รักร้าวในแผลใจ
กลับมาอีกครั้งกับนิยายรัก (สีเทา)
คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง
รักร้าวในแผลใจ
รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น
หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ
ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ
ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl
คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง
รักร้าวในแผลใจ
รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น
หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ
ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ
ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 8 ส่วนที่ขาดหาย
บทที่ 8
ส่วนที่ขาดหาย
เมฆาตื่นเช้ามาอยู่ในชุดทำงานพร้อมออกจากคอนโด แม้เรื่องของสิรินภายังคาราคาซังอยู่แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบ เขาจึงไม่อาจละเลยงานที่ได้รับมอบหมายได้
ประตูบานหนาเปิดออกอย่างเรียบเรื่อยแล้วจะอ้าค้างไว้อย่างนั้นด้วยตรงหน้าเขาตอนนี้มีร่างผู้หญิงสองคนยืนคอยอยู่
“พลอย คุณแต้ว” คิ้วโค้งขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจกระทั่งตอนนี้ทุกอย่างปรากฏอย่างชัดเจน การที่สองสาวมาพบเขาถึงที่คอนโดเพราะต้องการพาไปร่วมรับประทานอาหารมื้อเช้ากับสองครอบครัวซึ่งไม่รู้ใครเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องนี้ เมฆานั่งหน้านิ่งฟังคนอื่นๆ พูดคุยกัน
“วันนี้ดีจริงๆ ที่เราสองครอบครัวได้ออกมาทานข้าวกันนอกบ้าน” เสียงวิทวามารดาของชิดชมเอ่ยขึ้น หันมายิ้มให้อรุณผู้เป็นสามีก่อนจะแพร่ยิ้มกระจายไปทั่วคนรอบข้าง
“แล้วนี่สุขภาพของคุณเมฆินทร์เป็นยังไงบ้างครับ” อรุณถามขึ้น
“ก็ดีขึ้นมากครับ” เมฆินทร์ตอบเลื่อนสายตามามองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างฝั่งซ้ายถัดจากที่นั่งของพรรณนา
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจะหาหมอมารักษาคุณคือผมรู้จักหมอเก่งๆ อยู่หลายคน คิดว่าถ้าคุณเมฆินทร์ได้ทำกายภาพกับหมอดีๆ โอกาสจะกลับมาเดินได้ปกติคงไม่ยาก”
“คนอัมพฤตอย่างผมคงไม่คาดหวังอะไรอีกแล้ว ที่หวังอยู่ตอนนี้ก็เห็นจะเป็นเรื่องของลูกชาย”
เมฆาสะอึกเล็กน้อยและคิดไว้แล้วว่าการนัดพบกันวันนี้คงไม่ใช่แค่อยากพูดคุยตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอะกันมานานหากแต่มีเรื่องสานสัมพันธ์ของสองครอบครัวเข้ามาเกี่ยวด้วย
“นั่นสิคะ ทางนี้ก็รออยู่นะว่าเมื่อไรคุณเมฆินทร์จะมาสู่ขอลูกแต้วให้กับตาเมฆซะที” วิทวาแทรกแล้วหัวเราะ หันมาทางลูกที่นั่งอายม้วนอยู่ข้างๆ
“แม่ค่ะ” ชิดชมหน้าแดง สายตาเลื่อนไปหาเมฆาเห็นนั่งนิ่งไม่โต้ตอบอะไร
เมฆาเดินออกมาจากห้องน้ำแต่เจอพลอยชมพูดักรออยู่หน้าห้อง แววตาที่มองมาหาเขานั้นบอกชัดว่าต้องมีเรื่องจะคุยกับเขาแน่ๆ
“พลอยรู้นะคะว่าพี่เมฆกำลังคิดอะไรอยู่” พลอยชมพูพูดขึ้น อีกฝ่ายถามมาเสียงเรียบ
“พลอยจะรู้ใจพี่ได้ยังไง”
“ก็พลอยเป็นน้องพี่ และพลอยก็กุมความลับของพี่อยู่ หวังว่าพี่เมฆคงไม่คิดจริงจังกับผู้หญิงคนนั้นอีกนะคะเพราะพลอยอุตส่าห์เชื่อใจยอมให้พี่ได้แก้แค้นสมใจแล้ว พี่เมฆอย่าทำให้พลอยผิดหวังนะ” พลอยชมพูเอ่ย ใจเธอตอนนี้ชักหวั่นๆ ขึ้นมาแล้วกลัวมดจะอดใจไม่ไหวคาบน้ำตาลเม็ดนั้นขึ้นมาอีก เมื่อถ่านไฟเก่ามันช่างร้อนแรงนัก
การสนทนาจบลงเมื่อมีมือที่สามโผล่มา พลอยชมพูไม่คิดว่าโลกมันจะกลมหากมาทานอาหารร้านนี้แล้วจะเจอยัยแม่หม้ายกินผัวคนนี้
“ว้าย เมฆ ดีใจจังที่เจอคุณที่นี่ เอมมี่คิดถึงคุณมากเลยนะคะ” เอมมี่โผเข้ากอดอย่างลืมตัวก่อนสายตาจะปะทะกับพลอยชมพูน้องสาวสุดแสบของเขา
“คุณหายไปเลยนะ” เมฆาถามเป็นมารยาทและเพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถามของน้องสาว พยายามดึงร่างเอมมี่ออกห่างตัวเพราะไม่ค่อยชอบนักกับการถึงเนื้อถึงตัวของหญิงสาว
“เอมมี่ต้องไปจัดการเรื่องพินัยกรรมนะคะ เคลียร์ตั้งหลายวันกว่าจะลงตัว”
“คงได้มาเยอะสินะ” พลอยชมพูแทรกขึ้น มองเอมมี่ด้วยสายตาชิงชังแกมขยะแขยง ผู้หญิงที่แต่งงานเพื่อหวังหุบสมบัติต่อให้ใส่ตะกร้าล้างน้ำแล้วยกใส่พานถวายก็คงไม่สามารถลบรอยราคีของตัวเองได้
“พลอย” เมฆาปรามไม่อยากให้มีปากเสียงกันเพราะมันจะเสียด้วยกันทั้งสองฝ่ายเมื่อต่างก็เป็นที่รู้จักของคนในสังคม ไหนจะนักข่าวที่หูตาไวยิ่งกว่าสี่จีอีก
“วันนี้คงไม่สะดวกถ้าเราจะคุยกัน เอาไว้ผมโทรหาละกัน” เมฆาตัดบทแล้วเดินจากไป
“เออ เมฆค่ะ” เอมมี่จะเดินตามแต่พลอยชมพูมายืนขวางไว้
“เลิกตื้อพี่ชายฉันได้แล้วนะ คงไม่รู้ละสิว่าตอนนี้พี่เมฆเขามีผู้หญิงคนใหม่แล้ว” พลอยชมพูพูดเป็นนัยๆ แสยะยิ้มเมื่อเห็นเอมมี่ทำหน้าตกใจ แน่ละ ผู้หญิงคนนี้คิดจะจับพี่ชายเธอตั้งแต่แรกแต่เสียใจด้วยนะที่แผนการล่มไม่เป็นท่า เท้าเล็กขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยกระซิบ
“อยากรู้ไหมล่ะว่าเป็นใคร” แม้จะไม่ชอบหน้าแม่นี่สักเท่าไรแต่การที่เธอจะเข้าไปจัดการกับผู้หญิงที่เป็นแฟนเก่าของพี่ชายนั่นมันอาจดูไม่ดีในสายตาของใคร หากเปลี่ยนให้ศัตรูที่มีเป้าหมายเดียวกันช่วยจัดการให้มันก็คงจะดีไม่น้อย
ที่โรงพยาบาล สิรินภามาเฝ้าไข้ผู้ชายที่มาสลบหน้าบ้านและเธอกับอบเชยก็ช่วยพาเขามาส่งโรงพยาบาล จากสภาพเมื่อคืนก็อดคิดไม่ตกว่าอาการเขาคงจะหนักน่าดูแต่พอได้ฟังคำอธิบายจากหมอเจ้าของไข้ ความกังวลก็หายไป
ร่างที่นอนนิ่งบนเตียงจู่ๆ ก็เริ่มขยับตัวก่อนจะปล่อยเสียงอู้อี้ในลำคอ จากนั้นไม่นานเปลือกตาคู่นั้นก็เปิดออก สิรินภาลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงมายืนมองเขาที่เตียง
“ฟื้นแล้วหรือคะ”
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
คำถามนั้นดูอ่อนล้าแต่หญิงสาวก็ยิ้มแล้วตอบกลับไป
“คุณมาสลบหน้าบ้านค่ะ เราเลยพาคุณมาส่งโรงพยาบาลแต่คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ หมอบอกว่าอาการของคุณไม่น่าเป็นห่วงแค่ฟกช้ำตามร่างกาย สังเกตอาการสักวันก็กลับบ้านได้แล้วค่ะ”
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยไว้ ถ้าไม่ได้คุณป่านนี้ผมคงตายไปแล้ว”
สิรินภาพยักหน้าแล้วถามต่อ
“เออ แล้วคุณจะแจ้งความไหมคะ”
“ไม่ครับ ผมไม่แจ้งหรอกเพราะผมรู้ว่าพวกมันเป็นใคร”
คนพูดสีหน้าดูนิ่งขรึมจนหญิงสาวรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายและจิตใจของเขาตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะคิดถึงอะไรทั้งนั้น
“คุยอยู่ตั้งนานยังไม่แนะนำตัวให้คุณรู้จักเลย ผมชื่อเกษมศักดิ์ครับ” เกษมศักดิ์ส่งยิ้มให้
“ฉันสิรินภาค่ะ” ตอบน้ำเสียงอ่อนโยนเห็นเขายิ้มกลับมา
“ชื่อเพราะดีครับ แต่หิวน้ำจังเลย คุณสิรินภาช่วยรินน้ำให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” เกษมศักดิ์เอ่ยเสียงแหบ นับว่าการลงทุนให้ตัวเองเจ็บตัวครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด ไม่เพียงได้รู้จักแต่ยังได้รู้อีกว่าผู้หญิงหน้าตาจืดๆ แถมมีลูกติดอย่างสิรินภาคนนี้ก็มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่น่าละ ผู้ชายเย่อหยิ่งทะนงตัวในเกียรติอย่างเมฆาถึงติดใจ
“ถ้าคุณดีขึ้นแล้ว ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ คุณจะได้พักผ่อน”
หญิงสาวเอ่ยหลังจากที่รอให้เขาดื่มน้ำจนหมดแก้ว เธอรับแก้วน้ำจากมือชายหนุ่มก่อนจะเอามาวางที่เดิมเอียงหน้าคุยกับเกษมศักดิ์ต่อ “ถ้าคุณต้องการอะไรก็บอกพยาบาลหน้าห้องได้นะคะ”
“ครับ”
ปากอิ่มยิ้มเล็กน้อย เดินมาหยิบกระเป๋าเป้พาดบ่าไว้ หันมาสบตาเกษมศักดิ์เป็นการส่งท้ายก่อนประตูห้องพักฟื้นจะถูกปิดสนิท
เกษมศักดิ์ที่นั่งพิงหมอนอย่างนิ่งๆ รีบหยิบมือถือที่วางตรงโต๊ะข้างก่อนจะกดโทรหาลูกน้องคนสนิท
‘เหยื่อออกไปแล้ว ตามสะกดรอยสิรินภาไว้ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมากลโทรหาฉันได้เลยนะ’ เอ่ยจบก็วางสายแล้วแสยะยิ้มอย่างมีแผน
ด้านล่างสิรินภาเพิ่งวางสายหลังจากอบเชยโทรมาถามไถ่ถึงอาการของผู้ชายคนนั้นและเธอก็เล่าให้ฟังอย่างละเอียดเพราะรู้ดีว่าถ้าเล่าไม่หมดก็จะถูกซักถามอีก สิรินภาเก็บมือถือใส่กระเป๋าหลังจากที่การสนทนาผ่านระบบสื่อสารจบลง วันนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือการไปรายงานตัวกับเจ้านายว่าพร้อมทำงานแล้วแต่บางอย่างก็ทำให้ประหลาดใจ
“พี่กล้า”
สิรินภามองจ้องไปที่ใบหน้าคนมีหนวดซึ่งกำลังยิ้มมาแต่ไกล สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝันแต่นั่นคือความจริงและเขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
“นี่มาได้ยังไงคะ” ถามออกไปด้วยสายตางงงัน ความจริงเรื่องที่เธอช่วยชายแปลกหน้าจะรู้แค่คนในครอบครัว หรือว่า...
“พี่ตั้งใจจะมารับบีไปทำงานด้วยกันเลยไปหาที่บ้านแต่พี่อบบอกว่าบีอยู่โรงพยาบาล ว่าแต่คนที่บีช่วยชีวิตไว้นั้นอาการเป็นไงบ้าง หนักไหม”
ชัดเจนด้วยคำพูดของยอดกล้า การมาของเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เพราะได้รู้เรื่องราวมาจากคนที่บ้านเธอแล้วต่างหาก
“ไม่หนักค่ะ ตอนนี้ฟื้นแล้ว”
“ดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าบีไม่เข้าไปยุ่งกับเขาอีก เพราะเท่าที่ฟังจากพี่อบเล่า ผู้ชายคนนั้นดูไม่น่าไว้วางใจเลย คนดีที่ไหนจะมีเรื่องถึงขั้นเลือดตกยางออก ยังไงก็ต้องไม่ใช่คนดีแน่” ยอดกล้าออกความเห็นแต่ถูกหญิงสาวแย้ง
“พี่กล้าค่ะ นี่พี่จะมองคนในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า คนดีถูกรังแกก็มีถ่มไปค่ะ”
“โอเค งั้นพี่คงคิดมากเกินไปแต่วันนี้พี่ขอทำหน้าที่ขับรถไปส่งบีนะครับ” ยอดกล้าขอ พอเห็นอีกฝ่ายจ้องหน้านิ่งไม่ยอมให้คำตอบเขาก็เร่งเธอด้วยคำพูดและสายตาเศร้าซึม “นะครับ นะ”
เมฆากำลังทำหน้าที่ขับรถอยู่ ยอมรับว่าอารมณ์ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกยินดีเลยกับเรื่องที่ได้พูดคุย หลังการร่วมรับประทานอาหารมื้อเช้าจบลง สองครอบครัวต่างแยกย้ายกันโดยพ่อแม่ชิดชมเดินทางกลับสเปนทันทีส่วนเมฆินทร์กับพรรณนาก็กลับไปกับรถของที่บ้าน พลอยชมพูก็ขอปลีกตัวออกไปตั้งแต่การสนทนาของสองครอบครัวยังไม่ทันจบ จะเหลือก็แต่ชิดชมที่เขาต้องทำหน้าที่ไปส่งเธอที่ร้าน ร่างหนาเดินตามหญิงสาวมาถึงหน้าร้านก่อนจะเห็นเธอหันหน้ามายิ้มให้
“ขอบคุณคุณเมฆมากนะคะที่มาส่งและแต้วก็ต้องขอโทษคุณเมฆด้วยที่ทำให้อึดอัดใจ” ชิดชมว่าเห็นเขาจ้องมาเธอจึงพูดต่อ
“คือคุณพ่อคุณแม่ท่านเดินทางจากสเปนเพื่อมาเยี่ยมแต้วโดยเฉพาะ พอคุณพ่อของคุณเมฆทราบก็เลยโทรนัดทานข้าวด้วยกันแต่แต้วไม่รู้เลยค่ะว่าท่านจะคุยถึงเรื่องนี้ด้วย” ชิดชมบอกยิ้มเจื่อนๆ แต่สีหน้าอิดโรย ตั้งแต่ออกมาจนมาถึงร้านเค้ก เขายังไม่ปริปากพูดกับเธอสักคำนอกจากนั่งเงียบทำหน้านิ่งขรึมตลอดทาง
“ไม่เป็นครับ ผมเข้าใจ” เมฆาตอบเสียงอ่อน พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและคงถึงเวลาแล้วจริงๆที่เขาต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
“ส่วนเรื่องของเรา ถ้าคุณเมฆคิดว่าเราไม่...”
“ผมขอเวลาอีกสักเดือน”
ชิดชมอ้าปากค้างเพราะไม่เข้าใจว่าที่เจาพูดขอเวลาสักเดือนในความหมายนั้นคืออะไรและทำไมถึงต้องเป็นแบบนั้น
เมฆาหยิบมือเล็กขึ้นมากุม สายตาที่มองเธอบอกว่าเขารู้สึกผิดและเห็นใจผู้หญิงคนนี้ ในที่สุดความเห็นใจก็ทำให้เขาใจอ่อนจนได้
“ให้ผมจัดการเคลียร์เรื่องบางอย่างให้เสร็จก่อนแล้วผมจะแต่งงานกับคุณแต้วครับ”
“จริงนะคะ คุณเมฆจะแต่งงานกับแต้วจริงๆ นะเหรอคะ” เหมือนหูผึ่งไปจนชิดชมต้องถามใหม่อีกรอบ พอเขาพยักหน้าหญิงสาวก็คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะเข้ามากอดเขา
เมฆาไม่ได้ขัดขืนกลับยกมือขึ้นกอดเธอตอบ แต่สายตายังมีความสับสน
วิทยาเปิดประตูเข้ามาแทบร้องเฮ้ยเมื่อเจอเมฆายืนกอดอกอยู่ตรงหน้าแต่พอได้ยินเสียงพูดเท่านั้นแหละ ความตกใจเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นโมโหขึ้นสมองนิดๆ
“เป็นผีหรือไง มาสิงสถิตอยู่ได้ทุกวัน”
“อ้าว เพื่อนอุตสาห์เอาข้อมูลมาอัพเดตให้ยังจะว่าอีก” วิทยาพูดเดินมาหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่มรวดเดียวหมดขวด แล้วเดินมานั่งฟุบที่โซฟาโดยมีเพื่อนยืนมองตาไม่กะพริบ “แล้วนี่ไปกินอ้อยมาจากที่ไหนล่ะ หน้านี่ช้างตกมันชัดๆ” ยังมีอารมณ์ขันใส่เพื่อนแต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่เล่นด้วย
“อย่ากวนประสาท คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่”
“งั้นไว้อารมณ์ดีก่อนค่อยมาเล่าให้ฟัง” วิทยาพูดจบทำท่าจะลงแต่ถูกเพื่อนดักไว้ด้วยการกระทำหนึ่ง
“จะเล่าดีๆ หรือจะเอาไอ้นี่”
วิทยามองรีโมตแอร์ที่อยู่ในมือของเมฆา จากสีหน้าของอีกฝ่ายท่าทางมันจะเอาจริงหากยังกวนประสาทอยู่แบบนี้ ชายหนุ่มยิ้มขำก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แย่งรีโมตในมือเพื่อนมาถือไว้กันถูกของหลง
“โอเค เข้าเรื่องเลยนะ ฉันติดต่อผู้หญิงที่ชื่อสุรีย์ได้แล้ว ตอนนี้เธอใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศสกับสามีใหม่ ฐานะก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรอาศัยแค่สามีมีร้านอาหารเป็นของตัวเองแต่ข่าววงในบอกว่าร้านอาหารกำลังจะถูกธนาคารยึดในไม่ช้าเพราะสามีเธอไม่มีเงินไปจ่ายหนี้ให้ธนาคาร”
“งั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าฉันจะขอให้เธอช่วย” นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเขา ยิ่งชีวิตของสุรีย์มีปัญหามากเท่าไรโอกาสที่เธอจะรับข้อเสนอของเขามันก็มีมากขึ้น
“ก็คงต้องเป็นหน้าที่นายแล้วเพราะเรื่องนี้ฉันไม่ขอเข้าไปยุ่ง หน้าที่ของฉันคือหาข้อมูลให้แกเท่านั้น”
“ก็ดี งั้นเอาที่อยู่ของผู้หญิงคนนั้นมา ฉันจะให้เลขาของฉันเคลียร์ต่อ” เมฆายื่นมือขอ
วิทยามองหน้าเพื่อนแล้วส่ายหน้าเบาๆ ยอมรับว่าเรื่องนี้มันถลำลึกเกินไปแล้วโดยเฉพาะเพื่อนของเขาที่หัวใจและสมองเต็มไปด้วยความแค้น ความเจ็บปวดมันคงกัดกินหัวใจของเมฆาจนไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้อภัยอีกแล้วสินะ มือหนาของวิทยาวางลงไหล่กว้างของเพื่อนหนุ่ม
“เมฆา แกแน่ใจแล้วเหรอที่ทำแบบนี้ ความจริงฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยกับแกตั้งแต่ทีแรกแต่ที่ทำให้เพราะคิดว่าแกเป็นเพื่อน อีกอย่างชีวิตแกตอนนี้ก็ดีมาก ดีกว่าบีเป็นไหนๆ แกยังจะเอาอะไรกับบีอีก ไม่สงสารบีบ้างหรือไง”
“แกไม่เป็นฉันแกไม่เข้าใจหรอก”
“ใช่ ฉันไม่เข้าใจ เรื่องอกหักมันเป็นเรื่องธรรมดามาก ใครๆ เขาก๊อกหักกัน ไม่มีใครเขาคิดเอาคืนเหมือนแกหรอก”
“หนึ่งปีที่ฉันต้องจมปลักกับความเจ็บ ทุกวันที่ฉันต้องทนเดียวดาย ทุกคืนกับฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนฉัน ทุกครั้งที่หลับตา ภาพในอดีตยังตามมาให้ระลึกอยู่เสมอ และนี่” มือหนาถกชายเสื้อเชิ้ตขึ้นมาเผยให้เห็นแผลเป็นที่ท้องด้านขวา
“นอกจากจะเจ็บปวดกับคำโกหกหลอกลวง พอได้เจอกันมันน่าเจ็บใจยิ่งกว่าตรงที่รู้ว่าเงินสิบล้านที่เธอเอาไปคงเพื่อไปบำเรอผู้ชายคนนั้น ยอมแม้กระทั่งเป็นเมียน้อย ทำลายครอบครัวจนผัวเมียเขาต้องหย่าร้างกัน ผู้หญิงแบบนี้แกคิดว่ามันควรสงสารตรงไหน”
“ฉันคงไม่ได้คุยกับแกนานไปสินะ ถึงลืมไปว่าแกยังรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนี้” วิทยาเอ่ยแล้วลุกขึ้นก้าวเท้าจะเดินออกไปแต่สะดุดตรงคำพูดประโยคหนึ่งของเพื่อน
“แกไม่ช่วยฉันก็ไม่เป็นไร ต่อจากนี้ไปฉันจะลงมือด้วยตัวเอง ขออย่างเดียวอย่าขัดขวางฉัน อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกสิรินภาถ้าแกยังเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่” สิ้นคำพูดเท้าหนาขอวิทยาก็เดินออกไป เมฆาถอนหายหายใจพลางเอามือสองข้างขึ้นปิดหน้าตัวเอง
ขณะที่วิทยาปิดประตูออกมาแต่สะดุ้งตกใจกับคนที่เข้ามาสวมกอดอย่างรวดเร็ว พอตั้งสติก็เริ่มคุ้นกับเหตุการณ์นี้
“คุณนี่เอาอีกแล้วนะ”
เสียงนั้นทำเอาเอมมี่ที่กำลังกอดชายตรงหน้าเพราะคิดว่าเป็นเมฆาต้องเงยหน้ามองแล้วสะบัดตัวหนีออกห่างทันที
“ว้าย”
วิทยาไม่สนใจ มือหนาปิดประตูสนิท สายตามองจ้องที่ใบหน้าของเอมมี่
“ถ้าจะมาหาเพื่อนผมตอนนี้ ขอเตือนว่าให้มาวันหลัง เพราะเพื่อนผมกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่และอาจจะทำให้คุณเจ็บตัวได้” วิทยาไม่มีอารมณ์มาสนุกกับเธอด้วยจึงแค่อยากเตือนอีกฝ่าย
เอมมี่ยืนนิ่งกำลังคิดว่าจะตัดสินใจยังไงดี เพราะตอนแรกเธอตั้งใจมาหาเมฆาแล้วใช้มารยาหญิงทำให้เขาสนใจเธอให้ได้แต่พอมาเป็นแบบนี้ก็ถึงกับคิดหนัก
“อะไรกัน ที่คุยกันหน้าห้องน้ำยังไม่ทำให้เธอคิดได้อีกเหรอว่าไม่ควรมายุ่งกับพี่ชายของฉัน”
เอมมี่กับวิทยาหันไปมองตามเสียงเห็นพลอยชมพูยืนมองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ ฝ่ายเอมมี่ที่รู้สึกว่าฤกษ์ไม่ดีแล้วจึงปลีกตัวเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร
เอมมี่เบ้ปากส่งสายตามาทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย เพิ่งสังเกตอย่างถนัดตาถึงกับยิ้มออกมา เดินมาควงแขนทันที
พลอยชมพูมองกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องดื่มก่อนจะเลื่อนสายตามองยังหนุ่มตรงหน้าที่เธอพามาหาอะไรดื่มแก้เซ็งเพราะเห็นจากสีหน้าหมองเศร้าของวิทยาแล้วจึงคิดไปว่าน่าจะมีปัญหาอะไรกับพี่ชายเธอ
“พี่วิทย์ กลับเมืองไทยมาตั้งแต่เมื่อไรคะ” เอ่ยขึ้นมา เห็นเขาส่งสายตามามองอดดีใจไม่ได้เพราะวิทยาคนนี้เดิมคือคนที่หญิงสาวแอบชอบอยู่
“สักพักแล้วละ นี่พลอยมาหาไอ้เมฆหรือ”
“ค่ะ ว่าจะมาคุยเรื่องแต่งงานของพี่เมฆ” พลอยชมพูว่าเสียงเรียบ มือหยิบแก้วชาเย็นขึ้นดื่มแล้วแทบสำลักกับคำพูดกึ่งตกใจตื่นของวิทยา
“แต่งงาน” วิทยาทวน เบิกตาด้วยความตกใจเห็นพลอยชมพูหัวเราะ
“ทำไมต้องทำเสียงตกใจแบบนั้นด้วยล่ะคะ” พลอยชมพูว่ายิ้มๆ ก่อนจะอธิบาย
“พี่วิทย์คงไม่รู้ว่าพี่เมฆกำลังจะแต่งงานกับพี่แต้วซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพลอยเองค่ะ และวันนี้เราทั้งสองครอบครัวก็คุยถึงเรื่องนี้กันแล้วด้วย” พลอยชมพูเอ่ยด้วยใบหน้าเบิกบานผิดกับคนที่ฟังถึงกับทำหน้าไม่ถูก
วิทยานิ่ง จุกจนพูดไม่ออกมันเป็นแบบนี้นี่เอง และยิ่งไม่เข้าใจเมฆาเข้าไปอีกว่าทำไมต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่านี้ในเมื่อตัวเองก็มีผู้หญิงที่จะแต่งงานแล้วด้วย
“พี่วิทย์ค่ะ พี่วิทย์” พลอยชมพูเรียก พอเห็นวิทยาสะดุ้งก็ชักสงสัยจนต้องถามออกไป
“พี่วิทย์คิดอะไรอยู่คะ”
“เออ เปล่าพี่แค่ไม่คิดว่าไอ้เมฆจะแต่งงานกับใครเขาได้”
“ทำไมพี่วิทย์ถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ อ๋อ คงคิดว่าพี่เมฆจะยังไม่ลืมผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมคะ”
วิทยาพยักหน้า
“พี่วิทย์สบายใจได้เลยค่ะ พี่เมฆนะเกลียดผู้หญิงคนนั้นออกจะตายไป ไม่อย่างนั้นคงไม่คิดแก้แค้นเอาคืนแบบนี้หรอก”
“นี่พลอยก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ” เผลอปากถามออกไปในทันทีเพราะคิดว่าเรื่องนี้จะมีใครอีกที่รู้
“เอ๊ะ พี่วิทย์พูดแบบนี้อย่าบอกนะว่าพี่วิทย์ก็รู้เรื่องนี้ด้วยนะ” พลอยชมพูถามสวนมาทันที ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีใครอีกที่รู้
ทั้งสองมองสบตากันอย่างที่ไม่รู้จะพูดอะไรกัน
ส่วนที่ขาดหาย
เมฆาตื่นเช้ามาอยู่ในชุดทำงานพร้อมออกจากคอนโด แม้เรื่องของสิรินภายังคาราคาซังอยู่แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบ เขาจึงไม่อาจละเลยงานที่ได้รับมอบหมายได้
ประตูบานหนาเปิดออกอย่างเรียบเรื่อยแล้วจะอ้าค้างไว้อย่างนั้นด้วยตรงหน้าเขาตอนนี้มีร่างผู้หญิงสองคนยืนคอยอยู่
“พลอย คุณแต้ว” คิ้วโค้งขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจกระทั่งตอนนี้ทุกอย่างปรากฏอย่างชัดเจน การที่สองสาวมาพบเขาถึงที่คอนโดเพราะต้องการพาไปร่วมรับประทานอาหารมื้อเช้ากับสองครอบครัวซึ่งไม่รู้ใครเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องนี้ เมฆานั่งหน้านิ่งฟังคนอื่นๆ พูดคุยกัน
“วันนี้ดีจริงๆ ที่เราสองครอบครัวได้ออกมาทานข้าวกันนอกบ้าน” เสียงวิทวามารดาของชิดชมเอ่ยขึ้น หันมายิ้มให้อรุณผู้เป็นสามีก่อนจะแพร่ยิ้มกระจายไปทั่วคนรอบข้าง
“แล้วนี่สุขภาพของคุณเมฆินทร์เป็นยังไงบ้างครับ” อรุณถามขึ้น
“ก็ดีขึ้นมากครับ” เมฆินทร์ตอบเลื่อนสายตามามองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างฝั่งซ้ายถัดจากที่นั่งของพรรณนา
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจะหาหมอมารักษาคุณคือผมรู้จักหมอเก่งๆ อยู่หลายคน คิดว่าถ้าคุณเมฆินทร์ได้ทำกายภาพกับหมอดีๆ โอกาสจะกลับมาเดินได้ปกติคงไม่ยาก”
“คนอัมพฤตอย่างผมคงไม่คาดหวังอะไรอีกแล้ว ที่หวังอยู่ตอนนี้ก็เห็นจะเป็นเรื่องของลูกชาย”
เมฆาสะอึกเล็กน้อยและคิดไว้แล้วว่าการนัดพบกันวันนี้คงไม่ใช่แค่อยากพูดคุยตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอะกันมานานหากแต่มีเรื่องสานสัมพันธ์ของสองครอบครัวเข้ามาเกี่ยวด้วย
“นั่นสิคะ ทางนี้ก็รออยู่นะว่าเมื่อไรคุณเมฆินทร์จะมาสู่ขอลูกแต้วให้กับตาเมฆซะที” วิทวาแทรกแล้วหัวเราะ หันมาทางลูกที่นั่งอายม้วนอยู่ข้างๆ
“แม่ค่ะ” ชิดชมหน้าแดง สายตาเลื่อนไปหาเมฆาเห็นนั่งนิ่งไม่โต้ตอบอะไร
เมฆาเดินออกมาจากห้องน้ำแต่เจอพลอยชมพูดักรออยู่หน้าห้อง แววตาที่มองมาหาเขานั้นบอกชัดว่าต้องมีเรื่องจะคุยกับเขาแน่ๆ
“พลอยรู้นะคะว่าพี่เมฆกำลังคิดอะไรอยู่” พลอยชมพูพูดขึ้น อีกฝ่ายถามมาเสียงเรียบ
“พลอยจะรู้ใจพี่ได้ยังไง”
“ก็พลอยเป็นน้องพี่ และพลอยก็กุมความลับของพี่อยู่ หวังว่าพี่เมฆคงไม่คิดจริงจังกับผู้หญิงคนนั้นอีกนะคะเพราะพลอยอุตส่าห์เชื่อใจยอมให้พี่ได้แก้แค้นสมใจแล้ว พี่เมฆอย่าทำให้พลอยผิดหวังนะ” พลอยชมพูเอ่ย ใจเธอตอนนี้ชักหวั่นๆ ขึ้นมาแล้วกลัวมดจะอดใจไม่ไหวคาบน้ำตาลเม็ดนั้นขึ้นมาอีก เมื่อถ่านไฟเก่ามันช่างร้อนแรงนัก
การสนทนาจบลงเมื่อมีมือที่สามโผล่มา พลอยชมพูไม่คิดว่าโลกมันจะกลมหากมาทานอาหารร้านนี้แล้วจะเจอยัยแม่หม้ายกินผัวคนนี้
“ว้าย เมฆ ดีใจจังที่เจอคุณที่นี่ เอมมี่คิดถึงคุณมากเลยนะคะ” เอมมี่โผเข้ากอดอย่างลืมตัวก่อนสายตาจะปะทะกับพลอยชมพูน้องสาวสุดแสบของเขา
“คุณหายไปเลยนะ” เมฆาถามเป็นมารยาทและเพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถามของน้องสาว พยายามดึงร่างเอมมี่ออกห่างตัวเพราะไม่ค่อยชอบนักกับการถึงเนื้อถึงตัวของหญิงสาว
“เอมมี่ต้องไปจัดการเรื่องพินัยกรรมนะคะ เคลียร์ตั้งหลายวันกว่าจะลงตัว”
“คงได้มาเยอะสินะ” พลอยชมพูแทรกขึ้น มองเอมมี่ด้วยสายตาชิงชังแกมขยะแขยง ผู้หญิงที่แต่งงานเพื่อหวังหุบสมบัติต่อให้ใส่ตะกร้าล้างน้ำแล้วยกใส่พานถวายก็คงไม่สามารถลบรอยราคีของตัวเองได้
“พลอย” เมฆาปรามไม่อยากให้มีปากเสียงกันเพราะมันจะเสียด้วยกันทั้งสองฝ่ายเมื่อต่างก็เป็นที่รู้จักของคนในสังคม ไหนจะนักข่าวที่หูตาไวยิ่งกว่าสี่จีอีก
“วันนี้คงไม่สะดวกถ้าเราจะคุยกัน เอาไว้ผมโทรหาละกัน” เมฆาตัดบทแล้วเดินจากไป
“เออ เมฆค่ะ” เอมมี่จะเดินตามแต่พลอยชมพูมายืนขวางไว้
“เลิกตื้อพี่ชายฉันได้แล้วนะ คงไม่รู้ละสิว่าตอนนี้พี่เมฆเขามีผู้หญิงคนใหม่แล้ว” พลอยชมพูพูดเป็นนัยๆ แสยะยิ้มเมื่อเห็นเอมมี่ทำหน้าตกใจ แน่ละ ผู้หญิงคนนี้คิดจะจับพี่ชายเธอตั้งแต่แรกแต่เสียใจด้วยนะที่แผนการล่มไม่เป็นท่า เท้าเล็กขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยกระซิบ
“อยากรู้ไหมล่ะว่าเป็นใคร” แม้จะไม่ชอบหน้าแม่นี่สักเท่าไรแต่การที่เธอจะเข้าไปจัดการกับผู้หญิงที่เป็นแฟนเก่าของพี่ชายนั่นมันอาจดูไม่ดีในสายตาของใคร หากเปลี่ยนให้ศัตรูที่มีเป้าหมายเดียวกันช่วยจัดการให้มันก็คงจะดีไม่น้อย
ที่โรงพยาบาล สิรินภามาเฝ้าไข้ผู้ชายที่มาสลบหน้าบ้านและเธอกับอบเชยก็ช่วยพาเขามาส่งโรงพยาบาล จากสภาพเมื่อคืนก็อดคิดไม่ตกว่าอาการเขาคงจะหนักน่าดูแต่พอได้ฟังคำอธิบายจากหมอเจ้าของไข้ ความกังวลก็หายไป
ร่างที่นอนนิ่งบนเตียงจู่ๆ ก็เริ่มขยับตัวก่อนจะปล่อยเสียงอู้อี้ในลำคอ จากนั้นไม่นานเปลือกตาคู่นั้นก็เปิดออก สิรินภาลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงมายืนมองเขาที่เตียง
“ฟื้นแล้วหรือคะ”
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
คำถามนั้นดูอ่อนล้าแต่หญิงสาวก็ยิ้มแล้วตอบกลับไป
“คุณมาสลบหน้าบ้านค่ะ เราเลยพาคุณมาส่งโรงพยาบาลแต่คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ หมอบอกว่าอาการของคุณไม่น่าเป็นห่วงแค่ฟกช้ำตามร่างกาย สังเกตอาการสักวันก็กลับบ้านได้แล้วค่ะ”
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยไว้ ถ้าไม่ได้คุณป่านนี้ผมคงตายไปแล้ว”
สิรินภาพยักหน้าแล้วถามต่อ
“เออ แล้วคุณจะแจ้งความไหมคะ”
“ไม่ครับ ผมไม่แจ้งหรอกเพราะผมรู้ว่าพวกมันเป็นใคร”
คนพูดสีหน้าดูนิ่งขรึมจนหญิงสาวรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายและจิตใจของเขาตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะคิดถึงอะไรทั้งนั้น
“คุยอยู่ตั้งนานยังไม่แนะนำตัวให้คุณรู้จักเลย ผมชื่อเกษมศักดิ์ครับ” เกษมศักดิ์ส่งยิ้มให้
“ฉันสิรินภาค่ะ” ตอบน้ำเสียงอ่อนโยนเห็นเขายิ้มกลับมา
“ชื่อเพราะดีครับ แต่หิวน้ำจังเลย คุณสิรินภาช่วยรินน้ำให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” เกษมศักดิ์เอ่ยเสียงแหบ นับว่าการลงทุนให้ตัวเองเจ็บตัวครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด ไม่เพียงได้รู้จักแต่ยังได้รู้อีกว่าผู้หญิงหน้าตาจืดๆ แถมมีลูกติดอย่างสิรินภาคนนี้ก็มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่น่าละ ผู้ชายเย่อหยิ่งทะนงตัวในเกียรติอย่างเมฆาถึงติดใจ
“ถ้าคุณดีขึ้นแล้ว ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ คุณจะได้พักผ่อน”
หญิงสาวเอ่ยหลังจากที่รอให้เขาดื่มน้ำจนหมดแก้ว เธอรับแก้วน้ำจากมือชายหนุ่มก่อนจะเอามาวางที่เดิมเอียงหน้าคุยกับเกษมศักดิ์ต่อ “ถ้าคุณต้องการอะไรก็บอกพยาบาลหน้าห้องได้นะคะ”
“ครับ”
ปากอิ่มยิ้มเล็กน้อย เดินมาหยิบกระเป๋าเป้พาดบ่าไว้ หันมาสบตาเกษมศักดิ์เป็นการส่งท้ายก่อนประตูห้องพักฟื้นจะถูกปิดสนิท
เกษมศักดิ์ที่นั่งพิงหมอนอย่างนิ่งๆ รีบหยิบมือถือที่วางตรงโต๊ะข้างก่อนจะกดโทรหาลูกน้องคนสนิท
‘เหยื่อออกไปแล้ว ตามสะกดรอยสิรินภาไว้ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมากลโทรหาฉันได้เลยนะ’ เอ่ยจบก็วางสายแล้วแสยะยิ้มอย่างมีแผน
ด้านล่างสิรินภาเพิ่งวางสายหลังจากอบเชยโทรมาถามไถ่ถึงอาการของผู้ชายคนนั้นและเธอก็เล่าให้ฟังอย่างละเอียดเพราะรู้ดีว่าถ้าเล่าไม่หมดก็จะถูกซักถามอีก สิรินภาเก็บมือถือใส่กระเป๋าหลังจากที่การสนทนาผ่านระบบสื่อสารจบลง วันนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือการไปรายงานตัวกับเจ้านายว่าพร้อมทำงานแล้วแต่บางอย่างก็ทำให้ประหลาดใจ
“พี่กล้า”
สิรินภามองจ้องไปที่ใบหน้าคนมีหนวดซึ่งกำลังยิ้มมาแต่ไกล สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝันแต่นั่นคือความจริงและเขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
“นี่มาได้ยังไงคะ” ถามออกไปด้วยสายตางงงัน ความจริงเรื่องที่เธอช่วยชายแปลกหน้าจะรู้แค่คนในครอบครัว หรือว่า...
“พี่ตั้งใจจะมารับบีไปทำงานด้วยกันเลยไปหาที่บ้านแต่พี่อบบอกว่าบีอยู่โรงพยาบาล ว่าแต่คนที่บีช่วยชีวิตไว้นั้นอาการเป็นไงบ้าง หนักไหม”
ชัดเจนด้วยคำพูดของยอดกล้า การมาของเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เพราะได้รู้เรื่องราวมาจากคนที่บ้านเธอแล้วต่างหาก
“ไม่หนักค่ะ ตอนนี้ฟื้นแล้ว”
“ดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าบีไม่เข้าไปยุ่งกับเขาอีก เพราะเท่าที่ฟังจากพี่อบเล่า ผู้ชายคนนั้นดูไม่น่าไว้วางใจเลย คนดีที่ไหนจะมีเรื่องถึงขั้นเลือดตกยางออก ยังไงก็ต้องไม่ใช่คนดีแน่” ยอดกล้าออกความเห็นแต่ถูกหญิงสาวแย้ง
“พี่กล้าค่ะ นี่พี่จะมองคนในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า คนดีถูกรังแกก็มีถ่มไปค่ะ”
“โอเค งั้นพี่คงคิดมากเกินไปแต่วันนี้พี่ขอทำหน้าที่ขับรถไปส่งบีนะครับ” ยอดกล้าขอ พอเห็นอีกฝ่ายจ้องหน้านิ่งไม่ยอมให้คำตอบเขาก็เร่งเธอด้วยคำพูดและสายตาเศร้าซึม “นะครับ นะ”
เมฆากำลังทำหน้าที่ขับรถอยู่ ยอมรับว่าอารมณ์ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกยินดีเลยกับเรื่องที่ได้พูดคุย หลังการร่วมรับประทานอาหารมื้อเช้าจบลง สองครอบครัวต่างแยกย้ายกันโดยพ่อแม่ชิดชมเดินทางกลับสเปนทันทีส่วนเมฆินทร์กับพรรณนาก็กลับไปกับรถของที่บ้าน พลอยชมพูก็ขอปลีกตัวออกไปตั้งแต่การสนทนาของสองครอบครัวยังไม่ทันจบ จะเหลือก็แต่ชิดชมที่เขาต้องทำหน้าที่ไปส่งเธอที่ร้าน ร่างหนาเดินตามหญิงสาวมาถึงหน้าร้านก่อนจะเห็นเธอหันหน้ามายิ้มให้
“ขอบคุณคุณเมฆมากนะคะที่มาส่งและแต้วก็ต้องขอโทษคุณเมฆด้วยที่ทำให้อึดอัดใจ” ชิดชมว่าเห็นเขาจ้องมาเธอจึงพูดต่อ
“คือคุณพ่อคุณแม่ท่านเดินทางจากสเปนเพื่อมาเยี่ยมแต้วโดยเฉพาะ พอคุณพ่อของคุณเมฆทราบก็เลยโทรนัดทานข้าวด้วยกันแต่แต้วไม่รู้เลยค่ะว่าท่านจะคุยถึงเรื่องนี้ด้วย” ชิดชมบอกยิ้มเจื่อนๆ แต่สีหน้าอิดโรย ตั้งแต่ออกมาจนมาถึงร้านเค้ก เขายังไม่ปริปากพูดกับเธอสักคำนอกจากนั่งเงียบทำหน้านิ่งขรึมตลอดทาง
“ไม่เป็นครับ ผมเข้าใจ” เมฆาตอบเสียงอ่อน พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและคงถึงเวลาแล้วจริงๆที่เขาต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
“ส่วนเรื่องของเรา ถ้าคุณเมฆคิดว่าเราไม่...”
“ผมขอเวลาอีกสักเดือน”
ชิดชมอ้าปากค้างเพราะไม่เข้าใจว่าที่เจาพูดขอเวลาสักเดือนในความหมายนั้นคืออะไรและทำไมถึงต้องเป็นแบบนั้น
เมฆาหยิบมือเล็กขึ้นมากุม สายตาที่มองเธอบอกว่าเขารู้สึกผิดและเห็นใจผู้หญิงคนนี้ ในที่สุดความเห็นใจก็ทำให้เขาใจอ่อนจนได้
“ให้ผมจัดการเคลียร์เรื่องบางอย่างให้เสร็จก่อนแล้วผมจะแต่งงานกับคุณแต้วครับ”
“จริงนะคะ คุณเมฆจะแต่งงานกับแต้วจริงๆ นะเหรอคะ” เหมือนหูผึ่งไปจนชิดชมต้องถามใหม่อีกรอบ พอเขาพยักหน้าหญิงสาวก็คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะเข้ามากอดเขา
เมฆาไม่ได้ขัดขืนกลับยกมือขึ้นกอดเธอตอบ แต่สายตายังมีความสับสน
วิทยาเปิดประตูเข้ามาแทบร้องเฮ้ยเมื่อเจอเมฆายืนกอดอกอยู่ตรงหน้าแต่พอได้ยินเสียงพูดเท่านั้นแหละ ความตกใจเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นโมโหขึ้นสมองนิดๆ
“เป็นผีหรือไง มาสิงสถิตอยู่ได้ทุกวัน”
“อ้าว เพื่อนอุตสาห์เอาข้อมูลมาอัพเดตให้ยังจะว่าอีก” วิทยาพูดเดินมาหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่มรวดเดียวหมดขวด แล้วเดินมานั่งฟุบที่โซฟาโดยมีเพื่อนยืนมองตาไม่กะพริบ “แล้วนี่ไปกินอ้อยมาจากที่ไหนล่ะ หน้านี่ช้างตกมันชัดๆ” ยังมีอารมณ์ขันใส่เพื่อนแต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่เล่นด้วย
“อย่ากวนประสาท คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่”
“งั้นไว้อารมณ์ดีก่อนค่อยมาเล่าให้ฟัง” วิทยาพูดจบทำท่าจะลงแต่ถูกเพื่อนดักไว้ด้วยการกระทำหนึ่ง
“จะเล่าดีๆ หรือจะเอาไอ้นี่”
วิทยามองรีโมตแอร์ที่อยู่ในมือของเมฆา จากสีหน้าของอีกฝ่ายท่าทางมันจะเอาจริงหากยังกวนประสาทอยู่แบบนี้ ชายหนุ่มยิ้มขำก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แย่งรีโมตในมือเพื่อนมาถือไว้กันถูกของหลง
“โอเค เข้าเรื่องเลยนะ ฉันติดต่อผู้หญิงที่ชื่อสุรีย์ได้แล้ว ตอนนี้เธอใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศสกับสามีใหม่ ฐานะก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรอาศัยแค่สามีมีร้านอาหารเป็นของตัวเองแต่ข่าววงในบอกว่าร้านอาหารกำลังจะถูกธนาคารยึดในไม่ช้าเพราะสามีเธอไม่มีเงินไปจ่ายหนี้ให้ธนาคาร”
“งั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าฉันจะขอให้เธอช่วย” นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเขา ยิ่งชีวิตของสุรีย์มีปัญหามากเท่าไรโอกาสที่เธอจะรับข้อเสนอของเขามันก็มีมากขึ้น
“ก็คงต้องเป็นหน้าที่นายแล้วเพราะเรื่องนี้ฉันไม่ขอเข้าไปยุ่ง หน้าที่ของฉันคือหาข้อมูลให้แกเท่านั้น”
“ก็ดี งั้นเอาที่อยู่ของผู้หญิงคนนั้นมา ฉันจะให้เลขาของฉันเคลียร์ต่อ” เมฆายื่นมือขอ
วิทยามองหน้าเพื่อนแล้วส่ายหน้าเบาๆ ยอมรับว่าเรื่องนี้มันถลำลึกเกินไปแล้วโดยเฉพาะเพื่อนของเขาที่หัวใจและสมองเต็มไปด้วยความแค้น ความเจ็บปวดมันคงกัดกินหัวใจของเมฆาจนไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้อภัยอีกแล้วสินะ มือหนาของวิทยาวางลงไหล่กว้างของเพื่อนหนุ่ม
“เมฆา แกแน่ใจแล้วเหรอที่ทำแบบนี้ ความจริงฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยกับแกตั้งแต่ทีแรกแต่ที่ทำให้เพราะคิดว่าแกเป็นเพื่อน อีกอย่างชีวิตแกตอนนี้ก็ดีมาก ดีกว่าบีเป็นไหนๆ แกยังจะเอาอะไรกับบีอีก ไม่สงสารบีบ้างหรือไง”
“แกไม่เป็นฉันแกไม่เข้าใจหรอก”
“ใช่ ฉันไม่เข้าใจ เรื่องอกหักมันเป็นเรื่องธรรมดามาก ใครๆ เขาก๊อกหักกัน ไม่มีใครเขาคิดเอาคืนเหมือนแกหรอก”
“หนึ่งปีที่ฉันต้องจมปลักกับความเจ็บ ทุกวันที่ฉันต้องทนเดียวดาย ทุกคืนกับฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนฉัน ทุกครั้งที่หลับตา ภาพในอดีตยังตามมาให้ระลึกอยู่เสมอ และนี่” มือหนาถกชายเสื้อเชิ้ตขึ้นมาเผยให้เห็นแผลเป็นที่ท้องด้านขวา
“นอกจากจะเจ็บปวดกับคำโกหกหลอกลวง พอได้เจอกันมันน่าเจ็บใจยิ่งกว่าตรงที่รู้ว่าเงินสิบล้านที่เธอเอาไปคงเพื่อไปบำเรอผู้ชายคนนั้น ยอมแม้กระทั่งเป็นเมียน้อย ทำลายครอบครัวจนผัวเมียเขาต้องหย่าร้างกัน ผู้หญิงแบบนี้แกคิดว่ามันควรสงสารตรงไหน”
“ฉันคงไม่ได้คุยกับแกนานไปสินะ ถึงลืมไปว่าแกยังรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนี้” วิทยาเอ่ยแล้วลุกขึ้นก้าวเท้าจะเดินออกไปแต่สะดุดตรงคำพูดประโยคหนึ่งของเพื่อน
“แกไม่ช่วยฉันก็ไม่เป็นไร ต่อจากนี้ไปฉันจะลงมือด้วยตัวเอง ขออย่างเดียวอย่าขัดขวางฉัน อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกสิรินภาถ้าแกยังเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่” สิ้นคำพูดเท้าหนาขอวิทยาก็เดินออกไป เมฆาถอนหายหายใจพลางเอามือสองข้างขึ้นปิดหน้าตัวเอง
ขณะที่วิทยาปิดประตูออกมาแต่สะดุ้งตกใจกับคนที่เข้ามาสวมกอดอย่างรวดเร็ว พอตั้งสติก็เริ่มคุ้นกับเหตุการณ์นี้
“คุณนี่เอาอีกแล้วนะ”
เสียงนั้นทำเอาเอมมี่ที่กำลังกอดชายตรงหน้าเพราะคิดว่าเป็นเมฆาต้องเงยหน้ามองแล้วสะบัดตัวหนีออกห่างทันที
“ว้าย”
วิทยาไม่สนใจ มือหนาปิดประตูสนิท สายตามองจ้องที่ใบหน้าของเอมมี่
“ถ้าจะมาหาเพื่อนผมตอนนี้ ขอเตือนว่าให้มาวันหลัง เพราะเพื่อนผมกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่และอาจจะทำให้คุณเจ็บตัวได้” วิทยาไม่มีอารมณ์มาสนุกกับเธอด้วยจึงแค่อยากเตือนอีกฝ่าย
เอมมี่ยืนนิ่งกำลังคิดว่าจะตัดสินใจยังไงดี เพราะตอนแรกเธอตั้งใจมาหาเมฆาแล้วใช้มารยาหญิงทำให้เขาสนใจเธอให้ได้แต่พอมาเป็นแบบนี้ก็ถึงกับคิดหนัก
“อะไรกัน ที่คุยกันหน้าห้องน้ำยังไม่ทำให้เธอคิดได้อีกเหรอว่าไม่ควรมายุ่งกับพี่ชายของฉัน”
เอมมี่กับวิทยาหันไปมองตามเสียงเห็นพลอยชมพูยืนมองด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ ฝ่ายเอมมี่ที่รู้สึกว่าฤกษ์ไม่ดีแล้วจึงปลีกตัวเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร
เอมมี่เบ้ปากส่งสายตามาทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย เพิ่งสังเกตอย่างถนัดตาถึงกับยิ้มออกมา เดินมาควงแขนทันที
พลอยชมพูมองกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องดื่มก่อนจะเลื่อนสายตามองยังหนุ่มตรงหน้าที่เธอพามาหาอะไรดื่มแก้เซ็งเพราะเห็นจากสีหน้าหมองเศร้าของวิทยาแล้วจึงคิดไปว่าน่าจะมีปัญหาอะไรกับพี่ชายเธอ
“พี่วิทย์ กลับเมืองไทยมาตั้งแต่เมื่อไรคะ” เอ่ยขึ้นมา เห็นเขาส่งสายตามามองอดดีใจไม่ได้เพราะวิทยาคนนี้เดิมคือคนที่หญิงสาวแอบชอบอยู่
“สักพักแล้วละ นี่พลอยมาหาไอ้เมฆหรือ”
“ค่ะ ว่าจะมาคุยเรื่องแต่งงานของพี่เมฆ” พลอยชมพูว่าเสียงเรียบ มือหยิบแก้วชาเย็นขึ้นดื่มแล้วแทบสำลักกับคำพูดกึ่งตกใจตื่นของวิทยา
“แต่งงาน” วิทยาทวน เบิกตาด้วยความตกใจเห็นพลอยชมพูหัวเราะ
“ทำไมต้องทำเสียงตกใจแบบนั้นด้วยล่ะคะ” พลอยชมพูว่ายิ้มๆ ก่อนจะอธิบาย
“พี่วิทย์คงไม่รู้ว่าพี่เมฆกำลังจะแต่งงานกับพี่แต้วซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพลอยเองค่ะ และวันนี้เราทั้งสองครอบครัวก็คุยถึงเรื่องนี้กันแล้วด้วย” พลอยชมพูเอ่ยด้วยใบหน้าเบิกบานผิดกับคนที่ฟังถึงกับทำหน้าไม่ถูก
วิทยานิ่ง จุกจนพูดไม่ออกมันเป็นแบบนี้นี่เอง และยิ่งไม่เข้าใจเมฆาเข้าไปอีกว่าทำไมต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่านี้ในเมื่อตัวเองก็มีผู้หญิงที่จะแต่งงานแล้วด้วย
“พี่วิทย์ค่ะ พี่วิทย์” พลอยชมพูเรียก พอเห็นวิทยาสะดุ้งก็ชักสงสัยจนต้องถามออกไป
“พี่วิทย์คิดอะไรอยู่คะ”
“เออ เปล่าพี่แค่ไม่คิดว่าไอ้เมฆจะแต่งงานกับใครเขาได้”
“ทำไมพี่วิทย์ถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ อ๋อ คงคิดว่าพี่เมฆจะยังไม่ลืมผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมคะ”
วิทยาพยักหน้า
“พี่วิทย์สบายใจได้เลยค่ะ พี่เมฆนะเกลียดผู้หญิงคนนั้นออกจะตายไป ไม่อย่างนั้นคงไม่คิดแก้แค้นเอาคืนแบบนี้หรอก”
“นี่พลอยก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ” เผลอปากถามออกไปในทันทีเพราะคิดว่าเรื่องนี้จะมีใครอีกที่รู้
“เอ๊ะ พี่วิทย์พูดแบบนี้อย่าบอกนะว่าพี่วิทย์ก็รู้เรื่องนี้ด้วยนะ” พลอยชมพูถามสวนมาทันที ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีใครอีกที่รู้
ทั้งสองมองสบตากันอย่างที่ไม่รู้จะพูดอะไรกัน
กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ต.ค. 2558, 22:18:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ต.ค. 2558, 22:18:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 979
<< บทที่ 7 ความสุขที่ไม่พึงปรารถนา | บทที่ 9 รักที่หลอกลวง >> |
Zephyr 17 ต.ค. 2558, 10:19:37 น.
พอแก้แค้นเสร็จ ก็จะมาเสียใจในสิ่งที่ทำไปสินะ
ทำก่อนคิด งั้นคิดก่อนดีมั้ย เมฆ
พอแก้แค้นเสร็จ ก็จะมาเสียใจในสิ่งที่ทำไปสินะ
ทำก่อนคิด งั้นคิดก่อนดีมั้ย เมฆ
กรงแก้ว 19 ต.ค. 2558, 02:56:31 น.
คนส่วนใหญ่ใช้อารมณ์มากกว่าความคิด ส่วนพระเอกเรื่องนี้ใช้สิ่งที่เห็นตัดสินใจนางเอกค่ะ ^^
คนส่วนใหญ่ใช้อารมณ์มากกว่าความคิด ส่วนพระเอกเรื่องนี้ใช้สิ่งที่เห็นตัดสินใจนางเอกค่ะ ^^