พรหมลิขิตกระซิบรัก
นัมแทบง นายแบบหนุ่มผู้ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงเจ้าของฉายารอยยิ้มเทวดาหากแต่เมื่ออยู่หลังกล้องเขาคือผู้ชายหน้าเดียวที่มีแววตาดุจน้ำแข็ง....
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...

... พรหมลิขิตกระซิบรัก...

Tags: ดารา นางแบบ ซุปตาร์ โรแมนติก ซึ้้ง

ตอน: สิ้นสุดการรอคอย

กุมาริกาปรือตาปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา กระพริบตาถี่ๆไล่ความง่วงงุนหันไปทางทิศที่คิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนเธออยู่กับใคร

“แทบง”

ใบหน้าหล่อเหลาใกล้เพียงเอื้อมมือแต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับดาราหนุ่ม ทำให้กุมาริการวบเสื้อผ้าวิ่งเข้าห้องน้ำแทน ก่อนจัดการตัวเองลวกๆและรีบออกมาก่อนที่นัมแทบงจะตื่น พอรู้ตัวอีกทีก็พาตนเองมานั่งที่คอฟฟี่ช็อปของบริษัทนัมแล้ว มองแหวนทองคำขาววงเกลี้ยงบนนิ้วนางข้างซ้ายแล้วรู้สึกถึงความร้อนที่เห่ออยู่ทั่วใบหน้า แรงกดที่บ่าทำเอาร่างเล็กสะดุ้งสุดตัว

“โธ่พีนะเอง เราตกใจหมด นึกว่า...”

ชื่อของคนที่กำลังนึกถึงถูกกลืนลงไป เมื่อเห็นว่าพีมะทรุดตัวนั่งฝั่งตรงข้ามก็ยิ่งร้อนรนเหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วกลัวผู้ใหญ่จับได้จึงเลี่ยงไม่สบตาตากล้องหนุ่ม

“กัมมี่ดูแปลกๆนะวันนี้เหมือนไม่ใช่เด็กขี้แงเมื่อวานเลยแถมเมื่อกี้ก่อนพีเข้ามาพีว่าพีมองไม่ผิดนะ กัมมี่นั่งยิ้มคนเดียวแต่เช้ามีอะไรดีๆรึเปล่าที่พีไม่รู้”

มือบางยกขึ้นแนบแก้มทั้งสองข้าง หลุบตาลงยิ้มเขินอายหันหนีสายตาจ้องจับผิดของพีมะที่มองมาอย่างกับเครื่องสแกนและทันทีที่ตากล้องหนุ่มยกมือขึ้นจับแก้มของล่ามสาว ก็มีอีกมือปัดออกแทบจะทันทีจนกุมาริกาและพีมะตกใจไม่แพ้กัน

“โอป้า...”

“ไอ้หมอนี่” พีมะหันไปคว้าร่างเล็กไว้แต่ไม่ทันเพราะดาราหนุ่มใช้ร่างสูงของตนเองบังไว้และดึงร่างเล็กไปไว้ด้านหลัง ตาเรียวเล็กมองหญิงสาวอย่างคาดโทษที่ขัดขืนตนและหันไปถลึงตาขวางใส่ตากล้องหนุ่มที่บังอาจเอื้อมมือมาจับแก้มนวลของเธอผู้เป็นที่รัก

“อย่าเอามือมาแตะต้องผู้หญิงของคนอื่นอีกถ้าฉันไม่อนุญาตไม่งั้นนายเจ็บตัวแน่”นัมแทบงดึงร่างเล็กให้เดินตามไปโดยไม่สนใจอีกฝ่ายที่เดือดไม่ต่างกันอ้าปากค้างกับท่าทางคุกคามของดาราหนุ่ม

“มันไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน...ผู้หญิงของฉัน เชอะกัมมี่เป็นผู้หญิงของมันตั้งแต่เมื่อไหร่พูดมาได้ไม่อายปากซะบ้างเลยคิดว่าเล่นบทพระเอกในละครอยู่รึไง” พีมะบ่นหัวเสียนั่งกระแทกตัวกับเก้าอี้หยิบแก้วกาแฟที่หญิงสาวทิ้งไว้ดื่มก่อนตาเหลือกเมื่อฉุกคิดอะไรได้

“แล้วกัมมี่กับไอ้หมอนั่นดีกันตั้งแต่ตอนไหนทำไมเขาไม่รู้ในเมื่อเมื่อวานเธอยังร้องไห้อยู่กับเขาเลย เฮ้ย!!นี่เขาตกข่าวอีกรึไงต้องถามกัมมี่ให้รู้เรื่อง”

นัมแทบงลากหญิงสาวตรงขึ้นลิฟท์กดชั้นบนสุด มองร่างเล็กไม่วางตาวันนี้เธอน่ารักสดใสในชุดเดรสสีขาวมีดอกไม้สีแดงปะปรายเสื้อโค้ทกันหนาวสีน้ำเงินคลุมทับอีกชั้นเนื่องจากอากาศหนาวเย็น อุ้งมือใหญ่บีบกระชับมือบางกุมาริกาพยายามจะดึงมือออกจากการเกาะกุมแต่ยิ่งทำให้คนอยากแกล้งดึงร่างเล็กเข้ามากอด หันรี้หันขวางกลัวลิฟท์จะเปิดออกที่ชั้นใดชั้นหนึ่งและตนเองจะตกเป็นเป้าสายตารวมถึงเขาเองก็อาจจะตกเป็นข่าวได้

“อย่าทำแบบนี้สิคะ เดี๋ยวคนอื่นเห็นจะทำยังไง” กุมาริกาขืนตนเองออกจากอ้อมแขนอบอุ่น

นัมแทบงก้มหน้าเรียวมาจนแทบชิดนึกขำกับอาการผงะแถมเบนหน้าหนีของล่ามสาวที่กลัวคนเห็นจนเขายิ่งอยากแกล้ง “ใครใช้ให้เธอหนีมาหาผู้ชายอื่นล่ะปล่อยให้พี่นอนอยู่คนเดียว”

มือบางประกบปิดที่ปากของคนช่างพูดไม่คิดว่าถ้ามีใครมาได้ยินจะเป็นข่าวเสียหายกับตัวเองแค่ไหน

“อย่าพูดที่นี่สิโอป้า..ไม่คิดบ้างเลยรึไง จู่ๆทำไมนึกอยากจะพูดอะไรก็พูดขึ้นมาทั้งที่เมื่อก่อนออกจะระวังตัว” กุมาริกาบ่นทำหน้ายุ่ง

“ยอมเรียกพี่แล้วเหรอ...แสดงว่าหายโกรธแล้วใช่ไหม” นัมแทบงส่งยิ้มหวานก่อนจุ๊บเบาๆที่กลางฝ่ามือบางที่ปิดปากเขาไว้ กุมาริกาหน้าแดงดั่งผลแอปเปิ้ลเมื่อดาราหนุ่มแสดงความรักกับเธออย่างอ่อนหวาน

เสียงเตือนว่าถึงที่หมายดังขึ้นร่างสูงกึ่งลากกึ่งจูงร่างเล็กให้เดินตามกันไปแถมเปลี่ยนจากจูงมือมาเป็นโอบบ่าเล็กไว้หลวมๆ นัมแทบงพยักหน้าทักทายเลขาคนสนิทของพี่สาวตนเองเล็กน้อยก่อนหันไปพูดเพียงขยับแค่ริมฝีปาก

“อย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด” มุมปากแดงไม่แพ้ผู้หญิงยิ้มเล็กน้อยโดยที่ร่างเล็กข้างตัวไม่ทันเห็น

พอปิดประตูปุ๊บกุมาริกาก็รัวซัดไปตามมือไม้ที่มาเกาะแกะตามร่างกายเธอ จนคนถูกตีร้องโอย ปัดป้องไปทั่วก่อนรวบร่างเล็กเข้าไปกอดอีกครั้ง ล่ามสาวบ่นอุบกับอกหนาโดยไม่เงยหน้ามองคนเจ้าเล่ห์

“ทำไมถึงเปลี่ยนมาเป็นมือปลาหมึกไปได้ เมื่อก่อนไม่เห็นจะเป็นแบบนี้”

“ก็ตอนนั้นมันยังไม่กล้านี่” นัมแทบงมองหวานซึ้งกดมุมปากซับมุมปากอิ่มเบาๆอย่างอดใจไม่อยู่

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงกล้าแบบนี้”กุมาริกาหนีบเข้าที่สีข้างจนคนมือไวคลายอ้อมกอดแทบไม่ทัน ใบหน้าใสงอง้ำเอียงไปตามแรงดึงของคนเจ้าเล่ห์ที่รั้งมานั่งด้วยกันที่โซฟาแต่ร่างเล็กดิ้นลงจากตักอย่างรวดเร็ว

“ก็ตอนนี้อยากอยู่ใกล้ อยากพูด อยากกอดแล้วก็อยาก...จู....” ริมฝีปากบางโดนจับบีบไว้แน่นโดยทันทีทั้งที่ยังพูดไม่จบประโยค

“ไปฝึกวิธีพูดเจ้าเล่ห์แบบนี่มาจากไหนกันคะ

“ก็ต้องพูดบ้างสิ กลัวใครบางคนจะไม่เข้าใจอีกว่ารักเลยต้องแสดงออกบ่อยๆ” นัมแทบงยิ้มจุ๊บเบาๆที่กระหม่อมบาง

“โอป้า...มีงานเช้าเหรอคะ”

ดาราหนุ่มส่งยิ้มละลายใจสาวๆให้เมื่อได้ยินสรรพนามที่ใช้เรียกชื่อเขากลับมาสนิทสนมเหมือนเดิม ก่อนส่ายหน้าช้าๆ ชะโงกกระซิบบางอย่างใกล้หูล่ามสาว

คำว่าอยากรีบมากอดเธอไวไวไงทำให้ใบหน้าของล่ามสาวแดงขึ้นมาฉับพลัน กุมาริกาทุบไปที่ตัวหนาของร่างสูงที่จู่ๆตอนนี้ชายหนุ่มเอาแต่พูดจาให้เธอได้อายตลอด

“เดี๋ยวนี้ชอบพูดคำเลี่ยนๆนะคะ”

นัมแทบงมองหญิงสาวร่างเล็กอย่างรักใคร่ เขาเกือบจะเสียเธอไปซะแล้วเพียงเพราะความไม่เข้าใจจากนี้เขาจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวในอ้อมกอดต้องโดดเดี่ยวหรือคาดเดาความรู้สึกของเขาเองอีกต่อไปแต่จะแสดงออกให้เธอรู้ว่ากุมาริกามีความหมายกับเขาแค่ไหน

“ก็มีคนเตือนว่าถ้าไม่แสดงออกมาบ้างคนบางคนก็จะหลุดมือไป”

กุมาริกายิ้มอย่างมีความสุขในอ้อมแขนของชายคนรักแต่แล้วก็ดีดตัวออกจากร่างสูงอย่างกระทันหันจนชายหนุ่มแปลกใจ

“เป็นอะไรกัมมี่”

“จู่ๆเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เราดีกัน แล้วอากุลกับท่านประธานล่ะ”

“ฮยองคงโกรธมากที่พี่ทำเรื่องไว้” นัมแทบงถอนหายใจคิดกับตนเองว่าเขาควรจะเริ่มแก้จากตรงไหนดี

“นาปุนนัมจา” กุมาริกาชี้นิ้วไปที่ดาราหนุ่มล้อเลียน
##나쁜 남자 นาปุนนัมจา หมายถึงผู้ชายนิสัยไม่ดี##

นัมแทบงไล่คว้าร่างเล็กที่ลุกหนีเนื่องจากรู้ว่าต้องโดนชายหนุ่มจัดการแน่ไปรอบห้อง ก่อนจะโดนคว้าตัวได้ก็ถึงกับหอบทั้งคู่

“เป็นเด็กอยู่รึไงชวนวิ่งไล่จับแบบนี้ รู้ไหมว่าถ้าโดนจับได้จะโดนอะไรบ้าง” ดาราหนุ่มยิ้มทั้งปากและตา ก่อนจัดบทลงโทษที่กุมาริกาก็นึกชอบขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

“เย็นนี้เราไปให้กำลังใจโบรากันนะรอบตัดสินแล้ว” นัมแทบงเอ่ยชิดริมฝีปากอิ่มก่อนดึงร่างบางให้ตามไปนั่งที่โซฟา

“ฉันว่าโบราต้องติด1ใน3แน่นอน เธอทั้งสวย หุ่นดีแล้วก็สูงมากด้วย ฉันอยากสูงแบบนั้นบ้างจัง”

ดาราหนุ่มยิ้มเอ็นดูมองดูร่างเล็กในอ้อมกอดเธอน่ารักขนาดนี้ยังจะต้องอิจฉาใครอีกไซส์มินินี่แหละน่ารักที่สุดแล้วจนเขาอยากจะจับเธอแพคใส่กระเป๋าเอาไปด้วยทุกที ก่อนจะพูดคำที่คนฟังหัวใจพองโต “เยปอ เยปอ นอมูเยปอโย”
#너무 예쁘다-สวยมาก#

กุมาริกาย่นจมูกใส่คำพูดหวาน มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่จะได้เห็นสายตาเจ้าเล่ห์แบบนี้ ผู้ชายเย็นชา พูดน้อย ระวังตัวอยู่เสมอแต่พออยู่ต่อหน้าเธอเขากลายเป็นคนพูดมากเหมือนเธอไปแล้วแถมยังมีเสน่ห์เอามากๆด้วยสิ นอกจากจะเป็นเครื่องจักรผลิตรอยยิ้มแล้วตอนนี้เขายังเป็นเครื่องผลิตความสุขสำหรับเธอด้วยล่ามสาวบอกตัวเอง


ย่านกินซ่า โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ร่างเพรียวเดินดูของสวยงามไปพร้อมๆกับดีไซเนอร์ ไม่ว่าจะร้านเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แบรนด์ดังที่เคยชอบแต่ตอนนี้สมองเธอกลับว่างเปล่า นัมเยรินเพียงพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อดีไซเนอร์คนสนิทยกชุดสวยให้ดู

“แล้วแต่คุณเห็นสมควรเลยแล้วเลือกชุดสูทให้แทบงสัก3-4ชุดด้วย ฉันมีที่ที่อยากไปก่อนเจอกันที่โรงแรมเลยนะคุณปาร์ค” ท่านประธานคนสวยบอกก่อนเดินออกไปย้อนคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่น้องชายตนเองโทรมานัมเยรินอดห่วงไม่ได้

“คงไม่ก่อเรื่องอะไรอีกนะ” ประธานสาวได้แต่ถอนใจ

ร่างสูงหนาของกุลธีร์ทรุดนั่งลงตรงม้านั่งไม้ริมสระน้ำดอกซากุระบานสะพรั่ง เมื่อลมเย็นๆพัดผ่านก็พัดเอาบางดอกล่วงหล่นมาด้วย บรรยากาศรอบสวนอุเอโนะยังคงร่มรื่นเหมือนเมื่อครั้งก่อน ทุกครั้งที่เขามาญี่ปุ่นเขาต้องกลับมาที่นี่เพื่อหาความทรงจำเก่าๆที่ยังยึดติดในใจ

ภาพร่างบอบบางหยิบซากุระดอกเล็กไว้ในมือก่อนยิ้มชอบใจนำมาทัดหูให้เขา รอยยิ้มหวานละมุนไม่เคยจาง แม้มันจะเป็นภาพความทรงจำการมาทัศนะศึกษาของชีวิตมหาลัย แต่สำหรับเขามันคือความทรงจำที่ยังคงฝังลึกอยู่ในนั้นแม้จะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้กุลธีร์ไม่ได้ใส่ใจ เขาแค่อยากเก็บเวลาที่ดีไว้มันคงดีไม่น้อยถ้าหญิงสาวผู้เป็นที่รักอยู่ตรงนี้ ดวงตาคมปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนพิงหลังลงกับพนักเก้าอี้

อีกฝั่งของสระน้ำใหญ่นัมเยรินมองไปที่มุมที่เธอมักจะมานั่งเสมอยามเมื่อคิดถึงคนไกล ซากุระบานแล้ว เขาล่ะสบายดีไหม โกรธเธอมากแค่ไหน ยังรอเธออยู่เหมือนเดิมไหม หญิงสาวถอนหายใจกับตนเอง

“แย่จังแม้แต่โชคยังไม่เข้าข้างที่นั่งดีๆก็ดันมีคนนั่งอยู่ก็ฉันไม่ใช่เจ้าของมันนี่นะ” นัมเยรินปลอบใจตัวเอง

กุลธีร์เปิดเปลือกตาถอนหายใจแรงๆไล่อาการอึดอัดและเมื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงที่จ้าปลายสายตาก็เจอร่างที่ทำให้ใจเต้นแรงจนต้องออกวิ่ง ร่างระหงที่เขาเห็นกำลังเดินกลับไปในฝั่งตรงกันข้ามของสระใหญ่ที่กั้นเอาไว้ นึกขอบคุณข้อดีของตัวเองที่ชอบออกกำลังกายอยู่เสมอไม่อย่างนั้นระยะห่างที่ไกลเป็นกิโลนี่คงทำให้วัยอย่างเขาลงไปทรุดได้เหมือนกัน มันเหมือนวัยรุ่นคลั่งรักที่กำลังมีความหวัง

แผ่นหลังบอบบางที่เขาเห็นคือด้านหลังของนัมเยรินจริงๆ เธอมาที่นี่และเขาไม่ได้ฝัน ระหว่างเธอกับเขามันคือโชคชะตา ขาเรียวหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งของถนนคือใคร น้ำตารื้นไม่รู้ตัวก่อนไล่มันให้หายไปก่อนที่ใครบางคนจะได้เห็น เขาวิ่งมาจากที่ไหนกันทำไมเหงื่อถึงโทรมกายอย่างนี้ นัมเยรินมองร่างสูงที่กำลังเดินตรงมาที่เธอ

ดวงตาคมที่เธอชอบมองมันนิ่งซะจนไม่รู้ว่าเจ้าของคิดอะไรอยู่ ข้อศอกบางถูกดึงกึ่งลากให้เดินไปด้วยกันไม่มีอาการขัดขืนจากร่างบอบบาง เธอพยายามเดินตามแรงดึงนั้นแต่ก็เกินจะต้านทานความเจ็บปวดอันเกินกว่าเท้าบอบบางในส้นสูงคู่สวยที่มันมีไว้ใช้เดินเฉิดฉายไม่ใช่เดินมาราธอนแบบนี้ จนต้องประท้วง

“กอน ฉันเจ็บขา”

ได้ผลเมื่อร่างหนาหยุดเดินในทันที หันมองไปที่ปลีขาคู่งามที่อยู่บนรองเท้าสูงปรี๊ด ก็น่าจะเจ็บอยู่หรอกกุลธีร์นึกในใจ

“ใกล้ถึงรถผมแล้ว”

ก่อนจะเปลี่ยนจากดึงข้อศอกมาเป็นจับข้อมือบางแทน ร่างสูงใหญ่จับจูงร่างบางเดินไม่ต่างจากคู่รักมาเดทกัน ประตูรถถูกเปิดให้หญิงสาวขึ้นไปนั่งก่อนและเขาขับออกไปราวกับจรวดไม่มีคำพูดใดอีกจนประธานสาวแอบกังวล

“กอน เรากำลังจะไปไหนกันคะ คือฉันพักที่...”นัมเยรินกลืนคำพูดลงคอเมื่อเจอสายตาคมดุ ก่อนจะนั่งเงียบไปจนถึงที่เงยมองดูโรงแรมหรูนี่มันห่างจากที่พักของเธอแค่มุมถนน

“ลงมา”

เมื่อหญิงสาวสบตาเข้มราวตั้งคำถาม สิ่งที่ได้รับคือสีหน้าขุ่นมัวที่เธอเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา ก่อนจะลงมาทันที่ที่ได้ยินเสียงออกติดสั่งในประโยคสุดท้าย

“ผมบอกให้คุณลงมาเยริน”

คีย์การ์ดถูกเสียบลงเพื่อปลดล็อคกุลธีร์ดันบานประตูห้องพักให้เปิดกว้างใช้สายตาในการออกคำสั่งให้เธอเข้าไปโดยมีเขาปิดประตูและเดินตามหลังเข้ามา นัมเยรินยืนอยู่กลางห้องกว้างขนาดพอดีแต่กลับไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยสะดวกรอบตัวยังไง มองโซฟากว้าง เก้าอี้บุนวม แล้วก็มองสบไปที่ตาดำใหญ่อย่างพยายามใจเย็น

“คุณมาทำอะไรที่ญี่ปุ่นคะกอน” ประธานสาวถามเรียบง่ายอย่างตั้งสติ

“คุณอยากรู้จริงๆหรือถามผมตามมารยาทครับประธานนัม ผมควรเรียกคุณแบบนี้ถูกไหม”

คำพูดหมางเมินทำเอาหญิงสาวน้อยใจแต่ก็จำต้องซ่อนเอาไว้ เพราะเธอไม่ได้อยู่ในช่วงวัยสาวที่จะมานั่งตีโพยตีพายอาละวาดที่กุลธีร์ทำกับเธอแบบนี้ จึงมองสบตาดำด้วยท่าทีสงบจนคนที่ประชดประชันเมื่อครู่ร้อนรนแทน

“จริงๆผมก็ไม่ได้จะหมางเมินอะไรอย่างน้อยๆมิตรภาพที่ยาวนานของเรามันก็คงยังเหลืออยู่ แม้ว่าน้องชายของคุณมันจะทำตัวร้ายกาจกับหลานสาวผมก็ตาม”

“กอนคะ ฉันอยากให้คุณเข้าใจแทบงรักกัมมี่มาก...”ยังไม่ทันพูดจบคำเสียงตวาดพร้อมกับการเดินต้อนร่างบางจนชนกระจกใสบานใหญ่ที่ใช้มองวิวยามค่ำคืนของกรุงโตเกียว หากแต่ยามนี้ไม่มีใครสนใจมองวิวเหล่านั้น

“คุณรู้ไหมเยรินน้องชายคุณทำให้กัมมี่เสียใจแค่ไหน คุณรู้ไหมว่าใจผมต้องเจ็บแค่ไหนเมื่อเห็นหลานของตัวเองต้องเสียใจเพราะผมเชื่อในคุณไง ถึงได้รับไอ้น้องชายจอมกระล่อนของคุณเข้ามาในชีวิตของหลานสาวผม”

“ไม่จริงกอน แทบงไม่ใช่คนแบบนั้นฉันรู้ดีฉันเองก็เหมือนแม่ที่เลี้ยงเขามากับมือแล้วฉันจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเขาคิดยังไง” มือหนากระแทกลงบนกระจกอย่างระบายอารมณ์จนคนที่ตกอยู่ภายใต้อ้อมแขนสะดุ้งกับความดังของมัน

ดวงตาดำคมที่มองเธอด้วยแววหวานเสมอบัดนี้กลับดุจนทำให้ประธานสาวประหม่า หลังติดหน้าต่างแรงความเย็นของกระจกที่กระทบกับผิวทำให้เธอเย็นไปทั่วร่าง

“พวกคุณก็คงเหมือนกันทำให้คนอื่นหลงรักแล้วก็ผละหนีไปไม่ใยดี”

“ไม่จริง ฉันขอยืนยันน้องชายฉันรักหลานสาวคุณจริงๆฉันได้ยินกับหูตัวเอง เมื่อคืนแทบงโทรมาหาฉันสารภาพว่าเขารักกัมมี่มากๆจนทำสิ่งบ้าๆลงไป เขาเสียใจกับความคิดชั่ววูบแล้วเขาก็กำลังจะปรับความเข้าใจก็กัมมี่ด้วย”

“มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอเยริน น้องชายคุณเห็นกัมมี่เป็นอะไรคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”

“กอน..ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน มันซับซ้อนเกินกว่าเราจะตัดสินใจแทนเขาได้ ฉันแค่อยากให้คุณให้โอกาสแทบงได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง”

มือหนาลดลงข้างตัวก่อนหันหนีไปอีกทางคนละด้านกับที่หญิงสาวยืนอยู่โดยไม่หันไปมอง

“หึ..คุณไปได้แล้วผมไม่มีอะไรจะพูดถึงพวกคุณอีก ผมคงไม่ส่งหวังว่าเราจะไม่เจอกันอีกขอโทษด้วยที่ไม่สุภาพใช้กำลังพาคุณมาที่นี่”

ประธานสาวมองแผ่นหลังกว้างของร่างสูงอย่างสับสน ริมฝีปากบางขบเม้มข่มความอายเอ่ยความรู้สึกของตนเองที่เก็บมานาน

“ที่คุณบอกว่าเราพี่น้องทำให้พวกคุณหลงรักแล้วก็หนีไปไม่ใยดีมันไม่จริงสักนิด เพราะฉันไม่เคยไปไหนและยังรอด้วยความกังวลตลอดมาว่าคุณจะมีใครไปแล้วรึยัง คุณจะรอฉันไหม ถ้าฉันบอกคุณว่ารัก ความรู้สึกที่คุณเคยบอกฉันมันเปลี่ยนไปแล้วรึยัง...นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากพูดมาตลอดนับตั้งแต่ฉันได้พบคุณอีกครั้ง”

เสียงประตูที่ปิดดึงสติของกุลธีร์กลับมาด้วย คำพูดที่ได้ยินจากปากนัมเยริน สร้างรอยยิ้มผุดที่ริมฝีปากอีกครั้ง วิ่งไปยังทิศทางที่ประธานสาวออกไป ทันเห็นร่างบางกำลังจะก้าวเข้าไปในลิฟท์พอดี

แรงดึงจากทางด้านหลังทำให้นัมเยรินเสียหลักเล็กน้อยแต่ดูเหมือนว่าอ้อมอกแกร่งจะรองรับตัวเธอไว้ไม่ให้ล้มแต่เปลี่ยนเป็นหมุนทั้งตัวให้ตกอยู่ในอ้อมแขนใหญ่แทน

“กอน” เสียงเรียกผ่านริมฝีปากบางทำให้ใจกุลธีร์เต้นรัว เขาเกือบจะไม่ได้ยินเสียงหวานๆนี่อีกแล้วถ้ายังมีทิฐิ รอยยิ้มระบายไปทั่วหน้ารัดรึงร่างบางไว้ในอ้อมกอดจนแน่น ก่อนจะคลายแขนเพียงเล็กน้อยจากเสียงประท้วง

“ฉันเจ็บค่ะแล้วก็อึดอัดด้วย”

นัมเยรินเงยหน้าสบตาดำใหญ่ที่บัดนี้แววหวานซึ้งกลับมาอยู่ในนั้นหนำซ้ำดูพราวระยับมากกว่าแต่ก่อน จนเธอต้องเป็นฝ่ายหลบตาเพราะทนเขินอายไม่ไหวดั่งสาวแรกรุ่นซึ่งกุลธีร์ก็ชอบมันไม่น้อยเชยคางเล็กขึ้นมามอง

“เยริน...ที่คุณพูดหมายถึงคุณตอบรับความรู้สึกของผมแล้วใช่ไหม”

เมื่อเห็นว่าประธานสาวพยักหน้า รอยยิ้มกว้างยิ่งระบายไปทั่วใบหน้าเปิดเผยทุกสิ่งที่อยู่ในใจผ่านสายตาที่อบอุ่น สิ้นสุดการรอคอย20ปีของเขา ใบหน้าคร้ามก้มลงหาปากอิ่มที่บัดนี้เจ้าของหลับตาพริ้มรออยู่ก่อนแล้ว

กุลธีร์นึกขำตนเองเขาโกรธเธอแทบตายที่ปล่อยให้น้องชายมาทำร้ายจิตใจหลานสาวอันเป็นที่รักแต่พอได้ยินคำสารภาพอ่อนหวาน ใจที่คิดว่าจะแข็งกับอ่อนยวบ นี่แหละคนเขาถึงได้พูดกันว่าเรื่องของความรัก ใครไม่มีไม่เข้าใจตามจีบมาแทบตายเหมือนจะสิ้นหวังแต่บทจะคลิ๊กกันได้จู่ๆก็ลงเอยมันง่ายๆแบบนี้

“เห็นทีผมคงกลับประเทศไทยคนเดียวไม่ได้แล้วล่ะ” กุลธีร์ออดอ้อน

“ตอนขามายังมาเองได้เลย”

“ก็ตอนนั้นมันไม่มีคุณนี่แต่ตอนนี้มีแล้ว”เสียงตอนท้ายประโยคกระซิบข้างใบหูบางแก้เขิน

“เมื่อกี้ยังกับจะชวนทะเลาะอยู่เลยพอตอนนี้มาพูดหวาน” นัมเยรินยิ้มหวาน

กุลธีร์ยิ้มตอบร่างระหงในอ้อมแขนแล้วแสร้งทำหน้าตาขึงขังแต่นัยย์ตาพราว กดจมูกลงที่ซีกแก้มด้านนึงของประธานสาวอย่างรวดเร็วจนเจ้าของแก้มนุ่มยกมือปิดแทบไม่ทันระคนตกใจ

“ก็กำลังชวนทะเลาะอยู่นี่ไงคิดว่าวันนี้คงได้ทะเลาะกันทั้งคืน”

มือเล็กระดมทุบร่างหนาระรัวที่จู่ๆสุภาพบุรุษที่รักษามารยาทกับเธอเสมอมากลายเป็นหนุ่มน้อยช่างแกล้งขึ้นมาอีกครั้งทำให้ผีเสื้อที่หลับไหลบินวนรอบตัวเธออีกครั้ง

“ทะลึ่งใหญ่แล้วนะกอน”

“ผมพูดจริง เรารอความเหมาะสม ถูกต้องนานเกินไปจนแทบจะถูกกลืนความรู้สึกตัวเอง เราผ่านวัยหนุ่มสาวมาแล้วนะเยริน ต่อไปนี้เรามาใช้ทุกนาทีที่เหลืออยู่อย่างจริงจังเถอะ ผมรักคุณจะตายอยู่แล้วคุณไม่เห็นใจผมบ้างเหรอ” กุลธีร์บอกอ้อน

ประธานสาวแห่งนัมโมเดลส่งยิ้มหวานค่อยๆเขย่งปลายเท้าขึ้นกึ่งกล้ากึ่งกลัวในความกล้าของตัวเองคล้องแขนเรียวลงบนต้นคอหนาในเมื่อกุลธีร์แสดงออกมาตลอดว่ารักเธอแค่ไหนคงถึงเวลาที่เธอจะต้องเผยความรู้สึกของตนเองบ้าง จูบแผ่วเบาเงอะงะไม่ต่างจากสาวรุ่นทำเอากุลธีร์ชอบใจ

“บทเรียนที่เหลือผมจะสอนคุณเองแต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณช่วยสักเรื่อง” กุลธีร์กระชับร่างในอ้อมกอดดวงตาไม่คลายจากใบหน้าหวาน

“เรื่องงานรึเปล่า” ประธานสาวขมวดคิ้ว

“เรื่องกัมมี่ ผมคิดว่าถ้าผมยอมน้องชายคุณง่ายๆเขาก็จะทำร้ายจิตใจยัยหลานอีกเพราะฉะนั้นผมอยากขอความร่วมมือจากคุณทำให้เรื่องมันยาก”

“ฉันแล้วแต่คุณคะกอน จริงๆฉันก็ไม่อยากเห็นด้วยเพราะฉันคิดว่าแทบงไม่ได้เลวร้ายอะไรเพียงแต่เอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็อยากให้มีใครสักคนดัดนิสัยเขาบ้าง จะได้รู้จักดูแลรักษาของที่ตนเองรักไม่ใช่นึกจะละทิ้งยังไงก็ได้”

หมดปัญหาของรุ่นใหญ่ลงกุลธีร์ยิ้มให้กับความเจ้าเล่ห์ในหัวที่จะดัดนิสัยว่าที่หลานเขยตัวแสบที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของคนรักถ้าปล่อยไปง่ายๆ มีหวังอีกหน่อยหลานสาวเขาคงต้องตามง้อนัมแทบงไม่หยุดไม่หย่อนแน่







ช่วยติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ

เอ็นดูรุ่นใหญ่บ้างนะคะตอนนี้


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา



พบกะรัณย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ต.ค. 2558, 10:26:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ต.ค. 2558, 18:03:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 953





<< ผมรักคุณ   ขอร้อง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account