถ่ายที่ออกมาก็ดูไม่ดีหรอกเป็นอะไรของนายอีก”
“ไม่มีอะไรผมจะไปนั่งรอตรงโน้นล่ะกันคนน้อยดี” นัมแทบงยกขวดน้ำขึ้นดื่มการส่งคืนให้พยายามข่มอารมณ์โกรธเมื่อนึกถึงข้อความที่หญิงสาวตอบกลับมา
“ฉันไม่ว่างค่ะเรากำลังทำงานกันอยู่”
เสียงกระดิ่งตอนเวลาเปิดประตู ทำให้ดาราหนุ่มซึ่งหันไปมองเข้าพอดีมองนิ่ง ร่างหนุ่มสาวสองคนที่เดินคุยหยอกล้อกันเข้ามาทำเอาควันออกหู
“นี่เหรองานยุ่งจนไม่ว่างเกาหลีมันแคบจริงๆ” นัมแทบงหัวเราะขำแทนการโมโหจนผู้จัดการคิมต้องเดินมาหา
“นายหัวเราะยังกับคนบ้าเรื่องอะไรอีกแทบง จู่ๆก็ขำฉันล่ะตามอารมณ์นายไม่ทันจริงๆ” คิมเซจุนมองตามสายตาของดาราหนุ่ม เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนที่ดาราหนุ่มกำลังให้ความสนใจก็ถอนหายใจ เริ่มส่ายหัวกังวลถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น
“ทำไมโลกมันกลมอย่างนี้หรือนายรู้อยู่แล้วว่าสองคนนั่นอยู่แถวนี้นายถึงนัดนักข่าวมาสัมภาษณ์ที่นี่” ผู้จัดการคิมรีบเข้ามากระซิบกระซาบแต่ใบหน้านิ่งไม่ตอบ
“ยัยตัวแสบไหนบอกว่าทำงาน เห็นไหมว่าไอ้ตากล้องนั่นนั่งยิ้มปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว” นัมแทบงบอกเข่นเขี้ยว
“แทบงนายอย่าหงุดหงิดนะเดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องอย่าลืมว่านักข่าวอยู่ที่นี่ด้วย ขืนเป็นข่าวไม่ดีล่ะก็แย่แน่”
“ร้านนี้คนเยอะจังแต่เหมือนมีถ่ายรายการอะไรกันรึเปล่ามีอุปกรณ์จัดแสงด้วยอ่ะ” พีมะสังเกตุ
กุมาริกากลืนน้ำลายลงคอ เริ่มหันมองรอบตัวบอกตัวเองว่าคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง
ตากล้องหนุ่มสะดุดกับดวงตาเรียวที่มองมานิ่งจากบนชั้นสองของร้านก็หัวเราะหึหึ มุมที่เขาเงยหน้าขึ้นไปมีคนหน้าเดียวนั่งหน้าแข็งอยู่ คนอะไรทำหน้านิ่งซะยังกับรูปปั้นมันเป็นนักแสดงได้ไงว่ะแถมมุมที่เขานั่งยังทแยงกับมุมของดาราหนุ่มพอดีเป๊ะ
“เปลี่ยนร้านไหม” พีมะเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าล่ามสาวทำหน้างงจึงบุ้ยปากให้ร่างเล็กหันมองขึ้นไปทางชั้นบน
“เราไม่ได้ทำอะไรผิดนี่แค่มากินข้าวกันช่างเขาเถอะ” กุมาริกาตอบพร้อมส่ายหน้าปฎิเสธ รับเมนูอาหารที่บริกรส่งมาให้ตากล้องหนุ่มดู แถมตลอดการกินก็รู้สึกถึงกระแสบางอย่างที่ถูกส่งผ่านมาแสดงถึงการก่อกวนเงียบๆ
“ผมว่าเราเปลี่ยนไปถ่ายมุมด้านนอกกันมั่งดีไหม หน้าร้านเขาก็ดูอาร์ตดีผมชอบนะ” นัมแทบงเสนอคนสัมภาษณ์และช่างภาพ เมื่อทีมงานเห็นด้วยจึงมีการเปลี่ยนจุดลงมาตามที่ดาราหนุ่มต้องการ ดวงตาเรียวจับจ้องล่ามสาวและตากล้องหนุ่มนิ่งยามเมื่อเดินผ่าน โดยไม่มีการเอ่ยทักทาย
“หมอนั่นทำยังกับว่าเราไม่มีตัวตนเลย ยังกับไม่เคยรู้จักประสาทชะมัด” พีมะมองท่าทีของดาราหนุ่มนึกฉุนกับท่าทางที่ขัดตา
“อย่าไปสนใจเขาเลยที่นี่เขาเป็นคนดังคงไม่สะดวกถ้าพีอิ่มแล้วเรากลับกันเลยไหม”กุมาริกาบอกเมื่อเห็นว่าตากล้องหนุ่มหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ได้สิถ้าเบบี๋อยากกลับ”
ตากล้องหนุ่มเดินนำโดยมีร่างเล็กเดินตาม เนื่องจากบริเวณหน้าร้านกำลังดูวุ่นวายเมื่อบรรดาแฟนคลับเข้ามารุมขอถ่ายรูปกับลายเซ็นต์ดาราคนดัง กุมาริกาเงยมองเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านัมแทบงกำลังให้ความสนใจกับแฟนคลับเขาอยู่และคงไม่เห็นตนเองจึงก้มหน้าเดินผ่านไป ก่อนจะตกใจเมื่อจู่ๆดาราหนุ่มก็หันมาคว้ามือเธอไว้โดยมีผู้จัดการคิมยืนประกบไว้อีกทีราวรู้งาน
“เดี๋ยวขอเซ็นต์ให้น้องคนนี้หน่อยนะยืนมองอยู่นานแล้วคงเข้ามาไม่ถึงเลยจะไปแล้ว” ดวงตาเรียวมองนิ่งบ่งบอกอารมณ์บางอย่างในดวงตา ก่อนที่กุมาริกาจะรู้สึกเย็นเมื่อนัมแทบงเขียนอะไรบางอย่างลงในมือโดยที่เธอไม่สามารถปฎิเสธอะไรได้เลย
“เสร็จแล้วครับ”ก่อนจะเผยรอยยิ้มเทวดาแล้วหันไปยิ้มและถ่ายรูปกับกล้องของแฟนคลับอีกทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้เธอยืนงงอยู่ตรงนั้นและมีผู้จัดการคิมคอยกันเธออกจากวงล้อมจนพีมะต้องเดินกลับมาดึงเธอเดินออกไป
“ถ้าไม่คุยที่นี่พี่จะไปคุยที่ห้องพัก” กุมาริกายกมือด้านที่กำไว้ขึ้นมาดูข้อความที่ดาราหนุ่มเขียนเมื่อครู่ ข้อความบนมือทำให้ล่ามสาวหน้าเห่อร้อน เลือกที่จะหยุดเดินบิดมือข้างที่ถูกจับจูงออก
“มีอะไรเหรอหยุดเดินทำไมล่ะหรือว่าลืมอะไร” พีมะถามเมื่อร่างบางไม่ยอมเดินต่อ
“พี...เอ่อ เขามีธุระ พีกลับไปก่อนนะ” ล่ามสาวบอกอย่างยากเย็น
“เมื่อกี้ที่ไอ้ดารานั่นมันดึงมือเบบี๋ไปเขียนอะไร มันมากกว่าการล้อเล่นใช่ไหม” พีมะมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างอดกลั้นกับบางสิ่งที่กำลังท่วมใจเขา ยกมือขึ้นคว้าข้อมือบางแต่ล่ามสาวก็ยกมือหนีเลื่อนไปไว้ด้านหลังทันที
“อย่าทำแบบนีพีเราแค่ต้องคุยบางอย่างกับแทบงก่อนพีกลับไปก่อนนะ” กุมาริกาเงยหน้ามองด้วยแววตาขอร้อง
“ได้สิ พีทำได้ทุกอย่างที่เบบี๋ต้องการอยู่แล้ว” พีมะยิ้มเหมือนคนโง่ก่อนที่จะหันหลังจากไปด้วยใจที่เจ็บปวด
กุมาริกามองร่างสูงที่เดินจากไปด้วยความสงสารเช่นกัน พีมะรักเธอข้อนี้เธอรู้ดีแต่เธอไม่สามารถตอบรับเขาได้นั่นคือเรื่องจริงและเธอไม่อยากรู้สึกไม่ดีไปมากกว่านี้ แค่ทุกครั้งที่เธอเจ็บปวดและใช้เขาเป็นที่พักพิงมันก็เห็นแก่ตัวพอแล้ว
นัมแทบงยิ้มกับข้อความที่ได้รับก่อนจะหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวให้จัดการส่วนที่เหลือต่อที ส่วนตัวเองก็เลี่ยงไปที่จอดรถวนรถกลับไปยังจุดหมายที่มีร่างเล็กยืนอยู่ กุมาริกาหน้าบึ้งเมื่อเข้ามาอยู่ในรถก่อนนั่งหันหน้าออกนอกกระจก
“กัมมี่”
นัมแทบงเรียกล่ามสาวด้วยความดีใจหากแต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆจนต้องถอยออกมา มองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่เริ่มมีผลทำให้จิตใจเขาปั่นป่วนจนยากจะควบคุมมันไว้ได้เหมือนแต่ก่อน ดาราหนุ่มยิ้มก่อนขับรถไปเรื่อยๆจนออกนอกเส้นทาง ร่างเล็กถึงมีปฎิกิริยาลุกลนเมื่อมองป้ายผ่านทาง
“นี่ไม่ใช่ทางกลับที่พักฉันนี่ มันเป็นทางไปบ้านคุณไม่ใช่เหรอ”
สรรพนามถูกเปลี่ยนเป็นห่างเหินอีกครั้งจนนัมแทบงต้องข่มความโกรธแล้วขับรถต่อไปโดยไม่พูดอะไรจนคนที่นั่งเงียบในตอนแรกกลายมาเป็นคนเดือดร้อนซะเองในตอนนี้
“ประธานนัมกลับรึยังค่ะ พอดีฉันก็มีเรื่องอากุลจะคุยด้วยเหมือนกัน”
“ไม่รู้สิ” นัมแทบงตอบนิ่ง
“เราหาที่คุยแถวร้านตรงหอพักบริษัทก็ได้นี่ไม่เห็นต้องขับรถย้อนไปย้อนมาแบบนี้เลย”ล่ามสาวพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“ทำไมต้องปฎิเสธการมาเจอกัน” นัมแทบงถามโดยไม่ละสายตาจากถนน
กุมาริกามองดาราหนุ่มอย่างต้องการหาเหตุผลในสิ่งที่เขาถาม ก่อนถอนหายใจเพื่อคลายความอึดอัดก่อนที่จะตอบ
“มันจะวุ่นวายถ้าคุณต้องเป็นข่าวและฉันลำบากใจเพราะอึดอัดกับสายตาคนอื่นด้วยเหมือนกัน”
“อึดอัดใจเพราะอยู่กับพี่เหรอ...แล้วเวลาอยู่กับไอ้ตากล้องนั่นทำไมไม่อึดอัดบ้าง” นัมแทบงเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่มีหลายคำถามที่เขาต้องได้คำตอบวันนี้ ดวงตาเรียวมองคาดคั้นกับซีกหน้าใสที่เห็นเพียงด้านข้าง
“ทำไมไม่ตอบ ทำไมถึงต้องทำให้มันยาก”
“มันจะสำคัญอะไร ในเมื่อไม่ว่าฉันจะทำอะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณ ไม่อยู่ในสายตา ไม่อยู่ในจุดที่คุณจะมองเห็นฉันด้วยซ้ำ”
หญิงสาวทนรับความกดดันไม่ไหวกับความรู้สึกที่อัดแน่นไม่ต่างกัน เป็นเวลาร่วมเดือนที่เธออยู่ที่นี่ประเทศของเขา ทุกวันเธอมักจะเห็นเขาจากที่ไกลๆเสมอ ไม่มีการทักทายเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ไม่มีการแสดงออกที่ทำให้เธอรับรู้ได้ว่าเธอคือคนที่อยู่ในสถานะใดสำหรับเขา กุมาริกาจึงไม่อาจปัดความรู้สึกน้อยใจ เสียใจที่เขาไม่แสดงออกใดๆกับเธอบ้างเลยได้
รถยนต์หรูจอดลงข้างทาง นัมแทบงหันมามองร่างเล็กเต็มตา “เธอไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้หรือเพราะมีคนอื่นที่สนใจอยู่กันแน่”
“หมายความว่ายังไงอย่ามาพาลคนอื่นนะ พีเขาอยู่ของเขาดีๆ”
ใบหน้าใสถูกจับแหงนเงยให้พอดีริมฝีปากบางที่ก้มบดลงมาโดยไม่ให้ตั้งตัว ประหนึ่งต้องการลงโทษริมฝีปากอิ่มที่เอาแต่พูดถึงความดีของผู้ชายคนอื่นมากกว่าตัวเขาเอง แม้ต้องการขัดขืนแต่เมื่อโดนจูบเรียกร้องราวกับบ้าคลั่งก็ทำให้สมองที่คิดคำพูดตัดพ้อมึนงงไปชั่วขณะได้เช่นกัน ต่อเมื่อริมฝีปากบางถอยห่างออกเพื่อให้เธอได้หาอากาศหายใจจึงรู้สึกถึงลมหายใจของตัวเอง
“ปะ ปะ ปล่อยฉัน”
นัมแทบงกอดกระชับร่างนุ่มไว้ทั้งตัว ก่อนซบลงนิ่งๆที่ซอกคออุ่นหอม “ไม่ปล่อย จะไม่ปล่อยให้เธอหนีไปหรอก”
กุมาริการู้สึกถึงหัวใจอีกดวงที่เต้นแรงไม่แพ้ตน เธอรับรู้ได้ว่าเขาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้เธอเหมือนกันจึงหยุดแรงต้าน กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“เราโกรธกันเรื่องอะไรกัมมี่ ตั้งแต่มาเราทะเลาะกันมากกว่าดีว่าไหม” นัมแทบงเย้าจึงโดนร่างเล็กทุบตุบตับ
“โอ้ย!! เจ็บนะ”
ชายหนุ่มผละออกจากซอกคอนุ่มมองวงหน้าใสในเงามืด ก่อนกดจูบหวานลงมาอีกครั้งครั้งนี้เนิ่นนานจนร่างเล็กต้องประท้วง
“หายใจไม่ทันแล้วค่ะ”
“พรุ่งนี้เข้าออฟฟิศนะพี่ว่างเราไปเที่ยวกัน”
“ต้องทำงานสิคะ”
“จะไปนั่งเฝ้า”
กุมาริกายิ้มเขินที่จู่ๆดาราหนุ่มก็ทำแบ๊วเหมือนเด็กขี้อ้อน แถมยังมองมานิ่งราวกับแข่งจ้องตาจนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายหลบเพราะสู้แววหวานไม่ได้ ถ้ามันแข็งกร้าวเหมือนครั้งแรกที่เจอคงไม่มีผลใดๆกับเธอแต่นี่แววดุหายไปจนแทบไม่เหลือแล้วเธอจะต้านทานมันได้ยังไง
“พาฉันกลับบ้านได้แล้วค่ะ”
“อยู่ต่ออีกแป๊ปนะ เอ..ทำไมวันนี้ไม่ใส่สร้อยล่ะ” นัมแทบงสบตาคาดคั้น
“คือกัมมี่ตั้งใจจะไม่ใส่แล้ว เพราะ..”
“โกรธพี่นะเหรอ”
หญิงสาวส่ายศีรษะจนผมกระจาย กัดริมฝีปากอิ่มไม่รู้จะบอกอย่างไงดี กลัวชายหนุ่มโกรธที่ไม่บอกตั้งแต่แรกด้วย
“คือ..สร้อยนั่นมัน..”
“มันหายหรือเธอทิ้งมันไปแล้ว”
“ไม่ใช่ค่ะคือมันซ้ำกับ...กับของขวัญที่คุณฮามินแจให้มาค่ะ พอเขาเห็นฉันใส่ก็เลยเข้าใจผิดฉันก็เลย..”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ตาเรียวฉายแววดุอีกครั้ง
“อย่าดุสิคะ ตั้งแต่ตอนที่คุณไปโชว์ตัวที่ไทยแล้วฮามินแจฝากผู้จัดการคิมมาให้ ฉันไม่รู้จะปฎิเสธยังไง..” กุมาริกาบอกเสียงแผ่วมองอีกฝ่ายเว้าวอน
นัมแทบงนึกถึงกล่องของขวัญเจ้าปัญหานั่นขึ้นมาได้ ก่อนระบายลมหายใจแรงเอามือวนไปมาที่อกข่มอารมณ์ตนเอง
“relax relax แทบง”
“ฉันใส่แต่ของโอป้านะคะไม่เคยใส่ของเขาเลยจริงๆ”
ยิ่งได้ยินคำพูดของหญิงสาว ตาคมก็ยิ่งขวาง มิน่าได้ยินข่าวแว่วมาว่าเจ้านั่นกำลังซุ่มจีบใครสักคนอยู่ยิ่งนึกยิ่งโมโห ดาราหนุ่มทำตาขวางไม่เลิก
“พรุ่งนี้เอาเส้นของเจ้าหมอนั่นมาให้พี่แล้วก็ใส่เส้นของพี่มาด้วยเข้าใจไหม”
“ค่ะ”กุมาริกาพยักหน้าหงึกหงักมองตาเรียวอย่างหวาดๆ
ถึงจะเข้าใจกันแล้วบทเขาจะโกรธขึ้นมาอีก ดวงตาเรียวก็แทบจะแช่แข็งเธอได้เลยยามจ้องมา ล่ามสาวได้แต่ทำหน้ายุ่งกับตนเอง
อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ
“เรื่องเมื่อวานคุยกันหน่อยช่วงบ่ายมีสัมภาษณ์แถวชองดัมดง มาเจอกันได้ไหมเธอไปทำงานกับตากล้องนั่นแถวนั้นไม่ใช่เหรอ”
กุมาริกากรอกตากับประโยคคำสั่งอีกสองสามประโยคแต่ไม่มีสักประโยคที่เอ่ยขอโทษกับเรื่องวุ่นวายเมื่อวานจนเผลอถอนหายใจแรงๆ
“มีอะไรรึเปล่าเบบี๋หรือว่าเหนื่อย” พีมะเอียงหน้าถามขณะเตรียมความพร้อมให้อุปกรณ์กล้องของตัวเองในมือไปด้วย
หญิงสาวส่ายหน้าหันหลังเดินไปนั่งตรงจุดรับรองสำหรับทีมงานมองดูพีมะทำงานเงียบๆ ด้านหลังของตากล้องหนุ่มดูตั้งใจกับการทำงานของตัวเอง ไม่บ่อยนักที่เธอจะได้เห็นเขาในมุมเคร่งขรึมแบบนี้แต่ก็ไม่ลืมใส่ใจคนอื่น
บ่อยครั้งที่เขาจะหันมามองดูเธออย่างใส่ใจคอยถามว่าเธอเบื่อไหม หิวไหม นั่นคือข้อดีของผู้ชายคนนี้จริงๆคือรู้จักใส่ใจห่วงใยคนอื่นไม่ใช่คอยแต่จะรับความรู้สึกคนอื่นแล้วทำเย็นชา
กุมาริกาส่ายหน้าขับไล่ความคิดของตนเองนี่เรากำลังเปรียบเทียบพีมะกับใคร ก่อนหันไปมองตากล้องหนุ่มที่กำลังถ่ายถ่ายภาพนางแบบบนเวทีและบรรยากาศรอบๆงานเพื่อส่งรูปทำสกู๊ปตามที่ได้รับมอบหมาย
ในสายตาเธอเขาดูเท่มากสำหรับการเป็นมืออาชีพด้านภาพถ่ายแต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกพิเศษกับพีมะเหมือนนัมแทบง ชื่อที่ผ่านเข้าหัวทำเอาหญิงสาวเม้มปากกดข้อความบางอย่างส่งกลับไป
กุลธีร์ส่งข้อความถึงหลานสาวเช่นกันเมื่อสงสัยเกี่ยวกับข้อความที่ตนเองส่งถึงประธานคนสวยเมื่อหลายวันก่อนแต่ไม่มีข้อความตอบกลับทั้งที่มันถูกเปิดอ่านแล้วจนต้องต่อสายถึงหลานสาวสุดที่รัก
“ว่าไงค่ะอากุลวันนี้คิดถึงหลานได้ต้องมีอะไรให้ช่วยใช่ป่ะ” กุมาริกาหัวเราะร่วนแกล้งแหย่ไปตามสาย
“นี่ยายหลานตอบมาเยรินมีปัญหาอะไรรึเปล่าเขาไม่ตอบข้อความอาเลยนะหรือว่างานยุ่ง” กุลธีร์พูดเรื่องที่ร้อนใจ
“ก็คงยุ่งนะแต่ว่าเห็นว่ามีนักธุรกิจจีนมารับไปดินเนอร์เมื่อวาน พี่ยูจินเลขาท่านประธานบอกว่าคนนี้รุกหนักตลอดๆ ส่งดอกไม้มาทุกวันแล้วตอนนี้มาติดต่องานน่าจะพักอยู่เกาหลี2-3อาทิตย์ได้” กุมาริกายิ้ม
“อะไรนะ...นักธุรกิจจีนเหรอแล้วยัยหลานเคยเห็นเขาไหม”
“ก็ตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็มีข่าวอยู่นะเขาก็ดูดีนะแถมเด็กกว่าประธานนัมตั้งหกปีข่าวว่าอย่างนั้น อากุลๆทำไมเงียบล่ะ” กุมาริกาเรียกชื่ออาหนุ่มที่จู่ๆก็เงียบไปเฉยๆ
“ปะ เปล่าเออ...ว่าแต่ที่นั่นหนาวไหมวันก่อนพ่อกับแม่เราโทรหาอาอยู่ สงสัยอาต้องไปดูสักหน่อยว่าอยู่กันยังไงสบายดีรึเปล่าจะเดือนแล้วเนี่ย” กุมาริกายิ้มกับข้ออ้างของอาหนุ่มทันที
“จริงๆก็อยู่สบายนะอากุล อาไม่ต้องห่วงเขาก็ได้”
“ไม่ได้สิเดี๋ยวพ่อแม่เรามาว่าอาอีกว่าไม่สนใจดูแลหลานงั้นอีกสองวันเจอกันขออาเคลียร์งานก่อนแค่นี้นะยัยหลาน”
กุมาริกายิ้มกับโทรศัพท์เป็นอันว่าแผนกระตุ้นให้เผยความรู้สึกของเธอสำเร็จก่อนจะสลดใจเมื่อนึกถึงเรื่องของตัวเอง หยิบนิตยสารที่วางอยู่มาเปิดอ่านฆ่าเวลารอตากล้องหนุ่ม ชะงักกับภาพของใครบางคนที่อากัปกิริยาเหมือนโดนถ่ายโดยไม่รู้ตัวมีหญิงสาวที่คุ้นตาว่าเป็นนางเอกที่ถ่ายทำด้วยกันคล้องแขนอยู่ ก่อนจะมองวงกลมคล้ายจับผิดในรูปสร้อยข้อมือที่ใส่คล้ายกันต่างกันแค่สีรวมถึงแหวนที่ใส่ก็คล้ายกันด้วย
ล่ามสาวกัดปากตนเอง ถึงเธอรู้ว่ามันไม่จริงแต่ก็อดรู้สึกแย่กับสิ่งที่เห็นไม่ได้ เสียงเรียกข้างตัวดังขึ้นทำให้ร่างเล็กตกใจสะดุ้ง
“ดูอะไรอยู่เหม่อเชียว ..อ่อ ซุปตาร์หน้าแข็งหมอนี่มีข่าวเยอะดีเหมือนกันนะที” พีมะมองหน้าที่ล่ามสาวเปิดทิ้งไว้พูดไปตามที่คิดวางกล้องลงบนโต๊ะก่อนเก็บลงกระเป๋าเงียบๆ
“ไม่รู้สิ...มันเรื่องของเขานี่”
“หวั่นไหวเหรอ..”
กุมาริกาสบตานิ่งเธอไม่ต้องการพูดให้คนตรงหน้าเสียใจแต่ก็ไม่อยากให้ความหวังโดยไม่รู้ตัวอีก
“ไม่รู้สิ มันก็รู้สึกหงุดหงิดมั้งแต่ก็ยังอยู่ในจุดที่ควบคุมได้อยู่” กุมาริกาบอกยิ้มๆ
“ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันเถอะพีเสร็จงานแล้ว” พีมะเปลี่ยนเรื่องเขาไม่อยากฟังเรื่องของคู่แข่ง
สองหนุ่มสาวเดินผ่านถนนย่านธุรกิจดังชองดัมดง แถวนี้นับเป็นย่านเกี่ยวกับเอนเตอร์เทนเม้นก็ว่าได้ มีทั้ง ค่ายหนัง สถานีวิทยุ โทรทัศน์และค่ายเพลงแทบทุกค่ายอยู่รวมกันทีนี่เลย
“เราไปกินร้านอาหารตรงหัวโค้งกันดีไหมใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินด้วยเสร็จแล้วก็กลับรถไฟกันเลยใกล้ดีหรือถ้าเบบี๋หิวกินแถวนี้ก่อนก็ได้”
“ไม่เป็นไรไปกินร้านนั้นก็ได้อิ่มแล้วก็ขี้เกียจเดินไกลแล้วล่ะ” กุมาริกาบอกขำๆ
ดาราหนุ่มดูข้อความที่ได้รับด้วยใบหน้าตึงซึ่งโดยปกติก็นิ่งอยู่แล้วแต่ตอนนี้ยิ่งดูบึ้งเข้าไปอีกจนผู้จัดการคิมต้องเอ่ยเตือนก่อนส่งขวดน้ำที่เขาต้องการให้ “แทบงนายอย่าทำหน้าตาหน้ากลัวแบบนี้สิ เดี๋ยวรูปถ่ายที่ออกมาก็ดูไม่ดีหรอกเป็นอะไรของนายอีก”
“ไม่มีอะไรผมจะไปนั่งรอตรงโน้นล่ะกันคนน้อยดี” นัมแทบงยกขวดน้ำขึ้นดื่มการส่งคืนให้พยายามข่มอารมณ์โกรธเมื่อนึกถึงข้อความที่หญิงสาวตอบกลับมา
“ฉันไม่ว่างค่ะเรากำลังทำงานกันอยู่”
เสียงกระดิ่งตอนเวลาเปิดประตู ทำให้ดาราหนุ่มซึ่งหันไปมองเข้าพอดีมองนิ่ง ร่างหนุ่มสาวสองคนที่เดินคุยหยอกล้อกันเข้ามาทำเอาควันออกหู
“นี่เหรองานยุ่งจนไม่ว่างเกาหลีมันแคบจริงๆ” นัมแทบงหัวเราะขำแทนการโมโหจนผู้จัดการคิมต้องเดินมาหา
“นายหัวเราะยังกับคนบ้าเรื่องอะไรอีกแทบง จู่ๆก็ขำฉันล่ะตามอารมณ์นายไม่ทันจริงๆ” คิมเซจุนมองตามสายตาของดาราหนุ่ม เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนที่ดาราหนุ่มกำลังให้ความสนใจก็ถอนหายใจ เริ่มส่ายหัวกังวลถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น
“ทำไมโลกมันกลมอย่างนี้หรือนายรู้อยู่แล้วว่าสองคนนั่นอยู่แถวนี้นายถึงนัดนักข่าวมาสัมภาษณ์ที่นี่” ผู้จัดการคิมรีบเข้ามากระซิบกระซาบแต่ใบหน้านิ่งไม่ตอบ
“ยัยตัวแสบไหนบอกว่าทำงาน เห็นไหมว่าไอ้ตากล้องนั่นนั่งยิ้มปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว” นัมแทบงบอกเข่นเขี้ยว
“แทบงนายอย่าหงุดหงิดนะเดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องอย่าลืมว่านักข่าวอยู่ที่นี่ด้วย ขืนเป็นข่าวไม่ดีล่ะก็แย่แน่”
“ร้านนี้คนเยอะจังแต่เหมือนมีถ่ายรายการอะไรกันรึเปล่ามีอุปกรณ์จัดแสงด้วยอ่ะ” พีมะสังเกตุ
กุมาริกากลืนน้ำลายลงคอ เริ่มหันมองรอบตัวบอกตัวเองว่าคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง
ตากล้องหนุ่มสะดุดกับดวงตาเรียวที่มองมานิ่งจากบนชั้นสองของร้านก็หัวเราะหึหึ มุมที่เขาเงยหน้าขึ้นไปมีคนหน้าเดียวนั่งหน้าแข็งอยู่ คนอะไรทำหน้านิ่งซะยังกับรูปปั้นมันเป็นนักแสดงได้ไงว่ะแถมมุมที่เขานั่งยังทแยงกับมุมของดาราหนุ่มพอดีเป๊ะ
“เปลี่ยนร้านไหม” พีมะเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าล่ามสาวทำหน้างงจึงบุ้ยปากให้ร่างเล็กหันมองขึ้นไปทางชั้นบน
“เราไม่ได้ทำอะไรผิดนี่แค่มากินข้าวกันช่างเขาเถอะ” กุมาริกาตอบพร้อมส่ายหน้าปฎิเสธ รับเมนูอาหารที่บริกรส่งมาให้ตากล้องหนุ่มดู แถมตลอดการกินก็รู้สึกถึงกระแสบางอย่างที่ถูกส่งผ่านมาแสดงถึงการก่อกวนเงียบๆ
“ผมว่าเราเปลี่ยนไปถ่ายมุมด้านนอกกันมั่งดีไหม หน้าร้านเขาก็ดูอาร์ตดีผมชอบนะ” นัมแทบงเสนอคนสัมภาษณ์และช่างภาพ เมื่อทีมงานเห็นด้วยจึงมีการเปลี่ยนจุดลงมาตามที่ดาราหนุ่มต้องการ ดวงตาเรียวจับจ้องล่ามสาวและตากล้องหนุ่มนิ่งยามเมื่อเดินผ่าน โดยไม่มีการเอ่ยทักทาย
“หมอนั่นทำยังกับว่าเราไม่มีตัวตนเลย ยังกับไม่เคยรู้จักประสาทชะมัด” พีมะมองท่าทีของดาราหนุ่มนึกฉุนกับท่าทางที่ขัดตา
“อย่าไปสนใจเขาเลยที่นี่เขาเป็นคนดังคงไม่สะดวกถ้าพีอิ่มแล้วเรากลับกันเลยไหม”กุมาริกาบอกเมื่อเห็นว่าตากล้องหนุ่มหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ได้สิถ้าเบบี๋อยากกลับ”
ตากล้องหนุ่มเดินนำโดยมีร่างเล็กเดินตาม เนื่องจากบริเวณหน้าร้านกำลังดูวุ่นวายเมื่อบรรดาแฟนคลับเข้ามารุมขอถ่ายรูปกับลายเซ็นต์ดาราคนดัง กุมาริกาเงยมองเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านัมแทบงกำลังให้ความสนใจกับแฟนคลับเขาอยู่และคงไม่เห็นตนเองจึงก้มหน้าเดินผ่านไป ก่อนจะตกใจเมื่อจู่ๆดาราหนุ่มก็หันมาคว้ามือเธอไว้โดยมีผู้จัดการคิมยืนประกบไว้อีกทีราวรู้งาน
“เดี๋ยวขอเซ็นต์ให้น้องคนนี้หน่อยนะยืนมองอยู่นานแล้วคงเข้ามาไม่ถึงเลยจะไปแล้ว” ดวงตาเรียวมองนิ่งบ่งบอกอารมณ์บางอย่างในดวงตา ก่อนที่กุมาริกาจะรู้สึกเย็นเมื่อนัมแทบงเขียนอะไรบางอย่างลงในมือโดยที่เธอไม่สามารถปฎิเสธอะไรได้เลย
“เสร็จแล้วครับ”ก่อนจะเผยรอยยิ้มเทวดาแล้วหันไปยิ้มและถ่ายรูปกับกล้องของแฟนคลับอีกทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้เธอยืนงงอยู่ตรงนั้นและมีผู้จัดการคิมคอยกันเธออกจากวงล้อมจนพีมะต้องเดินกลับมาดึงเธอเดินออกไป
“ถ้าไม่คุยที่นี่พี่จะไปคุยที่ห้องพัก” กุมาริกายกมือด้านที่กำไว้ขึ้นมาดูข้อความที่ดาราหนุ่มเขียนเมื่อครู่ ข้อความบนมือทำให้ล่ามสาวหน้าเห่อร้อน เลือกที่จะหยุดเดินบิดมือข้างที่ถูกจับจูงออก
“มีอะไรเหรอหยุดเดินทำไมล่ะหรือว่าลืมอะไร” พีมะถามเมื่อร่างบางไม่ยอมเดินต่อ
“พี...เอ่อ เขามีธุระ พีกลับไปก่อนนะ” ล่ามสาวบอกอย่างยากเย็น
“เมื่อกี้ที่ไอ้ดารานั่นมันดึงมือเบบี๋ไปเขียนอะไร มันมากกว่าการล้อเล่นใช่ไหม” พีมะมองร่างเล็กตรงหน้าอย่างอดกลั้นกับบางสิ่งที่กำลังท่วมใจเขา ยกมือขึ้นคว้าข้อมือบางแต่ล่ามสาวก็ยกมือหนีเลื่อนไปไว้ด้านหลังทันที
“อย่าทำแบบนีพีเราแค่ต้องคุยบางอย่างกับแทบงก่อนพีกลับไปก่อนนะ” กุมาริกาเงยหน้ามองด้วยแววตาขอร้อง
“ได้สิ พีทำได้ทุกอย่างที่เบบี๋ต้องการอยู่แล้ว” พีมะยิ้มเหมือนคนโง่ก่อนที่จะหันหลังจากไปด้วยใจที่เจ็บปวด
กุมาริกามองร่างสูงที่เดินจากไปด้วยความสงสารเช่นกัน พีมะรักเธอข้อนี้เธอรู้ดีแต่เธอไม่สามารถตอบรับเขาได้นั่นคือเรื่องจริงและเธอไม่อยากรู้สึกไม่ดีไปมากกว่านี้ แค่ทุกครั้งที่เธอเจ็บปวดและใช้เขาเป็นที่พักพิงมันก็เห็นแก่ตัวพอแล้ว
นัมแทบงยิ้มกับข้อความที่ได้รับก่อนจะหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวให้จัดการส่วนที่เหลือต่อที ส่วนตัวเองก็เลี่ยงไปที่จอดรถวนรถกลับไปยังจุดหมายที่มีร่างเล็กยืนอยู่ กุมาริกาหน้าบึ้งเมื่อเข้ามาอยู่ในรถก่อนนั่งหันหน้าออกนอกกระจก
“กัมมี่”
นัมแทบงเรียกล่ามสาวด้วยความดีใจหากแต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆจนต้องถอยออกมา มองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่เริ่มมีผลทำให้จิตใจเขาปั่นป่วนจนยากจะควบคุมมันไว้ได้เหมือนแต่ก่อน ดาราหนุ่มยิ้มก่อนขับรถไปเรื่อยๆจนออกนอกเส้นทาง ร่างเล็กถึงมีปฎิกิริยาลุกลนเมื่อมองป้ายผ่านทาง
“นี่ไม่ใช่ทางกลับที่พักฉันนี่ มันเป็นทางไปบ้านคุณไม่ใช่เหรอ”
สรรพนามถูกเปลี่ยนเป็นห่างเหินอีกครั้งจนนัมแทบงต้องข่มความโกรธแล้วขับรถต่อไปโดยไม่พูดอะไรจนคนที่นั่งเงียบในตอนแรกกลายมาเป็นคนเดือดร้อนซะเองในตอนนี้
“ประธานนัมกลับรึยังค่ะ พอดีฉันก็มีเรื่องอากุลจะคุยด้วยเหมือนกัน”
“ไม่รู้สิ” นัมแทบงตอบนิ่ง
“เราหาที่คุยแถวร้านตรงหอพักบริษัทก็ได้นี่ไม่เห็นต้องขับรถย้อนไปย้อนมาแบบนี้เลย”ล่ามสาวพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“ทำไมต้องปฎิเสธการมาเจอกัน” นัมแทบงถามโดยไม่ละสายตาจากถนน
กุมาริกามองดาราหนุ่มอย่างต้องการหาเหตุผลในสิ่งที่เขาถาม ก่อนถอนหายใจเพื่อคลายความอึดอัดก่อนที่จะตอบ
“มันจะวุ่นวายถ้าคุณต้องเป็นข่าวและฉันลำบากใจเพราะอึดอัดกับสายตาคนอื่นด้วยเหมือนกัน”
“อึดอัดใจเพราะอยู่กับพี่เหรอ...แล้วเวลาอยู่กับไอ้ตากล้องนั่นทำไมไม่อึดอัดบ้าง” นัมแทบงเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่มีหลายคำถามที่เขาต้องได้คำตอบวันนี้ ดวงตาเรียวมองคาดคั้นกับซีกหน้าใสที่เห็นเพียงด้านข้าง
“ทำไมไม่ตอบ ทำไมถึงต้องทำให้มันยาก”
“มันจะสำคัญอะไร ในเมื่อไม่ว่าฉันจะทำอะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณ ไม่อยู่ในสายตา ไม่อยู่ในจุดที่คุณจะมองเห็นฉันด้วยซ้ำ”
หญิงสาวทนรับความกดดันไม่ไหวกับความรู้สึกที่อัดแน่นไม่ต่างกัน เป็นเวลาร่วมเดือนที่เธออยู่ที่นี่ประเทศของเขา ทุกวันเธอมักจะเห็นเขาจากที่ไกลๆเสมอ ไม่มีการทักทายเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ไม่มีการแสดงออกที่ทำให้เธอรับรู้ได้ว่าเธอคือคนที่อยู่ในสถานะใดสำหรับเขา กุมาริกาจึงไม่อาจปัดความรู้สึกน้อยใจ เสียใจที่เขาไม่แสดงออกใดๆกับเธอบ้างเลยได้
รถยนต์หรูจอดลงข้างทาง นัมแทบงหันมามองร่างเล็กเต็มตา “เธอไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้หรือเพราะมีคนอื่นที่สนใจอยู่กันแน่”
“หมายความว่ายังไงอย่ามาพาลคนอื่นนะ พีเขาอยู่ของเขาดีๆ”
ใบหน้าใสถูกจับแหงนเงยให้พอดีริมฝีปากบางที่ก้มบดลงมาโดยไม่ให้ตั้งตัว ประหนึ่งต้องการลงโทษริมฝีปากอิ่มที่เอาแต่พูดถึงความดีของผู้ชายคนอื่นมากกว่าตัวเขาเอง แม้ต้องการขัดขืนแต่เมื่อโดนจูบเรียกร้องราวกับบ้าคลั่งก็ทำให้สมองที่คิดคำพูดตัดพ้อมึนงงไปชั่วขณะได้เช่นกัน ต่อเมื่อริมฝีปากบางถอยห่างออกเพื่อให้เธอได้หาอากาศหายใจจึงรู้สึกถึงลมหายใจของตัวเอง
“ปะ ปะ ปล่อยฉัน”
นัมแทบงกอดกระชับร่างนุ่มไว้ทั้งตัว ก่อนซบลงนิ่งๆที่ซอกคออุ่นหอม “ไม่ปล่อย จะไม่ปล่อยให้เธอหนีไปหรอก”
กุมาริการู้สึกถึงหัวใจอีกดวงที่เต้นแรงไม่แพ้ตน เธอรับรู้ได้ว่าเขาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้เธอเหมือนกันจึงหยุดแรงต้าน กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“เราโกรธกันเรื่องอะไรกัมมี่ ตั้งแต่มาเราทะเลาะกันมากกว่าดีว่าไหม” นัมแทบงเย้าจึงโดนร่างเล็กทุบตุบตับ
“โอ้ย!! เจ็บนะ”
ชายหนุ่มผละออกจากซอกคอนุ่มมองวงหน้าใสในเงามืด ก่อนกดจูบหวานลงมาอีกครั้งครั้งนี้เนิ่นนานจนร่างเล็กต้องประท้วง
“หายใจไม่ทันแล้วค่ะ”
“พรุ่งนี้เข้าออฟฟิศนะพี่ว่างเราไปเที่ยวกัน”
“ต้องทำงานสิคะ”
“จะไปนั่งเฝ้า”
กุมาริกายิ้มเขินที่จู่ๆดาราหนุ่มก็ทำแบ๊วเหมือนเด็กขี้อ้อน แถมยังมองมานิ่งราวกับแข่งจ้องตาจนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายหลบเพราะสู้แววหวานไม่ได้ ถ้ามันแข็งกร้าวเหมือนครั้งแรกที่เจอคงไม่มีผลใดๆกับเธอแต่นี่แววดุหายไปจนแทบไม่เหลือแล้วเธอจะต้านทานมันได้ยังไง
“พาฉันกลับบ้านได้แล้วค่ะ”
“อยู่ต่ออีกแป๊ปนะ เอ..ทำไมวันนี้ไม่ใส่สร้อยล่ะ” นัมแทบงสบตาคาดคั้น
“คือกัมมี่ตั้งใจจะไม่ใส่แล้ว เพราะ..”
“โกรธพี่นะเหรอ”
หญิงสาวส่ายศีรษะจนผมกระจาย กัดริมฝีปากอิ่มไม่รู้จะบอกอย่างไงดี กลัวชายหนุ่มโกรธที่ไม่บอกตั้งแต่แรกด้วย
“คือ..สร้อยนั่นมัน..”
“มันหายหรือเธอทิ้งมันไปแล้ว”
“ไม่ใช่ค่ะคือมันซ้ำกับ...กับของขวัญที่คุณฮามินแจให้มาค่ะ พอเขาเห็นฉันใส่ก็เลยเข้าใจผิดฉันก็เลย..”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ตาเรียวฉายแววดุอีกครั้ง
“อย่าดุสิคะ ตั้งแต่ตอนที่คุณไปโชว์ตัวที่ไทยแล้วฮามินแจฝากผู้จัดการคิมมาให้ ฉันไม่รู้จะปฎิเสธยังไง..” กุมาริกาบอกเสียงแผ่วมองอีกฝ่ายเว้าวอน
นัมแทบงนึกถึงกล่องของขวัญเจ้าปัญหานั่นขึ้นมาได้ ก่อนระบายลมหายใจแรงเอามือวนไปมาที่อกข่มอารมณ์ตนเอง
“relax relax แทบง”
“ฉันใส่แต่ของโอป้านะคะไม่เคยใส่ของเขาเลยจริงๆ”
ยิ่งได้ยินคำพูดของหญิงสาว ตาคมก็ยิ่งขวาง มิน่าได้ยินข่าวแว่วมาว่าเจ้านั่นกำลังซุ่มจีบใครสักคนอยู่ยิ่งนึกยิ่งโมโห ดาราหนุ่มทำตาขวางไม่เลิก
“พรุ่งนี้เอาเส้นของเจ้าหมอนั่นมาให้พี่แล้วก็ใส่เส้นของพี่มาด้วยเข้าใจไหม”
“ค่ะ”กุมาริกาพยักหน้าหงึกหงักมองตาเรียวอย่างหวาดๆ
ถึงจะเข้าใจกันแล้วบทเขาจะโกรธขึ้นมาอีก ดวงตาเรียวก็แทบจะแช่แข็งเธอได้เลยยามจ้องมา ล่ามสาวได้แต่ทำหน้ายุ่งกับตนเอง
อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ
พบกะรัณย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ต.ค. 2558, 11:12:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2558, 11:12:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 856
<< เข้าใจผิด | ตากล้องของฉัน >> |