พรหมลิขิตกระซิบรัก
นัมแทบง นายแบบหนุ่มผู้ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงเจ้าของฉายารอยยิ้มเทวดาหากแต่เมื่ออยู่หลังกล้องเขาคือผู้ชายหน้าเดียวที่มีแววตาดุจน้ำแข็ง....
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...
... พรหมลิขิตกระซิบรัก...
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...
... พรหมลิขิตกระซิบรัก...
Tags: ดารา นางแบบ ซุปตาร์ โรแมนติก ซึ้้ง
ตอน: ผู้หญิงชัดเจน
พีมะชะงักมือที่กำลังเก็บของกลับที่พักเมื่อผู้ช่วยเขาเดินมาแจ้งว่าท่านประธานขอพบเขาเป็นการส่วนตัวสักครู่เพื่อคุยเรื่องงาน ตากล้องหนุ่มยิ้มเล็กน้อยเมื่อพบเลขายูและเธอบอกให้เขารอสักครู่ก่อนจะหายเข้าไปในห้องพร้อมกับบานประตูที่เปิดออกกว้าง
“เชิญค่ะพีมะชิ”
“ขอบคุณครับเลขายู”
ประธานสาวยิ้มรับเขาเหมือนเคยแต่สิ่งที่ต่างไปจนเขาสังเกตได้คือดูเธอผอมลงจากเดือนก่อนมาก พีมะถอนหายใจทรุดนั่งเก้าอี้ตามที่เธอเชื้อเชิญ
นัมเยรินบอกถึงเหตุผลที่ตามพีมะมาเพื่อให้ช่วยถ่ายโปรเจคพิเศษให้หน่อย ซึ่งเธอคิดไว้แล้วเหมือนกันถึงคำตอบที่จะได้รับแต่เธอก็ยังอยากได้ความช่วยเหลือจากตากล้องจากเมืองไทยคนนี้อยู่ดี
“ผมคิดว่าทีมงานของนัมโมเดลมีความสามารถไม่แพ้ใคร งานถ่ายโปสเตอร์ผมไม่ค่อยถนัดน่าจะใช้ทีมงานที่ทำตรงนี้อยู่แล้วน่าจะดีกว่า” พีมะตอบปฎิเสธ
“พีมะชิ...ถ้าแค่โปสเตอร์คริสต์มาสธรรมดา ฉันคงไม่มานั่งขอร้องคุณอยู่แบบนี้ แต่นี่มันเป็นโปรเจคใหญ่ของสปอนเซอร์เรา ฉันรู้เรื่องอคติที่มันเกิดขึ้นและยังไม่ถูกแก้ไขแต่เราน่าจะแยกแยะมันได้นี่ ฉันอยากให้คุณรับฟังเหตุผลของฉันอย่างปราศจากอคติ ฉันรู้ว่าน้องชายฉันอาจทำให้คุณกับกอนไม่พอใจเรื่องกัมมี่ แต่ฉันจะพยายามและยินดีจะแก้ ไขให้ทุกฝ่ายพอใจ คุณก็น่าจะทราบว่าฉันก็เอ็นดูหลานของกอนมาก”
“มันไม่เกี่ยวกับกัมมี่หรอกครับ อีกอย่างเรื่องนี้ผมคงจะออกความคิดเห็นอะไรไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องของผมโดยตรง ในส่วนความไม่พอใจของผมมันน้อยมากที่จะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนทำให้งานเสียหาย เพราะฉะนั้นผมแยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันเสมอขอให้คุณสบายใจได้”
“ถ้าอย่างงั้นถือว่าฉันขอร้อง ฉันชอบงานถ่ายภาพของคุณมากและก็เห็นว่าการถ่ายรูปครั้งนี้ควรจะได้ช่างภาพมืออาชีพที่มีฝีมือแบบคุณ ภาพที่มีความรู้สึกไม่ใช่ใครถ่ายก็ได้ไม่ใช่เหรอ” ประธานสาวเอ่ยตั้งคำถาม
“ประธานนัมก็ชมผมเกินไป”
“หรือคุณกลัวจะมีปัญหากับบริษัทของคุณ ฉันจะอธิบายให้เจ้านายคุณฟังเองหรือว่า...เขาสั่งไม่ให้ทำงานให้นัมโมเดลอีก” นัมเยรินเอ่ยถามแต่ก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกอะไรออกมาได้
“เปล่าครับ บอสไม่เคยห้ามเรื่องงานนอกแค่ไม่เสียงานหลักเขาอนุญาตเสมอ ผมสามารถตัดสินใจได้เอง ตกลงผมจะรับงานนี้ ถ้างั้นช่วยให้คนส่งรายละเอียดเกี่ยวกับงานให้ผมด้วย ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมคงต้องขอตัวก่อนกัมมี่เหมือนจะไม่สบายอยู่”
“เป็นอะไรมากรึเปล่าถ้าอาการไม่ดีพาเธอไปหาหมอนะ แล้วฉันจะให้เลขายูเอารายละเอียดไปให้อีกที ขอโทษที่รบกวนคุณตอนเลิกงานแล้ว”
พีมะก้มศีรษะเอ่ยลา อย่างน้อยคนพี่ก็ยังนิสัยดีกว่าน้องมากมายนักตากล้องหนุ่มนึกขณะเดินออกจากห้อง ก้มศีรษะตอบเลขายูที่เอ่ยลานี่เขาคงเริ่มชินกับธรรมเนียมของคนที่นี่แล้วมั้งเอ่ยเสียงทุ้มตอบ “อันยองฮาเซโยว”
พีมะกดลิฟท์เข้าไปยืนด้านในสุด ยกนาฬิกาขึ้นดูบอกเวลาว่าเกือบทุ่มแล้วเวลาผ่านไปเร็วจังนึกว่าเข้าไปคุยกับประธานนัมสักครึ่งชั่วโมงที่ไหนได้เกือบสองชั่วโมง กัมมี่จะกินอะไรรึยังนะตากล้องหนุ่มนึกห่วงกดส่งข้อความหากุมาริกาและเงยหน้าขึ้น
เพราะประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้น6 เหล่าพนักงานหนุ่มสาวต่างทยอยกันเข้ามา
พีมะขยับยืนตัวตรงเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้องและพวกเธอก็เอ่ยทักทายเขา เมื่อเขาสวัสดีตอบพวกเธอก็ดูดีใจกันใหญ่ พูดภาษาตัวเองกันโช้งเช้งส่งยิ้มหวานมาให้ทำให้พีมะยิ่งเก้อเขินที่ฟังไม่ออกว่าพวกเธอพูดถึงเขากันว่ายังไง เฮ้อ!!คิดว่าอยู่กับมนุษย์ต่างดาวละกันตากล้องหนุ่มคิดขำๆ
ขณะที่ประตูลิฟท์กำลังจะปิดลงก็มีเสียงตะโกนมาจากด้านนอกพร้อมกับประตูลิฟท์เปิดออกอีกครั้ง ร่างโปร่งคุ้นตายิ้มหวานส่งให้ชายหนุ่มที่กดลิฟท์รอเธอ
“คัมซามิดะ” พัคโบราเอ่ยขอบคุณส่งยิ้มให้คนที่กดลิฟท์รอเธอก่อนชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของตากล้องจอมกวนยืนอยู่ด้านในสุดแต่ก็แสร้งทำเมินเพราะยังนึกเคืองเมื่อตอนกลางวันอยู่
พัคโบราถอยอีกครั้งเมื่อจำนวนคนในลิฟท์เข้ามาเพิ่มขึ้นและเธอรับรู้ได้ว่าเขายืนอยู่ไม่ไกลจากเธอนักในตอนนี้ บ่นกับตัวเองว่าไม่น่ากลับบ้านเวลาเลิกงานของพนักงานเลย กระไอร้อนแผ่ไปทั่วร่างจนต้องยกหลังมือขึ้นมาพัดและโล่งใจเมื่อลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่างสุดในเวลาไม่นาน เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกนางแบบสาวก็ก้าวจ้ำทันที ในเมื่อหมอนี่ไม่อยากคุยกับเธอก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะทักทายอีกนั่นคือสิ่งที่นางแบบสาวคิด
คื้วหนาขมวดเข้าหากันประหลาดใจที่นางแบบสาวนอกจากจะไม่ทักยังรีบเดินอย่างรวดเร็ว ทำให้อดมองตามไปไม่ได้หรือเธอจะเกลียดหน้าเขาไปซะแล้ว ก่อนจะสลัดศีรษะไล่ความคิดของตัวเอง
“อยากจะเกลียดก็ปล่อยให้เกลียดไปสิไม่เห็นต้องสนใจเลย”
พัคโบราก้าวถอยหลังเมื่อจู่ๆชายสองคนที่อ้างว่ามาจากหนังสือพิมพ์ฉบับนึงก็ตรงเข้ามาดักทางด้านหน้าเพื่อขอสัมภาษณ์ แม้ว่าเธอจะกล่าวปฏิเสธอ้างว่าไม่พร้อมแต่ชายทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมเลิกราหลีกทาง ก่อนที่ร่างบางจะเซไปตามแรงดึงจากทาง
ด้านหลัง
“พีมะชิ” นางแบบสาวเรียกชื่อคนที่ดึงแขนเธอไว้อย่างดีใจ
“มีอะไร” พีมะถามเสียงห้วนเข้มก่อนโอบร่างระหงดันไปทางด้านหลัง
“เขาบอกว่าเขาเป็นนักข่าวพยายามจะขอสัมภาษณ์ฉันเรื่องแทบง” น้ำเสียงสั่นๆของพัคโบรา และมือบางจับแขนเขาไว้แน่นอย่างขวัญเสียสร้างความหงุดหงิดให้พีมะไม่น้อย
สำเนียงภาษาอังกฤษแน่นเปรี๊ยะของพีมะระรัวใส่ชายทั้งสองคนที่อ้างตัวเป็นนักข่าว ใบหน้านิ่งแต่ดูเอาเรื่องทำให้ชายสองคนนั้นล่าถอย แต่ตากล้องหนุ่มยังชี้ไปที่กล้องถ่ายรูปที่ถ่ายรูปหญิงสาวกับเขาอยู่เมื่อครู่ เมื่อคนถือกล้องส่ายหน้าปฏิเสธพีมะจึงเอามือถือกดถ่ายรูปนักข่าวสองคนบ้าง
“Where is the police station” ตากล้องหนุ่มหันมาหานางแบบสาวแสร้งถามถึงสถานีตำรวจ
“อันเดร No No Police OK OK” นักข่าวที่ถือกล้องถ่ายรูปโบกมือเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ตากล้องหนุ่มพูดขึ้นมาทันทีก่อนจะส่งเมมโมรี่ในกล้องให้
พีมะรับมามองอย่างคุกคาม หันไปทางนางแบบสาวให้บอกนักข่าวนั่นกลับมาเอาเมมโมรี่กล้องวันหลังเขาจะฝากไว้ที่ประชาสัมพันธ์ เมื่อเห็นว่าชายสองคนนั่นพยักหน้าและเดินถอยไปจึงหันไปโวยใส่
“ทำไมถึงออกมาคนเดียวผู้จัดการของคุณไปไหน แล้วทำไมถึงปล่อยให้ไอ้พวกนั้นทำท่าคุกคามคุณได้ ห๊ะ”
“ผู้จัดการอีติดธุระ ฉันเห็นว่ามันไม่ได้ลำบากอะไรกลับเองได้แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วฉันก็ตกใจที่พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะหลีกทางให้ถึงฉันจะปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์”
“บ้ารึไง..ถ้าคุณไม่พอใจก็โวยวายสิไม่ใช่ยืนให้พวกนั้นประชิดตัวแบบนี้จริงๆเล้ย”
พีมะระเบิดอารมณ์ก่อนจะยิ่งหงุดหงิดไปใหญ่เมื่อนางแบบสาวเดินหนีไปดื้อๆ ทำให้ยิ่งเพิ่มความโมโหว่าทำคุณบูชาโทษแท้ๆไม่มีมารยาทเอาซะเลยจะขอบคุณสักนิดยังไม่มี ขณะที่เขากำลังจะเดินไปอีกทางแต่ก็เหลือบเห็นไอ้นักข่าวเมื่อครู่ยังไม่ไปไหน ทำให้ต้องก้าวขายาวๆเดินตามหล่อนไปจนทันก่อนคว้าข้อมือให้เดินไปด้วยกันแต่ก็ถูกสะบัดจนพีมะต้องออกแรงกระชากให้เธอเดินตามมา
“คุณไม่เห็นรึไงว่าไอ้พวกนั้นมันยังยืนอยู่ ยังจะมาอวดดีอีก ดูเสื้อผ้าเข้าสิไม่กลัวจะถูกลากรึไง”
“ทะลึ่ง บ้าเหรอ ไม่มีใครคิดบ้าๆเหมือนนายหรอกใครๆเขาก็ใส่กันทั้งนั้นแล้วฉันก็ไม่ได้เดินในที่เปลี่ยวด้วย ขอบคุณที่เข้ามา
ช่วยแต่ถ้ามันลำบากใจมากนักทีหลังนายก็เดินผ่านไปเลยไม่ต้องมาสนใจฉันก็ได้ ในเมื่อนายก็ไม่ชอบหน้าฉันอยู่แล้วนี่”
น้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มโดยไม่ได้ตั้งใจ อารมณ์น้อยใจที่ตากล้องหนุ่มตั้งท่ารังเกียจอย่างไม่มีเหตุผลทำให้พัคโบราแสดงความอ่อนไหวแต่เมื่อเห็นว่าตาของตากล้องหนุ่มเบิกกว้างก็ตกใจที่ตัวเองร้องไห้จึงยกมือปาด วิ่งหนีอย่างอับอาย
“ยัยนั่นร้องไห้” พีมะทวนคำครุ่นคิดถึงประโยคที่พูดไปว่ามันรุนแรงขนาดที่ทำให้เธอเสียใจได้เลยเหรอ ก่อนจะออกตัววิ่งตามร่างระหงไปและคว้าไว้ได้ทันตรงสวนสาธารณะใกล้ป้ายรถเมล์แต่ร่างบางขัดขืนเขาจึงออกแรงดึงให้เดินตามไปทางสวนสาธารณะ
“ปล่อยฉันน่ะ ไอ้ตากล้องบ้า เกลียดนักก็อย่ามาอยู่ใกล้ฉันสิ ปล่อย”
“ใครบอกว่าผมเกลียดคุณ”พีมะหันมาหาหญิงสาวยืนมองเอาเรื่อง จับไหล่บอบบางยึดไว้ทั้งสองข้าง
“ไม่ต้องมีคนบอกแค่การกระทำของนายมันก็บอกหมดแล้ว ฉันไปทำอะไรให้นายถึงได้ทำแต่กิริยาแย่ๆกับฉัน ฉันคิดว่าเราเข้าใจกันดีหลังจากถ่ายรูปวันนั้น แต่ฉันก็เข้าใจผิดไปเองคนกวนประสาทแบบนายไม่สนใจคนอื่นนอกจากแฟนของตัวเองหรอก”
“พูดบ้าอะไรของคุณแล้วใครกันแฟนผม”
“ก็คุณล่ามคนนั้นไงที่อยู่กับนายแทบจะตลอดเวลา” พัคโบราระเบิดความในใจออกมาเมื่อรู้ตัวก็กัดปากตนเองอับอายอีกครั้ง
“จะบ้ารึไงกัมมี่เป็นเพื่อนสนิทผมใช่แฟนที่ไหน แล้วผมไปทำอะไรที่คุณเรียกว่าการกระทำแย่ๆห๊ะ ไหนบอกมาสิ เมื่อกี๊ผมก็ช่วยคุณไว้แท้ๆ จะขอบใจสักนิดยังไม่มีแถมวิ่งหนีมาเฉยๆอีก อันไหนมันแย่กว่ากันคุณนางแบบ แถมมาพูดยังกับว่าคุณหึงผมงั้นแหละ” พีมะกระพริบตาคิดในสิ่งที่ตนเองพูดก่อนหันมามองร่างระหงตรงหน้าที่ยืนหน้าเปลี่ยนสีไปแล้วคล้ายจะออกตัวเดินหนีจนเขาต้องจับแขนเธอไว้แม้นางแบบสาวจะสะบัดหนี
“ปล่อยซิ..อย่างนายจะไปเข้าใจอะไร ทั้งที่ฉันพยายามจะเป็นมิตรกับนาย นายกลับเย็นชาไม่สนใจ วันที่ฉันรู้ว่าได้เข้ารอบนายคือคนแรกที่ฉันอยากขอบคุณ แต่นายกลับทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน”
พีมะนึกถึงวันที่เธอซ้อมเดินบนเวทีครั้งแรกหลังจากที่รู้ว่าเข้ารอบแต่เขากลับประชดประชันเธอเพราะโมโหนัมแทบง
“ก็แล้วเธอจะมาร้องไห้เพราะฉันทำไมเล่าหรือว่าเกิดสนใจผู้ชายอย่างฉันขึ้นมา”
“ใช่แล้วไง ไอ้ผู้ชายขี้เก๊ก สกมก ไอ้หนวด จากนี้ฉันจะไม่สนใจนายอีกต่อไปแล้ว”น้ำตาหยดลงผิวแก้ม ดวงตากลมที่มองจิกเขาอยู่เสมอเต็มไปหยดน้ำตา พัคโบราหันหน้าหนีหมุนตัวเตรียมเดินหนีอีกครั้งแต่ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกรั้งเข้ามาจนชิดคนที่ออกแรงดึง
พีมะก้มลงมองวงหน้ารูปหัวใจที่บัดนี้ห่างแค่ฝ่ามือกั้น มองดวงตากลมที่มองเขาอย่างตื่นตระหนก รอยยิ้มปรากฏอยู่ใต้ไรหนวด ตากล้องหนุ่มมองนิ้วของตนเองที่กำลังทำหน้าที่แทนผ้าเช็ดหน้าด้วยความอ่อนโยน
“คุณร้องไห้เพราะผมใช่ไหม”
เสียงทุ้มดังอยู่เหนือหน้าผากหอมกรุ่นที่คนแอบสูดกลิ่นไกลๆพอใจไม่น้อย ลอบมองใบหน้าของนางแบบสาวที่เอาแต่ก้มหน้าต่ำผิดวิสัยเดิม
“คะใครบอก..หลงตัวเองชะมัด ปล่อยฉันนะจะฉวยโอกาสกับฉันรึไง”
“งั้นก็เงยหน้าคุยกับผมก่อน”
“ก็พูดไปสิทำไมต้องให้ฉันมองนายด้วย” พัคโบราตอบแถมยังก้มหน้างุดซ่อนความเขินอาย
พีมะอมยิ้มตะแคงมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าไว้ ทำไมตอนนี้เขาถึงเห็นว่าพัคโบราดูน่ารักขึ้นมา หัวใจพองโตเหมือนได้รับการเติมเต็มก้มลงพูดข้างหูคนก้มหน้าเพื่อเช็คอะไรบางอย่างให้แน่ใจ
“คุณ..น้อยใจเพราะผมทำไม่สนใจคุณใช่ไหม”
“ไม่ใช่ซะหน่อย ปล่อยนะนายนี่หลงตัวเองชะมัด ปล่อยสิฉันจะกลับบ้าน”ใบหน้าหวานส่ายศีรษะปฏิเสธเสียงสูง
“อีกคำถามเดียวแล้วจะปล่อย” ตากล้องหนุ่มยิ้ม
พัคโบราเงยหน้ามองอย่างสงสัยแต่กลับพบแววหวานที่มองตอบกลับมา มันไม่มีความรำคาญ ความไม่พอใจต่างๆ ที่เธอมักเห็นมันอยู่เสมอในดวงตาคู่นี้
“คุณ...ชอบผมใช่ไหมที่คุณโกรธเพราะคุณชอบผมหรือแค่ผมหลงตัวเองอย่างที่คุณพูดจริงๆให้ตอบอีกที”
“นายจะบ้าเหรอ จู่ๆก็ถามจะให้ตอบยังไงเล่า”นางแบบสาวขัดเขินกัดริมฝีปากอิ่มอย่างตัดสินใจก่อนพยักหน้าช้าๆ เรียกรอยยิ้มกว้างจากคนถาม
“เธอไม่ได้ชอบไอ้ดารานั่นเหรอ” เสียงห้วนหงุดหงิดกลับมาอีกครั้ง
“หมายถึงแทบงโอป้าเหรอ”
“ชิ...โอป้า”
“นายอิจฉาแทบงโอป้าเหรอที่ฉันเรียกเขาโอป้า” พัคโบรายิ้ม
“ทำไมผมต้องสนใจด้วยว่าคุณจะเรียกเขาว่าอะไร ในเมื่อตอนนี้คนที่คุณชอบ...คือผม” พีมะก้มจนชิดจับจ้องดวงตากลมโตสี
น้ำตาลใกล้ๆจนหญิงสาวประหม่า
“แต่เราไม่ได้เดทกันอย่างที่เป็นข่าวจริงๆนะ รูปที่ถูกถ่ายเขาจงใจแคปรูปเฉพาะฉันกับโอป้าทั้งที่วันนั้นทั้งผู้จัดการคิมกับผู้จัดการฉันก็อยู่ด้วย ส่วนที่เขาเอาดอกไม้มาแสดงความยินดีเพราะเราสนิทกันมากแบบพี่ชายน้องสาวต่างหากและท่านประธานก็มาด้วยแต่กลับไม่มีรูป” พัคโบราอธิบายทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่สนใจในเมื่อผมเชื่อความรู้สึกตัวเองมากกว่าการอ่านข้อความประกอบภาพ”
“แต่ฉันหึงคุณล่ามนี่”
พีมะมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างประหลาดใจ เธอไปเอาความมั่นใจพวกนี้มาจากไหนกันนะ หลังจากยอมรับว่าชอบเขาเธอก็แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาเต็มที่ ไม่ว่าโกรธ โมโห รู้สึกผิด เสียใจ ทุกความรู้สึกเธอกล้าที่จะแสดงมันออกมาจนเขาแปลกใจที่ไม่ต้องคาดเดากับความรู้สึกของผู้หญิงเป็นครั้งแรก
“หึงผม...กับกัมมี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” ตากล้องหนุ่มยิ้มชี้ที่ตนเองทวนคำถามยิ้มอย่างพอใจ
“ก็นายมองเธอเหมือนคนพิเศษ โดยเฉพาะนายเรียกเธอว่าเบบี๋ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่กับฉันนายไม่เคยพูดดีๆเลย” พัคโบราบอกความรู้สึกทั้งหมด
“คุณนี่พูดตรงชะมัด..ก็ผมนึกว่าคุณชอบไอ้หมอนั่นอีกคนนี่ ก็เลยหงุดหงิด”
“ชอบหมอนั่นอีกคน หมอนั่นนี่คือแทบงโอป้าเหรอแล้วอีกคนที่นายหมายถึง..ใคร..” พัคโบราครุ่นคิดก่อนจะเบิกตากว้าง
“คุณล่ามเหรอ..คุณล่ามชอบแทงบงโอป้าใช่ไหม เดบัก โอโม่...ฉันว่าแล้ว”
“ทำไม..”
“ก็โอป้ามักโกรธเวลาที่นายอยู่ใกล้คุณล่าม แถมยังแทบจะขย้ำฉันตอนฉันถามครั้งแรกว่านายเป็นแฟนคุณล่ามรึเปล่า แต่โอป้ากลับบอกว่านายต่างหากที่มาชอบคุณล่ามเอง”นางแบบสาวส่งค้อนให้
“ผมไม่ปฏิเสธว่าผมเคยชอบเขา แต่ในเมื่อเขาปฏิเสธผมเราเลยเป็นแค่เพื่อนกัน ชื่อเรียกนั่นก็เหมือนกันผมเรียกเขาจนติดปากมาตั้งแต่รู้จักกัน เพราะกัมมี่น่ารักแบบเด็กๆก็เท่านั้น” พีมะอธิบายบ้าง
“ต่อไปนี้ห้ามเรียกแบบพิเศษ”
“ถ้าเผลอล่ะ..” ตากล้องหนุ่มแกล้งถาม
วงหน้าเฉี่ยวตูมขึ้นเมื่อฟังคำตอบ แต่ก็เปลี่ยนเป็นท้าทายแทนด้วยการยกชื่อคู่ปรับที่พีมะรู้สึกแพ้ทางทันทีที่ได้ยินขึ้นมาบ้าง
“งั้นฉันก็จะเรียกแทบงโอป้าว่าดาร์ลิ้งบ้างถ้าจะดี”
“ก็ตามใจคุณสิแต่ผมจะไปชกหมอนั่นให้คว่ำเลย”
พัคโบราทำจมูกย่นเดินตามร่างสูงที่จูงเธอไปนั่งที่ม้านั่งยาวในสวนสาธารณะ มองตากล้องหนุ่มล้วงมือเข้าไปหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าตนเอง ก่อนหันมาส่งยิ้มให้เธอพร้อมยื่นถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มให้
“กำไลอันนั้นนี่..นายซื้อมันมาจริงๆเหรอเนี่ย”นางแบบสาวอุทานสิ่งที่หยิบออกมาจากถุงกำมะหยี่ในมือส่งค้อนให้พีมะ
วันนั้นเขาทำให้เธอน้อยใจที่ดูไม่สนใจเธอสักนิด จึงแกล้งถือกำไลไว้ในมือแต่ไม่ใส่จนตากล้องหนุ่มขัดใจดึงมือเรียวมาสวมกำไลให้เองก่อนจับค้างไว้อย่างนั้น พอนางแบบสาวมองก็ทำหมุนกำไลที่เพิ่งใส่ให้แก้เขินลูบตรงพลอยรูปหัวใจสีขาวที่ฝังอยู่บนเครื่องหมายอินฟินิตี้ไปมา
“ที่คุณถามผมคราวก่อนเรื่องเครื่องหมายอินฟินิตี้น่ะ ผมไม่รู้ในความหมายของคนอื่นหรอกนะแล้วก็ไม่ได้โรแมนติกอะไรด้วย แค่เลือกจากความรู้สึก...ชอบ อีกอย่างผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ซื้อมันมาเพราะคนขายบอกว่ามันเหมาะกับแฟนผมมาก”
พีมะโน้มกระซิบเบาๆในประโยคสุดท้าย ก่อนสบตากลมที่เขารู้สึกว่ามันยิ้มได้จนทำให้เขาต้องหันหนีมองบรรยากาศรอบสวนสาธารณะเพื่อดับความเขินเช่นกัน
“ชิ...ตอนนั้นทำเป็นวางท่าเก๊กอยู่ได้” พัคโบราบ่นเบาๆ
“ผมกะว่าจะให้คุณแต่ไม่มีโอกาสเลยใส่ไว้ในกระเป๋าตลอด”
“เห็นมัวแต่ตีหน้าบึ้งตลอดไม่เห็นจะหาโอกาสสักนิด”
พีมะยิ้มกว้างกับข้อความตัดพ้อ อดเขินไม่ได้กับสายตาของนางแบบสาวที่เปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจจนหมดสิ้น
“ทำไมผมถึงไม่ได้สังเกตมันมาก่อนนะ”
“ก็นายมันซื่อบื้อนี่นา”
“นี่คุณว่าใครซื่อบื้อ คุณน่ะอายุอ่อนกว่าผมตั้งหลายปีอย่ามาก้าวร้าวนะ ไหนกัมมี่บอกว่าคนเกาหลีถือเรื่องซีเนียร์มากไง เอามาใช้กับผมเลยนะ” พีมะทำเสียงเข้ม
“ก็ใครใช้ให้นายพูดภาษาอังกฤษล่ะ ภาษาอังกฤษเขาไม่ถือนี่นา” พัคโบราเอ่ยเถียง
“ภาษาไทยเขาเรียกคนที่มีอายุมากกว่าทั้งผู้ชายและผู้หญิงว่าพี่ ไม่ซับซ้อนเหมือนภาษาเกาหลีหรอก เพราะฉะนั้นเธอต้องเรียกฉันว่าพี่พี ไหนลองเรียกสิ”
“ผีพี”
“บ้านะสิผีพีนะ ผีนะใช้เรียกคนที่ตายไปแล้ว GhostนะGhost”ตากล้องหนุ่มทั้งขำทั้งโมโหแต่ก็นึกอยากแกล้งเมื่อเธอทำหน้าตกใจเมื่อเขาบอกความหมาย
“ผีพี ผิพี พีพี” พัคโบรายังคงออกเสียงอย่างระมัดระวังและก็ยิ้มหวานชอบใจที่ชายหนุ่มให้เธอเรียกเขาว่าพีพี เพราะเป็นคำที่ออกเสียงชัดที่สุดแล้ว
“พีพี”
พีมะยิ้มกว้างพอใจกับคำเรียกชื่อตนเอง แม้มันจะเพี้ยนจากการออกเสียงแปลกๆในตอนแรกแต่เขากลับรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ยิน แอบมองดวงหน้ารูปหัวใจที่อยู่ไม่ไกล ยิ่งมองใกล้ๆเธอยิ่งดูสวยมากจริงๆ ตากล้องหนุ่มโน้มตัวเข้าไปใกล้ดั่งต้องมนต์ก่อนจะเป็นฝ่ายหยุดนิ่งไว้แค่นั้นหันหนีวงหน้าสวยอย่างข่มใจลุกขึ้นยืน
“กลับกันเถอะเดี๋ยวผมเดินไปส่ง”
พัคโบราเองก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลอบกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆเธอไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกอายเพราะเขินหรือเสียดายสัมผัสที่คาดว่าจะได้รับแต่ตากล้องหนุ่มกลับหยุดมัน พยักหน้าตอบรับลุกขึ้นยืนข้างๆก่อนจะใจเต้นอีกครั้งเมื่อมือที่หนาวเย็นข้างนึงของตัวเองถูกดึงไปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของคนเดินนำ..พร้อมๆกับรอยยิ้มกว้างของหนุ่มสาวที่ต่างคนต่างยิ้มกับตนเอง
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
“เชิญค่ะพีมะชิ”
“ขอบคุณครับเลขายู”
ประธานสาวยิ้มรับเขาเหมือนเคยแต่สิ่งที่ต่างไปจนเขาสังเกตได้คือดูเธอผอมลงจากเดือนก่อนมาก พีมะถอนหายใจทรุดนั่งเก้าอี้ตามที่เธอเชื้อเชิญ
นัมเยรินบอกถึงเหตุผลที่ตามพีมะมาเพื่อให้ช่วยถ่ายโปรเจคพิเศษให้หน่อย ซึ่งเธอคิดไว้แล้วเหมือนกันถึงคำตอบที่จะได้รับแต่เธอก็ยังอยากได้ความช่วยเหลือจากตากล้องจากเมืองไทยคนนี้อยู่ดี
“ผมคิดว่าทีมงานของนัมโมเดลมีความสามารถไม่แพ้ใคร งานถ่ายโปสเตอร์ผมไม่ค่อยถนัดน่าจะใช้ทีมงานที่ทำตรงนี้อยู่แล้วน่าจะดีกว่า” พีมะตอบปฎิเสธ
“พีมะชิ...ถ้าแค่โปสเตอร์คริสต์มาสธรรมดา ฉันคงไม่มานั่งขอร้องคุณอยู่แบบนี้ แต่นี่มันเป็นโปรเจคใหญ่ของสปอนเซอร์เรา ฉันรู้เรื่องอคติที่มันเกิดขึ้นและยังไม่ถูกแก้ไขแต่เราน่าจะแยกแยะมันได้นี่ ฉันอยากให้คุณรับฟังเหตุผลของฉันอย่างปราศจากอคติ ฉันรู้ว่าน้องชายฉันอาจทำให้คุณกับกอนไม่พอใจเรื่องกัมมี่ แต่ฉันจะพยายามและยินดีจะแก้ ไขให้ทุกฝ่ายพอใจ คุณก็น่าจะทราบว่าฉันก็เอ็นดูหลานของกอนมาก”
“มันไม่เกี่ยวกับกัมมี่หรอกครับ อีกอย่างเรื่องนี้ผมคงจะออกความคิดเห็นอะไรไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องของผมโดยตรง ในส่วนความไม่พอใจของผมมันน้อยมากที่จะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนทำให้งานเสียหาย เพราะฉะนั้นผมแยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันเสมอขอให้คุณสบายใจได้”
“ถ้าอย่างงั้นถือว่าฉันขอร้อง ฉันชอบงานถ่ายภาพของคุณมากและก็เห็นว่าการถ่ายรูปครั้งนี้ควรจะได้ช่างภาพมืออาชีพที่มีฝีมือแบบคุณ ภาพที่มีความรู้สึกไม่ใช่ใครถ่ายก็ได้ไม่ใช่เหรอ” ประธานสาวเอ่ยตั้งคำถาม
“ประธานนัมก็ชมผมเกินไป”
“หรือคุณกลัวจะมีปัญหากับบริษัทของคุณ ฉันจะอธิบายให้เจ้านายคุณฟังเองหรือว่า...เขาสั่งไม่ให้ทำงานให้นัมโมเดลอีก” นัมเยรินเอ่ยถามแต่ก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกอะไรออกมาได้
“เปล่าครับ บอสไม่เคยห้ามเรื่องงานนอกแค่ไม่เสียงานหลักเขาอนุญาตเสมอ ผมสามารถตัดสินใจได้เอง ตกลงผมจะรับงานนี้ ถ้างั้นช่วยให้คนส่งรายละเอียดเกี่ยวกับงานให้ผมด้วย ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมคงต้องขอตัวก่อนกัมมี่เหมือนจะไม่สบายอยู่”
“เป็นอะไรมากรึเปล่าถ้าอาการไม่ดีพาเธอไปหาหมอนะ แล้วฉันจะให้เลขายูเอารายละเอียดไปให้อีกที ขอโทษที่รบกวนคุณตอนเลิกงานแล้ว”
พีมะก้มศีรษะเอ่ยลา อย่างน้อยคนพี่ก็ยังนิสัยดีกว่าน้องมากมายนักตากล้องหนุ่มนึกขณะเดินออกจากห้อง ก้มศีรษะตอบเลขายูที่เอ่ยลานี่เขาคงเริ่มชินกับธรรมเนียมของคนที่นี่แล้วมั้งเอ่ยเสียงทุ้มตอบ “อันยองฮาเซโยว”
พีมะกดลิฟท์เข้าไปยืนด้านในสุด ยกนาฬิกาขึ้นดูบอกเวลาว่าเกือบทุ่มแล้วเวลาผ่านไปเร็วจังนึกว่าเข้าไปคุยกับประธานนัมสักครึ่งชั่วโมงที่ไหนได้เกือบสองชั่วโมง กัมมี่จะกินอะไรรึยังนะตากล้องหนุ่มนึกห่วงกดส่งข้อความหากุมาริกาและเงยหน้าขึ้น
เพราะประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้น6 เหล่าพนักงานหนุ่มสาวต่างทยอยกันเข้ามา
พีมะขยับยืนตัวตรงเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้องและพวกเธอก็เอ่ยทักทายเขา เมื่อเขาสวัสดีตอบพวกเธอก็ดูดีใจกันใหญ่ พูดภาษาตัวเองกันโช้งเช้งส่งยิ้มหวานมาให้ทำให้พีมะยิ่งเก้อเขินที่ฟังไม่ออกว่าพวกเธอพูดถึงเขากันว่ายังไง เฮ้อ!!คิดว่าอยู่กับมนุษย์ต่างดาวละกันตากล้องหนุ่มคิดขำๆ
ขณะที่ประตูลิฟท์กำลังจะปิดลงก็มีเสียงตะโกนมาจากด้านนอกพร้อมกับประตูลิฟท์เปิดออกอีกครั้ง ร่างโปร่งคุ้นตายิ้มหวานส่งให้ชายหนุ่มที่กดลิฟท์รอเธอ
“คัมซามิดะ” พัคโบราเอ่ยขอบคุณส่งยิ้มให้คนที่กดลิฟท์รอเธอก่อนชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของตากล้องจอมกวนยืนอยู่ด้านในสุดแต่ก็แสร้งทำเมินเพราะยังนึกเคืองเมื่อตอนกลางวันอยู่
พัคโบราถอยอีกครั้งเมื่อจำนวนคนในลิฟท์เข้ามาเพิ่มขึ้นและเธอรับรู้ได้ว่าเขายืนอยู่ไม่ไกลจากเธอนักในตอนนี้ บ่นกับตัวเองว่าไม่น่ากลับบ้านเวลาเลิกงานของพนักงานเลย กระไอร้อนแผ่ไปทั่วร่างจนต้องยกหลังมือขึ้นมาพัดและโล่งใจเมื่อลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่างสุดในเวลาไม่นาน เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกนางแบบสาวก็ก้าวจ้ำทันที ในเมื่อหมอนี่ไม่อยากคุยกับเธอก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะทักทายอีกนั่นคือสิ่งที่นางแบบสาวคิด
คื้วหนาขมวดเข้าหากันประหลาดใจที่นางแบบสาวนอกจากจะไม่ทักยังรีบเดินอย่างรวดเร็ว ทำให้อดมองตามไปไม่ได้หรือเธอจะเกลียดหน้าเขาไปซะแล้ว ก่อนจะสลัดศีรษะไล่ความคิดของตัวเอง
“อยากจะเกลียดก็ปล่อยให้เกลียดไปสิไม่เห็นต้องสนใจเลย”
พัคโบราก้าวถอยหลังเมื่อจู่ๆชายสองคนที่อ้างว่ามาจากหนังสือพิมพ์ฉบับนึงก็ตรงเข้ามาดักทางด้านหน้าเพื่อขอสัมภาษณ์ แม้ว่าเธอจะกล่าวปฏิเสธอ้างว่าไม่พร้อมแต่ชายทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมเลิกราหลีกทาง ก่อนที่ร่างบางจะเซไปตามแรงดึงจากทาง
ด้านหลัง
“พีมะชิ” นางแบบสาวเรียกชื่อคนที่ดึงแขนเธอไว้อย่างดีใจ
“มีอะไร” พีมะถามเสียงห้วนเข้มก่อนโอบร่างระหงดันไปทางด้านหลัง
“เขาบอกว่าเขาเป็นนักข่าวพยายามจะขอสัมภาษณ์ฉันเรื่องแทบง” น้ำเสียงสั่นๆของพัคโบรา และมือบางจับแขนเขาไว้แน่นอย่างขวัญเสียสร้างความหงุดหงิดให้พีมะไม่น้อย
สำเนียงภาษาอังกฤษแน่นเปรี๊ยะของพีมะระรัวใส่ชายทั้งสองคนที่อ้างตัวเป็นนักข่าว ใบหน้านิ่งแต่ดูเอาเรื่องทำให้ชายสองคนนั้นล่าถอย แต่ตากล้องหนุ่มยังชี้ไปที่กล้องถ่ายรูปที่ถ่ายรูปหญิงสาวกับเขาอยู่เมื่อครู่ เมื่อคนถือกล้องส่ายหน้าปฏิเสธพีมะจึงเอามือถือกดถ่ายรูปนักข่าวสองคนบ้าง
“Where is the police station” ตากล้องหนุ่มหันมาหานางแบบสาวแสร้งถามถึงสถานีตำรวจ
“อันเดร No No Police OK OK” นักข่าวที่ถือกล้องถ่ายรูปโบกมือเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ตากล้องหนุ่มพูดขึ้นมาทันทีก่อนจะส่งเมมโมรี่ในกล้องให้
พีมะรับมามองอย่างคุกคาม หันไปทางนางแบบสาวให้บอกนักข่าวนั่นกลับมาเอาเมมโมรี่กล้องวันหลังเขาจะฝากไว้ที่ประชาสัมพันธ์ เมื่อเห็นว่าชายสองคนนั่นพยักหน้าและเดินถอยไปจึงหันไปโวยใส่
“ทำไมถึงออกมาคนเดียวผู้จัดการของคุณไปไหน แล้วทำไมถึงปล่อยให้ไอ้พวกนั้นทำท่าคุกคามคุณได้ ห๊ะ”
“ผู้จัดการอีติดธุระ ฉันเห็นว่ามันไม่ได้ลำบากอะไรกลับเองได้แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วฉันก็ตกใจที่พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะหลีกทางให้ถึงฉันจะปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์”
“บ้ารึไง..ถ้าคุณไม่พอใจก็โวยวายสิไม่ใช่ยืนให้พวกนั้นประชิดตัวแบบนี้จริงๆเล้ย”
พีมะระเบิดอารมณ์ก่อนจะยิ่งหงุดหงิดไปใหญ่เมื่อนางแบบสาวเดินหนีไปดื้อๆ ทำให้ยิ่งเพิ่มความโมโหว่าทำคุณบูชาโทษแท้ๆไม่มีมารยาทเอาซะเลยจะขอบคุณสักนิดยังไม่มี ขณะที่เขากำลังจะเดินไปอีกทางแต่ก็เหลือบเห็นไอ้นักข่าวเมื่อครู่ยังไม่ไปไหน ทำให้ต้องก้าวขายาวๆเดินตามหล่อนไปจนทันก่อนคว้าข้อมือให้เดินไปด้วยกันแต่ก็ถูกสะบัดจนพีมะต้องออกแรงกระชากให้เธอเดินตามมา
“คุณไม่เห็นรึไงว่าไอ้พวกนั้นมันยังยืนอยู่ ยังจะมาอวดดีอีก ดูเสื้อผ้าเข้าสิไม่กลัวจะถูกลากรึไง”
“ทะลึ่ง บ้าเหรอ ไม่มีใครคิดบ้าๆเหมือนนายหรอกใครๆเขาก็ใส่กันทั้งนั้นแล้วฉันก็ไม่ได้เดินในที่เปลี่ยวด้วย ขอบคุณที่เข้ามา
ช่วยแต่ถ้ามันลำบากใจมากนักทีหลังนายก็เดินผ่านไปเลยไม่ต้องมาสนใจฉันก็ได้ ในเมื่อนายก็ไม่ชอบหน้าฉันอยู่แล้วนี่”
น้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มโดยไม่ได้ตั้งใจ อารมณ์น้อยใจที่ตากล้องหนุ่มตั้งท่ารังเกียจอย่างไม่มีเหตุผลทำให้พัคโบราแสดงความอ่อนไหวแต่เมื่อเห็นว่าตาของตากล้องหนุ่มเบิกกว้างก็ตกใจที่ตัวเองร้องไห้จึงยกมือปาด วิ่งหนีอย่างอับอาย
“ยัยนั่นร้องไห้” พีมะทวนคำครุ่นคิดถึงประโยคที่พูดไปว่ามันรุนแรงขนาดที่ทำให้เธอเสียใจได้เลยเหรอ ก่อนจะออกตัววิ่งตามร่างระหงไปและคว้าไว้ได้ทันตรงสวนสาธารณะใกล้ป้ายรถเมล์แต่ร่างบางขัดขืนเขาจึงออกแรงดึงให้เดินตามไปทางสวนสาธารณะ
“ปล่อยฉันน่ะ ไอ้ตากล้องบ้า เกลียดนักก็อย่ามาอยู่ใกล้ฉันสิ ปล่อย”
“ใครบอกว่าผมเกลียดคุณ”พีมะหันมาหาหญิงสาวยืนมองเอาเรื่อง จับไหล่บอบบางยึดไว้ทั้งสองข้าง
“ไม่ต้องมีคนบอกแค่การกระทำของนายมันก็บอกหมดแล้ว ฉันไปทำอะไรให้นายถึงได้ทำแต่กิริยาแย่ๆกับฉัน ฉันคิดว่าเราเข้าใจกันดีหลังจากถ่ายรูปวันนั้น แต่ฉันก็เข้าใจผิดไปเองคนกวนประสาทแบบนายไม่สนใจคนอื่นนอกจากแฟนของตัวเองหรอก”
“พูดบ้าอะไรของคุณแล้วใครกันแฟนผม”
“ก็คุณล่ามคนนั้นไงที่อยู่กับนายแทบจะตลอดเวลา” พัคโบราระเบิดความในใจออกมาเมื่อรู้ตัวก็กัดปากตนเองอับอายอีกครั้ง
“จะบ้ารึไงกัมมี่เป็นเพื่อนสนิทผมใช่แฟนที่ไหน แล้วผมไปทำอะไรที่คุณเรียกว่าการกระทำแย่ๆห๊ะ ไหนบอกมาสิ เมื่อกี๊ผมก็ช่วยคุณไว้แท้ๆ จะขอบใจสักนิดยังไม่มีแถมวิ่งหนีมาเฉยๆอีก อันไหนมันแย่กว่ากันคุณนางแบบ แถมมาพูดยังกับว่าคุณหึงผมงั้นแหละ” พีมะกระพริบตาคิดในสิ่งที่ตนเองพูดก่อนหันมามองร่างระหงตรงหน้าที่ยืนหน้าเปลี่ยนสีไปแล้วคล้ายจะออกตัวเดินหนีจนเขาต้องจับแขนเธอไว้แม้นางแบบสาวจะสะบัดหนี
“ปล่อยซิ..อย่างนายจะไปเข้าใจอะไร ทั้งที่ฉันพยายามจะเป็นมิตรกับนาย นายกลับเย็นชาไม่สนใจ วันที่ฉันรู้ว่าได้เข้ารอบนายคือคนแรกที่ฉันอยากขอบคุณ แต่นายกลับทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน”
พีมะนึกถึงวันที่เธอซ้อมเดินบนเวทีครั้งแรกหลังจากที่รู้ว่าเข้ารอบแต่เขากลับประชดประชันเธอเพราะโมโหนัมแทบง
“ก็แล้วเธอจะมาร้องไห้เพราะฉันทำไมเล่าหรือว่าเกิดสนใจผู้ชายอย่างฉันขึ้นมา”
“ใช่แล้วไง ไอ้ผู้ชายขี้เก๊ก สกมก ไอ้หนวด จากนี้ฉันจะไม่สนใจนายอีกต่อไปแล้ว”น้ำตาหยดลงผิวแก้ม ดวงตากลมที่มองจิกเขาอยู่เสมอเต็มไปหยดน้ำตา พัคโบราหันหน้าหนีหมุนตัวเตรียมเดินหนีอีกครั้งแต่ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกรั้งเข้ามาจนชิดคนที่ออกแรงดึง
พีมะก้มลงมองวงหน้ารูปหัวใจที่บัดนี้ห่างแค่ฝ่ามือกั้น มองดวงตากลมที่มองเขาอย่างตื่นตระหนก รอยยิ้มปรากฏอยู่ใต้ไรหนวด ตากล้องหนุ่มมองนิ้วของตนเองที่กำลังทำหน้าที่แทนผ้าเช็ดหน้าด้วยความอ่อนโยน
“คุณร้องไห้เพราะผมใช่ไหม”
เสียงทุ้มดังอยู่เหนือหน้าผากหอมกรุ่นที่คนแอบสูดกลิ่นไกลๆพอใจไม่น้อย ลอบมองใบหน้าของนางแบบสาวที่เอาแต่ก้มหน้าต่ำผิดวิสัยเดิม
“คะใครบอก..หลงตัวเองชะมัด ปล่อยฉันนะจะฉวยโอกาสกับฉันรึไง”
“งั้นก็เงยหน้าคุยกับผมก่อน”
“ก็พูดไปสิทำไมต้องให้ฉันมองนายด้วย” พัคโบราตอบแถมยังก้มหน้างุดซ่อนความเขินอาย
พีมะอมยิ้มตะแคงมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าไว้ ทำไมตอนนี้เขาถึงเห็นว่าพัคโบราดูน่ารักขึ้นมา หัวใจพองโตเหมือนได้รับการเติมเต็มก้มลงพูดข้างหูคนก้มหน้าเพื่อเช็คอะไรบางอย่างให้แน่ใจ
“คุณ..น้อยใจเพราะผมทำไม่สนใจคุณใช่ไหม”
“ไม่ใช่ซะหน่อย ปล่อยนะนายนี่หลงตัวเองชะมัด ปล่อยสิฉันจะกลับบ้าน”ใบหน้าหวานส่ายศีรษะปฏิเสธเสียงสูง
“อีกคำถามเดียวแล้วจะปล่อย” ตากล้องหนุ่มยิ้ม
พัคโบราเงยหน้ามองอย่างสงสัยแต่กลับพบแววหวานที่มองตอบกลับมา มันไม่มีความรำคาญ ความไม่พอใจต่างๆ ที่เธอมักเห็นมันอยู่เสมอในดวงตาคู่นี้
“คุณ...ชอบผมใช่ไหมที่คุณโกรธเพราะคุณชอบผมหรือแค่ผมหลงตัวเองอย่างที่คุณพูดจริงๆให้ตอบอีกที”
“นายจะบ้าเหรอ จู่ๆก็ถามจะให้ตอบยังไงเล่า”นางแบบสาวขัดเขินกัดริมฝีปากอิ่มอย่างตัดสินใจก่อนพยักหน้าช้าๆ เรียกรอยยิ้มกว้างจากคนถาม
“เธอไม่ได้ชอบไอ้ดารานั่นเหรอ” เสียงห้วนหงุดหงิดกลับมาอีกครั้ง
“หมายถึงแทบงโอป้าเหรอ”
“ชิ...โอป้า”
“นายอิจฉาแทบงโอป้าเหรอที่ฉันเรียกเขาโอป้า” พัคโบรายิ้ม
“ทำไมผมต้องสนใจด้วยว่าคุณจะเรียกเขาว่าอะไร ในเมื่อตอนนี้คนที่คุณชอบ...คือผม” พีมะก้มจนชิดจับจ้องดวงตากลมโตสี
น้ำตาลใกล้ๆจนหญิงสาวประหม่า
“แต่เราไม่ได้เดทกันอย่างที่เป็นข่าวจริงๆนะ รูปที่ถูกถ่ายเขาจงใจแคปรูปเฉพาะฉันกับโอป้าทั้งที่วันนั้นทั้งผู้จัดการคิมกับผู้จัดการฉันก็อยู่ด้วย ส่วนที่เขาเอาดอกไม้มาแสดงความยินดีเพราะเราสนิทกันมากแบบพี่ชายน้องสาวต่างหากและท่านประธานก็มาด้วยแต่กลับไม่มีรูป” พัคโบราอธิบายทั้งหมดด้วยรอยยิ้ม
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่สนใจในเมื่อผมเชื่อความรู้สึกตัวเองมากกว่าการอ่านข้อความประกอบภาพ”
“แต่ฉันหึงคุณล่ามนี่”
พีมะมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างประหลาดใจ เธอไปเอาความมั่นใจพวกนี้มาจากไหนกันนะ หลังจากยอมรับว่าชอบเขาเธอก็แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาเต็มที่ ไม่ว่าโกรธ โมโห รู้สึกผิด เสียใจ ทุกความรู้สึกเธอกล้าที่จะแสดงมันออกมาจนเขาแปลกใจที่ไม่ต้องคาดเดากับความรู้สึกของผู้หญิงเป็นครั้งแรก
“หึงผม...กับกัมมี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” ตากล้องหนุ่มยิ้มชี้ที่ตนเองทวนคำถามยิ้มอย่างพอใจ
“ก็นายมองเธอเหมือนคนพิเศษ โดยเฉพาะนายเรียกเธอว่าเบบี๋ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่กับฉันนายไม่เคยพูดดีๆเลย” พัคโบราบอกความรู้สึกทั้งหมด
“คุณนี่พูดตรงชะมัด..ก็ผมนึกว่าคุณชอบไอ้หมอนั่นอีกคนนี่ ก็เลยหงุดหงิด”
“ชอบหมอนั่นอีกคน หมอนั่นนี่คือแทบงโอป้าเหรอแล้วอีกคนที่นายหมายถึง..ใคร..” พัคโบราครุ่นคิดก่อนจะเบิกตากว้าง
“คุณล่ามเหรอ..คุณล่ามชอบแทงบงโอป้าใช่ไหม เดบัก โอโม่...ฉันว่าแล้ว”
“ทำไม..”
“ก็โอป้ามักโกรธเวลาที่นายอยู่ใกล้คุณล่าม แถมยังแทบจะขย้ำฉันตอนฉันถามครั้งแรกว่านายเป็นแฟนคุณล่ามรึเปล่า แต่โอป้ากลับบอกว่านายต่างหากที่มาชอบคุณล่ามเอง”นางแบบสาวส่งค้อนให้
“ผมไม่ปฏิเสธว่าผมเคยชอบเขา แต่ในเมื่อเขาปฏิเสธผมเราเลยเป็นแค่เพื่อนกัน ชื่อเรียกนั่นก็เหมือนกันผมเรียกเขาจนติดปากมาตั้งแต่รู้จักกัน เพราะกัมมี่น่ารักแบบเด็กๆก็เท่านั้น” พีมะอธิบายบ้าง
“ต่อไปนี้ห้ามเรียกแบบพิเศษ”
“ถ้าเผลอล่ะ..” ตากล้องหนุ่มแกล้งถาม
วงหน้าเฉี่ยวตูมขึ้นเมื่อฟังคำตอบ แต่ก็เปลี่ยนเป็นท้าทายแทนด้วยการยกชื่อคู่ปรับที่พีมะรู้สึกแพ้ทางทันทีที่ได้ยินขึ้นมาบ้าง
“งั้นฉันก็จะเรียกแทบงโอป้าว่าดาร์ลิ้งบ้างถ้าจะดี”
“ก็ตามใจคุณสิแต่ผมจะไปชกหมอนั่นให้คว่ำเลย”
พัคโบราทำจมูกย่นเดินตามร่างสูงที่จูงเธอไปนั่งที่ม้านั่งยาวในสวนสาธารณะ มองตากล้องหนุ่มล้วงมือเข้าไปหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าตนเอง ก่อนหันมาส่งยิ้มให้เธอพร้อมยื่นถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มให้
“กำไลอันนั้นนี่..นายซื้อมันมาจริงๆเหรอเนี่ย”นางแบบสาวอุทานสิ่งที่หยิบออกมาจากถุงกำมะหยี่ในมือส่งค้อนให้พีมะ
วันนั้นเขาทำให้เธอน้อยใจที่ดูไม่สนใจเธอสักนิด จึงแกล้งถือกำไลไว้ในมือแต่ไม่ใส่จนตากล้องหนุ่มขัดใจดึงมือเรียวมาสวมกำไลให้เองก่อนจับค้างไว้อย่างนั้น พอนางแบบสาวมองก็ทำหมุนกำไลที่เพิ่งใส่ให้แก้เขินลูบตรงพลอยรูปหัวใจสีขาวที่ฝังอยู่บนเครื่องหมายอินฟินิตี้ไปมา
“ที่คุณถามผมคราวก่อนเรื่องเครื่องหมายอินฟินิตี้น่ะ ผมไม่รู้ในความหมายของคนอื่นหรอกนะแล้วก็ไม่ได้โรแมนติกอะไรด้วย แค่เลือกจากความรู้สึก...ชอบ อีกอย่างผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ซื้อมันมาเพราะคนขายบอกว่ามันเหมาะกับแฟนผมมาก”
พีมะโน้มกระซิบเบาๆในประโยคสุดท้าย ก่อนสบตากลมที่เขารู้สึกว่ามันยิ้มได้จนทำให้เขาต้องหันหนีมองบรรยากาศรอบสวนสาธารณะเพื่อดับความเขินเช่นกัน
“ชิ...ตอนนั้นทำเป็นวางท่าเก๊กอยู่ได้” พัคโบราบ่นเบาๆ
“ผมกะว่าจะให้คุณแต่ไม่มีโอกาสเลยใส่ไว้ในกระเป๋าตลอด”
“เห็นมัวแต่ตีหน้าบึ้งตลอดไม่เห็นจะหาโอกาสสักนิด”
พีมะยิ้มกว้างกับข้อความตัดพ้อ อดเขินไม่ได้กับสายตาของนางแบบสาวที่เปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจจนหมดสิ้น
“ทำไมผมถึงไม่ได้สังเกตมันมาก่อนนะ”
“ก็นายมันซื่อบื้อนี่นา”
“นี่คุณว่าใครซื่อบื้อ คุณน่ะอายุอ่อนกว่าผมตั้งหลายปีอย่ามาก้าวร้าวนะ ไหนกัมมี่บอกว่าคนเกาหลีถือเรื่องซีเนียร์มากไง เอามาใช้กับผมเลยนะ” พีมะทำเสียงเข้ม
“ก็ใครใช้ให้นายพูดภาษาอังกฤษล่ะ ภาษาอังกฤษเขาไม่ถือนี่นา” พัคโบราเอ่ยเถียง
“ภาษาไทยเขาเรียกคนที่มีอายุมากกว่าทั้งผู้ชายและผู้หญิงว่าพี่ ไม่ซับซ้อนเหมือนภาษาเกาหลีหรอก เพราะฉะนั้นเธอต้องเรียกฉันว่าพี่พี ไหนลองเรียกสิ”
“ผีพี”
“บ้านะสิผีพีนะ ผีนะใช้เรียกคนที่ตายไปแล้ว GhostนะGhost”ตากล้องหนุ่มทั้งขำทั้งโมโหแต่ก็นึกอยากแกล้งเมื่อเธอทำหน้าตกใจเมื่อเขาบอกความหมาย
“ผีพี ผิพี พีพี” พัคโบรายังคงออกเสียงอย่างระมัดระวังและก็ยิ้มหวานชอบใจที่ชายหนุ่มให้เธอเรียกเขาว่าพีพี เพราะเป็นคำที่ออกเสียงชัดที่สุดแล้ว
“พีพี”
พีมะยิ้มกว้างพอใจกับคำเรียกชื่อตนเอง แม้มันจะเพี้ยนจากการออกเสียงแปลกๆในตอนแรกแต่เขากลับรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ยิน แอบมองดวงหน้ารูปหัวใจที่อยู่ไม่ไกล ยิ่งมองใกล้ๆเธอยิ่งดูสวยมากจริงๆ ตากล้องหนุ่มโน้มตัวเข้าไปใกล้ดั่งต้องมนต์ก่อนจะเป็นฝ่ายหยุดนิ่งไว้แค่นั้นหันหนีวงหน้าสวยอย่างข่มใจลุกขึ้นยืน
“กลับกันเถอะเดี๋ยวผมเดินไปส่ง”
พัคโบราเองก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลอบกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆเธอไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกอายเพราะเขินหรือเสียดายสัมผัสที่คาดว่าจะได้รับแต่ตากล้องหนุ่มกลับหยุดมัน พยักหน้าตอบรับลุกขึ้นยืนข้างๆก่อนจะใจเต้นอีกครั้งเมื่อมือที่หนาวเย็นข้างนึงของตัวเองถูกดึงไปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของคนเดินนำ..พร้อมๆกับรอยยิ้มกว้างของหนุ่มสาวที่ต่างคนต่างยิ้มกับตนเอง
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
พบกะรัณย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ต.ค. 2558, 08:15:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ต.ค. 2558, 08:15:27 น.
จำนวนการเข้าชม : 879
<< ถึงเวลาต้องเปลี่ยน | ผมรักคุณ >> |
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 12 ต.ค. 2558, 00:14:24 น.
555 คู่นี้น่ารัก จัง
555 คู่นี้น่ารัก จัง
พบกะรัณย์ 12 ต.ค. 2558, 11:36:54 น.
ขอบคุณปลาวาฬสีน้ำเงินจ้า
ขอบคุณปลาวาฬสีน้ำเงินจ้า