รักร้าวในแผลใจ
กลับมาอีกครั้งกับนิยายรัก (สีเทา)

คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง









รักร้าวในแผลใจ

รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น



หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ

ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ



ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl




































Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 5 ปากไม่ตรงกับใจ

บทที่ 5

ปากไม่ตรงกับใจ

เช้านี้พลอยชมพูตื่นเช้ากว่าปกติเนื่องด้วยมีนัดไปร้านเค้กคุณแต้วกับพี่ชายสุดหล่อ หากพูดถึงความรู้สึกตอนนี้คือโล่งใจเพราะดูท่าว่าการจับคู่เมฆากับชิดชมจะใช้ได้ผล

‘พี่แต้วค่ะ วันนี้พี่เมฆจะไปที่ร้านของพี่นะคะ’ ระหว่างที่กำลังแต่งตัวอยู่พลอยชมพูก็โทรไปบอกให้ชิดชมได้รับทราบ ได้ยินปลายสายตอบกลับมาน้ำเสียงดูแปลกใจ

‘คุณเมฆนะหรือคะ จะมาหาพี่’

‘ใช่ค่ะ ดูเหมือนว่าพี่เมฆอยากไปหาพี่แต้วมาก สงสัยคงจะเพราะเรื่องเมื่อวานที่ทำให้พี่เมฆนอนไม่หลับเลยอยากมาขอโทษพี่แต้ว ยังไงพี่แต้วก็แต่งตัวสวยๆ รอได้เลยนะคะ’ พลอยชมพูว่าอย่างอารมณ์ดีแล้วกดวางสาย หันมาสนใจกับตัวเองในกระจก พอดีกับเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะเห็นร่างอ้วนท้วมของสาวใหญ่เดินเข้ามา

“อ้าว ป้าแดง เข้ามาหาพลอยมีอะไรหรือเปล่าคะ เอ๊ะหรือว่าพี่เมฆให้ป้าแดงขึ้นมาตามพลอย งั้นรบกวนป้าช่วยไปบอกพี่เมฆทีนะคะว่าเดี๋ยวพลอยลงไป” พลอยชมพูหันมาถามแวบหนึ่งแล้วหันมาแต่งหน้าใหม่

“ป้าจะเข้ามาเรียนคุณพลอยให้ทราบว่า คุณเมฆออกไปแล้วค่ะ เมื่อกี้นี้เอง”

“หะ” พลอยชมพูหันมาทางป้าแดงแล้วอ้าปากค้าง



ปอร์เช่ป้ายแดงกำลังขับไปตามแผนที่ที่แจ้งไว้ในจีพีเอส การที่เมฆาเลือกออกมาแต่เช้าก็เพื่อเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดและที่สำคัญเขาอยากมาให้ทันใครบางคนจะออกไปทำงาน ใช่ ทุกอย่างต้องไม่มีอะไรผิดแผน

เมฆาจอดรถนิ่งหลังสัญญาณไฟแดงขึ้นก่อนจะหยิบมือถือออกมาเปิดดูบางอย่างแล้วให้นึกถึงประโยคหนึ่งที่เลขาหนุ่มพูดทางโทรศัพท์

‘ข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อสิรินภาอยู่ในเมล์คุณเมฆแล้วนะครับ’

เมฆาปั้นหน้าขรึม ความรู้สึกแรกที่ได้อ่านข้อมูลเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างหนัก ใช่ มันน่าผิดหวังอย่างที่สุด ผู้หญิงที่ขายความรักเพื่อแลกกับเงินจำนวนหนึ่งเลือกมาอยู่กินกับผู้ชายเงินเดือนไม่ถึงแสนแถมหนุ่มคนนั้นก็ยังมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แต่เธอก็เก่งที่สามารถทำให้พวกเขาหย่าร้างกันแล้วก็เสียบจดทะเบียนสมรสแทนแต่นั่นแหละ จะหาผู้ชายที่ดีกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้หรือจะพูดให้ถูกก็เป็นเมียน้อยเขาดีๆ นี่เอง



อบเชยเพิ่งกลับมาจากไปส่งหลานๆ ที่โรงเรียนเห็นบ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่แต่ชะงักตรงที่รองเท้าทำงานคู่โปรดของสิรินภายังอยู่หน้าบ้าน ด้วยความสงสัยจึงตัดสินใจเดินขึ้นมาดูที่ห้องนอนของหญิงสาวเพื่อให้แน่ใจว่าในห้องไม่มีคนอยู่แล้ว

“บี ตื่นหรือยัง” เสียงพูดพร้อมกับเคาะประตูรัวๆ แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปแล้วชะงักตรงที่เห็นว่าบนเตียงยังมีร่างของสิรินภานอนอยู่ เท้าเล็กเดินมานั่งลงที่ขอบเตียงพลางเขย่าร่างเล็กให้ตื่นขึ้นมา

“บี ตื่นเถอะบี”

เสียงเขย่าทำให้สิรินภาเริ่มขยับตัวแต่ไม่ได้ตื่นเลย บิดตัวไปมาอยู่สองสามครั้งก่อนจะลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย เห็นอบเชยจ้องอยู่จึงส่งยิ้มให้เล็กน้อยทั้งที่ตอนนี้รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ ทำไมถึงรู้สึกเพลียอย่างนี้ หญิงสาวบ่นในใจ

“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้ตื่นสายจัง” อบเชยถามด้วยความเป็นห่วง ยิ่งเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูซีดๆ ก็ยิ่งเป็นห่วง

“บีปวดหัวนิดหน่อยนะคะ แล้วนี่เด็กๆ ไปเรียนกันแล้วหรือคะ”

“จ๊ะ แต่กว่าจะได้ไปก็งอแงใหญ่เลยเพราะอยากกอดแม่ก่อนไปโรงเรียน”

“บีนี่แย่จังเลยค่ะ พลอยทำให้พี่อบลำบากไปด้วย” สิรินภาทำหน้าเศร้าเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

“ช่างเถอะ แต่ไม่เป็นอะไรแน่นะพี่เห็นบีดูเหนื่อยๆ หรือว่าจะโทรไปลาคุณกล้าดี พักสักวันคุณกล้าคงไม่ว่าอะไรหรอก”

สิรินภาขยับลงจากเตียงในท่วงทีที่เชื่องช้าแล้วเดินมาหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ หันมาเอ่ยกับอบเชยเสียงอ่อน “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ บียังไหว คิดว่าทานยาเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“ตามใจ ถ้าไม่ไหวก็รีบบอกคุณกล้าเลยนะ อย่าหักโหมเดี๋ยวมันจะแย่”

“ค่ะ”

“เอาละ บีอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวพี่ลงไปทำอาหารให้ทาน” อบเชยเข้ามาจับไหล่บางของสิรินภา ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

สิรินภามองคล้อยหลังพลางเอามือยกขึ้นมากุมศีรษะตัวเอง พยายามฝืนบอกว่ายังไหวเพราะคิดว่าการรีบทำงานให้เสร็จจะทำให้เธอไม่ต้องพบหน้าเมฆาอีกซึ่งมันจะเป็นผลดีกับตัวหญิงสาว



หน้าบ้านหลังหนึ่งเมฆากำลังดูจีพีเอสในมือถือที่ระบุว่าเขามาถึงที่หมายแล้ว สายตาคมเงยหน้าขึ้นมองพลางชะเง้อเข้าไปถึงด้านในเห็นบ้านดูสะอาดร่มรื่นแถมสงบจนไม่แน่ใจว่าจะมีคนอยู่ในบ้านนั้นหรือเปล่า ใบหน้าคมขมวดคิ้วราวกับใช้ความคิดแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกดกริ่ง

ออด ออด

อบเชยเป็นคนเดินมาเปิดประตูรั้วบ้านแล้วทำหน้าแปลกใจที่เห็นผู้ชายหน้าตาดีแถมแต่งตัวดีกำลังยืนยิ้มให้อยู่

“สวัสดีครับ” เมฆายกมือไหว้ผู้หญิงตรงหน้าด้วยท่าทีโอบอ้อมอารี

“สวัสดีค่ะ” อบเชยรับไหว้สายตายังมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ

“คุณคงจะเป็นพี่อบใช่ไหมครับ” เมฆาเริ่มตีสนิท ความจริงเขาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับสิรินภามาเรียบร้อยแล้ว และก็มีบุคคลไม่กี่คนที่เขาจะต้องจำ

“คะ” อบเชยยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม เหตุเพราะเธอแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อน

“ผมชื่อเมฆาครับ คือผมเป็นเพื่อนกับบี เราสนิทกันมากและบีก็เคยเล่าถึงพี่อบให้ผมฟัง วันนี้ได้เจอตัวจริงซะที” เมฆาแถไปเรื่อยอีกฝ่ายดูเหมือนยังไม่ปักใจเชื่อ

“บีนะหรือคะรู้จักกับคุณ”

เมฆายิ้มแทนคำตอบแสร้งถามเรื่องอื่น “แล้วนี่บีอยู่บ้านหรือเปล่าครับ” ปากถามแล้วสายตายังมองนิ่งไปที่หญิงสาวตรงหน้า



“เชิญมานั่งรอข้างในบ้านก่อน บีกำลังแต่งตัวอยู่ด้านบนนะคะ” อบเชยเชื้อเชิญแล้วหายเข้าไปเอาน้ำมาเสิร์ฟให้แขกของสิรินภา อีกฝ่ายยิ้มส่ง

“ขอบคุณครับ” เมฆารับแก้วน้ำมาวางบนโต๊ะรับแขก เห็นอบเชยนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างแล้วเริ่มสนทนากับเขา

“น่าแปลกนะคะ บีไม่เห็นเคยพูดถึงคุณเลย”

“งั้นหรือครับ” เมฆาก้มหน้าหลบสายตาก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วนี่บียังไม่ลงมาอีกหรือครับ” เอ่ยจบก็ใช้สายตามองไปทั่วบ้านได้ยินเสียงอบเชยเปรยเบาๆ

“นั่นนะสิ ทำไมนานจัง” อบเชยพูดแล้วคิดก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยไม่ลืมหันมาเอ่ยกับชายหนุ่มก่อน “เดี๋ยวอิฉันขึ้นไปตามบีให้เองค่ะ” อบเชยพูดจบก็เดินจากไป

เมฆายิ้มค้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่าทีบึ้งตึง ร่างหนาลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งเดินไปดูทั่วบ้าน ในหัวตอนนี้มีหลายเรื่องทำให้รู้สึกแปลกใจ ก่อนสายตาคมจะมาปะทะกับรูปภาพที่วางอยู่บนตู้โชว์ เป็นภาพที่สิรินภาถ่ายคู่กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นยุทธนาสามีของเธอ ส่วนอีกรูปก็เป็นรูปถ่ายของเด็กน้อยหน้าตาน่ารักทั้งสามคน มือหนาเอื้อมจะหยิบรูปถ่ายนั่นแต่ได้ยินเสียงร้องเรียกดังมาจากข้างบนห้อง

“บี ตายแล้ว บีทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ”

เมฆาเงยหน้าขึ้นมองไปยังด้านบนของบ้าน ยิ่งได้ยินเสียงร้องตะโกนของอบเชยก็ยิ่งทำให้เขาใจคอไม่ดี ความตกใจทำให้ชายหนุ่มต้องรีบวิ่งไปหาเสียงแล้วถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปถามหน้าตาตื่น “มีอะไรหรือครับ” ปากถามแต่สายตามองค้างไปที่ร่างของสิรินภาที่ตอนนี้นอนนิ่งไม่รู้สึกตัวโดยมีร่างของอบเชยพยายามเขย่า

“ช่วยบีด้วยค่ะ” อบเชยเงยหน้าขึ้นบอกเมฆา สีหน้าดูแย่

“บีเป็นอะไรหรือครับ” เมฆาถามเสียงสั่นเหมือนทำอะไรไม่ถูก ตอนแรกคิดแค่ว่าจะมาให้เธอเห็นหน้าและทำทุกทางเพื่อให้หญิงสาวติดรถไปกับเขาแต่พอเหตุการณ์มันมาเป็นแบบนี้ บอกตรงๆ ชายหนุ่มก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

“อิฉันไม่รู้ เข้ามาก็เห็นบีนอนฟุบอยู่ตรงนี้แล้ว อิฉันปลุกบีเท่าไรก็ไม่ตื่น แถมตอนนี้ตัวบีก็ร้อนมากด้วย” อบเชยพูดสั่นๆ มองหน้าเมฆาด้วยความเคร่งเครียด

“เอาอย่างนี้ ผมว่าเราพาบีไปส่งโรงพยาบาลก่อนดีกว่าครับ” เมฆาไม่พูดเปล่าหันมาหยิบผ้าคลุมอาบน้ำห่มตัวสิรินภาแล้วอุ้มร่างนั้นออกไปจากห้องทันทีท่ามกลางความมึนงงแกมตกใจของอบเชยก่อนจะวิ่งตามออกไปด้วยอีกคน



ที่ร้านเค้กคุณแต้ว ยอดกล้าเดินไปเดินมาอยู่ในร้านท่าทางดูกังวลเมื่อตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมานานแล้วแต่ไม่มีวี่แววว่าผู้ช่วยของเขาจะมาทำงานเลยสักที ใบหน้าขาวแต่มีเคราหันมาหาเพื่อนสาวที่กำลังจัดวางขนมอยู่ในตู้กระจก

“ทำไมบียังไม่มาอีกก็ไม่รู้ แถมโทรไปก็ไม่รับสาย” ยอดกล้าทำหน้าเครียดแล้วกดเบอร์โทรหาสิรินภาอีก

“เอาน่า อาจจะรถติดก็ได้ ตัวก็อย่าใจร้อนสิ” ชิดชมชะเง้อหน้ามาตอบ รับรู้ได้ว่าเพื่อนหนุ่มของเธอท่าจะอาการหนัก นี่แค่สิรินภามาสายแค่นี้ยังอยู่ไม่สุขแล้วถ้าวันนี้คุณเธอไม่มาทำงานเลย ยอดกล้าคนนี้จะเป็นยังไง

“เขาว่าเขาไปหาบีที่บ้านเลยดีกว่า ถ้าบีมาถึงร้านเมื่อไรตัวก็โทรมาบอกเขาด้วยนะ” ยอดกล้าพูดจบก็วิ่งออกไปทันทีไม่รอฟังเสียงเรียกของเพื่อนสาวก่อน

“ดะเดี๋ยว...ก่อน” ชิดชมยกมือค้างแล้วหัวเราะตามหลังพลางสั่นหัวไปมา



ด้านนอกยอดกล้ากำลังวิ่งสุดแรงเพื่อไปให้ถึงรถของตัวเองโดยเร็ว จึงไม่ทันสังเกตว่ามีรถวิ่งพุ่งเข้ามาทางนี้พอดีกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเบรกกะทันหันของรถคันนั้น

“เอี๊ยด...”

ยอดกล้าเอามือขึ้นกุมศีรษะโดยอัตโนมัติก่อนจะรู้สึกว่ารถคันหนึ่งจอดชิดมาเตะขาของเขาเบาๆ พลอยให้ใจหายใจคว่ำเพราะคิดว่าตัวเองถูกรถชนเสียแล้วแต่พอก้มมองดูเห็นตัวเองยังยืนได้ในสภาพคนปกติ จะมีก็แค่ตรงเข่าที่เริ่มรู้สึกปวดนิดๆ

“นี่ อยากตายมากนักหรือไง ถ้าอยากตายก็ไปตายที่อื่นอย่ามาตายหน้ารถฉัน” พลอยชมพูเลื่อนกระจกรถแล้วชะเง้อหน้ามาต่อว่าคนที่วิ่งตัดหน้ารถของเธอโดยไม่ดูเลยว่ารถของหญิงสาวพุ่งมาแรงแค่ไหน นี่ดีนะที่รถยังใหม่สภาพเบรกยังทำงานใช้ได้ ไม่อย่างนั้นคงได้ชนใครแถวนี้ตายแน่

ยอดกล้าที่กำลังตกใจอยู่พอได้ยินเสียงนั้นก็ชักโมโหใส่ ตอนแรกก็คิดว่าจะขอโทษเจ้าของรถคันนี้ที่ตนได้ข้ามถนนมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือแต่กลับต้องเปลี่ยนใจเพราะคำพูดประโยคนั้นของเธอ

“นั่นปากหรือที่พูดนะ ดีนะที่ผมรีบจึงไม่อยากต่อปากต่อคำกับคุณ ถ้าไม่อย่างนั้นผมไม่ยอมให้คุณมาพูดจาแบบนี้กับผมแน่” ยอดกล้าว่าเสร็จก็วิ่งข้ามไปขึ้นรถตัวเอง

พลอยชมพูเหมือนถูกสาดด้วยน้ำร้อนเต้นพล่านเพราะไม่เคยมีใครมาพูดจาแบบนี้กับเธอแถมพอพูดเสร็จก็รีบเผ่นหนีไปซะดื้อๆ

“กลับมาคุยให้รู้เรื่องเลยนะนาย กลับมา ไอ้บ้า” พลอยชมพูด่าใส่หลังรถคันนั้นที่เคลื่อนตัวออกไปแล้ว ออกจะโมโหที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้แถมอีตาบ้านั่นยังไม่เป็นสุภาพบุรุษอีก



สิรินภากะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังมึนๆ สายตาจ่อนิ่งอยุ่ที่เพดานสีขาวก่อนจะเลื่อนลงมาเรื่อยๆ กระทั่งปะทะกับสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองจ้องเธออยู่

“คุณ” ปากอิ่มสั่นเทา แววตาบอกถึงความตกใจที่สุด

“ทำไม เห็นหน้าฉันถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือ” เมฆาถามเสียงแข็งแล้วลุกขึ้นยืนก่อนโน้มหน้ามาใกล้ พออีกฝ่ายเบือนหน้าหนีเขาก็จับคางหญิงสาวไว้ให้หันมาเผชิญหน้ากัน

“เป็นไง เจ็บมากไหม” กัดฟันถามและเห็นสายตาแห่งความหวาดผวาแฝงอยู่ในดวงตาคู่สวยคู่นั้น เมื่อก่อนเขาเคยหลงใหลในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันมีแต่ความเกลียดชัง มีแต่ความคับแค้นใจ

“แต่เจ็บแค่นี้คงไม่เท่ากับที่ฉันเจ็บหรอก มันเทียบไม่ได้เลยกับที่ฉันเจ็บ” เมฆาเค้นเสียงหนักแน่นแล้วสะบัดมือออกจากคางหญิงสาว จากนั้นก็เอามือกอดอกแล้วใช้สายตามองเธอด้วยความเวทนา

“แล้วนี่คุณมาเกี่ยวอะไรด้วย”

“ก็ไม่ได้อยากเกี่ยวนักหรอก แต่เผอิญมาเห็นสภาพเมื่อเช้านี้แล้ว สมเพชนะจึงต้องช่วยอนุเคราะห์พามาส่งโรงพยาบาลให้”

คำพูดแสนเย็นชาสร้างความเจ็บปวดให้สิรินภามาก เธอไม่คิดว่าการเจอเขาครั้งนี้จะทำให้หัวใจปวดร้าวมากขนาดนี้ ทั้งสีหน้าท่าทางตลอดจนคำพูดมันชี้ชัดว่าเมฆาหมดเยื้อใยในตัวหญิงสาวแล้ว และการที่เขามาช่วยเธอก็คงเป็นเพราะความสมเพชเวทนา

“งั้นคุณมาหาฉันที่บ้านทำไม”

คำพุดนั้นทำเอาเมฆาสะอึกจนต้องรีบคิดหาคำตอบมาโต้แย้ง

“ฉันก็แค่จะมาดู ว่าผู้หญิงที่ยอมขายความรักเพื่อเงินจำนวนไม่กี่บาทจะมีความเป็นอยู่ที่ดีมากแค่ไหนแต่น่าผิดหวังสิ้นดี สภาพของเธอตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับยาจกที่แม้แต่รถก็ยังไม่มีใช้”

สิรินภาจุกอยู่ที่คอกับคำพูดประโยคนั้นที่ฟังดูเหมือนจะดูถูกและดูแคลนเธอเป็นนัยๆ แทบไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นคนละคนได้มากถึงเพียงนี้ จากคนที่แสนดี น่ารัก อ่อนโยน เปลี่ยนเป็นเย็นชาและแข็งกระด้าง

“ใช่ ฉันมันก็แค่ผู้หญิงที่ขายความรักเพื่อแลกกับเงิน” ความน้อยใจในความรักทำให้เอ่ยออกไปเช่นนั้น

“แต่ว่า...คุณก็ไม่จำเป็นต้องมาช่วยฉัน ไม่จำเป็นต้องมาสมเพชฉัน ฉันจะเป็นจะตายยังไงมันก็เรื่องของฉัน” สิรินภาหลบหน้าพูด ประโยคที่ออกไปนั้นเป็นเพียงแค่อารมณ์โกรธแกมน้อยใจที่ครั้งหนึ่งเธอเคยรักเคยผูกพันกับผู้ชายคนนี้ แต่ดูเขาสิ ความรักและความผูกพันมันไม่หลงเหลือไว้เลยสักนิด

“ใครว่า มันเป็นเรื่องของฉันเลยละ” เมฆาหันกลับมา มองหญิงสาวที่นอนหันหลังให้เขาก่อนจะดึงร่างนั้นขึ้นมาประชันหน้ากันแม้อีกฝ่ายจะทำท่าขัดขืนแต่ชายหนุ่มหรือจะสน สองมือบีบแน่นไปที่ต้นแขนสองข้างจนเห็นเธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บซึ่งมันก็ไม่ได้น่ารู้สึกให้ความสงสารเลยสักนิด

“ฉันจะไม่ยอมให้เธอตายง่ายๆ โดยที่ยังไม่ได้รับการลงโทษ ผู้หญิงที่เห็นความรักเป็นเพียงแค่ตัวเลขอย่างเธอมันต้องได้รับบทเรียนจากฉัน จำไว้” ปากหนากล่าวเชิงกระซิบให้รู้กันแค่สองคนและเสียงที่ตอบกลับมาก็ทำให้เขาต้องคิด

“ก็เอาสิค่ะ ถ้าการลงโทษฉันมันจะทำให้คุณหายเจ็บปวดได้ ฉันยอม” ปากอิ่มเอ่ยน้ำเสียงออกมาด้วยความรู้สึกล้าแต่กลับทำให้คนฟังเข้าใจไปอีกทาง

“อย่าทำตัวเป็นนางเอกหน่อยเลย มันน้ำเน่า” เมฆาว่าแล้วยิ้มแสยะ “จะว่าไปคำว่าน้ำเน่ามันก็เหมาะกับผู้หญิงเน่าๆ อย่างเธอดีเหมือนกัน”

สารพัดคำพูดที่ออกมาจากปากของเขา ฟังแล้วมันช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกินแต่ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ในเมื่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นสาเหตุมันเป็นเพราะเธอ ก็คงต้องยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แม้หญิงสาวไม่เคยเตรียมตัวและใจมาก่อนก็ตาม

“อ้าวบี ฟื้นแล้วเหรอ”

เสียงของอบเชยทำให้เมฆาต้องปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วหันมาทางส่งยิ้มให้หญิงสาวผู้มาใหม่

“ขอบคุณมากนะคะที่พาบีมาส่งโรงพยาบาล นี่ถ้าไม่ได้คุณอิฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเหมือนกัน ตอนนั้นมันทั้งสับสน ทั้งตกใจจนทำอะไรไม่ถูก” อบเชยกล่าว เธอหายออกไปคุยกับหมอเจ้าของไข้มาและแวะลงไปซื้อผลไม้ชั้นล่างด้วย

“ไม่เป็นไรครับ ถึงยังไงผมกับบีเราก็คุ้นเคยกันดี” เมฆาเอ่ยดูมีลับลมพลางปรายตามาทางสิรินภา “จริงไหมครับ บี”

สิรินภาไม่ตอบได้แต่ก้มหน้านิ่งเพราะละอายใจเหลือเกินหากจะต้องเล่าความจริง แค่เขาทำตัวเมินเฉยใส่เท่านี้หัวใจของเธอก็เจ็บปวดมากพอแล้ว คงทำได้แค่ก้มหน้านิ่งแล้วยอมรับกับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นนับต่อจากนี้

“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีธุระต้องไปจัดการต่อแล้วไว้ผมจะมาเยี่ยมใหม่” เมฆาพูดทิ้งท้ายตั้งใจให้สิรินภารู้ว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยเธอไป

อบเชยเดินมาส่งเมฆาถึงประตูห้องพักฟื้น หลังจากที่ปิดประตูสนิทแล้วก็หันมาถามสิรินภาทันที

“คุณเมฆานี่เป็นเพื่อนบีหรือ” อบเชยถามพลางเดินมาหยิบแอบเปิ้ลในถุงไปล้างแล้วใส่จาน หันมาคุยกับสิรินภาต่อ “พูดก็พูดเถอะนะ เขาดูเป็นห่วงบีมาก นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนกัน พี่คงคิดว่าบีกับคุณเมฆาเป็นแฟนกันแน่ๆ”

“พี่อบอย่าคิดอย่างนั่นสิค่ะ บีกับเขาไม่มีทางเป็นแฟนกันได้หรอก” สิรินภาแย้งกลับมาทันที เพราะรู้สึกว่าคำนั้นมันช่างห่างไกลเหลือเกินแม้ในอดีตเราสองคนจะเคยผูกพันกันมากแค่ไหนก็ตามแต่วันนี้ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

แม้แต่สายตาคู่นั้นก็มองเธอราวกับคนแปลกหน้า















จบแล้วค่ะ คลานอย่างเต่ามากแต่จะพยายามอัพให้เร็วนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

******************************************************************



กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ต.ค. 2558, 01:37:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ต.ค. 2558, 01:37:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1153





<< บทที่ 4 เรื่องบาดหมางใจ   บทที่ 6 แรงหึง >>
โอชิน 7 ต.ค. 2558, 10:13:16 น.
สนุกค่า รอปมรักร้าวของพระ-นางอยู่


กรงแก้ว 7 ต.ค. 2558, 13:22:27 น.
ที่ใจที่ชอบค่ะ


Zephyr 10 ต.ค. 2558, 22:14:36 น.
อยากรู้สิ่งที่ทำให้สองคนนี้ลงเอยแบบนี้จะงเลย


กรงแก้ว 15 ต.ค. 2558, 17:15:12 น.
ยังไงก็ช่วยติดตามนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account