รักร้าวในแผลใจ
กลับมาอีกครั้งกับนิยายรัก (สีเทา)
คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง
รักร้าวในแผลใจ
รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น
หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ
ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ
ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl
คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง
รักร้าวในแผลใจ
รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น
หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ
ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ
ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 4 เรื่องบาดหมางใจ
บทที่ 4
เรื่องบาดหมางใจ
ยอดกล้ากลับมาอีกทีในตอนบ่ายแล้วก็ได้รู้ข่าวจากชิดชมว่าเกิดอะไรขึ้นกับสิรินภา ความเป็นห่วงทำให้ต้องรีบตามหาเธออย่างรีบร้อนแต่กลับไม่พบจึงตรงมาหาเพื่อนสาวแทนซึ่งพอดีกับที่ลูกค้ากลุ่มสุดท้ายเพิ่งเดินออกจากร้านไป
“ตัวมีอะไรกับเราหรอ” ชิดชมถามหน้าใสซื่อ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ายอดกล้าต้องการถามอะไร
“ก็ตัวบอกว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับบี เราก็รีบมาแต่เมื่อกี้เราไปหาบีที่สวนหลังร้านก็ไม่เห็นบีแล้ว” คนถามทำหน้าตาตื่น รอคำตอบจากชิดชม
“กลับไปแล้ว” คนตอบเสียงเรียบหากคนฟังกลับทำตาโตใส่
“หา กลับไปแล้วหรอ”
“อืม คุณบีเธอเข้ามาบอกว่าปวดหัวก็เลยขอตัวกลับไปก่อนแล้วฝากให้เราบอกตัวด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง” ชิดชมบอกเพื่อนเห็นอีกฝ่ายทำหน้าหง่อย อดไม่ได้ที่จะให้กำลังใจเพื่อนด้วยการเข้ามาตบบ่าเบาๆ “เอาน่า คุณบีเธอไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เธออาจจะแค่เหนื่อย ก็ตัวนั่นแหละปล่อยให้คุณบีทำงานกลางแดดคนเดียวได้ยังไง เธอเป็นผู้หญิงนะ แล้วงานแบบนี้มันก็เหมาะกับผู้ชายด้วย” ปากอิ่มเอ่ยจบก็เดินมาเก็บภาชนะอาหารบนโต๊ะใส่ลงตะกร้าเตรียมล้างโดยมีร่างของเพื่อนหนุ่มมาช่วยเก็บด้วยอีกโต๊ะหนึ่ง
“ตัวแน่ใจนะว่าบีไม่ได้เป็นอะไรมากนะ” ไม่วายเอ่ยปากถามเพื่อนสาวอีกครั้งแต่อีกฝ่ายก็ยังยืนกราน
“แน่สิ ตัวอย่าคิดมากเลย เชื่อเถอะพรุ่งนี้คุณบีก็มาทำงานได้ตามปกติแหละ”
“แล้วตัวว่าเราควรไปหาบีไหม” ยอดกล้าดูกังวลใจนัก เห็นชิดชมสั่นหน้าระริก
“ถ้าเขาเป็นตัวนะ เขาจะไม่ไปหาหรอกเดี๋ยวจะหาว่าเซ้าซี้เกินไปแต่เขาจะแค่โทรไปถามไถ่ คิดว่าแค่นี้คุณบีก็คงรู้แล้วแหละว่าตัวเป็นห่วง” เอ่ยจบแล้วยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ ให้เมื่อยังเห็นเพื่อนหนุ่มทำหน้าเศร้า
สิรินภาหอบถุงอาหารที่ซื้อมาจากปากซอยหน้าตลาดก่อนจะนั่งแท็กซี่มาส่งที่บ้านเช่า เมื่อเปิดประตูรั้วก็เห็นร่างเด็กน้อยสามคนอายุไล่เลี่ยกัน สองคนกำลังวิ่งแข่งกันเพื่อจะได้มากอดหญิงสาวก่อนเป็นคนแรก ดูแล้วชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก ร่างเล็กย่อตัวลงพร้อมอ้าแขนสองข้างรับกอดเด็กๆ ทั้งสอง
“คิดถึงมามี๊จัง” เสียงเล็กๆ ของเด็กชายหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับหอมแก้มผู้ที่หนูน้อยวัยห้าขวบเรียกแทนว่ามารดา
“ป๋มก็คิดถึงมามี๊จัง” เด็กชายสองผู้เป็นแฝดน้องเลียนแบบคำพูดแฝดพี่บ้างแล้วฉีกยิ้มหน้าบานก่อนจะตามมาด้วยหอมแก้มไปหนึ่งฟอด
สิรินภายิ้มหวาน ความเหนื่อยล้าและความเครียดทั้งหมดสลายลงเมื่อได้เห็นเด็กน้อยก่อนสายตาหวานจะเลื่อนมาหาเด็กหญิงวัยสามขวบที่มีญาติผู้ใหญ่จูงมืออยู่ จึงไม่รีรอรีบจูงมือเด็กชายทั้งสองเพื่อไปหาเด็กหญิงน้อย
“มาให้มามี๊กอดหน่อยเร็ว”
เด็กหญิงน้อยยิ้มจิ้มลิ้มเดินเข้าไปหาและยอมให้กอดอย่างว่าง่ายโดยมีร่างของเด็กชายอีกสองคนวิ่งเข้ามากอดร่างผู้เป็นมารดาอย่างแนบแน่น ซึ่งภาพตรงหน้าทำให้อบเชยที่ช่วยดูแลเด็กๆ ถึงกับน้ำตาไหล
เด็กทั้งสามกำลังเล่นกันอยู่ที่ห้องรับแขกส่วนสิรินภากำลังเทขนมใส่จานโดยมีอบเชยพี่เลี้ยงช่วยจัดการให้อีกมือเพราะบ้านหลังนี้ไม่มีคนใช้ อบเชยเองก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นป้าของเด็กๆ ทั้งสาม
“นี่ขนาดไม่ใช่ลูกของบีเองนะ บียังดูแลเด็กๆ ได้ดีขนาดนี้ผิดกับแม่แท้ๆ ที่ทิ้งลูกได้ลงคอ” อบเชยพูดแค่นั้นแล้วถอนหายใจเบาๆ อย่างเหนื่อยล้า
“พี่อบค่ะ เรื่องมันแล้วไปแล้วอย่าไปพูดถึงมันอีกเลยนะคะ ตอนนี้เด็กๆ ก็ไม่เหลือใครนอกจากเราสองคนและบีเองก็ไม่อยากให้เด็กๆ ต้องมารับรู้เรื่องนี้เพราะบีกลัวว่าเด็กๆ จะมีปมด้อย”
อบเชยยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะหยิบมือสิรินภามากุมไว้ ถ้าจะนับกันจริงๆ ผู้หญิงคนนี้คือน้องสะใภ้ของเธอ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ชอบหน้าสิรินภาก็ตามแต่หลังจากที่น้องชายของเธอตายก็มีเพียงสิรินภาเท่านั้นที่เป็นคนดูแลทั้งหมดทั้งค่าใช้จ่ายในบ้านตลอดจนอุปการะเด็กๆ ทั้งสามให้เป็นบุตรบุญธรรม
“ความจริงแล้วพี่ยังรู้สึกผิดกับบีไม่หาย” อบเชยหน้าเศร้าพูดต่อ “วันแรกที่บีมากับยุทธ์ พี่คิดว่าเพราะบีที่ทำให้ยุทธ์มีปัญหากับสุรีย์เมียของยุทธ์ถึงขั้นแยกทางกัน พี่มีอคติกับบีตั้งแต่แรกเลย”
สิรินภายิ้ม กุมมืออบเชยไว้พยายามฝืนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลแต่พอพูดถึงเรื่องเก่าๆ ทีไรก็อดเสียน้ำตาไม่ได้ มือเล็กยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาพร้อมทั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อะไรที่มันทำให้จิตใจของเราหดหู่ อะไรที่คิดแล้วไม่มีความสุขก็ขอให้ลืมๆ มันไปเถอะนะคะ บีเองก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว บีเองก็เข้าใจดีค่ะและบีก็ไม่โกรธพี่อบด้วยเพราะเป็นใครก็ต้องคิดแบบนั้น” แม้จะเคยรู้สึกท้อแท้กับชีวิตที่ถูกทำร้ายซ้ำๆ ซากๆ แต่เพราะคิดเสมอว่าตราบใดที่ยังมีลมหายใจยังไงก็ต้องสู้ต่อไป เพราะเชื่อเสมอว่าชีวิตในวันข้างหน้าจะได้พบเจอสิ่งที่ดีบ้าง เพียงคิดแค่นั้นชีวิตก็มีความหวังแล้ว
ตกค่ำสิรินภาดึงผ้าห่มมาคลุมร่างเด็กๆ ทั้งสามที่หลับไปแล้วหลังจากได้ฟังนิทานจากเธอ หญิงสาวจูบหน้าผากเด็กๆ ก่อนจะดับไฟตามด้วยปิดประตูเป็นการส่งท้าย
“เด็กๆ หลับแล้วเหรอ” อบเชยเดินผ่านมาเห็นสิรินภากำลังยืนอยู่หน้าห้องเด็กๆ จึงเข้ามาคุยด้วย
“ค่ะ” สิรินภาตอบน้ำเสียงปกติ
“งั้นบีก็ไปนอนเถอะ เดี๋ยวทางนี้พี่จัดการต่อเอง”
“ค่ะ...งั้นบีฝากด้วยนะคะคือบีกลัวว่าเด็กๆ จะนอนฝันร้ายแล้วตื่นมาละเมอกลางดึก”
“อย่าห่วงเลย เดี๋ยวพี่นอนเป็นเพื่อนเด็กๆ เอง บีเองก็ควรไปพักผ่อนได้แล้ว วันนี้ทำงานมาทั้งวันแล้วพรุ่งนี้ก็ยังต้องออกไปทำงานแต่เช้าอีก”
“ค่ะ” สิรินภาขานรับยิ้มลาแล้วขอตัวกลับมาที่ห้องนอนของตัวเองไม่ทันจะล้มตัวนอนเสียงมือถือก็ดังขึ้น หญิงสาวเดินมาหยิบแล้วกดรับสาย
‘ค่ะ พี่กล้า อ๋อ บีไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ เออเรื่องนั้นก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเท่านั้น บีเองก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว’ สิรินภาตอบตามที่อีกฝ่ายถามมาและไมได้โกรธที่ยอดกล้าเซ้าซี้ถามเพราะรู้ดีว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขาห่วงใยในตัวเธอ
‘ค่ะ เจอกันพรุ่งนี้ที่ร้านคุณแต้วนะคะ สวัสดีค่ะ’ สิรินภากดวางสายก่อนจะเป่าลมปากอย่างโล่งอกแล้ววางมือถือบนโต๊ะข้างเตียงส่วนตัวก็ขยับมานั่งบนเตียงแต่แทนที่จะนอนเลยกลับมีบางอย่างแล่นผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเธอ
“คนที่เท่าไรล่ะ”
“นี่คงจะมีเยอะจนตอบไม่ได้สินะว่าผู้ชายคนเมื่อกี้มันคนที่เท่าไรของเธอ”
“ใครเป็นพี่เธอ ฉันมีน้องสาวแค่คนเดียว”
“ใครว่าฉันตามเธอ สำคัญตัวผิดหรือเปล่า เธอต่างหากจะตามมาหลอกหลอนฉันไปจนถึงเมื่อไร ทำไมไม่หายไปเหมือนสามปีที่แล้ว อ๋อหรือว่าเงินหมด”
จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา สิรินภายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาด้วยความรู้สึกหดหู่ใจเป็นที่สุด ไม่คิดว่าการเจอกันระหว่างเธอกับเขาจะเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดอย่างนี้ และที่สำคัญเมฆาที่เธอเจอวันนี้ช่างแตกต่างจากเมฆาเมื่อสามปีก่อนที่เธอรู้จัก การกระทำที่ป่าเถื่อนและไร้ความเมตตาหรือการที่เขาเป็นแบบนี้มาจากการตัดสินใจของเธอในครั้งนั้น
“นี่บีทำให้พี่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยเหรอ” ปากอิ่มเปรยเบาๆ ก่อนน้ำตาจะไหลรินด้วยความรู้สึกผิด
“พี่เมฆ บีขอโทษ”
เมฆาขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่หากไม่จำเป็นเพราะไม่อยากวุ่นวายกับคนที่นี่มากนักซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือบิดาของเขา เลยคิดว่ากลับมาในตอนดึกแบบนี้คงจะไม่ได้เจอหน้ากัน เท้าหนาเดินเรื่อยๆ จะเข้าบ้านแต่สายตากลับสะดุดตรงที่เห็นร่างหนึ่งกำลังมองมาด้วยแววตาแน่นิ่ง
“นี่คุณพ่อยังไม่นอนอีกเหรอครับ” จำต้องเดินเข้าไปถามเพราะเดี๋ยวจะหาว่าเขาไม่สนใจอีก
“ถ้าฉันนอน ฉันก็อดจะได้คุยกับแกนะสิ” เมฆินทร์ตอบลูกชาย เท่าที่จำได้เมฆาพยายามที่จะหลบหน้าเขาตลอดเวลาและทุกคืนตนจะออกมาดักรอแต่ก็พลาดทุกทีเมื่อลูกชายตัวดีไม่ยอมกลับบ้านแต่ครั้งนี้เหมือนโชคจะเข้าข้างแล้ว
“แล้วทำไมไม่รอผมในบ้านล่ะครับ ออกมาข้างนอกแบบนี้ น้ำค้างมันแรงนะ” เมฆาพูดเสียงเรียบก่อนจะทำหน้าที่เข็นรถนั่งพาบิดาเข้าบ้านแต่ไม่วายถูกเหน็บกลับมา
“เป็นห่วงฉันด้วยเหรอ”
“นั่นนะสิครับ ทำไมผมจะต้องเป็นห่วงคนที่ทำร้ายแม่ด้วย” เมฆาตอบในทันทีที่ประโยคบิดาจบ แล้วก้าวเท้าออกห่างเอ่ยปากถามต่อ “คุณพ่อมีอะไรจะพูดกับผมก็พูดมาเลยดีกว่า”
เมฆินทร์มองหน้าลูกชายที่ยืนนิ่งทำหน้าตายแล้วถอนหายใจพูดเข้าเรื่อง “ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามให้แกไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น”
“ผู้หญิงคนนั้น คนไหนล่ะครับ”
“แกก็รู้ว่าฉันหมายถึงใคร” เมฆินทร์เสียงแข็งพอๆ กับสีหน้าดุดัน
เมฆาแสยะยิ้มเค้นเสียงแข็ง
“ผมไม่รู้หรอกครับ กี่คนต่อกี่คนที่เข้ามาในชีวิตของผมพ่อก็สั่งห้ามไม่ให้ยุ่งหมด แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ยังสั่งห้ามจนตอนนี้ผมกลายเป็นคนไม่มีใครคบแล้ว พ่อคงจะมีความสุขมากสินะที่เห็นผมใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแบบนี้”
“ใครบอก ฉันหาผู้หญิงที่คู่ควรและเหมาะสมกับแกแล้วต่างหากแต่แกเองที่ไม่เอากลับไปยุ่งกับแม่หม้ายคนนั้น ฉันถามหน่อยเถอะ ชอบนักเหรอไงผู้หญิงมีตำหนิ”
เมฆาสะอึกจ้องหน้าบิดานิ่ง ในใจตอนนี้สะเทือนใจกับคำว่าผู้หญิงมีตำหนิที่สุด ใบหน้าคมเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที
“ผมว่าเราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วนะครับ อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำอีก” เมฆากัดฟันพูดมองหน้าบิดาด้วยความสายตาจริงจังพอๆ กับฝ่ายโน่นที่มีท่าทีจริงจังไม่แพ้กัน
“ฉันไม่เข้าใจ สมองของแกจะจมปลักอยู่กับผู้หญิงหลอกลวงคนนั้นไปอีกนานแค่ไหน ป่านนี้ผู้หญิงคนนั้นคงแต่งงานมีลูกไปแล้ว คงไม่มารับรู้หรอกว่าแกจะรู้สึกยังไงหรือว่าเจ็บปวดมากแค่ไหน”
“ใช่ครับ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีมารับรู้ความรู้สึกของผมได้ในตอนนี้ เพราะอะไร ก็เป็นเพราะเงินของพ่อที่ทำให้เธอจากผมไป เพราะเงินของพ่อทำให้ผมเกือบตาย”
เมฆินทร์สะอึกพูดไม่ออกเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม้เป็นสิ่งที่ตนไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องนั้นกับเมฆาก็ตามแต่ทุกอย่างใช่ว่าเขาจะอยากให้มันเป็นอย่างนั้น เมฆินทร์ทำใจเย็นลงวางมือสองข้างบนตักแล้วเงยหน้ามองลูกชายเพียงคนเดียว
“ฉันยอมรับว่าที่ฉันทำไปมันเป็นเพราะฉันห่วงแก ฉันอยากให้แกได้เห็นธาตุแท้ของผู้หญิงคนนั้นแต่ไอ้เรื่องที่แกเจ็บปางตายนั่น ฉันไม่ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น ทุกอย่างมันคืออุบัติเหตุ” แม้จะรู้ว่าคำพูดของท่านไม่ได้ทำให้ลูกชายรู้สึกดีต่อตนได้นอกจากการแสดงออกในท่าทีที่หมางเมิงเหมือนอย่างที่เคยเป็น
“ฉันรู้ว่าฉันอาจจะไม่ใช่พ่อที่ดีเท่าไรแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำลงไป ฉันทำเพื่อแกนะ แกคือทายาทเพียงคนเดียวของฉัน สิ่งไหนที่คิดว่ามันไม่ดีกับตัวแกฉันก็ต้องจัดการ”
“งั้นหรือครับ แล้วอะไรล่ะ อะไรที่พ่อคิดว่ามันไม่ดีกับตัวผม อ๋อ ผู้หญิงที่พ่อบอกไม่ชอบสินะ” เมฆาแสยะยิ้มพูดประชดใส่บิดา นี่เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกอ่อนแอแล่นผ่านเข้ามาหาเขาจนต้องถามคำถามโง่ๆ ออกไป “ผมยังสงสัยไม่หายว่าที่ผมต้องเจ็บปางตายมันคือแผนของพ่อที่ต้องการพาผมกลับเมืองไทย”
“แกคิดอย่างนั้นได้ยังไง ฉันเป็นพ่อแกนะ มีพ่อที่ไหนจะคิดทำร้ายลูกตัวเอง” เมฆินทร์เอ่ยด้วยสีหน้าเข้มจัดแล้วเห็นลูกชายหัวเราะหึๆ
“นั่นนะสิครับ พ่อที่ไหนทิ้งลูกตัวเองตั้งแต่เล็กๆ โดยไม่เหลียวแล ไม่สนว่าลูกตัวเองจะเป็นจะตายยังไง” สายตาคนพูดดูแน่นิ่งพอๆ กับสีหน้าบึ้งตึงของผู้ฟัง
เมฆากำลังจะเดินขึ้นบันไดแต่บังเอิญเจอพรรณนาที่กำลังเดินลงบันได ทั้งสองส่งสายตาให้กันด้วยความรู้สึกแตกต่างกันโดยเมฆามองผู้หญิงตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เฉยชา หากไม่ติดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นมารดาของพลอยชมพูซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสาวของเขาและชายหนุ่มคงจะเกลียดเข้าไส้หากนางจะร้ายสักนิด ผิดกับพรรณนาที่มองเมฆาอย่างเอ็นดูและรักเหมือนลูกคนหนึ่ง
เท้าหนาก้าวขึ้นบันไดในอีกขั้นด้วยท่าทีเรียบเฉยไม่ได้เอ่ยปากทักทายผู้ที่ขึ้นว่าเป็นแม่เลี้ยงของเขากระทั่งอีกฝ่ายเป็นคนเอ่ยออกมาก่อน
“เออ คือน้าจะลงไปรับคุณเมฆินทร์พาเข้าห้องนอนนะคะ ว่าแต่คุณเมฆกลับมาเหนื่อยๆ หิวไหมคะ เดี๋ยวน้าไปทำอะไรมาให้ทาน” พรรณนาเอ่ยถามอย่างเอาใจแต่คำตอบที่ได้ช่างเย็นชาใส่เหลือ
“ไม่ครับ ผมไม่หิว” คนตอบไม่ได้หันหน้ามามองคนถาม ซ้ำพอเอ่ยจบก็เดินขึ้นบันไดหน้าตาเฉย ส่วนพรรณนาได้แต่มองอย่างน้อยใจอยู่ลึกๆ
ที่ห้องนอนเมฆาเดินเหมอลอยก่อนมาฟุบลงที่ปลายเตียง ความรู้สึกตอนนี้มันหนักอึ้งไปหมด ทั้งเรื่องบิดาและเรื่องสิรินภา ผู้หญิงที่บังเอิญได้มาเจอชนิดที่ไม่ทันจะตั้งตัวแต่ก็ต้องขอบคุณในโชคชะตาฟ้าลิขิตให้ได้พบเจอเธอเร็ววัน เพราะมันทำให้เขาได้รู้ว่า วินาทีแห่งการเอาคืนมาถึงแล้ว
จบแล้วค่ะ เดี๋ยวมาอัพตอนใหม่นะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
******************************************************************
กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ต.ค. 2558, 03:27:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ต.ค. 2558, 03:27:43 น.
จำนวนการเข้าชม : 1099
<< บทที่ 3 เหตุเกิดที่สวนดอกไม้ | บทที่ 5 ปากไม่ตรงกับใจ >> |
Zephyr 9 ต.ค. 2558, 22:41:14 น.
ท่าจะแค้นฝังจำมากนะเนี่ย
ท่าจะแค้นฝังจำมากนะเนี่ย
กรงแก้ว 10 ต.ค. 2558, 00:41:00 น.
ใช่แล้วละคะ นางเอกทำกับพระเอกไว้มากค่ะ รักมากก็แค้นมาก
ใช่แล้วละคะ นางเอกทำกับพระเอกไว้มากค่ะ รักมากก็แค้นมาก