รักร้าวในแผลใจ
กลับมาอีกครั้งกับนิยายรัก (สีเทา)
คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง
รักร้าวในแผลใจ
รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น
หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ
ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ
ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl
คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง
รักร้าวในแผลใจ
รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น
หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ
ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ
ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 9 รักที่หลอกลวง
บทที่ 9
รักที่ลวงหลอก
การตกแต่งด้วยดอกไม้ให้เป็นสวนขนาดย่อมเสร็จสมบูรณ์ กลิ่นของไอริสโชยมาตามสายลม ละแวกนั้นมีกังหันที่ทำจากไม้กำลังหมุนใบพัดอย่างเป็นจังหวะ ไม่แค่นั้นยังมีชิงช้าผ้าที่เป็นตาข่ายผูกติดกับต้นไม้ใหญ่สองต้นไว้ให้ใครมานั่งอ่านหนังสือหรือนอนฟังเพลงเบาๆ ที่เด็ดขวานั้นคือศาลาไม้ยังมีน้ำตกขนาดหย่อมไว้สร้างบรรยากาศสุดชิวอีกด้วย
“ขอบคุณจริงๆ สำหรับมุมสวยๆ ของหลังร้าน คุณบีเก่งมากเลยค่ะ” ชิดชมชมจากใจ รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก คงต้องยอมรับว่าสิรินภาคนนี้เก่งจริงๆ แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมให้เก่งแค่คนเดียว
“ตัวชมแต่บี เขาล่ะไม่เห็นจะชมเลย”
เสียงยอดกล้าทำเอาชิดชมหัวเราะไม่แค่นั้นสิรินภาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พลอยหัวเราะตามด้วย เธอสั่นหน้าเบาๆ ให้กับคำพูดของเพื่อนหนุ่ม แกล้งพูดให้ช้ำใจเล่น
“อ้าวก็ไหนว่าไอเดียทั้งหมดนี้มาจากคุณบีไง”
“โธ่ ไอเดียบีก็จริงแต่เขาก็ลงมือทำอยู่นะ ตัวก็เห็นอยู่” ยอดกล้าว่า แอบทำน้ำเสียงน้อยใจ
สิรินภายังขำกับท่าทีแง่งอนของยอดกล้า หันมาทางชิดชมก็เห็นกำลังหัวเราะเบาๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคู่นี้จะมีโอกาสพัฒนาเป็นอย่างอื่นไหมนอกจากเพื่อนที่คอยห่วงใยกันเรื่อยมา ระหว่างที่ต่างกำลังขำขันอยู่นั้นเสียงมือถือสิรินภาก็ดังขึ้น รอยยิ้มหวานผุดขึ้นมาเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏในหน้าจอ
‘ค่ะ พี่อบ’ รับสายเสียงเรียบแต่แล้วรอยยิ้มเมื่อครู่ก็หุบลงไปแทบจะทันที
‘อะไรนะคะ ได้ค่ะ บีจะรีบกลับเดี๋ยวนี้’ นิ้วเรียวกดปุ่มวางสายอย่างสั่นๆ ทั้งสีหน้าและแววตาที่แสดงพลอยทำให้คนรอบข้างเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นหรือบี” ยอดกล้าถามมาด้วยความกังวล ยิ่งเห็นสีหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายก็ยิ่งกระวนกระวายอยากที่จะรู้เรื่องราว
สิรินภามองหน้าคนถาม แววตาเหมือนจะร้องไห้ให้ได้
ยอดกล้านั่งเหม่อที่ชิงช้าผ้าท่าทางเหมือนคนหมดแรงตรงหน้ามีร่างของเพื่อนสาวยืนมองอยู่ แม้ตรงนี้จะมีกลิ่นของไอริสโชยมา มีลมพัดเย็นสบาย ไหนจะน้ำตกขนาดหย่อมที่ให้ความจรรโลงใจ แต่ทั้งหมดที่มีอยู่โดยรอบกลับไม่ช่วยให้ยอดกล้ารู้สึกดีขึ้นมาเลย
“ทำไมทำหน้าหง่อยอย่างนั้นล่ะ คุณบีแค่กลับบ้านนะไม่ได้ไปไหนซะหน่อย” ชิดชมกล่าวขึ้น
“ก็มันน้อยใจนี่ มีเรื่องอะไรบีก็ไม่เคยเล่าให้ฟังเลย” ยอดกล้าบอก ตอนนี้รู้สึกไม่มีแรงและไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากหายใจทิ้ง ส่วนชิดชมเมื่อมองเห็นเพื่อนเศร้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เดินมานั่งข้างๆ แล้วมือหนึ่งก็ยกขึ้นโอบไหล่เพื่อนเอ่ยให้กำลังใจ
“เอาน่า คุณบีอาจมีเหตุผลที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้เพราะเรื่องบางเรื่องก็อยากให้เป็นเรื่องแค่คนในครอบครัว”
“แล้วแบบนี้เมื่อไรเขาจะได้เป็นคนในครอบครัวบีล่ะ” ยอดกล้าเอียงหน้าถามนัยน์ตาเศร้าๆ
สิรินภาก้าวเท้าลงจากแท็กซี่ที่เธอนั่งมาจากที่ร้านเค้กคุณแต้วก่อนจะวิ่งฉับๆ เข้าไปยังบ้านโทนสีฟ้าในท่าทีร้อนรน เมื่อมาถึงหน้าบ้านก็เห็นรถตู้จอดอยู่ยิ่งทำให้ความร้อนรนกระวนกระวายใจมีมากขึ้นเป็นทวี เท้าเล็กหยุดชะงักเมื่อเข้ามาถึงห้องโถงของบ้านก็เจอแขกคนสำคัญกำลังนั่งนิ่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขก ในบริเวณนั้นมีร่างของอบเชยนั่งอยู่ด้วยส่วนเด็กๆตอนนี้ยังไม่กลับมาจากโรงเรียน
“สวัสดีค่ะ” สิรินภาเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างอบเชย มองผู้หญิงที่แต่งตัวดีแถมการวางตัวก็ดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว
“เธอมาก็ดีแล้ว อย่างที่ฉันคุยกับพี่อบว่าฉันอยากพาตาหนูทั้งสามไปเที่ยวฝรั่งเศส เธอคงไม่ห้ามฉันใช่ไหม”ประโยคนั้นคนตอบค่อนข้างลำบากใจ เพราะจริงอย่างที่สุรีย์ว่าส่วนเธอเองก็เป็นเพียงแม่บุญธรรมของเด็กๆ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามการกระทำของคนที่เป็นแม่แท้ๆ
“ในเมื่อฉันเป็นแม่ของเด็กๆ และฉันก็อยากทำหน้าที่แม่ที่ดีให้พวกแกบ้าง ฉันรู้ว่าเธอเองก็รักเด็กๆ มาก ฉันก็เลยคิดว่าจะให้พี่อบไปกับเด็กๆ ด้วยเพื่อความสบายใจของเธอ” สุรีย์ว่า ส่วนตัวเข้าใจดีทุกอย่างเมื่อสิรินภาคนนี้ดูแลเด็กๆ มาและคิดว่าลูกๆ ของเธอก็คงรักผู้หญิงคนนี้มาก หากไม่เอาอบเชยไปด้วยเกรงว่าเด็กๆ จะไม่ยอมไปเที่ยวกับเธอง่ายๆ
“ถ้าคุณสุรีย์อยากพาเด็กๆ ไปเที่ยว บีก็ไม่ห้ามค่ะ เพราะบีก็เป็นแค่แม่เลี้ยงเท่านั้น” สิรินภาตอบ ทั้งที่ในใจรู้สึกหวั่นๆ กลัวมาตลอดว่าสักวันสุรีย์จะมารับเด็กๆ ไปเพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้
“พี่อบไปกับเด็กๆ นะคะ” สุดท้ายสิรินภาก็ต้องเอ่ยขอร้องกับอบเชย เธอแค่ไม่อยากให้เด็กๆ งอแงและที่สำคัญหญิงสาวจะได้เบาใจว่าสุรีย์คนนี้จะไม่กักเด็กๆ เอาไว้กับตัวเพราะถ้าเป็นเช่นนั้น หัวใจคนเป็นแม่อย่างเธอคงแตกสลาย
“แต่พี่ว่าบีน่าจะไปกับเด็กๆ นะ” อบเชยเสนอ ลอบมองหน้าสุรีย์ที่ยังคงปั้นหน้านิ่งเฉย
“ใครไปก็ได้ค่ะ สุรีย์แค่คิดถึงเด็กๆ และอยากเป็นแม่ที่ดีให้เด็กๆ สักครั้ง ยังไงก็ช่วยเห็นใจสุรีย์ด้วยเถอะค่ะ” สุรีย์เอ่ยสีหน้าเฉยชา
หลังจากการสนทนาจบลง สุรีย์เดินออกมาจากบ้านในสีหน้าที่ยิ้มแย้มโดยมีร่างของสิรินภาและอบเชยออกมาส่ง สุรีย์หันหน้ามาตอบทุกคนเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
“พรุ่งนี้สุรีย์จะมารับพี่อบกับเด็กๆ ไปเที่ยวนะคะ ส่วนเรื่องพาสปอร์ตและตั๋วเดินทางไม่ต้องเป็นห่วง สุรีย์จะจัดการให้ทั้งหมด” สุรีย์กล่าว รู้สึกโล่งใจที่สิรินภาปฏิเสธแต่ส่งอบเชยไปแทนซึ่งมันตรงตามที่เธอต้องการ หญิงสาวยกมือไหว้ลาอบเชยก่อนจะมุ่งหน้าตรงเข้าไปในนั่งรถตู้ซึ่งมีคนขับเปิดประตูรออยู่ก่อนแล้ว
“บี” อบเชยเรียก หลังรถของสุรีย์เคลื่อนตัวออกจากบ้านไปได้สักพัก ความรู้สึกตอนนี้คือไม่เข้าใจว่าทำไมสิรินภาถึงอยากให้เธอไปแทนที่จะเป็นตัวเอง
“บีไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ พี่อบไปกับเด็กๆ ก็ดีแล้ว เกิดเด็กๆ งอแงขึ้นมาจะได้ปลอบใจพวกแก”
“แล้วทำไมบีถึงไม่ไปเองล่ะ พี่ว่าถ้าบีไป สุรีย์จะได้เห็นไงว่าเด็กๆ ติดบีมากแค่ไหน”
สิรินภามองหน้าอบเชยอย่างเศร้าๆ เข้าใจดีว่าคำพูดนั้นเพื่อต้องการให้เธอใช้สิทธิ์การเลี้ยงดูเด็กๆ โดยที่แม่ผู้ให้กำเนิดนั้นแทบไม่สนใจเลย จากไปทั้งๆ ที่รู้ดีว่าตอนนั้นควรจะเป็นที่พึ่งให้กับเด็กๆ ทั้งสาม
พลอยชมพูลงจากรถในท่าทีเหนื่อยล้า ยอมรับว่าการทำงานตลอดทั้งวันเป็นเรื่องที่ไม่สนุกเลย อีกทั้งต้องรับผิดชอบงานเพิ่มจากเดิมอีกเท่าตัวก็ยิ่งรู้ซึ้ง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะวันนี้เธอต้องเข้าประชุมแทนเมฆาและต้องไปพบลูกค้าที่พี่ชายตัวดีนัดเป็นหมั่นเป็นเหมาะแต่เจ้าตัวกลับไม่รู้หายไปไหนพอถามจากเลขาหน้าห้องก็ได้คำตอบแบบไม่เป็นเอกฉันท์นัก
“พี่เมฆนะพี่เมฆ จะไปไหนมาไหนไม่บอกไม่กล่าว เดือดร้อนถึงพลอยจนได้” พลอยชมพูบ่นพึมพำลงจากรถแล้วโยนกุญแจให้คนขับรถที่วิ่งเข้ามารับไว้ได้ทัน แต่ไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าบ้านสายตาคู่สวยก็เหลือบไปเห็นรถคันคุ้นเคยจอดนิ่งอยู่ที่โรงพักรถ
“นั่นมันรถพี่เมฆนี่”
สระน้ำขนาดใหญ่ความลึกเท่าสองเมตรมีร่างหนึ่งกำลังว่ายไปมาท่าทางไม่รู้สึกร้อนใจอะไร ผิดกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามายืนรออย่างใจเย็นจนกระทั่งร่างหนาว่ายมาแตะขอบสระ
ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ถูกยื่นมาให้ เมฆาเงยหน้ามองแล้วยิ้มตอบก่อนจะขึ้นจากสระแล้วรับผ้าเช็ดตัวจากมือน้องสาวมาซับน้ำบนตัว
“พลอยไม่คิดว่าจะเจอพี่ชายของพลอยที่นี่” พลอยชมพูเอ่ย เห็นอีกฝ่ายเพียงเอียงหน้ามองด้วยสายตาเฉยชาก่อนจะวางผ้าเช็ดตัวแล้วเดินอวดหุ่นล่ำที่มีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวมาหาที่นั่ง
“ตกลงว่าวันนี้ทั้งวันพี่เมฆไปไหนมาคะ ถึงปล่อยให้พลอยทำงานอยู่คนเดียว” ปากอิ่มถามขึ้นหลังจากที่นั่งลงข้างๆ พี่ชาย ท่าทีเรียบเฉยแบบนี้ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร
“บอกพลอยมาเถอะว่าพี่เมฆ ไปทำเรื่องอะไรมา“
“ทำไมเราถึงอยากรู้ พี่ก็แค่ไปจัดการบางอย่าง อย่ามาสนใจเรื่องของพี่เลย เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”
“ถ้ามันไม่สำคัญมีเหรอค่ะที่คนบ้างานอย่างพี่จะเหลวไหลได้ขนาดนี้ พลอยไม่เชื่อหรอก” พลอยชมพูว่าเห็นสายตาที่มองมาก็ยิ่งทำให้มั่นใจว่าเรื่องนั้นต้องสำคัญมากๆ ถึงขนาดทำให้เขายอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อทำสิ่งนั้นและก็เป็นหน้าที่ของเธอที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมคายความจริงออกมา
เมฆาเพียงมองหน้าน้องสาวนิ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาใส่ ตัดสินใจเดินจากแต่ถูกพลอยชมพูดึงแขนไว้ ชายหนุ่มมองเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของเธอแต่นั่นไม่ทำให้เขาสะอึกเท่าคำพูดที่ลั่นมาจากปากอิ่ม
“พี่เมฆจะไม่บอกพลอยก็ไม่เป็นไรค่ะแต่พลอยมีเรื่องที่อยากคุยกับพี่ เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น” เอ่ยจบก็ปล่อยมือออกจากแขนพี่ชายพร้อมประโยคทิ้งท้าย “เจอกันที่ห้องอาหารนะคะ”
เมฆาเลิกคิ้ว
ที่ห้องอาหารตอนนี้บนโต๊ะมีของโปรดของพลอยชมพูและเมฆาวางอยู่ด้วย หญิงสาวที่ลงมาถึงก่อนได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ยกแขนข้างที่มีนาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลา เอานิ้วหนึ่งเคาะหน้าปัดเบาๆ ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินไม่ลืมเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้ม
“วันนี้ช่างเป็นอะไรที่ดีจริงๆ เราสองพี่น้องจะได้กินข้าวด้วยกัน”
เมฆาในชุดธรรมดาขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงซึ่งเลือกที่เป็นตรงข้ามน้องสาว มือหนาไม่รอช้าจัดแจงตักต้มยำไก่เมนูโปรดของพลอยชมพูใส่จานเธอส่วนเขาก็ตักแกงส้มกุ้งดอกแคใส่จานตัวเอง
“พี่เมฆจะไม่ถามหน่อยหรือคะว่าทำไมที่บ้านตอนนี้ถึงไม่มีใครอยู่” อดสงสัยไม่ได้ที่พี่ชายสุดที่รักของเธอไม่สนใจกับสิ่งใกล้ตัว แถมท่าทีที่แสดงออกมานั้นแสนเรียบเฉยพลอยทำให้คิดบางอย่างได้
“นี่พี่เมฆรู้มาก่อนแล้วใช่ไหมคะว่าวันนี้พ่อไม่อยู่” เมื่อเอ่ยจบก็เห็นคนตรงข้ามเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มขรึม “นึกไว้ไม่มีผิด คนอย่างพี่นะเหรอจะยอมกลับบ้านแต่หัววันแถมยังมาว่ายน้ำสบายใจฉ่ำ ”
“กินข้าวเถอะ” เมฆาตัดบทไปเฉย ความจริงเรื่องที่พลอยชมพูพูดมานั้นมันก็ใช่ทั้งหมด เขาเลือกที่จะกลับบ้านในเวลาที่ไม่มีใครเพื่อไม่ให้รู้สึกกดดันมากมายเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไม่อยากแม้แต่จะเจอ
“ได้ค่ะแต่ต้องหลังจากเราคุยเรื่องผู้หญิงคนนั้นเสร็จก่อน” พลอยชมพูว่า เธอร้อนใจเกินกว่าจะรอให้รับประทานอาหารกันเสร็จเพราะไม่แน่พี่ชายคนดีคนเธออาจจะหาทางเลี่ยงที่จะตอบคำถาม หญิงสาวหยิบแก้วน้ำมาจิบพอกระหายก่อนจะเริ่มเปิดการสนทนากับผู้ชายตรงหน้าที่ยังคงมองหน้านิ่ง
“พลอยไม่รู้หรอกนะคะว่าพี่เมฆจะเอาคืนผู้หญิงคนนั้นยังไงแต่ที่พลอยเป็นห่วงคือระยะเวลา พี่เมฆบอกพี่แต้วว่าขอเวลาเคลียร์ทุกอย่างเดือนหนึ่งซึ่งพลอยคิดว่ามันนานเกินไป ดังนั้น พลอยก็เลยอยากช่วยพี่อีกแรง” เอ่ยจบก็เห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้ว คงจะแปลกใจที่เธอยอมลงทุนร่วมแผนการช่วยด้วยแต่ความจริงแล้ว หญิงสาวไม่มั่นใจเท่าไรนัก การปล่อยให้อยู่ใกล้ผู้หญิงที่อดีตเคยเป็นผู้กุมหัวใจพี่ชายเธอซึ่งมันไม่ดีแน่ๆ หากประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยและเรื่องมันจะวุ่นวายไปกันใหญ่
“เรื่องนี้พลอยอย่าเข้ามายุ่งเลยดีกว่า พี่จัดการคนเดียวได้ อีกอย่าง พี่แน่ใจว่ามันจะไม่ถึงเดือนเพราะมันกำลังจะจบในเร็ววันนี้” คนพูดสีหน้าดูนิ่งๆ ยากต่อการดา ต่อให้เป็นพี่น้องคลานตามกันมาก็เถอะก็อ่านความคิดของอีกฝ่ายไม่ออกหรอก
“นี่พี่เมฆคิดจะทำอะไรคะ”
“พี่ขอไม่ตอบนะ” เมฆายิ้มแล้วตักข้าวใส่ปาก ไม่สนกับสายตาของพลอยชมพูที่มองมาอย่างสงสัยแกมอยากรู้
เช้านี้ที่ดูเหมือนจะเป็นเช้าที่แสนเศร้าสำหรับสิรินภา การยืนมองเด็กน้อยทั้งสามเดินขึ้นรถด้วยความเศร้าสลด ด้วยวัยเพียงน้อยนิดจึงไม่คิดอะไรนอกจากความสนุกที่จะได้ไปเที่ยว แต่สำหรับหัวอกคนที่เป็นแม่บุญธรรมอย่างเธอ การจากกันเพียงเสี้ยวนาทีก็พาหัวใจให้ไหวหวั่น
“ไม่ต้องห่วงนะบี พี่อยู่ทั้งคนจะไม่ให้ใครพรากเด็กๆ ไปจากบี วางใจเถอะ ยังไงพี่ก็ยังเชื่อว่าสุรีย์ไม่คิดจะเอาเด็กๆ ไปอยู่ด้วยแน่”
ประโยคสุดท้ายที่ออกมาจากปากอบเชยก่อนร่างนั้นจะตามเด็กๆ ขึ้นรถตู้ไป หญิงสาวมองรถที่เคลื่อนตัวออกจากรั้วบ้านจนลับ ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ การที่แม่แท้ๆ ของเด็กทั้งสามจะทำหน้าที่ดูแลพวกเขานั้นถือเป็นสิทธิ์ที่ถูกต้อง และสิ่งที่แม่บุญธรรมอย่างเธอทำได้คือการสนับสนุนเพื่อไม่ให้ปัญหาตกมาถึงเด็กๆ
เท้าเล็กก้าวมาปิดประตูรั้วแต่ชะงักตรงที่รถคันหนึ่งขับตรงมาจอดด้านหน้า สายตาหวานมองทอดอย่างตั้งใจก่อนจะเห็นคนขับที่เพิ่งลงจากรถ
“คุณเมฆ” สิรินภาเอ่ยชื่อเขา รถคันนี้เป็นคันใหม่เอี่ยมสังเกตได้จากที่เป็นป้ายแดง
“เรียกพี่เมฆเหมือนเดิมสิครับ บี บอกตามตรงว่าพี่ไม่ชอบเลยนะที่บีเรียกพี่แบบเมื่อกี้มันดูห่างเหินเกินไป” เมฆาเอ่ยขึ้น ลอบมองรอบๆ บ้านก่อนจะถามขึ้น
“วันนี้ดูบ้านเงียบจัง พี่อบและเด็กๆ ไปไหนล่ะ”
“ไม่มีใครอยู่หรอกค่ะ เด็กๆ กับพี่อบไปเที่ยวกันนะคะ”
“อ้าวแล้วทำไมบีไม่ไปเที่ยวกับพวกเขาล่ะ”
คำถามของเมฆาทำเอาเธอหนักใจในการจะตอบ จะให้บอกได้อย่างไรว่าเธอไม่ควรไปเพราะนั่นเป็นการไปเที่ยวกันภายในครอบครัว คนนอกอย่างเธอมีหน้าที่เดียวคือเฝ้าบ้านและรอพวกเขากลับมาอย่างใจจดใจจ่อ
บนโต๊ะตอนนี้มีน้ำเย็นหนึ่งแก้วกับขนมหวานจานหนึ่งแต่ทวาไม่ได้เป็นที่น่าสนใจแก่ชายหนุ่มสักนิด เมฆาลอบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เก้าอี้ปีกซ้ายของเขา สีหน้าของเธอบอกเขาว่ากำลังมีเรื่องไม่สบายใจและถ้าเดาไม่ผิด สิรินภาคงกำลังกลุ้มใจเรื่องเด็กๆ อยู่
“แล้ววันนี้บีต้องไปทำธุระที่ไหนหรือเปล่าครับ” เขาเริ่มถามเมื่อเห็นเธอยังนั่งเงียบและคำตอบนั้นก็เป็นที่น่าพอใจสำหรับชายหนุ่ม
“ไม่ค่ะ บีคิดว่าหลังเสร็จจัดสวนให้ร้านคุณแต้วแล้วจะพาเด็กๆ ไปเที่ยวก็เลยขอลางานกับพี่กล้าแต่ไม่นึกเลยว่าบีจะต้องอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้” สิรินภาตอบ ความเหงาเริ่มคืบคลานเข้ามาในหัวใจ คิดถึงเด็กๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เมฆาเห็นสายตาแห่งความเศร้าฉายมา นาทีนั้นเขาไม่รอช้าอาศัยตอนที่เธอกำลังอารมณ์อ่อนไหวด้วยการใช้แผนที่คิดไว้ทันที มือหนาเอื้อมมาหยิบมือเล็กก่อนจะบีบมันอย่างเบาๆ แล้วเอ่ยประโยคหนึ่ง
“ถ้าบีไม่มีธุระที่ไหน บีไปเที่ยวกับพี่ได้ไหม” สิ้นคำพูดนั้น เขาเห็นแววตาหวาดหวั่นฉายมาและไม่รู้ด้วยว่าคำตอบของเธอจะออกมาเป็นปฏิเสธหรือตกลงแต่เพื่อไม่ให้เสียแผนที่วางไว้ ชายหนุ่มจำต้องงัดใช้ไม้ตาย
“พี่รู้ครับว่าพี่ไม่ได้มีค่าอะไร แม้แต่ความเป็นเพื่อน บีก็ยังลังเลที่จะมอบให้พี่ พี่ก็แค่อยากพาบีไปที่ๆ หนึ่ง แต่ไม่เป็นไรครับ ถ้าบีลำบากใจที่จะไปกับพี่ พี่ก็จะไม่บังคับฝืนใจ พี่เข้าใจ” เมฆาเอ่ยเสียงเศร้า ปั้นหน้าขรึมก่อนจะลุกขึ้นยืนทำทีจะเดินจากไปแต่แล้วมือเล็กก็ฉวยข้อมือเขาเอาไว้
เมฆายิ้มมุมปากก่อนจะปรับสีหน้าเศร้าตามเดิมเมื่อหันไปมองหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังหลงกลในเกมลวงของเขาแล้ว
รักที่ลวงหลอก
การตกแต่งด้วยดอกไม้ให้เป็นสวนขนาดย่อมเสร็จสมบูรณ์ กลิ่นของไอริสโชยมาตามสายลม ละแวกนั้นมีกังหันที่ทำจากไม้กำลังหมุนใบพัดอย่างเป็นจังหวะ ไม่แค่นั้นยังมีชิงช้าผ้าที่เป็นตาข่ายผูกติดกับต้นไม้ใหญ่สองต้นไว้ให้ใครมานั่งอ่านหนังสือหรือนอนฟังเพลงเบาๆ ที่เด็ดขวานั้นคือศาลาไม้ยังมีน้ำตกขนาดหย่อมไว้สร้างบรรยากาศสุดชิวอีกด้วย
“ขอบคุณจริงๆ สำหรับมุมสวยๆ ของหลังร้าน คุณบีเก่งมากเลยค่ะ” ชิดชมชมจากใจ รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก คงต้องยอมรับว่าสิรินภาคนนี้เก่งจริงๆ แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมให้เก่งแค่คนเดียว
“ตัวชมแต่บี เขาล่ะไม่เห็นจะชมเลย”
เสียงยอดกล้าทำเอาชิดชมหัวเราะไม่แค่นั้นสิรินภาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พลอยหัวเราะตามด้วย เธอสั่นหน้าเบาๆ ให้กับคำพูดของเพื่อนหนุ่ม แกล้งพูดให้ช้ำใจเล่น
“อ้าวก็ไหนว่าไอเดียทั้งหมดนี้มาจากคุณบีไง”
“โธ่ ไอเดียบีก็จริงแต่เขาก็ลงมือทำอยู่นะ ตัวก็เห็นอยู่” ยอดกล้าว่า แอบทำน้ำเสียงน้อยใจ
สิรินภายังขำกับท่าทีแง่งอนของยอดกล้า หันมาทางชิดชมก็เห็นกำลังหัวเราะเบาๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคู่นี้จะมีโอกาสพัฒนาเป็นอย่างอื่นไหมนอกจากเพื่อนที่คอยห่วงใยกันเรื่อยมา ระหว่างที่ต่างกำลังขำขันอยู่นั้นเสียงมือถือสิรินภาก็ดังขึ้น รอยยิ้มหวานผุดขึ้นมาเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏในหน้าจอ
‘ค่ะ พี่อบ’ รับสายเสียงเรียบแต่แล้วรอยยิ้มเมื่อครู่ก็หุบลงไปแทบจะทันที
‘อะไรนะคะ ได้ค่ะ บีจะรีบกลับเดี๋ยวนี้’ นิ้วเรียวกดปุ่มวางสายอย่างสั่นๆ ทั้งสีหน้าและแววตาที่แสดงพลอยทำให้คนรอบข้างเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นหรือบี” ยอดกล้าถามมาด้วยความกังวล ยิ่งเห็นสีหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายก็ยิ่งกระวนกระวายอยากที่จะรู้เรื่องราว
สิรินภามองหน้าคนถาม แววตาเหมือนจะร้องไห้ให้ได้
ยอดกล้านั่งเหม่อที่ชิงช้าผ้าท่าทางเหมือนคนหมดแรงตรงหน้ามีร่างของเพื่อนสาวยืนมองอยู่ แม้ตรงนี้จะมีกลิ่นของไอริสโชยมา มีลมพัดเย็นสบาย ไหนจะน้ำตกขนาดหย่อมที่ให้ความจรรโลงใจ แต่ทั้งหมดที่มีอยู่โดยรอบกลับไม่ช่วยให้ยอดกล้ารู้สึกดีขึ้นมาเลย
“ทำไมทำหน้าหง่อยอย่างนั้นล่ะ คุณบีแค่กลับบ้านนะไม่ได้ไปไหนซะหน่อย” ชิดชมกล่าวขึ้น
“ก็มันน้อยใจนี่ มีเรื่องอะไรบีก็ไม่เคยเล่าให้ฟังเลย” ยอดกล้าบอก ตอนนี้รู้สึกไม่มีแรงและไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากหายใจทิ้ง ส่วนชิดชมเมื่อมองเห็นเพื่อนเศร้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เดินมานั่งข้างๆ แล้วมือหนึ่งก็ยกขึ้นโอบไหล่เพื่อนเอ่ยให้กำลังใจ
“เอาน่า คุณบีอาจมีเหตุผลที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้เพราะเรื่องบางเรื่องก็อยากให้เป็นเรื่องแค่คนในครอบครัว”
“แล้วแบบนี้เมื่อไรเขาจะได้เป็นคนในครอบครัวบีล่ะ” ยอดกล้าเอียงหน้าถามนัยน์ตาเศร้าๆ
สิรินภาก้าวเท้าลงจากแท็กซี่ที่เธอนั่งมาจากที่ร้านเค้กคุณแต้วก่อนจะวิ่งฉับๆ เข้าไปยังบ้านโทนสีฟ้าในท่าทีร้อนรน เมื่อมาถึงหน้าบ้านก็เห็นรถตู้จอดอยู่ยิ่งทำให้ความร้อนรนกระวนกระวายใจมีมากขึ้นเป็นทวี เท้าเล็กหยุดชะงักเมื่อเข้ามาถึงห้องโถงของบ้านก็เจอแขกคนสำคัญกำลังนั่งนิ่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขก ในบริเวณนั้นมีร่างของอบเชยนั่งอยู่ด้วยส่วนเด็กๆตอนนี้ยังไม่กลับมาจากโรงเรียน
“สวัสดีค่ะ” สิรินภาเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างอบเชย มองผู้หญิงที่แต่งตัวดีแถมการวางตัวก็ดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว
“เธอมาก็ดีแล้ว อย่างที่ฉันคุยกับพี่อบว่าฉันอยากพาตาหนูทั้งสามไปเที่ยวฝรั่งเศส เธอคงไม่ห้ามฉันใช่ไหม”ประโยคนั้นคนตอบค่อนข้างลำบากใจ เพราะจริงอย่างที่สุรีย์ว่าส่วนเธอเองก็เป็นเพียงแม่บุญธรรมของเด็กๆ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามการกระทำของคนที่เป็นแม่แท้ๆ
“ในเมื่อฉันเป็นแม่ของเด็กๆ และฉันก็อยากทำหน้าที่แม่ที่ดีให้พวกแกบ้าง ฉันรู้ว่าเธอเองก็รักเด็กๆ มาก ฉันก็เลยคิดว่าจะให้พี่อบไปกับเด็กๆ ด้วยเพื่อความสบายใจของเธอ” สุรีย์ว่า ส่วนตัวเข้าใจดีทุกอย่างเมื่อสิรินภาคนนี้ดูแลเด็กๆ มาและคิดว่าลูกๆ ของเธอก็คงรักผู้หญิงคนนี้มาก หากไม่เอาอบเชยไปด้วยเกรงว่าเด็กๆ จะไม่ยอมไปเที่ยวกับเธอง่ายๆ
“ถ้าคุณสุรีย์อยากพาเด็กๆ ไปเที่ยว บีก็ไม่ห้ามค่ะ เพราะบีก็เป็นแค่แม่เลี้ยงเท่านั้น” สิรินภาตอบ ทั้งที่ในใจรู้สึกหวั่นๆ กลัวมาตลอดว่าสักวันสุรีย์จะมารับเด็กๆ ไปเพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้
“พี่อบไปกับเด็กๆ นะคะ” สุดท้ายสิรินภาก็ต้องเอ่ยขอร้องกับอบเชย เธอแค่ไม่อยากให้เด็กๆ งอแงและที่สำคัญหญิงสาวจะได้เบาใจว่าสุรีย์คนนี้จะไม่กักเด็กๆ เอาไว้กับตัวเพราะถ้าเป็นเช่นนั้น หัวใจคนเป็นแม่อย่างเธอคงแตกสลาย
“แต่พี่ว่าบีน่าจะไปกับเด็กๆ นะ” อบเชยเสนอ ลอบมองหน้าสุรีย์ที่ยังคงปั้นหน้านิ่งเฉย
“ใครไปก็ได้ค่ะ สุรีย์แค่คิดถึงเด็กๆ และอยากเป็นแม่ที่ดีให้เด็กๆ สักครั้ง ยังไงก็ช่วยเห็นใจสุรีย์ด้วยเถอะค่ะ” สุรีย์เอ่ยสีหน้าเฉยชา
หลังจากการสนทนาจบลง สุรีย์เดินออกมาจากบ้านในสีหน้าที่ยิ้มแย้มโดยมีร่างของสิรินภาและอบเชยออกมาส่ง สุรีย์หันหน้ามาตอบทุกคนเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
“พรุ่งนี้สุรีย์จะมารับพี่อบกับเด็กๆ ไปเที่ยวนะคะ ส่วนเรื่องพาสปอร์ตและตั๋วเดินทางไม่ต้องเป็นห่วง สุรีย์จะจัดการให้ทั้งหมด” สุรีย์กล่าว รู้สึกโล่งใจที่สิรินภาปฏิเสธแต่ส่งอบเชยไปแทนซึ่งมันตรงตามที่เธอต้องการ หญิงสาวยกมือไหว้ลาอบเชยก่อนจะมุ่งหน้าตรงเข้าไปในนั่งรถตู้ซึ่งมีคนขับเปิดประตูรออยู่ก่อนแล้ว
“บี” อบเชยเรียก หลังรถของสุรีย์เคลื่อนตัวออกจากบ้านไปได้สักพัก ความรู้สึกตอนนี้คือไม่เข้าใจว่าทำไมสิรินภาถึงอยากให้เธอไปแทนที่จะเป็นตัวเอง
“บีไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ พี่อบไปกับเด็กๆ ก็ดีแล้ว เกิดเด็กๆ งอแงขึ้นมาจะได้ปลอบใจพวกแก”
“แล้วทำไมบีถึงไม่ไปเองล่ะ พี่ว่าถ้าบีไป สุรีย์จะได้เห็นไงว่าเด็กๆ ติดบีมากแค่ไหน”
สิรินภามองหน้าอบเชยอย่างเศร้าๆ เข้าใจดีว่าคำพูดนั้นเพื่อต้องการให้เธอใช้สิทธิ์การเลี้ยงดูเด็กๆ โดยที่แม่ผู้ให้กำเนิดนั้นแทบไม่สนใจเลย จากไปทั้งๆ ที่รู้ดีว่าตอนนั้นควรจะเป็นที่พึ่งให้กับเด็กๆ ทั้งสาม
พลอยชมพูลงจากรถในท่าทีเหนื่อยล้า ยอมรับว่าการทำงานตลอดทั้งวันเป็นเรื่องที่ไม่สนุกเลย อีกทั้งต้องรับผิดชอบงานเพิ่มจากเดิมอีกเท่าตัวก็ยิ่งรู้ซึ้ง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะวันนี้เธอต้องเข้าประชุมแทนเมฆาและต้องไปพบลูกค้าที่พี่ชายตัวดีนัดเป็นหมั่นเป็นเหมาะแต่เจ้าตัวกลับไม่รู้หายไปไหนพอถามจากเลขาหน้าห้องก็ได้คำตอบแบบไม่เป็นเอกฉันท์นัก
“พี่เมฆนะพี่เมฆ จะไปไหนมาไหนไม่บอกไม่กล่าว เดือดร้อนถึงพลอยจนได้” พลอยชมพูบ่นพึมพำลงจากรถแล้วโยนกุญแจให้คนขับรถที่วิ่งเข้ามารับไว้ได้ทัน แต่ไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าบ้านสายตาคู่สวยก็เหลือบไปเห็นรถคันคุ้นเคยจอดนิ่งอยู่ที่โรงพักรถ
“นั่นมันรถพี่เมฆนี่”
สระน้ำขนาดใหญ่ความลึกเท่าสองเมตรมีร่างหนึ่งกำลังว่ายไปมาท่าทางไม่รู้สึกร้อนใจอะไร ผิดกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามายืนรออย่างใจเย็นจนกระทั่งร่างหนาว่ายมาแตะขอบสระ
ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ถูกยื่นมาให้ เมฆาเงยหน้ามองแล้วยิ้มตอบก่อนจะขึ้นจากสระแล้วรับผ้าเช็ดตัวจากมือน้องสาวมาซับน้ำบนตัว
“พลอยไม่คิดว่าจะเจอพี่ชายของพลอยที่นี่” พลอยชมพูเอ่ย เห็นอีกฝ่ายเพียงเอียงหน้ามองด้วยสายตาเฉยชาก่อนจะวางผ้าเช็ดตัวแล้วเดินอวดหุ่นล่ำที่มีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวมาหาที่นั่ง
“ตกลงว่าวันนี้ทั้งวันพี่เมฆไปไหนมาคะ ถึงปล่อยให้พลอยทำงานอยู่คนเดียว” ปากอิ่มถามขึ้นหลังจากที่นั่งลงข้างๆ พี่ชาย ท่าทีเรียบเฉยแบบนี้ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร
“บอกพลอยมาเถอะว่าพี่เมฆ ไปทำเรื่องอะไรมา“
“ทำไมเราถึงอยากรู้ พี่ก็แค่ไปจัดการบางอย่าง อย่ามาสนใจเรื่องของพี่เลย เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”
“ถ้ามันไม่สำคัญมีเหรอค่ะที่คนบ้างานอย่างพี่จะเหลวไหลได้ขนาดนี้ พลอยไม่เชื่อหรอก” พลอยชมพูว่าเห็นสายตาที่มองมาก็ยิ่งทำให้มั่นใจว่าเรื่องนั้นต้องสำคัญมากๆ ถึงขนาดทำให้เขายอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อทำสิ่งนั้นและก็เป็นหน้าที่ของเธอที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมคายความจริงออกมา
เมฆาเพียงมองหน้าน้องสาวนิ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาใส่ ตัดสินใจเดินจากแต่ถูกพลอยชมพูดึงแขนไว้ ชายหนุ่มมองเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของเธอแต่นั่นไม่ทำให้เขาสะอึกเท่าคำพูดที่ลั่นมาจากปากอิ่ม
“พี่เมฆจะไม่บอกพลอยก็ไม่เป็นไรค่ะแต่พลอยมีเรื่องที่อยากคุยกับพี่ เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น” เอ่ยจบก็ปล่อยมือออกจากแขนพี่ชายพร้อมประโยคทิ้งท้าย “เจอกันที่ห้องอาหารนะคะ”
เมฆาเลิกคิ้ว
ที่ห้องอาหารตอนนี้บนโต๊ะมีของโปรดของพลอยชมพูและเมฆาวางอยู่ด้วย หญิงสาวที่ลงมาถึงก่อนได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ยกแขนข้างที่มีนาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลา เอานิ้วหนึ่งเคาะหน้าปัดเบาๆ ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินไม่ลืมเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้ม
“วันนี้ช่างเป็นอะไรที่ดีจริงๆ เราสองพี่น้องจะได้กินข้าวด้วยกัน”
เมฆาในชุดธรรมดาขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงซึ่งเลือกที่เป็นตรงข้ามน้องสาว มือหนาไม่รอช้าจัดแจงตักต้มยำไก่เมนูโปรดของพลอยชมพูใส่จานเธอส่วนเขาก็ตักแกงส้มกุ้งดอกแคใส่จานตัวเอง
“พี่เมฆจะไม่ถามหน่อยหรือคะว่าทำไมที่บ้านตอนนี้ถึงไม่มีใครอยู่” อดสงสัยไม่ได้ที่พี่ชายสุดที่รักของเธอไม่สนใจกับสิ่งใกล้ตัว แถมท่าทีที่แสดงออกมานั้นแสนเรียบเฉยพลอยทำให้คิดบางอย่างได้
“นี่พี่เมฆรู้มาก่อนแล้วใช่ไหมคะว่าวันนี้พ่อไม่อยู่” เมื่อเอ่ยจบก็เห็นคนตรงข้ามเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มขรึม “นึกไว้ไม่มีผิด คนอย่างพี่นะเหรอจะยอมกลับบ้านแต่หัววันแถมยังมาว่ายน้ำสบายใจฉ่ำ ”
“กินข้าวเถอะ” เมฆาตัดบทไปเฉย ความจริงเรื่องที่พลอยชมพูพูดมานั้นมันก็ใช่ทั้งหมด เขาเลือกที่จะกลับบ้านในเวลาที่ไม่มีใครเพื่อไม่ให้รู้สึกกดดันมากมายเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไม่อยากแม้แต่จะเจอ
“ได้ค่ะแต่ต้องหลังจากเราคุยเรื่องผู้หญิงคนนั้นเสร็จก่อน” พลอยชมพูว่า เธอร้อนใจเกินกว่าจะรอให้รับประทานอาหารกันเสร็จเพราะไม่แน่พี่ชายคนดีคนเธออาจจะหาทางเลี่ยงที่จะตอบคำถาม หญิงสาวหยิบแก้วน้ำมาจิบพอกระหายก่อนจะเริ่มเปิดการสนทนากับผู้ชายตรงหน้าที่ยังคงมองหน้านิ่ง
“พลอยไม่รู้หรอกนะคะว่าพี่เมฆจะเอาคืนผู้หญิงคนนั้นยังไงแต่ที่พลอยเป็นห่วงคือระยะเวลา พี่เมฆบอกพี่แต้วว่าขอเวลาเคลียร์ทุกอย่างเดือนหนึ่งซึ่งพลอยคิดว่ามันนานเกินไป ดังนั้น พลอยก็เลยอยากช่วยพี่อีกแรง” เอ่ยจบก็เห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้ว คงจะแปลกใจที่เธอยอมลงทุนร่วมแผนการช่วยด้วยแต่ความจริงแล้ว หญิงสาวไม่มั่นใจเท่าไรนัก การปล่อยให้อยู่ใกล้ผู้หญิงที่อดีตเคยเป็นผู้กุมหัวใจพี่ชายเธอซึ่งมันไม่ดีแน่ๆ หากประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยและเรื่องมันจะวุ่นวายไปกันใหญ่
“เรื่องนี้พลอยอย่าเข้ามายุ่งเลยดีกว่า พี่จัดการคนเดียวได้ อีกอย่าง พี่แน่ใจว่ามันจะไม่ถึงเดือนเพราะมันกำลังจะจบในเร็ววันนี้” คนพูดสีหน้าดูนิ่งๆ ยากต่อการดา ต่อให้เป็นพี่น้องคลานตามกันมาก็เถอะก็อ่านความคิดของอีกฝ่ายไม่ออกหรอก
“นี่พี่เมฆคิดจะทำอะไรคะ”
“พี่ขอไม่ตอบนะ” เมฆายิ้มแล้วตักข้าวใส่ปาก ไม่สนกับสายตาของพลอยชมพูที่มองมาอย่างสงสัยแกมอยากรู้
เช้านี้ที่ดูเหมือนจะเป็นเช้าที่แสนเศร้าสำหรับสิรินภา การยืนมองเด็กน้อยทั้งสามเดินขึ้นรถด้วยความเศร้าสลด ด้วยวัยเพียงน้อยนิดจึงไม่คิดอะไรนอกจากความสนุกที่จะได้ไปเที่ยว แต่สำหรับหัวอกคนที่เป็นแม่บุญธรรมอย่างเธอ การจากกันเพียงเสี้ยวนาทีก็พาหัวใจให้ไหวหวั่น
“ไม่ต้องห่วงนะบี พี่อยู่ทั้งคนจะไม่ให้ใครพรากเด็กๆ ไปจากบี วางใจเถอะ ยังไงพี่ก็ยังเชื่อว่าสุรีย์ไม่คิดจะเอาเด็กๆ ไปอยู่ด้วยแน่”
ประโยคสุดท้ายที่ออกมาจากปากอบเชยก่อนร่างนั้นจะตามเด็กๆ ขึ้นรถตู้ไป หญิงสาวมองรถที่เคลื่อนตัวออกจากรั้วบ้านจนลับ ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ การที่แม่แท้ๆ ของเด็กทั้งสามจะทำหน้าที่ดูแลพวกเขานั้นถือเป็นสิทธิ์ที่ถูกต้อง และสิ่งที่แม่บุญธรรมอย่างเธอทำได้คือการสนับสนุนเพื่อไม่ให้ปัญหาตกมาถึงเด็กๆ
เท้าเล็กก้าวมาปิดประตูรั้วแต่ชะงักตรงที่รถคันหนึ่งขับตรงมาจอดด้านหน้า สายตาหวานมองทอดอย่างตั้งใจก่อนจะเห็นคนขับที่เพิ่งลงจากรถ
“คุณเมฆ” สิรินภาเอ่ยชื่อเขา รถคันนี้เป็นคันใหม่เอี่ยมสังเกตได้จากที่เป็นป้ายแดง
“เรียกพี่เมฆเหมือนเดิมสิครับ บี บอกตามตรงว่าพี่ไม่ชอบเลยนะที่บีเรียกพี่แบบเมื่อกี้มันดูห่างเหินเกินไป” เมฆาเอ่ยขึ้น ลอบมองรอบๆ บ้านก่อนจะถามขึ้น
“วันนี้ดูบ้านเงียบจัง พี่อบและเด็กๆ ไปไหนล่ะ”
“ไม่มีใครอยู่หรอกค่ะ เด็กๆ กับพี่อบไปเที่ยวกันนะคะ”
“อ้าวแล้วทำไมบีไม่ไปเที่ยวกับพวกเขาล่ะ”
คำถามของเมฆาทำเอาเธอหนักใจในการจะตอบ จะให้บอกได้อย่างไรว่าเธอไม่ควรไปเพราะนั่นเป็นการไปเที่ยวกันภายในครอบครัว คนนอกอย่างเธอมีหน้าที่เดียวคือเฝ้าบ้านและรอพวกเขากลับมาอย่างใจจดใจจ่อ
บนโต๊ะตอนนี้มีน้ำเย็นหนึ่งแก้วกับขนมหวานจานหนึ่งแต่ทวาไม่ได้เป็นที่น่าสนใจแก่ชายหนุ่มสักนิด เมฆาลอบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เก้าอี้ปีกซ้ายของเขา สีหน้าของเธอบอกเขาว่ากำลังมีเรื่องไม่สบายใจและถ้าเดาไม่ผิด สิรินภาคงกำลังกลุ้มใจเรื่องเด็กๆ อยู่
“แล้ววันนี้บีต้องไปทำธุระที่ไหนหรือเปล่าครับ” เขาเริ่มถามเมื่อเห็นเธอยังนั่งเงียบและคำตอบนั้นก็เป็นที่น่าพอใจสำหรับชายหนุ่ม
“ไม่ค่ะ บีคิดว่าหลังเสร็จจัดสวนให้ร้านคุณแต้วแล้วจะพาเด็กๆ ไปเที่ยวก็เลยขอลางานกับพี่กล้าแต่ไม่นึกเลยว่าบีจะต้องอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้” สิรินภาตอบ ความเหงาเริ่มคืบคลานเข้ามาในหัวใจ คิดถึงเด็กๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เมฆาเห็นสายตาแห่งความเศร้าฉายมา นาทีนั้นเขาไม่รอช้าอาศัยตอนที่เธอกำลังอารมณ์อ่อนไหวด้วยการใช้แผนที่คิดไว้ทันที มือหนาเอื้อมมาหยิบมือเล็กก่อนจะบีบมันอย่างเบาๆ แล้วเอ่ยประโยคหนึ่ง
“ถ้าบีไม่มีธุระที่ไหน บีไปเที่ยวกับพี่ได้ไหม” สิ้นคำพูดนั้น เขาเห็นแววตาหวาดหวั่นฉายมาและไม่รู้ด้วยว่าคำตอบของเธอจะออกมาเป็นปฏิเสธหรือตกลงแต่เพื่อไม่ให้เสียแผนที่วางไว้ ชายหนุ่มจำต้องงัดใช้ไม้ตาย
“พี่รู้ครับว่าพี่ไม่ได้มีค่าอะไร แม้แต่ความเป็นเพื่อน บีก็ยังลังเลที่จะมอบให้พี่ พี่ก็แค่อยากพาบีไปที่ๆ หนึ่ง แต่ไม่เป็นไรครับ ถ้าบีลำบากใจที่จะไปกับพี่ พี่ก็จะไม่บังคับฝืนใจ พี่เข้าใจ” เมฆาเอ่ยเสียงเศร้า ปั้นหน้าขรึมก่อนจะลุกขึ้นยืนทำทีจะเดินจากไปแต่แล้วมือเล็กก็ฉวยข้อมือเขาเอาไว้
เมฆายิ้มมุมปากก่อนจะปรับสีหน้าเศร้าตามเดิมเมื่อหันไปมองหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังหลงกลในเกมลวงของเขาแล้ว
กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2558, 17:13:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2558, 17:13:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 1057
<< บทที่ 8 ส่วนที่ขาดหาย | บทที่ 10 หน้ากากมายา >> |
กรงแก้ว 19 ต.ค. 2558, 02:54:34 น.
อยากให้ใครเจ็บกว่าคะ @Zephyr
อยากให้ใครเจ็บกว่าคะ @Zephyr