รักร้าวในแผลใจ
กลับมาอีกครั้งกับนิยายรัก (สีเทา)
คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง
รักร้าวในแผลใจ
รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น
หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ
ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ
ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl
คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง
รักร้าวในแผลใจ
รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น
หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ
ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ
ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 6 แรงหึง
บทที่ 6
แรงหึง
สิรินภาในชุดลำลองกำลังเก็บเสื้อผ้าชุดเดิมใส่ในกระเป๋าใบที่อบเชยเอามาจากบ้านพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เธอสวมอยู่สำหรับการนอนโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องน่าสนุกอะไรซ้ำยังนอนไม่หลับเพราะผิดที่อีก
อบเชยที่กำลังเก็บพวกอาหารใส่ตะกร้าที่พกติดมือมาจากบ้านเหลือบไปมองคนไข้ที่ทำตัวเก่งบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วจึงอยากกลับไปพักผ่อนต่อที่บ้านทั้งที่ใบหน้าของเธอยังดูซีดๆ อยู่
“ความจริงบีน่าจะอยู่สังเกตอาการต่ออีกสักวัน” อบเอชยพูดขึ้นเพราะยังไม่วางใจให้สิรินภากลับบ้านทั้งยังเป็นห่วงเพราะที่บ้านมีแต่ผู้หญิงกับเด็กน้อยถ้ามีอะไรฉุกละหุกขึ้นมากลางดึกมันจะลำบากเอาแต่คนไข้คนนี้ก็ยังยืนยันคำพูดเดิม
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ บีไม่อยากเสียเวลาอีกอย่างบีก็หายเป็นปกติแล้ว”
“แต่หน้าบียังซีดๆ อยู่นะ”
“แต่บีโอเคขึ้นมากแล้วนะคะ” สิรินภาแย้งแม้หน้าตาของเธอยังดูซูบซีดแต่สภาพจิตใจตอนนี้บอกว่าไหวเกินร้อย
“โอเค ไม่เอาก็ไม่เอา เรื่องความดื้อนี่ใครก็สู้บีไม่ได้เลยจริงๆ ดีนะที่พี่พาเด็กๆ ไปโรงเรียนกันหมดแล้วไม่อย่างนั้นความดื้อจะเพิ่มขึ้นทวีคูณ เพราะเด็กๆ คงไม่ยอมไปเรียนแน่ถ้ารู้ว่าบีจะกลับบ้านวันนี้”
สิรินภาขำในคำพูดของพี่สะใภ้แต่ก็จริงอย่างนั้นเพราะหากเด็กๆ รู้ว่าเธอกลับมาพักที่บ้านแล้วคงพากันมาอยู่ดูแลแทนที่จะไปเรียนกันแต่ไม่รู้ว่าใครจะดูแลใครกันแน่ หญิงสาวเผลอคิดในใจแล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาที่มุมปากโชคดีมากแค่ไหนที่มีลูกๆ ที่น่ารักและรักเธอมากขนาดนี้
“ออบี พี่เอาโทรศัพท์ของมาแล้วนะ วางอยู่ตู้ข้างเตียงนะ”
สิรินภามองไปยังตู้ข้างเตียงเห็นโรศัพท์มือถือของเธอวางอยู่ตรงนั้นจริงๆ จึงลุกขึ้นยืนหมายจะไปหยิบแต่จังหวะการลุกมันคงเร็วไปหน่อย ทำให้รู้สึกเหมือนห้องทั้งห้องหมุนเป็นวงกลม ร่างเล็กเหมือนจะเซแล้วล้มลงไปแล้วหากไม่มีมือใครคนมาช่วยประคองไว้
อบเชยหันมาทำตาโตเมื่อเห็นสิรินภาอยู่ในอ้อมกอดของเมฆา แต่เก็บความสงสัยไว้ก่อนเพื่อถามถึงที่มาที่ไปของสิ่งที่เธอเห็น “เกิดอะไรขึ้นคะ” อบเชยเข้ามาช่วยประคองสิรินภาแทนเมฆาเห็นชายหนุ่มขยับเสื้อสูทให้เข้าที่
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่เห็นบีเธอทำท่าจะล้ม” เมฆาบอกทั้งที่เมื่อครู่นี้เขาตกใจแค่ไหนที่เปิดประตูเข้ามาเห็นสิรินภาจะล้มแต่แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ความโกรธเธอก็เข้ามาแทรกอีกครั้ง
“ตายจริง ต้องขอบคุณคุณเมฆาจริงๆ นี่ถ้าเมื่อกี้คุณมาช่วยไม่ทันป่านนี้บีคงล้มหัวกระแทกพื้นแล้ว”
สิรินภาพูดไม่ออกเหมือนมีก้อนมาจุกอยู่ที่คอ การที่เธอรีบกลับก็เพราะไม่อยากเจอเขาแต่กลับกลายเป็นว่าที่ทำตั้งแต่ต้นไม่มีผลอะไรเลยหนำซ้ำ เขายังกลายเป็นที่ปลาบปลื้มของญาติสนิทของเธออีก
“นี่จะกลับกันแล้วหรือครับ” ถามออกไปเพราะเห็นชุดที่สิรินภาสวมอยู่ไม่ใช่ชุดของโรงพยาบาลและหากเขาเดาไม่ผิดการที่หญิงสาวรีบกลับคงเพราะอยากหนีหน้าเขาไปให้พ้นๆ แต่เธอคงลืมคิดไปว่าถึงไม่ได้เจอกันที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มก็สามารถไปหาเธอถึงบ้านได้
“ไหนๆ ผมก็มาแล้ว ขอผมไปส่งพวกคุณที่บ้านนะครับ” เมื่อรู้ว่าสิรินภาพยายามหลบหน้าเขามีหรือชายหนุ่มจะนิ่งเฉย ในเมื่อวันนี้เขาตั้งใจมาหาเธอและทุกอย่างต้องเป็นตามที่วางไว้และไม่มีอะไรมาหยุดได้แม้แต่เสียงค้านของเธอ
“เออ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกับพี่อบเรากลับเองได้”
“ไม่ได้” เมฆาค้านทันที เริ่มเห็นแววตาอบเชยที่มองมาอย่างตกใจเขาจึงปรับคำพูดให้ดูอ่อนลง “คือ ผมมีธุระที่ต้องคุยกับบีต่อนะครับ เกี่ยวกับเรื่องงานและก็ไม่อยากถูกปฏิเสธด้วย” เมฆษใช้แววตาออดอ้อนจนอบเชยเอออเห็นด้วย
“ก็ดีเหมือนกันนะ ให้คุณเมฆาไปส่งบีที่บ้านแล้วพี่จะได้ไปซื้อของที่ตลาดเลยไม่ต้องวกไปวนมา” พูดจบก็เดินมาหยิบกระเป๋ามาสะพายเพื่อเตรียมตัวให้มายิ้มให้สิรินภากับเมฆา
“เออ พี่อบคะ” สิรินภาเหมือนจะร้องไห้อ้าปากจะพูดแต่เมฆาแทรกขึ้นมา
“พี่อบไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมส่งบีถึงบ้านแน่”
“ค่ะ งั้นพี่ไปนะบี” อบเชยยิ้มส่งท้ายแล้วเดินออกจากห้องไป
ฝ่ายสิรินภาได้แต่นิ่งงันเพราะพูดอะไรไม่ออก จากสิ่งที่เห็นมันชัดเจนตรงที่เขาทำทุกทางเพื่อให้อยู่ใกล้เธอแต่นั่นไม่ใช่ความรักหรือความคิดถึงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันคือความแค้น ความเกลียดที่รอถูกสะสาง
เมฆาเหลือบมองหญิงสาวที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นก็ไม่ปาน ใบหน้าของเธอซูบซีดเหมือนรูปปั้นที่ยังขาดการระบายสีผิดจากสิรินภาคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก นั่นอาจเป็นเพราะความผิดที่เธอเคยทำไว้กับเขา ปากหนาแสยะยิ้มเอ่ยวาจาออกไป
“ทำไม หรือที่ไม่อยากอยู่ด้วยกันสองต่อสองเพราะกลัวว่าฉันจะทำอะไรเธองั้นหรือ”
สิรินภาหันหน้ามาแล้วสั่นหัวเบาๆ สายตาที่มองเขาบอกว่าเอือมระอาเต็มที
“ฉันไม่ได้กลัวแต่แค่ไม่เข้าใจ คุณจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับฉันอีกในเมื่อตอนนี้คุณก็เกลียดฉัน” ปากอิ่มเอ่ยจบก็แทบสะดุ้งกับการตอบโต้ทันควันของเขา
“ก็เพราะว่าเกลียดไงถึงทำให้ฉันต้องมาเกี่ยวข้องกับเธอ เพราะรู้ว่ายิ่งถ้าเราอยู่ใกล้กันมากเท่าไรเธอจะยิ่งเป็นทุกข์ เพราะรู้ว่าเธอจะทำทุกทางเพื่อผลักไสฉันไปไกลๆ แต่เสียใจด้วยนะ ฉันไม่ไปและจะอยู่จองเวรกับเธออยู่อย่างนี้ต่อไปจนกว่าฉันจะพอใจ”
“แต่การทำแบบนี้มันจะดีกับตัวคุณจริงๆ เหรอ ฉันแค่ไม่อยากให้คุณต้องทุกข์ไปกับฉัน เพราะสำหรับคุณมันมากพอแล้ว” ต่อให้เขาทำตัวเมินใส่เธอก็รู้ว่าที่ทำทั้งหมดก็เพราะยังแค้นเคืองและหากใจยังมีความรู้สึกนั้นอยู่ ชีวิตของชายหนุ่มจะมีความสุขได้ยังไง
“ฉันไม่ได้ทุกข์และไม่เสียใจเลยสักนิดที่ทำแบบนี้ ผู้หญิงเลวๆ อย่างเธอไม่มีค่าพอที่ฉันจะต้องทุกข์ด้วยหรอก มีแต่จะสะใจมากกว่าที่เห็นเธอตกต่ำลงไปเรื่อยๆ”
ประโยคนั้นกรีดลึกลงกลางหัวใจของผู้ฟังอย่างจัง รอยแผลที่ยังไม่หายสนิทกลับปริออกจนไม่สามารถกลับมาประติดประต่อได้อีก สิรินภาสะอึกทั้งที่เคยคิดว่าสักวันเธอจะเล่าทุกอย่างให้เมฆาฟังถึงเหตุผลที่แท้จริงหากเขาพร้อมที่จะให้อภัยเธอและยอมรับฟังโดยไม่มีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวแต่พอมาถึงตอนนี้ ทุกอย่างมันคงสายไปแล้วจริงๆ
“งั้นคุณก็ทำสำเร็จแล้วละค่ะ เพราะฉันกำลังทุกข์และฉันก็กำลังเสียใจที่ครั้งหนึ่ง ฉันเคยเผลอใจรักคนอย่างคุณ”
“คำพูดประโยคนั้นมันควรเป็นฉันมากกว่าที่ต้องพูดออกมา ไม่ใช่เธอ” เมฆาดึงร่างนั้นมาใกล้ ใช้สองมือบีบเค้นต้นแขนจนเห็นเป็นจ้ำแดง ดวงตาคมเพ่งมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความโกรธแค้นที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทรยศ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทิ้งเขาไปอย่างไม่มีเยื้อใย ทิ้งคำพูดไว้ให้จดจำไปจนถึงวันนี้ ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ทำเขาเหมือนตายทั้งเป็นและครั้งนี้จะเป็นทีของชายหนุ่มบ้างที่จะทำให้เธอตายทั้งเป็น
“ก๊อกๆๆ”
เสียงนั้นดังอยู่สามครั้งก่อนประตูห้องพักฟื้นจะเปิดออก สิรินภารีบผลักเมฆาออกแต่เหมือนเขาจะจงใจแกล้งกอดเธอไว้อย่างนั้นกระทั่งเห็นคนที่เปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มถึงยอมปล่อยให้เป็นอิสระ
“บี” ยอดกล้าทำหน้าตาตื่นเพราะตกใจกับภาพที่เห็น หากเมื่อกี้เขาไม่ได้ตาฝาด ผู้ชายที่ยืนทำหน้าเก๊กอยู่ตอนนี้กำลังกอดสิรินภาแต่หมอนี่เป็นใครกัน ทำไมถึงทำแบบนั้นกับเธอ
“เออ พี่กล้ามาหาบีมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” สิรินภาถามเสียงตื่นๆ ทั้งรู้สึกกดดัน ทั้งอายที่ยอดกล้ามาเห็นตอนที่เธอกับเมฆากำลังทำอะไรกันถึงแม้ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ตาม
“คือพี่สวนทางกับพี่อบนะ เห็นพี่อบบอกว่าบีจะกลับบ้านแล้วพี่เลยขึ้นมารับบีกลับบ้านด้วยกัน” ยอดกล้าว่าก่อนจะยื่นดอกไม้เยี่ยมไข้สิรินภา “พี่ซื้อดอกไม้มาเยี่ยม”
สิรินภายิ้มเจื่อนๆ เอื้อมมือจะรับแต่ถูกเมฆาแย่งมารับช่อดอกไม้ก่อน
“ขอบคุณมากนะครับและก็เสียใจด้วยเพราะบีจะกลับกับผม” ไม่เพียงแค่พูดปากเปล่าเท่านั้นยังจัดแจงเอาดอกไม้เยี่ยมไข้มายัดใส่ตะกล้าใส่ของก่อนจะดึงสิรินภามาโอบไหล่อย่างถือสิทธิ์พลางทำหน้ายิ้มระรื่น
“บี” ยอดกล้าทำหน้าไม่เข้าใจ สายตาที่มองชายตรงหน้าด้วยความไม่พอใจและยิ่งเห็นสิรินภาไม่ทักท้วงอะไรก็ยิ่งไม่ชอบใจ รู้สึกเหม็นขี้หน้าอย่างบอกไม่ถูก
“ขอตัวนะครับ บีจะได้กลับไปพักผ่อน” เมฆาสวนคำพูดมาและพาสิรินภาเดินออกจากห้องไป ไม่สนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้สิรินภาจะเสียหายมากแค่ไหนก็ในเมื่อนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว
พ้นร่างของยอดกล้า คนในร่างเล็กที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ดีๆ ก็สะบัดแขนเขาออกแล้วแยกตัวจนห่างไปเกือบสองคืบ สายตาของเธอที่มองมานั้นบอกว่าไม่พอใจในการกระทำอันอุกอาจของเขามาก ใช่ สายตาแบบนี้แหละที่เมฆาต้องการเห็น
“คุณทำแบบนี้ทำไม” สิรินภาถามเสียงสูง ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้แต่ดูเขา ยืนยิ้มราวกับมันเป็นเรื่องตลก
“ก็อยากปั่นหัวคนเล่น ถ้าเธอมีปัญหาก็ไปบอกแฟนเธอเลยสิ บอกให้ละเอียดนะว่าฉันเป็นอะไรกับเธอ อ้อ แล้วก็บอกด้วยว่าเธอทรยศความรักของฉัน ดูสิว่าไอ้หน้าหนวดนั่นมันจะยังรักเธออยู่อีกไหม ถ้ามันยอมแสดงว่ามันก็โง่เหมือนควาย”
“หยุดนะ พี่กล้าไม่ใช่แฟนฉันแล้วเขาก็ไม่ได้โง่ เขาเป็นคนดี”
“คนดี” เมฆาเบ้ปากพูดน้ำเสียงเยาะๆ “คนดีจะโง่เป็นควายเพราะความรักไม่ได้หรือไง” รอยยิ้มมุมปากเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงในทันทีเมื่อนึกถึงตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยโง่ให้กับความรักซึ่งไม่ต่างควายตัวหนึ่งที่ยอมไถ่นาทั้งๆ ที่มีเครื่องไถ่นาอยู่แล้ว
“ขอร้องเถอะนะคะ ฉันทำคุณเจ็บ คุณก็ควรจะมาลงที่ฉัน อย่าให้ใครคนอื่นต้องมารับกรรมแทนฉันเลย”
แทบไม่อยากเชื่อว่าคำพูดนั้นจะออกมาจากปากของผู้หญิงตลบตะแลงคนนี้ซึ่งมันเหนือความคาดหมายจนเขาไม่อาจจะยอมรับได้ เมฆากดรีโมตรถแล้วบังคับให้หญิงสาวเข้าไปนั่งในรถท่ามกลางความมึนงงของเธอ
“ขึ้นรถ” พูดจบแต่ยังเห็นหญิงสาวยืนเฉยเหมือนกับจะยั่วอารมณ์เขาเล่นและหากไม่ทำอะไรเลยก็คงจะไม่ใช่เมฆาคนปัจจุบัน ฝีปากหนาฉายยิ้มท้าทายเธอด้วยคำพูดหนึ่งประโยค
“ก็ได้ถ้าเธอไม่ขึ้น ฉันจะจูบเธอและทำให้เธออายคนทั่วทั้งโรงพยาบาล” เมฆาเอ่ยเสียงเรียบแต่สายตาที่มองมาอย่างกับมีประกายไฟบางอย่างผิดกับสิรินภาที่มองเขาอย่างหวาดๆ
ระหว่างนั้นเกษมศักดิ์พร้อมมือขวากำลังเดินหน้าหมุ่ยผ่านล๊อบบี้ด้านล่างเพื่อตรงไปยังประตูทางออกสู่ลานจอดรถ ปากก็บ่นไปเรื่อย
“พ่อนะพ่อ แค่เอากระเช้าดอกไม้ไปเยี่ยมหัวหน้าพรรคก็ต้องให้ฉันเอามาให้ นี่กว่าจะปลีกตัวออกมาจากห้องนั้นได้ก็แทบกระอัก ไม่รู้จะคุยอะไรกันนักหนามีแต่เรื่องอยากได้ผลประโยชน์เข้าตัวทั้งนั้น” คนพูดเริ่มอารมณ์เสีย เดินผ่านพ้นมาจากประตูทางออกก็ตรงมาที่จอดรถทันทีโดยมีมือขวาตามหลังมาติดๆ สายตาก็พลางจับจ้องมองซ้ายทีขวาทีอย่างไม่มีจุดหมายก่อนจะปะทะกับภาพหนึ่งซึ่งทำให้ต้องรีบหลบมาอยู่มุมหนึ่งของเสาใต้ตึก
“นั่นมันคู่ปรับนายนี่ครับ” มือขวาของเกษมศักดิ์กระซิบบอก เห็นนายหนุ่มหัวเราะหึๆ สายตาที่เพ่งมองเห็นชัดถึงความอาฆาตพยาบาท
“ใช่ มันมากับผู้หญิง สวยซะด้วย” ปากพูดแต่สมองพลันคิดถึงแผนการชั่วๆ เอาคืนเมฆาที่ทำให้เขาพลาดที่ดินแปลงนั้นไปอย่างน่าเสียดาย
“ดูเหมือนว่าเราจะมีอะไรสนุกๆ ทำแล้วสิ” เกษมศักดิ์ว่าสายตาดูมีแผนการ
ยอดกล้าเดินคอตกเข้ามาในร้านเค้กคุณแต้วแล้วหามุมสงบนั่งผ่อนลมหายใจทิ้งก่อนจะถูกเจ้าของร้านซึ่งเป็นเพื่อนสาวทักมาแต่ไกล
“ตัวไปเยี่ยมคุณบีมาไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับมาหน้าตาเป็นงั้นล่ะ”
ยอดกล้าเงยหน้ามองเพื่อนสาวแล้วถอนหายใจอีกรอบพลางทำหน้าเซ็งๆ
ปอร์เช่หรูมาจอดสนิทใต้คอนโดใจกลางเมืองขณะที่สิรินภาได้แต่ทำหน้างงงัน เหตุเพราะเขาพาเธอมาที่ไหนไม่รู้แทนที่จะเป็นบ้านของหญิงสาวตามที่ได้แจ้งไว้กับอบเชย แต่ไม่ว่าเหตุผลที่เมฆาพามาที่นี่จะด้วยเพราะเหตุอะไรนั้นก็ไม่ดีสำหรับเธอทั้งสิ้น
สิรินภาหันขวับมาทางชายหนุ่มที่ดับรถแล้วแต่ตัวยังไม่ยอมลงจากรถทั้งยังนั่งนิ่งเหมือนรออะไรบางอย่างจนเธอต้องเป็นคนเปิดปากถามก่อน
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะ”
“เธอยังไปไหนไม่ได้จนกว่าฉันจะสั่ง” เมฆาตอบเชิงออกคำสั่งแต่สิรินภาดื้อไม่ยอมทำตามที่เขาบอก เธอรีบลงจากรถแล้วทำท่าจะหนีเขาไป ชายหนุ่มจึงจำต้องรวบมือเธอไว้สองข้างแล้วต้องใช้คำพูดเชิงบังคับอีกครั้ง
“ฉันบอกแล้วไงว่าเธอยังไปไหนไม่ได้”
“คุณเมฆา ได้โปรดเถอะนะ คุณยังต้องการอะไรจากฉันอีกหรืออยากให้ฉันเจ็บ ให้ฉันทุกข์ นี่ไงฉันก็เป็นทุกข์แล้ว คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ” สิรินภากล่าวสีหน้าเศร้าสองมือก็พยายามแกะให้ออกจากมือหนานั้นแต่ยิ่งดิ้นรนก็เหมือนจะจนมุมเพราะพลังมือคู่นั้นช่างมหาศาลเหลือเกิน
“เจ็บแค่นี้มันยังน้อยไป ฉันต้องการให้เธอเจ็บเหมือนตายทั้งเป็น ทำได้ไหม” เมฆาไม่พูดเปล่ากลับกระตุกมือนั้นแล้วดึงเข้าหาจนร่างเล็กเซมาจนตัวเขา ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมาโอบกอดหญิงสาวแทน
“นี่คุณจะทำลายชีวิตฉันไปถึงไหน” เธอพูดพร้อมสะบัดตัวหนีการเกาะกุมของเขาแต่ไม่ได้ผล อีกฝ่ายสวนคำพูดอย่างไม่แยแส
“ก็จนกว่าฉันจะพอใจแล้วก็ช่วยทำหน้าตาให้ดีๆ หน่อย ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันจูบโชว์ต่อหน้าคนแถวนี้” เมฆาจบคำพูดแล้วเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการโอบไหล่หญิงสาวแทนพอเธอทำท่าจะบ่ายเบี่ยงเขาก็ใช้มุกเดิมกระทั่งพาหญิงสาวมาจนถึงคอนโดที่อาศัยอยู่
“นั่งลง” เป็นการออกปากบังคับเธออีกครั้ง เห็นเธอทำสีหน้าหวาดๆ คงจะตกใจที่จู่ๆ เขาก็พามาถึงคอนโดแถมตอนนี้ยังบังคับให้นั่งลงบนเตียงอีกแต่แค่นี้มันยังน้อยไปและเขายังมีอะไรสนุกๆ ทำกับเธออีกเยอะ
“คุณจะทำอะไร” สิรินภาถามเสียงสั่น มองสภาพโดยรอบดูไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับเธอแม้เขาจะเคยเป็นผู้ชายที่แสนดีคนนั้นแต่ต้องยอมรับว่าตอนนี้ผู้ชายที่แสนดีตายไปแล้วหลงเหลือไว้ผู้ชายใจร้ายที่หัวใจมีแต่ความคับแค้น
“ทำเป็นอินโนเซ็นไปได้ มีผัวแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องแบบนี้คงไม่ต้องอธิบาย” เมฆาว่าน้ำเสียงกึ่งดูถูกดูแคลนก็ในเมื่อสิรินภาเคยมีสามีมาแล้วและถ้าเธอไม่แสแสร้งก็คงจะรู้ว่าเขาพาหญิงสาวมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร
“คุณเมฆา คุณอย่าทำบ้าๆ นะ” สิรินภาร้องห้ามปากสั่น ยิ่งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดก็เริ่มเหงื่อตกทำอะไรไม่ถูกแล้วยิ่งใจเต้นตุบๆ เมื่อเสื้อเชิ้ตตัวนั้นหลุดออกไปจากตัวเขาเหลือไว้แค่เสื้อกล้ามกับกางเกงที่ปลดเข็มขัดออกแล้ว
“ไม่นะคุณเมฆา คุณต้องไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น” สิรินภากลืนน้ำลายมองจ้องหน้าตาไม่กะพริบฝ่ายเมฆาก็ยืนมองหญิงสาวด้วยความหยิ่งผยอง ยิ่งเห็นเธอตื่นตระหนกเขาก็ยิ่งมีความสุขได้แต่ยิ้มกอดอกแล้วแสยะยิ้มใส่
“หึ ฉันไม่ได้บ้าหรอกแค่ลองเก็บมาคิดดู สิบล้านที่เธอได้ไปมันไม่คุ้มเลยสักนิดกับที่ฉันได้มา เจ็ดปีที่ฉันเฝ้าทะนุถนอมดูแลเธอเป็นอย่างดี เจ็ดปีที่ฉันไม่เคยทำอะไรเธอ ไม่เคยแตะต้องเธอ”
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” สิรินภากลืนน้ำลาย สายตาเริ่มสอดส่ายหาลู่ทางหนีทีไร่
“ฉันรู้ว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด เพราะนี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องการจากตัวเธอ” เมฆาพูดจบก็กระโจมใส่แต่คว้าได้แค่หมอนเพราะคนตัวเล็กกระโดดหนีได้ทันควันก่อนจะเห็นเธอมายืนหายใจเหนื่อยเป็นหมาจนตรอกอยู่ตรงมุมห้อง
“ไม่นะคะ คุณเมฆา คุณต้องมีสติและโปรดฟังฉัน คุณต้องไม่ลืมว่าฉันคือคนที่คุณเกลียด ฉันทำร้ายหัวใจคุณ ทำให้คุณเจ็บช้ำ ดังนั้น คุณไม่ควรมาเกลือกกลั้วกับคนอย่างฉันอีก”
คำพูดของสิรินภาทำให้คนในร่างสูงถึงกับนั่งฟุบที่พื้นห้อง ดวงตาก้าวร้าวเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเศร้าซึมแล้วปล่อยหยดน้ำตาออกมา ที่น่าตกใจคือใบหน้าที่แสนดุดันหลงเหลือแค่ความหมองหม่น
สิรินภาหน้าจืดสนิทเมื่อเห็นหน้าเมฆาแบบนั้น ยอมรับว่าคิดไม่ถึงว่าคำพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคจะทำให้เขาถึงกับร้องไห้ออกมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาดูแข็งกระด้างเหลือเกิน
“ใช่ ฉันควรจะเกลียดเธอมันถึงจะถูก ฉันไม่ควรที่จะข้องแวะกับเธอแต่ทำไมหัวใจของฉันกลับทำอะไรที่ตรงกันข้าม ฉันอยากเข้าหาเธอ อยากสัมผัส อยากใกล้ชิดทั้งที่รู้ว่าเธอใจร้ายมากแค่ไหนแต่ก็ยังตัดใจจากเธอไม่ได้” เมฆาหลบสายตาก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“พี่เมฆ” สิรินภานั่งลงข้างๆ มือหนึ่งยกขึ้นมาแตะไหล่ของเขาไว้ด้วยอยากปลอบในวันที่เขากำลังรู้สึกแย่
“พี่คงเป็นผู้ชายที่โง่มากถึงยอมให้ความรักมันมาครอบงำหัวใจพี่อีกครั้ง” เมฆาสะอื้นก่อนจะหันมากอดหญิงสาวข้างกาย คราวนี้ไม่มีการปฏิเสธใดๆ จากหญิงสาว
“พี่เมฆไม่ผิดและก็ไม่ได้โง่ แต่เป็นเพราะบีเองต่างหาก บีทำให้เรื่องมันเลวร้ายลง” สิรินภายอมรับผิดแต่โดยดี ใช่ หากวันนั้นเธอไม่ยอมรับเงินจากบิดาเมฆาและตัดสินใจจากเขาไปด้วยความรู้สึกดีๆ เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้ สำหรับเธอแม้จะทุกข์ทรมานด้วยความคิดถึงเขาแต่คงไม่เท่ากับชายหนุ่มที่ไม่รู้อะไรเลย เพราะเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าเธอทิ้งเขาเพราะเงิน
เมฆาคลายกอดใช้สายตาเว้าวอนมองเธอแน่นิ่ง อีกฝ่ายมองตอบเห็นชัดว่ายังต้องการเขาเหมือนกัน แต่เพื่อความแน่ใจจึงต้องถามออกไป
“พี่ยังรักบีอยู่นะแล้วบีล่ะ ยังรักพี่อยู่ไหม” แม้ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากเธอแต่เขาก็รับรู้ได้ผ่านสายตาคู่นั้น “เอาเถอะ ไม่ว่าบีจะรู้สึกยังไงกับพี่ พี่ก็ยังยืนยันว่าพี่รักบี รัก รักที่สุด รักจนยอมให้บีตกไปเป็นของใครไม่ได้” จบคำพูดหวานประโยคนั้นใบหน้าคมก็โน้มเข้ามาใกล้หวังจะใช้โอกาสนี้จุมพิตเธอให้หายคิดถึงและหากมันจะมีอะไรเลยเถิดไปมากกว่านั้นเขาก็พร้อมจะน้อมรับไปกับมันแต่ทุกอย่างกลับหยุดชะงักเพียงเพราะได้ยินเสียงนี้
ติ๊งต๊อง...
เมฆาชักสีหน้าบึ้งตึงในทันทีเพราะหลังจากเสียงออดนั้นดังขึ้น สิรินภาก็ปลีกตัวหนีห่างจากเขาทันที มันน่าโมโหคนที่มาขัดจังหวะนักเมื่อทุกอย่างกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วเชียว
“บีรอพี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” เมฆาบอกหญิงสาว พยายามปรับสีหน้าให้ดูปกติทั้งที่ในใจตอนนี้อยากจะกระโจมใส่หญิงสาวให้รู้แล้วรู้รอด มีอย่างที่ไหนทำให้ปลาติดเบ็ดแล้วกลับต้องปล่อยไปอย่างน่าเสียดาย
เท้าหนาจำต้องเดินมาเปิดประตูห้องทั้งที่ยังโมโหไม่หาย แต่พอเปิดประตูออกมาแค่นั้นแหละ ความโมโหเมื่อครู่ก็พลันหายไปเพราะถูกกลบด้วยความตกใจเข้ามาแทน
“พลอย”
พลอยชมพูไม่รอช้าเดินลุยๆ เข้ามาด้านในสายตาก็มองหาใครคนหนึ่งที่คิดว่าจะต้องอยู่ในห้องนี้กับพี่ชายของเธอ ใช่ จากสายข่าวแจ้งมาว่าพี่ชายสุดหล่อพาสาวคนหนึ่งขึ้นคอนโด และเพื่อความแน่ใจก็เลยต้องมาหาด้วยตัวเอง
“เดี๋ยวก่อนพลอย” เมฆาร้องห้ามพร้อมก้าวฉับๆ มายืนขวางน้องสาวได้สำเร็จเมื่อเธอกำลังจะเปิดประตูห้องนอนของเขา และที่สำคัญตอนนี้ชายหนุ่มต้องแก้เกมก่อน “พลอยมาหาพี่ถึงที่นี่มีธุระอะไรหรือเปล่า” เมฆาทำใจเย็นถามอีกฝ่ายก็ตอบมาอย่างใจเย็น
“พลอยจะมาดูหน้าผู้หญิงที่พี่พาขึ้นคอนโดมาด้วยกัน” พลอยชมพูเอ่ยสายตาจ้องอยู่ที่ประตูห้องนอนของพี่ชาย ลอบมองเห็นสีหน้าตึงเครียดของอีกฝ่ายก็รู้ในทันทีว่าเรื่องที่ได้ยินมาคือความจริง
“ใครบอกพลอย”
“ใครบอกไม่สำคัญหรอกค่ะแต่ยัยผู้หญิงคนนั้นมันคือใครกัน พลอยต้องการรู้เดี๋ยวนี้” พลอยชมพูทำน้ำเสียงเด็ดขาด คราวนี้เธอไม่ยอมอ่อนให้อีกฝ่ายแน่เพราะถ้าผู้หญิงคนนั้นคิดจะจับพี่ชายขึ้นมา เรื่องมันจะบานปลาย
เมฆาพาพลอยชมพูมาพูดคุยกันถึงดาดฟ้า เพราะกลัวว่าหากพลอยชมพูได้เจอสิรินภาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และมันจะทำให้อะไรดูยากขึ้น ชายหนุ่มจ้องหน้าน้องสาวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ตกลงผู้หญิงคนนั้นเป็นใครคะ”
“โอเค พี่บอกให้ก็ได้แต่พลอยต้องสัญญากับพี่ก่อนว่าถ้ารู้แล้วจะไม่คัดค้านพี่” เมฆามีต่อรองพอพลอยชมพูพยักหน้ารับปากเขาก็ยอมเฉลย
“ความจริง ผู้หญิงคนนั้นก็คือผู้หญิงคนเดียวกับที่เคยหักอกพี่ในตอนนั้น” หลังจากที่พูดออกไปแล้วก็มองมาที่น้องสาวเห็นทำหน้านิ่งก็พอจะเข้าใจว่าคงกำลังตกอยู่ในอาการตกใจที่วันหนึ่งเขาได้พบกับผู้หญิงคนนั้นอีก
“แล้วพี่เมฆไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีกทำไม พลอยไม่เข้าใจ” เมื่อสตั้นไปสักสามวินาทีเธอก็เริ่มแผดเสียงถามออกมาในทันที
“ก็เพราะพี่ต้องการแก้แค้นนะสิ พี่ต้องการทำให้ผู้หญิงคนนั้นเจ็บปวดเหมือนพี่บ้างและการที่พี่ลงทุนทำทุกอย่างก็เพื่อทำให้เธอหลงรักพี่จนถอนตัวไม่ขึ้นและเมื่อนั้นพี่จะเป็นฝ่ายทิ้งเธอเอง” เมฆากล่าวด้วยสายตาดุดันว่าแต่พลอยชมพูกลับไม่เห็นด้วย
“แต่พลอยไม่เห็นด้วยเลย แม้พลอยจะอยากเอาคืนผู้หญิงคนนั้นอยู่เหมือนกันแต่พลอยว่ามันเสี่ยงเกินไปอีกอย่างพี่พาแม่นั่นมาคอนโดแบบนี้ เกิดคนของพ่อรู้แล้วเอาไปบอกพ่อ พี่จะแย่เอานะคะ” เอ่ยออกไปด้วยความเป็นห่วงและไม่อยากให้พี่ชายต้องเดือดร้อนเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าเวลาที่ทั้งคู่ทะเลาะกันนั้นยิ่งกว่าพายุทอนาโดอีก
“งั้นพลอยก็ต้องช่วยพี่แล้วล่ะ”
“แต่พลอยพูดจริงๆ นะพี่เมฆอย่าเสี่ยงเลยดีกว่า เกิดผู้หญิงคนนั้นมันคิดจะจับพี่ขึ้นมา พี่จะลำบาก” พลอยชมพูเข้ามาจับต้นแขนพี่ชาย
“อย่าห่วงไปเลยเพราะพี่จะไม่ยอมโง่เป็นครั้งที่สอง สิบล้านที่เธอได้ไปยังไงพี่ก็ต้องไถ่มาให้คุ้ม”
“พูดถึงเงินสิบล้านที่ยัยนั่นได้จากคุณพ่อ มันก็มากเกินไปจริงๆ”
“ก็นั่นไง พี่ถึงต้องเอาคืน”
พลอยชมพูมองหน้าพี่ชายสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งด้วยความรู้ตัวว่าคงว่านล้อมให้หยุดเรื่องราวตั้งแต่เนินๆ ไม่ได้เสียแล้ว เพราะท่าทางของพี่ชายเธอจะจริงจังกับเรื่องแก้แกค้นนี้เสียแล้ว
“ก็ได้ค่ะ เอาเป็นว่าพลอยจะช่วยพี่แก้แค้นแต่พลอยมีข้อแลกเปลี่ยนนะคะ”
“ข้อแลกเปลี่ยน” เมฆาทวนทั้งขมวดคิ้วอย่างอยากรู้ว่าข้อแลกเปลี่ยนที่น้องสาวได้พูดเกริ่นไว้นั้นคืออะไรกันและมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องแก้แค้นนี่ ระหว่างนั้นพลอยชมพูเข้ามาเกาะแขนพี่ชายพร้อมทั้งหยิบมือถือออกมากดปุ่มบางอย่างแล้วจ่อมาที่ปากของเขา
“สัญญากับพลอยก่อนว่าพี่เมฆจะไม่ตกหลุมรักยัยนั่น เพราะทุกอย่างที่พี่ทำก็เพื่อจะแก้แค้น สัญญากับพลอยก่อน”
เมฆาอ้าปากค้างมองน้องสาวนิ่ง สิ่งที่เธอต้องการคือการบันทึกคำพูดของเขาและหากเขาคิดไม่ผิด เธอจะใช้หลักฐานนี้เตือนสติเขาในภายภาคหน้าหากการแก้แค้นยืดเยื้อออกไป
“ถ้าพี่ไม่พูด พลอยก็จะไม่ช่วยพี่ปกปิดเรื่องนี้ ซ้ำพลอยยังจะไปบอกผู้หญิงคนนั้นอีก”
“ก็ได้ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่รักผู้หญิงคนนั้นอีก ทุกอย่างที่ทำก็แค่การแก้แค้นเท่านั้น” เมฆายอมพูดออกไปในที่สุด ความจริงไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เพราะเขามั่นใจว่าการแก้แค้นจะใช่เวลาไม่นาน เมื่อเขาสามารถทำให้สิรินภารักเขาอย่างหัวปักหัวปำจนยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเขา เมื่อนั้นเกมแก้แค้นก็จะจบ
“ดีค่ะ” พลอยชมพูยิ้มพร้อมกับเก็บมือถือใส่กระเป๋าสะพาย
“พลอยไปก่อนนะคะ อ้อ ขอให้สนุกกับการแก้แค้นนะคะ เรื่องนี้พลอยจะไม่ขอไปยุ่งเกี่ยวถ้าพี่เมฆยังทำตามสัญญาที่พูดไว้เมื่อกี้นี้แต่อย่าให้นานนักนะคะเพราะพลอยไม่ยอมแน่” พลอยชมพูมีข่มขู่ในประโยคท้ายๆ ก่อนจะก้าวเท้าเดินจากไปด้วยรอยยิ้มมุมปากทิ้งชายในร่างสูงยืนถอนหายใจเป็นพักๆ
เมฆากลับเข้ามาอีกทีแล้วตรงมายังห้องนอนทันทีแต่ก็สายไปแล้วเมื่อในห้องพบว่าไร้ร่างของสิรินภาแล้ว ใบหน้าคมเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแทนที่เขาจะได้ลิ้มรสเนื้อปลากลับทำปลาหลุดมือไปเพียงเพราะความหวงพี่ของพลอยชมพูแท้ๆ
แท็กซี่สีเขียวลายเหลืองมาจอดหน้ารั้วบ้านสิรินภาจะเปิดประตูลงมา ก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดนิ่งเมื่อสมองนึกคิดถึงคำพูดของเมฆาขึ้นมา
“ใช่ ฉันควรจะเกลียดเธอมันถึงจะถูก ฉันไม่ควรที่จะข้องแวะกับเธอแต่ทำไมหัวใจของฉันกลับทำอะไรที่ตรงกันข้าม ฉันอยากเข้าหาเธอ อยากสัมผัส อยากใกล้ชิดทั้งที่รู้ว่าเธอใจร้ายมากแค่ไหนแต่ก็ยังตัดใจจากเธอไม่ได้”
ใบหน้าหวานอมทุกข์ยิ่งพาให้หัวใจดวงน้อยเจ็บปวดอีกทวีเมื่อรับรู้ว่าเมฆาไม่เคยลืมเธอเลยและเขาเองก็เจ็บปวดที่หัวใจของเขายังรักเธอแทนที่จะเกลียดหญิงสาว
แรงหึง
สิรินภาในชุดลำลองกำลังเก็บเสื้อผ้าชุดเดิมใส่ในกระเป๋าใบที่อบเชยเอามาจากบ้านพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เธอสวมอยู่สำหรับการนอนโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องน่าสนุกอะไรซ้ำยังนอนไม่หลับเพราะผิดที่อีก
อบเชยที่กำลังเก็บพวกอาหารใส่ตะกร้าที่พกติดมือมาจากบ้านเหลือบไปมองคนไข้ที่ทำตัวเก่งบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วจึงอยากกลับไปพักผ่อนต่อที่บ้านทั้งที่ใบหน้าของเธอยังดูซีดๆ อยู่
“ความจริงบีน่าจะอยู่สังเกตอาการต่ออีกสักวัน” อบเอชยพูดขึ้นเพราะยังไม่วางใจให้สิรินภากลับบ้านทั้งยังเป็นห่วงเพราะที่บ้านมีแต่ผู้หญิงกับเด็กน้อยถ้ามีอะไรฉุกละหุกขึ้นมากลางดึกมันจะลำบากเอาแต่คนไข้คนนี้ก็ยังยืนยันคำพูดเดิม
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ บีไม่อยากเสียเวลาอีกอย่างบีก็หายเป็นปกติแล้ว”
“แต่หน้าบียังซีดๆ อยู่นะ”
“แต่บีโอเคขึ้นมากแล้วนะคะ” สิรินภาแย้งแม้หน้าตาของเธอยังดูซูบซีดแต่สภาพจิตใจตอนนี้บอกว่าไหวเกินร้อย
“โอเค ไม่เอาก็ไม่เอา เรื่องความดื้อนี่ใครก็สู้บีไม่ได้เลยจริงๆ ดีนะที่พี่พาเด็กๆ ไปโรงเรียนกันหมดแล้วไม่อย่างนั้นความดื้อจะเพิ่มขึ้นทวีคูณ เพราะเด็กๆ คงไม่ยอมไปเรียนแน่ถ้ารู้ว่าบีจะกลับบ้านวันนี้”
สิรินภาขำในคำพูดของพี่สะใภ้แต่ก็จริงอย่างนั้นเพราะหากเด็กๆ รู้ว่าเธอกลับมาพักที่บ้านแล้วคงพากันมาอยู่ดูแลแทนที่จะไปเรียนกันแต่ไม่รู้ว่าใครจะดูแลใครกันแน่ หญิงสาวเผลอคิดในใจแล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาที่มุมปากโชคดีมากแค่ไหนที่มีลูกๆ ที่น่ารักและรักเธอมากขนาดนี้
“ออบี พี่เอาโทรศัพท์ของมาแล้วนะ วางอยู่ตู้ข้างเตียงนะ”
สิรินภามองไปยังตู้ข้างเตียงเห็นโรศัพท์มือถือของเธอวางอยู่ตรงนั้นจริงๆ จึงลุกขึ้นยืนหมายจะไปหยิบแต่จังหวะการลุกมันคงเร็วไปหน่อย ทำให้รู้สึกเหมือนห้องทั้งห้องหมุนเป็นวงกลม ร่างเล็กเหมือนจะเซแล้วล้มลงไปแล้วหากไม่มีมือใครคนมาช่วยประคองไว้
อบเชยหันมาทำตาโตเมื่อเห็นสิรินภาอยู่ในอ้อมกอดของเมฆา แต่เก็บความสงสัยไว้ก่อนเพื่อถามถึงที่มาที่ไปของสิ่งที่เธอเห็น “เกิดอะไรขึ้นคะ” อบเชยเข้ามาช่วยประคองสิรินภาแทนเมฆาเห็นชายหนุ่มขยับเสื้อสูทให้เข้าที่
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่เห็นบีเธอทำท่าจะล้ม” เมฆาบอกทั้งที่เมื่อครู่นี้เขาตกใจแค่ไหนที่เปิดประตูเข้ามาเห็นสิรินภาจะล้มแต่แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ความโกรธเธอก็เข้ามาแทรกอีกครั้ง
“ตายจริง ต้องขอบคุณคุณเมฆาจริงๆ นี่ถ้าเมื่อกี้คุณมาช่วยไม่ทันป่านนี้บีคงล้มหัวกระแทกพื้นแล้ว”
สิรินภาพูดไม่ออกเหมือนมีก้อนมาจุกอยู่ที่คอ การที่เธอรีบกลับก็เพราะไม่อยากเจอเขาแต่กลับกลายเป็นว่าที่ทำตั้งแต่ต้นไม่มีผลอะไรเลยหนำซ้ำ เขายังกลายเป็นที่ปลาบปลื้มของญาติสนิทของเธออีก
“นี่จะกลับกันแล้วหรือครับ” ถามออกไปเพราะเห็นชุดที่สิรินภาสวมอยู่ไม่ใช่ชุดของโรงพยาบาลและหากเขาเดาไม่ผิดการที่หญิงสาวรีบกลับคงเพราะอยากหนีหน้าเขาไปให้พ้นๆ แต่เธอคงลืมคิดไปว่าถึงไม่ได้เจอกันที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มก็สามารถไปหาเธอถึงบ้านได้
“ไหนๆ ผมก็มาแล้ว ขอผมไปส่งพวกคุณที่บ้านนะครับ” เมื่อรู้ว่าสิรินภาพยายามหลบหน้าเขามีหรือชายหนุ่มจะนิ่งเฉย ในเมื่อวันนี้เขาตั้งใจมาหาเธอและทุกอย่างต้องเป็นตามที่วางไว้และไม่มีอะไรมาหยุดได้แม้แต่เสียงค้านของเธอ
“เออ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกับพี่อบเรากลับเองได้”
“ไม่ได้” เมฆาค้านทันที เริ่มเห็นแววตาอบเชยที่มองมาอย่างตกใจเขาจึงปรับคำพูดให้ดูอ่อนลง “คือ ผมมีธุระที่ต้องคุยกับบีต่อนะครับ เกี่ยวกับเรื่องงานและก็ไม่อยากถูกปฏิเสธด้วย” เมฆษใช้แววตาออดอ้อนจนอบเชยเอออเห็นด้วย
“ก็ดีเหมือนกันนะ ให้คุณเมฆาไปส่งบีที่บ้านแล้วพี่จะได้ไปซื้อของที่ตลาดเลยไม่ต้องวกไปวนมา” พูดจบก็เดินมาหยิบกระเป๋ามาสะพายเพื่อเตรียมตัวให้มายิ้มให้สิรินภากับเมฆา
“เออ พี่อบคะ” สิรินภาเหมือนจะร้องไห้อ้าปากจะพูดแต่เมฆาแทรกขึ้นมา
“พี่อบไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมส่งบีถึงบ้านแน่”
“ค่ะ งั้นพี่ไปนะบี” อบเชยยิ้มส่งท้ายแล้วเดินออกจากห้องไป
ฝ่ายสิรินภาได้แต่นิ่งงันเพราะพูดอะไรไม่ออก จากสิ่งที่เห็นมันชัดเจนตรงที่เขาทำทุกทางเพื่อให้อยู่ใกล้เธอแต่นั่นไม่ใช่ความรักหรือความคิดถึงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันคือความแค้น ความเกลียดที่รอถูกสะสาง
เมฆาเหลือบมองหญิงสาวที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นก็ไม่ปาน ใบหน้าของเธอซูบซีดเหมือนรูปปั้นที่ยังขาดการระบายสีผิดจากสิรินภาคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก นั่นอาจเป็นเพราะความผิดที่เธอเคยทำไว้กับเขา ปากหนาแสยะยิ้มเอ่ยวาจาออกไป
“ทำไม หรือที่ไม่อยากอยู่ด้วยกันสองต่อสองเพราะกลัวว่าฉันจะทำอะไรเธองั้นหรือ”
สิรินภาหันหน้ามาแล้วสั่นหัวเบาๆ สายตาที่มองเขาบอกว่าเอือมระอาเต็มที
“ฉันไม่ได้กลัวแต่แค่ไม่เข้าใจ คุณจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับฉันอีกในเมื่อตอนนี้คุณก็เกลียดฉัน” ปากอิ่มเอ่ยจบก็แทบสะดุ้งกับการตอบโต้ทันควันของเขา
“ก็เพราะว่าเกลียดไงถึงทำให้ฉันต้องมาเกี่ยวข้องกับเธอ เพราะรู้ว่ายิ่งถ้าเราอยู่ใกล้กันมากเท่าไรเธอจะยิ่งเป็นทุกข์ เพราะรู้ว่าเธอจะทำทุกทางเพื่อผลักไสฉันไปไกลๆ แต่เสียใจด้วยนะ ฉันไม่ไปและจะอยู่จองเวรกับเธออยู่อย่างนี้ต่อไปจนกว่าฉันจะพอใจ”
“แต่การทำแบบนี้มันจะดีกับตัวคุณจริงๆ เหรอ ฉันแค่ไม่อยากให้คุณต้องทุกข์ไปกับฉัน เพราะสำหรับคุณมันมากพอแล้ว” ต่อให้เขาทำตัวเมินใส่เธอก็รู้ว่าที่ทำทั้งหมดก็เพราะยังแค้นเคืองและหากใจยังมีความรู้สึกนั้นอยู่ ชีวิตของชายหนุ่มจะมีความสุขได้ยังไง
“ฉันไม่ได้ทุกข์และไม่เสียใจเลยสักนิดที่ทำแบบนี้ ผู้หญิงเลวๆ อย่างเธอไม่มีค่าพอที่ฉันจะต้องทุกข์ด้วยหรอก มีแต่จะสะใจมากกว่าที่เห็นเธอตกต่ำลงไปเรื่อยๆ”
ประโยคนั้นกรีดลึกลงกลางหัวใจของผู้ฟังอย่างจัง รอยแผลที่ยังไม่หายสนิทกลับปริออกจนไม่สามารถกลับมาประติดประต่อได้อีก สิรินภาสะอึกทั้งที่เคยคิดว่าสักวันเธอจะเล่าทุกอย่างให้เมฆาฟังถึงเหตุผลที่แท้จริงหากเขาพร้อมที่จะให้อภัยเธอและยอมรับฟังโดยไม่มีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวแต่พอมาถึงตอนนี้ ทุกอย่างมันคงสายไปแล้วจริงๆ
“งั้นคุณก็ทำสำเร็จแล้วละค่ะ เพราะฉันกำลังทุกข์และฉันก็กำลังเสียใจที่ครั้งหนึ่ง ฉันเคยเผลอใจรักคนอย่างคุณ”
“คำพูดประโยคนั้นมันควรเป็นฉันมากกว่าที่ต้องพูดออกมา ไม่ใช่เธอ” เมฆาดึงร่างนั้นมาใกล้ ใช้สองมือบีบเค้นต้นแขนจนเห็นเป็นจ้ำแดง ดวงตาคมเพ่งมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความโกรธแค้นที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทรยศ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทิ้งเขาไปอย่างไม่มีเยื้อใย ทิ้งคำพูดไว้ให้จดจำไปจนถึงวันนี้ ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ทำเขาเหมือนตายทั้งเป็นและครั้งนี้จะเป็นทีของชายหนุ่มบ้างที่จะทำให้เธอตายทั้งเป็น
“ก๊อกๆๆ”
เสียงนั้นดังอยู่สามครั้งก่อนประตูห้องพักฟื้นจะเปิดออก สิรินภารีบผลักเมฆาออกแต่เหมือนเขาจะจงใจแกล้งกอดเธอไว้อย่างนั้นกระทั่งเห็นคนที่เปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มถึงยอมปล่อยให้เป็นอิสระ
“บี” ยอดกล้าทำหน้าตาตื่นเพราะตกใจกับภาพที่เห็น หากเมื่อกี้เขาไม่ได้ตาฝาด ผู้ชายที่ยืนทำหน้าเก๊กอยู่ตอนนี้กำลังกอดสิรินภาแต่หมอนี่เป็นใครกัน ทำไมถึงทำแบบนั้นกับเธอ
“เออ พี่กล้ามาหาบีมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” สิรินภาถามเสียงตื่นๆ ทั้งรู้สึกกดดัน ทั้งอายที่ยอดกล้ามาเห็นตอนที่เธอกับเมฆากำลังทำอะไรกันถึงแม้ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ตาม
“คือพี่สวนทางกับพี่อบนะ เห็นพี่อบบอกว่าบีจะกลับบ้านแล้วพี่เลยขึ้นมารับบีกลับบ้านด้วยกัน” ยอดกล้าว่าก่อนจะยื่นดอกไม้เยี่ยมไข้สิรินภา “พี่ซื้อดอกไม้มาเยี่ยม”
สิรินภายิ้มเจื่อนๆ เอื้อมมือจะรับแต่ถูกเมฆาแย่งมารับช่อดอกไม้ก่อน
“ขอบคุณมากนะครับและก็เสียใจด้วยเพราะบีจะกลับกับผม” ไม่เพียงแค่พูดปากเปล่าเท่านั้นยังจัดแจงเอาดอกไม้เยี่ยมไข้มายัดใส่ตะกล้าใส่ของก่อนจะดึงสิรินภามาโอบไหล่อย่างถือสิทธิ์พลางทำหน้ายิ้มระรื่น
“บี” ยอดกล้าทำหน้าไม่เข้าใจ สายตาที่มองชายตรงหน้าด้วยความไม่พอใจและยิ่งเห็นสิรินภาไม่ทักท้วงอะไรก็ยิ่งไม่ชอบใจ รู้สึกเหม็นขี้หน้าอย่างบอกไม่ถูก
“ขอตัวนะครับ บีจะได้กลับไปพักผ่อน” เมฆาสวนคำพูดมาและพาสิรินภาเดินออกจากห้องไป ไม่สนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้สิรินภาจะเสียหายมากแค่ไหนก็ในเมื่อนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว
พ้นร่างของยอดกล้า คนในร่างเล็กที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ดีๆ ก็สะบัดแขนเขาออกแล้วแยกตัวจนห่างไปเกือบสองคืบ สายตาของเธอที่มองมานั้นบอกว่าไม่พอใจในการกระทำอันอุกอาจของเขามาก ใช่ สายตาแบบนี้แหละที่เมฆาต้องการเห็น
“คุณทำแบบนี้ทำไม” สิรินภาถามเสียงสูง ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้แต่ดูเขา ยืนยิ้มราวกับมันเป็นเรื่องตลก
“ก็อยากปั่นหัวคนเล่น ถ้าเธอมีปัญหาก็ไปบอกแฟนเธอเลยสิ บอกให้ละเอียดนะว่าฉันเป็นอะไรกับเธอ อ้อ แล้วก็บอกด้วยว่าเธอทรยศความรักของฉัน ดูสิว่าไอ้หน้าหนวดนั่นมันจะยังรักเธออยู่อีกไหม ถ้ามันยอมแสดงว่ามันก็โง่เหมือนควาย”
“หยุดนะ พี่กล้าไม่ใช่แฟนฉันแล้วเขาก็ไม่ได้โง่ เขาเป็นคนดี”
“คนดี” เมฆาเบ้ปากพูดน้ำเสียงเยาะๆ “คนดีจะโง่เป็นควายเพราะความรักไม่ได้หรือไง” รอยยิ้มมุมปากเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงในทันทีเมื่อนึกถึงตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยโง่ให้กับความรักซึ่งไม่ต่างควายตัวหนึ่งที่ยอมไถ่นาทั้งๆ ที่มีเครื่องไถ่นาอยู่แล้ว
“ขอร้องเถอะนะคะ ฉันทำคุณเจ็บ คุณก็ควรจะมาลงที่ฉัน อย่าให้ใครคนอื่นต้องมารับกรรมแทนฉันเลย”
แทบไม่อยากเชื่อว่าคำพูดนั้นจะออกมาจากปากของผู้หญิงตลบตะแลงคนนี้ซึ่งมันเหนือความคาดหมายจนเขาไม่อาจจะยอมรับได้ เมฆากดรีโมตรถแล้วบังคับให้หญิงสาวเข้าไปนั่งในรถท่ามกลางความมึนงงของเธอ
“ขึ้นรถ” พูดจบแต่ยังเห็นหญิงสาวยืนเฉยเหมือนกับจะยั่วอารมณ์เขาเล่นและหากไม่ทำอะไรเลยก็คงจะไม่ใช่เมฆาคนปัจจุบัน ฝีปากหนาฉายยิ้มท้าทายเธอด้วยคำพูดหนึ่งประโยค
“ก็ได้ถ้าเธอไม่ขึ้น ฉันจะจูบเธอและทำให้เธออายคนทั่วทั้งโรงพยาบาล” เมฆาเอ่ยเสียงเรียบแต่สายตาที่มองมาอย่างกับมีประกายไฟบางอย่างผิดกับสิรินภาที่มองเขาอย่างหวาดๆ
ระหว่างนั้นเกษมศักดิ์พร้อมมือขวากำลังเดินหน้าหมุ่ยผ่านล๊อบบี้ด้านล่างเพื่อตรงไปยังประตูทางออกสู่ลานจอดรถ ปากก็บ่นไปเรื่อย
“พ่อนะพ่อ แค่เอากระเช้าดอกไม้ไปเยี่ยมหัวหน้าพรรคก็ต้องให้ฉันเอามาให้ นี่กว่าจะปลีกตัวออกมาจากห้องนั้นได้ก็แทบกระอัก ไม่รู้จะคุยอะไรกันนักหนามีแต่เรื่องอยากได้ผลประโยชน์เข้าตัวทั้งนั้น” คนพูดเริ่มอารมณ์เสีย เดินผ่านพ้นมาจากประตูทางออกก็ตรงมาที่จอดรถทันทีโดยมีมือขวาตามหลังมาติดๆ สายตาก็พลางจับจ้องมองซ้ายทีขวาทีอย่างไม่มีจุดหมายก่อนจะปะทะกับภาพหนึ่งซึ่งทำให้ต้องรีบหลบมาอยู่มุมหนึ่งของเสาใต้ตึก
“นั่นมันคู่ปรับนายนี่ครับ” มือขวาของเกษมศักดิ์กระซิบบอก เห็นนายหนุ่มหัวเราะหึๆ สายตาที่เพ่งมองเห็นชัดถึงความอาฆาตพยาบาท
“ใช่ มันมากับผู้หญิง สวยซะด้วย” ปากพูดแต่สมองพลันคิดถึงแผนการชั่วๆ เอาคืนเมฆาที่ทำให้เขาพลาดที่ดินแปลงนั้นไปอย่างน่าเสียดาย
“ดูเหมือนว่าเราจะมีอะไรสนุกๆ ทำแล้วสิ” เกษมศักดิ์ว่าสายตาดูมีแผนการ
ยอดกล้าเดินคอตกเข้ามาในร้านเค้กคุณแต้วแล้วหามุมสงบนั่งผ่อนลมหายใจทิ้งก่อนจะถูกเจ้าของร้านซึ่งเป็นเพื่อนสาวทักมาแต่ไกล
“ตัวไปเยี่ยมคุณบีมาไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับมาหน้าตาเป็นงั้นล่ะ”
ยอดกล้าเงยหน้ามองเพื่อนสาวแล้วถอนหายใจอีกรอบพลางทำหน้าเซ็งๆ
ปอร์เช่หรูมาจอดสนิทใต้คอนโดใจกลางเมืองขณะที่สิรินภาได้แต่ทำหน้างงงัน เหตุเพราะเขาพาเธอมาที่ไหนไม่รู้แทนที่จะเป็นบ้านของหญิงสาวตามที่ได้แจ้งไว้กับอบเชย แต่ไม่ว่าเหตุผลที่เมฆาพามาที่นี่จะด้วยเพราะเหตุอะไรนั้นก็ไม่ดีสำหรับเธอทั้งสิ้น
สิรินภาหันขวับมาทางชายหนุ่มที่ดับรถแล้วแต่ตัวยังไม่ยอมลงจากรถทั้งยังนั่งนิ่งเหมือนรออะไรบางอย่างจนเธอต้องเป็นคนเปิดปากถามก่อน
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะ”
“เธอยังไปไหนไม่ได้จนกว่าฉันจะสั่ง” เมฆาตอบเชิงออกคำสั่งแต่สิรินภาดื้อไม่ยอมทำตามที่เขาบอก เธอรีบลงจากรถแล้วทำท่าจะหนีเขาไป ชายหนุ่มจึงจำต้องรวบมือเธอไว้สองข้างแล้วต้องใช้คำพูดเชิงบังคับอีกครั้ง
“ฉันบอกแล้วไงว่าเธอยังไปไหนไม่ได้”
“คุณเมฆา ได้โปรดเถอะนะ คุณยังต้องการอะไรจากฉันอีกหรืออยากให้ฉันเจ็บ ให้ฉันทุกข์ นี่ไงฉันก็เป็นทุกข์แล้ว คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ” สิรินภากล่าวสีหน้าเศร้าสองมือก็พยายามแกะให้ออกจากมือหนานั้นแต่ยิ่งดิ้นรนก็เหมือนจะจนมุมเพราะพลังมือคู่นั้นช่างมหาศาลเหลือเกิน
“เจ็บแค่นี้มันยังน้อยไป ฉันต้องการให้เธอเจ็บเหมือนตายทั้งเป็น ทำได้ไหม” เมฆาไม่พูดเปล่ากลับกระตุกมือนั้นแล้วดึงเข้าหาจนร่างเล็กเซมาจนตัวเขา ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมาโอบกอดหญิงสาวแทน
“นี่คุณจะทำลายชีวิตฉันไปถึงไหน” เธอพูดพร้อมสะบัดตัวหนีการเกาะกุมของเขาแต่ไม่ได้ผล อีกฝ่ายสวนคำพูดอย่างไม่แยแส
“ก็จนกว่าฉันจะพอใจแล้วก็ช่วยทำหน้าตาให้ดีๆ หน่อย ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันจูบโชว์ต่อหน้าคนแถวนี้” เมฆาจบคำพูดแล้วเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการโอบไหล่หญิงสาวแทนพอเธอทำท่าจะบ่ายเบี่ยงเขาก็ใช้มุกเดิมกระทั่งพาหญิงสาวมาจนถึงคอนโดที่อาศัยอยู่
“นั่งลง” เป็นการออกปากบังคับเธออีกครั้ง เห็นเธอทำสีหน้าหวาดๆ คงจะตกใจที่จู่ๆ เขาก็พามาถึงคอนโดแถมตอนนี้ยังบังคับให้นั่งลงบนเตียงอีกแต่แค่นี้มันยังน้อยไปและเขายังมีอะไรสนุกๆ ทำกับเธออีกเยอะ
“คุณจะทำอะไร” สิรินภาถามเสียงสั่น มองสภาพโดยรอบดูไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับเธอแม้เขาจะเคยเป็นผู้ชายที่แสนดีคนนั้นแต่ต้องยอมรับว่าตอนนี้ผู้ชายที่แสนดีตายไปแล้วหลงเหลือไว้ผู้ชายใจร้ายที่หัวใจมีแต่ความคับแค้น
“ทำเป็นอินโนเซ็นไปได้ มีผัวแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องแบบนี้คงไม่ต้องอธิบาย” เมฆาว่าน้ำเสียงกึ่งดูถูกดูแคลนก็ในเมื่อสิรินภาเคยมีสามีมาแล้วและถ้าเธอไม่แสแสร้งก็คงจะรู้ว่าเขาพาหญิงสาวมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร
“คุณเมฆา คุณอย่าทำบ้าๆ นะ” สิรินภาร้องห้ามปากสั่น ยิ่งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดก็เริ่มเหงื่อตกทำอะไรไม่ถูกแล้วยิ่งใจเต้นตุบๆ เมื่อเสื้อเชิ้ตตัวนั้นหลุดออกไปจากตัวเขาเหลือไว้แค่เสื้อกล้ามกับกางเกงที่ปลดเข็มขัดออกแล้ว
“ไม่นะคุณเมฆา คุณต้องไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น” สิรินภากลืนน้ำลายมองจ้องหน้าตาไม่กะพริบฝ่ายเมฆาก็ยืนมองหญิงสาวด้วยความหยิ่งผยอง ยิ่งเห็นเธอตื่นตระหนกเขาก็ยิ่งมีความสุขได้แต่ยิ้มกอดอกแล้วแสยะยิ้มใส่
“หึ ฉันไม่ได้บ้าหรอกแค่ลองเก็บมาคิดดู สิบล้านที่เธอได้ไปมันไม่คุ้มเลยสักนิดกับที่ฉันได้มา เจ็ดปีที่ฉันเฝ้าทะนุถนอมดูแลเธอเป็นอย่างดี เจ็ดปีที่ฉันไม่เคยทำอะไรเธอ ไม่เคยแตะต้องเธอ”
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” สิรินภากลืนน้ำลาย สายตาเริ่มสอดส่ายหาลู่ทางหนีทีไร่
“ฉันรู้ว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด เพราะนี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องการจากตัวเธอ” เมฆาพูดจบก็กระโจมใส่แต่คว้าได้แค่หมอนเพราะคนตัวเล็กกระโดดหนีได้ทันควันก่อนจะเห็นเธอมายืนหายใจเหนื่อยเป็นหมาจนตรอกอยู่ตรงมุมห้อง
“ไม่นะคะ คุณเมฆา คุณต้องมีสติและโปรดฟังฉัน คุณต้องไม่ลืมว่าฉันคือคนที่คุณเกลียด ฉันทำร้ายหัวใจคุณ ทำให้คุณเจ็บช้ำ ดังนั้น คุณไม่ควรมาเกลือกกลั้วกับคนอย่างฉันอีก”
คำพูดของสิรินภาทำให้คนในร่างสูงถึงกับนั่งฟุบที่พื้นห้อง ดวงตาก้าวร้าวเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเศร้าซึมแล้วปล่อยหยดน้ำตาออกมา ที่น่าตกใจคือใบหน้าที่แสนดุดันหลงเหลือแค่ความหมองหม่น
สิรินภาหน้าจืดสนิทเมื่อเห็นหน้าเมฆาแบบนั้น ยอมรับว่าคิดไม่ถึงว่าคำพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคจะทำให้เขาถึงกับร้องไห้ออกมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาดูแข็งกระด้างเหลือเกิน
“ใช่ ฉันควรจะเกลียดเธอมันถึงจะถูก ฉันไม่ควรที่จะข้องแวะกับเธอแต่ทำไมหัวใจของฉันกลับทำอะไรที่ตรงกันข้าม ฉันอยากเข้าหาเธอ อยากสัมผัส อยากใกล้ชิดทั้งที่รู้ว่าเธอใจร้ายมากแค่ไหนแต่ก็ยังตัดใจจากเธอไม่ได้” เมฆาหลบสายตาก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“พี่เมฆ” สิรินภานั่งลงข้างๆ มือหนึ่งยกขึ้นมาแตะไหล่ของเขาไว้ด้วยอยากปลอบในวันที่เขากำลังรู้สึกแย่
“พี่คงเป็นผู้ชายที่โง่มากถึงยอมให้ความรักมันมาครอบงำหัวใจพี่อีกครั้ง” เมฆาสะอื้นก่อนจะหันมากอดหญิงสาวข้างกาย คราวนี้ไม่มีการปฏิเสธใดๆ จากหญิงสาว
“พี่เมฆไม่ผิดและก็ไม่ได้โง่ แต่เป็นเพราะบีเองต่างหาก บีทำให้เรื่องมันเลวร้ายลง” สิรินภายอมรับผิดแต่โดยดี ใช่ หากวันนั้นเธอไม่ยอมรับเงินจากบิดาเมฆาและตัดสินใจจากเขาไปด้วยความรู้สึกดีๆ เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้ สำหรับเธอแม้จะทุกข์ทรมานด้วยความคิดถึงเขาแต่คงไม่เท่ากับชายหนุ่มที่ไม่รู้อะไรเลย เพราะเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าเธอทิ้งเขาเพราะเงิน
เมฆาคลายกอดใช้สายตาเว้าวอนมองเธอแน่นิ่ง อีกฝ่ายมองตอบเห็นชัดว่ายังต้องการเขาเหมือนกัน แต่เพื่อความแน่ใจจึงต้องถามออกไป
“พี่ยังรักบีอยู่นะแล้วบีล่ะ ยังรักพี่อยู่ไหม” แม้ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากเธอแต่เขาก็รับรู้ได้ผ่านสายตาคู่นั้น “เอาเถอะ ไม่ว่าบีจะรู้สึกยังไงกับพี่ พี่ก็ยังยืนยันว่าพี่รักบี รัก รักที่สุด รักจนยอมให้บีตกไปเป็นของใครไม่ได้” จบคำพูดหวานประโยคนั้นใบหน้าคมก็โน้มเข้ามาใกล้หวังจะใช้โอกาสนี้จุมพิตเธอให้หายคิดถึงและหากมันจะมีอะไรเลยเถิดไปมากกว่านั้นเขาก็พร้อมจะน้อมรับไปกับมันแต่ทุกอย่างกลับหยุดชะงักเพียงเพราะได้ยินเสียงนี้
ติ๊งต๊อง...
เมฆาชักสีหน้าบึ้งตึงในทันทีเพราะหลังจากเสียงออดนั้นดังขึ้น สิรินภาก็ปลีกตัวหนีห่างจากเขาทันที มันน่าโมโหคนที่มาขัดจังหวะนักเมื่อทุกอย่างกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วเชียว
“บีรอพี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” เมฆาบอกหญิงสาว พยายามปรับสีหน้าให้ดูปกติทั้งที่ในใจตอนนี้อยากจะกระโจมใส่หญิงสาวให้รู้แล้วรู้รอด มีอย่างที่ไหนทำให้ปลาติดเบ็ดแล้วกลับต้องปล่อยไปอย่างน่าเสียดาย
เท้าหนาจำต้องเดินมาเปิดประตูห้องทั้งที่ยังโมโหไม่หาย แต่พอเปิดประตูออกมาแค่นั้นแหละ ความโมโหเมื่อครู่ก็พลันหายไปเพราะถูกกลบด้วยความตกใจเข้ามาแทน
“พลอย”
พลอยชมพูไม่รอช้าเดินลุยๆ เข้ามาด้านในสายตาก็มองหาใครคนหนึ่งที่คิดว่าจะต้องอยู่ในห้องนี้กับพี่ชายของเธอ ใช่ จากสายข่าวแจ้งมาว่าพี่ชายสุดหล่อพาสาวคนหนึ่งขึ้นคอนโด และเพื่อความแน่ใจก็เลยต้องมาหาด้วยตัวเอง
“เดี๋ยวก่อนพลอย” เมฆาร้องห้ามพร้อมก้าวฉับๆ มายืนขวางน้องสาวได้สำเร็จเมื่อเธอกำลังจะเปิดประตูห้องนอนของเขา และที่สำคัญตอนนี้ชายหนุ่มต้องแก้เกมก่อน “พลอยมาหาพี่ถึงที่นี่มีธุระอะไรหรือเปล่า” เมฆาทำใจเย็นถามอีกฝ่ายก็ตอบมาอย่างใจเย็น
“พลอยจะมาดูหน้าผู้หญิงที่พี่พาขึ้นคอนโดมาด้วยกัน” พลอยชมพูเอ่ยสายตาจ้องอยู่ที่ประตูห้องนอนของพี่ชาย ลอบมองเห็นสีหน้าตึงเครียดของอีกฝ่ายก็รู้ในทันทีว่าเรื่องที่ได้ยินมาคือความจริง
“ใครบอกพลอย”
“ใครบอกไม่สำคัญหรอกค่ะแต่ยัยผู้หญิงคนนั้นมันคือใครกัน พลอยต้องการรู้เดี๋ยวนี้” พลอยชมพูทำน้ำเสียงเด็ดขาด คราวนี้เธอไม่ยอมอ่อนให้อีกฝ่ายแน่เพราะถ้าผู้หญิงคนนั้นคิดจะจับพี่ชายขึ้นมา เรื่องมันจะบานปลาย
เมฆาพาพลอยชมพูมาพูดคุยกันถึงดาดฟ้า เพราะกลัวว่าหากพลอยชมพูได้เจอสิรินภาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และมันจะทำให้อะไรดูยากขึ้น ชายหนุ่มจ้องหน้าน้องสาวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ตกลงผู้หญิงคนนั้นเป็นใครคะ”
“โอเค พี่บอกให้ก็ได้แต่พลอยต้องสัญญากับพี่ก่อนว่าถ้ารู้แล้วจะไม่คัดค้านพี่” เมฆามีต่อรองพอพลอยชมพูพยักหน้ารับปากเขาก็ยอมเฉลย
“ความจริง ผู้หญิงคนนั้นก็คือผู้หญิงคนเดียวกับที่เคยหักอกพี่ในตอนนั้น” หลังจากที่พูดออกไปแล้วก็มองมาที่น้องสาวเห็นทำหน้านิ่งก็พอจะเข้าใจว่าคงกำลังตกอยู่ในอาการตกใจที่วันหนึ่งเขาได้พบกับผู้หญิงคนนั้นอีก
“แล้วพี่เมฆไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีกทำไม พลอยไม่เข้าใจ” เมื่อสตั้นไปสักสามวินาทีเธอก็เริ่มแผดเสียงถามออกมาในทันที
“ก็เพราะพี่ต้องการแก้แค้นนะสิ พี่ต้องการทำให้ผู้หญิงคนนั้นเจ็บปวดเหมือนพี่บ้างและการที่พี่ลงทุนทำทุกอย่างก็เพื่อทำให้เธอหลงรักพี่จนถอนตัวไม่ขึ้นและเมื่อนั้นพี่จะเป็นฝ่ายทิ้งเธอเอง” เมฆากล่าวด้วยสายตาดุดันว่าแต่พลอยชมพูกลับไม่เห็นด้วย
“แต่พลอยไม่เห็นด้วยเลย แม้พลอยจะอยากเอาคืนผู้หญิงคนนั้นอยู่เหมือนกันแต่พลอยว่ามันเสี่ยงเกินไปอีกอย่างพี่พาแม่นั่นมาคอนโดแบบนี้ เกิดคนของพ่อรู้แล้วเอาไปบอกพ่อ พี่จะแย่เอานะคะ” เอ่ยออกไปด้วยความเป็นห่วงและไม่อยากให้พี่ชายต้องเดือดร้อนเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าเวลาที่ทั้งคู่ทะเลาะกันนั้นยิ่งกว่าพายุทอนาโดอีก
“งั้นพลอยก็ต้องช่วยพี่แล้วล่ะ”
“แต่พลอยพูดจริงๆ นะพี่เมฆอย่าเสี่ยงเลยดีกว่า เกิดผู้หญิงคนนั้นมันคิดจะจับพี่ขึ้นมา พี่จะลำบาก” พลอยชมพูเข้ามาจับต้นแขนพี่ชาย
“อย่าห่วงไปเลยเพราะพี่จะไม่ยอมโง่เป็นครั้งที่สอง สิบล้านที่เธอได้ไปยังไงพี่ก็ต้องไถ่มาให้คุ้ม”
“พูดถึงเงินสิบล้านที่ยัยนั่นได้จากคุณพ่อ มันก็มากเกินไปจริงๆ”
“ก็นั่นไง พี่ถึงต้องเอาคืน”
พลอยชมพูมองหน้าพี่ชายสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งด้วยความรู้ตัวว่าคงว่านล้อมให้หยุดเรื่องราวตั้งแต่เนินๆ ไม่ได้เสียแล้ว เพราะท่าทางของพี่ชายเธอจะจริงจังกับเรื่องแก้แกค้นนี้เสียแล้ว
“ก็ได้ค่ะ เอาเป็นว่าพลอยจะช่วยพี่แก้แค้นแต่พลอยมีข้อแลกเปลี่ยนนะคะ”
“ข้อแลกเปลี่ยน” เมฆาทวนทั้งขมวดคิ้วอย่างอยากรู้ว่าข้อแลกเปลี่ยนที่น้องสาวได้พูดเกริ่นไว้นั้นคืออะไรกันและมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องแก้แค้นนี่ ระหว่างนั้นพลอยชมพูเข้ามาเกาะแขนพี่ชายพร้อมทั้งหยิบมือถือออกมากดปุ่มบางอย่างแล้วจ่อมาที่ปากของเขา
“สัญญากับพลอยก่อนว่าพี่เมฆจะไม่ตกหลุมรักยัยนั่น เพราะทุกอย่างที่พี่ทำก็เพื่อจะแก้แค้น สัญญากับพลอยก่อน”
เมฆาอ้าปากค้างมองน้องสาวนิ่ง สิ่งที่เธอต้องการคือการบันทึกคำพูดของเขาและหากเขาคิดไม่ผิด เธอจะใช้หลักฐานนี้เตือนสติเขาในภายภาคหน้าหากการแก้แค้นยืดเยื้อออกไป
“ถ้าพี่ไม่พูด พลอยก็จะไม่ช่วยพี่ปกปิดเรื่องนี้ ซ้ำพลอยยังจะไปบอกผู้หญิงคนนั้นอีก”
“ก็ได้ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่รักผู้หญิงคนนั้นอีก ทุกอย่างที่ทำก็แค่การแก้แค้นเท่านั้น” เมฆายอมพูดออกไปในที่สุด ความจริงไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เพราะเขามั่นใจว่าการแก้แค้นจะใช่เวลาไม่นาน เมื่อเขาสามารถทำให้สิรินภารักเขาอย่างหัวปักหัวปำจนยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเขา เมื่อนั้นเกมแก้แค้นก็จะจบ
“ดีค่ะ” พลอยชมพูยิ้มพร้อมกับเก็บมือถือใส่กระเป๋าสะพาย
“พลอยไปก่อนนะคะ อ้อ ขอให้สนุกกับการแก้แค้นนะคะ เรื่องนี้พลอยจะไม่ขอไปยุ่งเกี่ยวถ้าพี่เมฆยังทำตามสัญญาที่พูดไว้เมื่อกี้นี้แต่อย่าให้นานนักนะคะเพราะพลอยไม่ยอมแน่” พลอยชมพูมีข่มขู่ในประโยคท้ายๆ ก่อนจะก้าวเท้าเดินจากไปด้วยรอยยิ้มมุมปากทิ้งชายในร่างสูงยืนถอนหายใจเป็นพักๆ
เมฆากลับเข้ามาอีกทีแล้วตรงมายังห้องนอนทันทีแต่ก็สายไปแล้วเมื่อในห้องพบว่าไร้ร่างของสิรินภาแล้ว ใบหน้าคมเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแทนที่เขาจะได้ลิ้มรสเนื้อปลากลับทำปลาหลุดมือไปเพียงเพราะความหวงพี่ของพลอยชมพูแท้ๆ
แท็กซี่สีเขียวลายเหลืองมาจอดหน้ารั้วบ้านสิรินภาจะเปิดประตูลงมา ก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดนิ่งเมื่อสมองนึกคิดถึงคำพูดของเมฆาขึ้นมา
“ใช่ ฉันควรจะเกลียดเธอมันถึงจะถูก ฉันไม่ควรที่จะข้องแวะกับเธอแต่ทำไมหัวใจของฉันกลับทำอะไรที่ตรงกันข้าม ฉันอยากเข้าหาเธอ อยากสัมผัส อยากใกล้ชิดทั้งที่รู้ว่าเธอใจร้ายมากแค่ไหนแต่ก็ยังตัดใจจากเธอไม่ได้”
ใบหน้าหวานอมทุกข์ยิ่งพาให้หัวใจดวงน้อยเจ็บปวดอีกทวีเมื่อรับรู้ว่าเมฆาไม่เคยลืมเธอเลยและเขาเองก็เจ็บปวดที่หัวใจของเขายังรักเธอแทนที่จะเกลียดหญิงสาว
กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ต.ค. 2558, 21:00:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ต.ค. 2558, 21:00:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 1121
<< บทที่ 5 ปากไม่ตรงกับใจ | บทที่ 7 ความสุขที่ไม่พึงปรารถนา >> |
กรงแก้ว 11 ต.ค. 2558, 13:03:44 น.
กลัวจะไม่เป็นอย่างนั้นนะสิคะ
กลัวจะไม่เป็นอย่างนั้นนะสิคะ