ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๑ ร้างไกลพันลี้

ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๑ ร้างไกลพันลี้

ไม่มีใครคาดคิดว่าองค์ชายแปดจะยอมรับโทษโดยไม่มีคำอุทธรณ์ใดๆ เสนาบดีเหอแทบอกไหม้เมื่อหายนะที่ตนพยายามผลักให้ธิดาสกุลเฉินย้อนกลับมาทำลายหลานชายผู้เป็นดั่งความหวัง สำหรับสนมเหอนั้นไม่ต้องพูดถึง นางเป็นลมล้มพับจนล้มป่วยไปอีกหน ทั้งที่เพิ่งจะมีอาการดีขึ้นเมื่อคราวธิดาได้หมั้นหมายกับองค์ชายเหอเสี่ยง

เหล่าขุนนางและผู้คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสกุลเหอล้วนสะใจในหายนะครั้งนี้ ใครๆ ก็ว่าองค์ชายแปดเกิดมาเพื่อทำให้สกุลเหอย่อยยับ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าคำปรามาสเป็นความจริง

ฝ่ายที่ตกอับก็ต้องทุกข์ทนกันไป ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็ร่าเริงยินดี วัฏจักรแห่งการแย่งชิงอำนาจก็เป็นเช่นนี้ ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทุกอย่างมองบทสรุปที่เกิดขึ้นแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ ด้วยไม่คาดคิดว่าแผนการอันรอบคอบจะมีช่องโหว่

“กระหม่อมเตือนฝ่าบาทแล้ว” คำของเสนาบดีเฉินราวกับจะเยาะเย้ยฮ่องเต้ผู้กำลังกลัดกลุ้ม

แท้ที่จริงคดีหยกตะวันไม่มีคนร้ายมาตั้งแต่ต้น ของที่เสียหายเป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาจากหยกตะวันซึ่งเก็บอยู่ในท้องพระคลัง มันถูกนำมาสับเปลี่ยนตั้งแต่เริ่มทำพิธีแล้ว

หยกตะวันของปลอมทำจากหยกสองชิ้นที่ต่อกันด้วยกาวชนิดพิเศษ เมื่อเวลาผ่านไป กาวจะเสื่อมสภาพจนเกิดรอยร้าวเอง เพื่อให้เกิดความวุ่นวายยิ่งขึ้น ฮ่องเต้จึงส่งราชองครักษ์ไปสลับตำแหน่งหยก ไม่ให้ทราบว่าของที่ได้รับความเสียหายเป็นหยกที่อยู่ภายใต้การดูแลของใคร

แผนการทั้งหมดทำกันอย่างลับๆ และละเอียดรอบคอบ ฮ่องเต้คาดการณ์แต่แรกแล้วว่ากุ้ยฮวาจะต้องจับหยกเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ หากนางจับต้อง ตัวหยกจะร้าวเพิ่มทันที ถ้าสังเกตและมีสติพอก็จะทราบว่าเป็นของปลอม พระองค์ปรารถนาให้มีคนจับได้และหาทางพิสูจน์ความจริง

“ข้าอยากให้บุตรสาวเจ้าเสียสละเพื่อแผ่นดินสักครั้ง” ฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้กับเสนาบดีเฉิน ก่อนตัดสินใจให้กุ้ยฮวาเป็นผู้เชิญหยก

ตามแผนการ กุ้ยฮวาต้องถูกกักตัวไว้ระยะหนึ่ง ฮ่องเต้จึงทรงตระเตรียมสถานที่คุมขังที่เป็นส่วนตัวและสะดวกสบายให้ รวมถึงรับรองว่าจะมีหมอหลวงคอยดูแลใกล้ชิดตลอด

เสนาบดีเฉินตระหนักดีว่าบททดสอบของว่าที่จักรพรรดิองค์ต่อไปเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ไม่อาจตัดใจใช้ลูกสาวเพื่อการนี้ได้ ในสายตาเขา กุ้ยฮวายังเข้มแข็งไม่พอ ทว่าหงจิงกลับเห็นต่าง นางค้านว่ากุ้ยฮวามีจิตใจกล้าแกร่ง ยอมขัดแย้งกับขุนนางผู้ใหญ่ในงานประชุมปราชญ์เพื่อเกียรติของครอบครัว ความจริงข้อนี้ทำให้เสนาบดีเฉินหมดข้ออ้าง จำต้องปล่อยให้ฮ่องเต้ทำตามพระประสงค์

“เสนาบดีเหอกำลังรวบรวมรายชื่อขุนนางเพื่อขอลดโทษให้องค์ชายแปด ฝ่าบาทคิดเห็นเช่นไร”

“ข้าจะทำอะไรได้ หรู่เผยกลายเป็นคนผิดไปแล้ว อย่างไรก็ต้องรับโทษ หากสะสางเรื่องราวกันใหม่ ไม่เพียงแต่ไม่ได้อะไร ยังต้องปล่อยสองนักพรตชั่วไปด้วย”

แผนการหยกตะวันไม่เพียงมีขึ้นเพื่อทดสอบบรรดาโอรส ยังเป็นแผนการกำจัดหัวหน้านักพรตที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลไปในคราวเดียว นักพรตที่ได้รับโทษเป็นใหญ่ในวิหารหลวงมานาน จึงลำพองใจใช้ศรัทธาของผู้คนหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง แต่พระองค์ไม่สามารถสั่งปลดได้เพราะยังไม่พบความผิดร้ายแรง

“กระหม่อมเตือนฝ่าบาทแล้ว” เสนาบดีเฉินเอ่ยประโยคเดิมอีกครั้ง

“ใจคอพวกเจ้าสองพี่น้องจะช่วยกันซ้ำเติมข้าไปถึงเมื่อไร” ฮ่องเต้ทรงนวดขมับเมื่อเอ่ยถึงสนมรักที่ไม่อยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วย

นางยอมช่วยเกลี้ยกล่อมพี่ชายให้ดึงบุตรสาวเข้ามาร่วมแผนการ เพราะฮ่องเต้ทรงสัญญาว่าสกุลเฉินจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง ทั้งยังหว่านล้อมว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นจะเปิดโอกาสให้องค์ชายลี่หมิงได้แสดงความสามารถ ในขณะที่นางเฝ้ารอบทสรุปด้วยความคาดหวัง หมากทั้งกระดานกลับถูกเททิ้งระเนระนาด เมื่อองค์ชายแปดยอมรับความผิดทั้งหมดไว้กับตัวเอง การกระทำอันโง่เขลาไม่เพียงแต่ได้รับผลตอบแทนเลวร้าย ข่าวลือเสียหายเรื่องกุ้ยฮวายังไม่ซาลง เป็นเหตุให้สกุลเฉินต้องอับอายและเสื่อมเสีย

“กระหม่อมมิได้เจตนาซ้ำเติม กระหม่อมก็เป็นพ่อคน ทราบดีว่าทรงรู้สึกเช่นไร ตอนนี้ยังแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเวลาผ่านไปสักพัก คงพอหาเหตุเรียกตัวองค์ชายแปดกลับมาได้” เสนาบดีเฉินเสนอทางออก

“ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น อันที่จริงนี่อาจเป็นเรื่องดีสำหรับหรู่เผยก็เป็นได้”

หากไม่มีงานประชุมปราชญ์ พระองค์ก็คงไม่รู้ว่าโอรสวัยสิบสี่มีความสามารถทางวิชาการเทียบชั้นบัณฑิต สกุลเหอเองก็ไม่ทราบเรื่อง แสดงว่าเจ้าตัวจงใจปิดบังเอาไว้ หรู่เผยไม่อยากให้ใครรู้ความจริง จึงทำตัวเกเรเอาแต่ประชดไปวันๆ ที่หรู่เผยกลายเป็นคนเช่นนี้ เป็นเรื่องที่พระองค์กับสกุลเหอต้องรับผิดชอบร่วมกัน

“ข้าคิดจะส่งองครักษ์ฝีมือดีกับบัณฑิตที่มีความรู้ไปช่วยขัดเกลาหรู่เผย เจ้าคิดว่าสมควรส่งใครไป”

เสนาบดีเฉินเสนอชื่อคนมีความสามารถ ที่มีอุปนิสัยเหมาะกับองค์ชายแปดให้ทันที ซึ่งตรงใจฮ่องเต้ทุกประการ

“เหว่ยหง เจ้าไม่เคยคิดแค้นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นเลยหรือไร”

‘ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์’ หมายถึงเสนาบดีเหอ สองตระกูลห้ำหั่นชิงความเป็นใหญ่กันมาตลอด ความบาดหมางถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนยากที่จะปรองดอง แต่เหว่ยหงก็ยังทำตัวเป็นกลางในหลายเรื่องได้อย่างน่าชม

“ฝ่าบาทก็ทรงรู้ดีว่าขาดแสงหรือจะมีเงา สกุลเฉินกับสกุลเหอเกิดมาเพื่อถ่วงดุลอำนาจกัน หากอีกฝ่ายย่อยยับไป ราชบัลลังก์ย่อมสั่นคลอน”

ความจริงข้อนี้เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต่างตระหนัก ที่ผ่านมาจึงทำเพียงกระทบกระทั่ง มิได้ตอบโต้จนกระทั่งวอดวาย

“แต่ข้าว่าหนนี้เสนาบดีเหอทำเกินกว่าเหตุ”

แผนการเรื่องหยกตะวันเป็นความลับ แต่ก็ไม่อาจปิดบังทุกเรื่องได้ เสนาบดีเหอรู้ว่าหยกเป็นของปลอม จึงหาเหตุทำลายสกุลเฉิน

“เขาก็ได้รับผลกรรมไปแล้ว กระหม่อมไม่คิดติดใจ”

เสนาบดีเหอทำพลาดอย่างมหันต์ที่เชื่อข่าวลวงว่า หยกตะวันหายไปชิ้นหนึ่งจึงทำปลอมขึ้น

“จะว่าไปแล้ว ลูกสาวเจ้านี่เสน่ห์แรงจริง” ฮ่องเต้ทรงเปรยเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายบ้าง “แค่จงเต๋อกับเหวินหรง ข้าก็ปวดหัวจะแย่ นี่ยังมีหรู่เผยอีกคนหนึ่ง เห็นทีคงต้องให้เจ้ารีบเลือกเขยเพื่อตัดปัญหา”

เสนาบดีเฉินไม่ตอบรับพระกรุณา รวมถึงแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าไม่ปรารถนาให้บุตรสาวได้เป็นสะใภ้หลวง เขาอยากให้ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากกว่าหลงอยู่ในวังวนแห่งการแก่งแย่ง

ฮ่องเต้ไม่เซ้าซี้เมื่อคนสนิทไม่เต็มใจยกลูกสาวให้ เรื่องของโชคชะตายากจะคาดเดา หากนางกับโอรสของพระองค์มีวาสนาต่อกันก็คงได้ครองคู่


หลังจากฮ่องเต้ทรงประกาศเนรเทศองค์ชายหรู่เผย เด็กหนุ่มก็ถูกนำตัวมาคุมขังที่ตำหนักมังกรน้ำชั่วคราว แต่เดิมที่นี่เคยสงบ ทว่าพอองค์ชายแปดต้องโทษหนัก คนของสกุลเหอก็แวะเวียนมาไม่ขาด เริ่มจากท่านแม่ที่เอาแต่ร่ำไห้ ท่านตามาพร้อมคำตำหนิรุนแรง แม้กระทั่งพี่สาวก็อุตส่าห์หอบถ้อยคำระคายหูมาให้ได้ยินถึงที่

เพื่อตัดปัญหากวนใจ องค์ชายแปดจึงเก็บตัวเงียบไม่ยอมพบใครอีกจนกว่าจะถึงเวลาเดินทาง ฮ่องเต้มีบัญชาให้ออกจากเมืองหลวงหลังเทศกาลเปลี่ยนฤดู เด็กหนุ่มต้องอยู่ลำพังในขณะที่ผู้คนเฉลิมฉลอง แต่องค์ชายหรู่เผยก็ไม่ริษยาคนอื่น รวมถึงไม่เสียใจในการกระทำของตัวเอง การถูกเนรเทศไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า สำหรับเขา มันเปรียบเสมือนการได้หลบหนีจากกรงขัง ไปยังดินแดนที่มีอิสระกว่า

องค์ชายหรู่เผยตั้งใจจะจากเมืองหลวงไปอย่างภาคภูมิโดยไม่คิดอาลัย ทว่าความเข้มแข็งกลับถูกสั่นคลอน เมื่อมีสตรีแสนดื้อรั้นบุกเข้ามาสร้างความวุ่นวายในตำหนัก

เสียงเอะอะของเหยี่ยวดำทำให้คนที่ขังตัวเองอยู่ในห้องจำเป็นต้องออกมาดู เขาคิดว่ามันบาดเจ็บหรือถูกใครทำร้าย ปรากฏว่าเหยี่ยวดำจงใจเรียกเขาออกมาพบกุ้ยฮวา เด็กหนุ่มเก็บอาการประหลาดใจเอาไว้ไม่อยู่ เขาได้ข่าวว่านางออกจากวังไปแล้ว เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้

“พี่หกไปอ้อนวอนให้เจ้ามาหาเรื่องข้าอีกหรือไง” องค์ชายแปดถามเสียงห้วน

“มิได้เพคะ หม่อมฉันมาเอง”

แววตาที่ไม่โป้ปดสร้างความพอใจให้องค์ชายแปดระดับหนึ่ง

“มีอะไรก็รีบพูดมา”

เขาทำเหมือนไม่อยากเจอ ทั้งที่คิดอยู่ทุกวันว่าอยากเห็นหน้าสักครั้งก่อนจาก หญิงสาวขยับเข้าหา นางสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วตบหน้าคู่สนทนาฉาดใหญ่

“เด็กบ้า! รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป” แว่นแว้ดใส่เสียงสูง

องค์ชายหรู่เผยทำหน้าเหวอด้วยไม่คิดว่าจะถูกทำร้าย ยังไม่หายมึนงง กุ้ยฮวาก็ต่อว่าอีกชุดใหญ่ นางรัวคำพูดใส่จนเขาไม่มีโอกาสพูดแทรก ถ้านางไม่พักหอบเสียก่อน องค์ชายแปดคงไม่ได้ขยับปาก

“ข้าช่วยเจ้าไว้แท้ๆ ทำไมถึงถูกต่อว่าเล่า” องค์ชายหรู่เผยเอ่ยอย่างหงุดหงิด เขาอยากให้นางมองอย่างชื่นชมเช่นที่มองพี่ห้า เหตุใดจึงกลับตาลปัตร

“ใครขอให้ช่วยด้วยวิธีบ้าๆ กัน องค์ชายไม่ได้ทำผิดเสียหน่อย เหตุใดจึงต้องรับโทษ” แว่นยังทำเสียงดังไม่เลิก

“เจ้าเชื่อว่าข้าเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ”

อารมณ์ฉุนเฉียวหายไปในพริบตา เมื่อรู้ว่ากุ้ยฮวายังมองตนในแง่ดีบ้าง

“หม่อมฉันเชื่อเพคะ แล้วก็รู้ด้วยว่าองค์ชายยอมรับผิดเพื่อช่วยหม่อมฉัน ทำไมต้องทำอะไรโง่ๆ อย่างนี้ด้วย” แว่นฟาดมือใส่บ่าเด็กบ้าอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์

เขาร้อนใจมากตอนเห็นองค์ชายแปดถูกคุมตัว แว่นรู้ว่าเด็กหนุ่มยอมรับผิดเพื่อช่วยตน จึงคิดอย่างมุ่งมั่นว่าจะหาทางช่วยเหลือให้ได้ ทว่าก็ต้องพบทางตัน เมื่อไม่มีกำลังพอจะสืบหาความจริง ไม่ว่าจะไปปรึกษาใคร ทุกคนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องนี้เกินกำลัง สิ่งที่กุ้ยฮวาทำได้คือเก็บตัวเงียบๆ รอให้ข่าวลือไม่ดีซาลง

แว่นรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ แต่ใจก็ยังร่ำร้องหาความเป็นธรรม กุ้ยฮวาไม่ได้ทำผิด องค์ชายหรู่เผยเองก็เช่นกัน แต่คนหนึ่งกลับต้องหลบลี้หนีหน้าผู้คน ส่วนอีกคนกลับถูกเนรเทศ

หลายวันมานี้ แว่นอึดอัดคับข้องใจมาก ความรู้สึกผิดและติดค้างมากล้นเกินกว่าจะทนอยู่เฉย เขาปล่อยให้องค์ชายหรู่เผยจากไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ จึงยอมผิดใจกับอาหญิง กลับเข้าวังเพื่อพบเขา

องค์ชายแปดยืนนิ่งให้ทุบโดยไม่ขัดขืน น้ำหนักมือของหญิงสาวเบาลงเรื่อยๆ ตามโทสะที่ลดทอนลง กุ้ยฮวาทิ้งมือข้างตัวเมื่อควบคุมอารมณ์ได้ นางเงยหน้าขึ้นสูดจมูกแรงๆ ท่าทางเหมือนฝืนไม่ให้ร้องไห้

“เจ้าเป็นห่วงข้าปานนี้เชียว” องค์ชายหรู่เผยเอ่ยเสียงเบาราวกับไม่เชื่อว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นจริง

“ทุกคนห่วงองค์ชายกันทั้งนั้นแหละเพคะ” แว่นว่า

“ฮึ! นอกจากพี่หก ข้าไม่เห็นมีใครใส่ใจข้าสักคน หากไม่เกิดเป็นองค์ชาย แม้แต่หมาก็ยังไม่แลเลยกระมัง”

รอยยิ้มประชดประชันเจือความขมขื่นขับใบหน้าของเด็กหนุ่มให้ทวีความหม่นเศร้า แว่นไม่ช่วยแก้คำพูดให้ แต่เอ่ยอย่างจริงจังว่าเห็นด้วยทุกประการ

คนที่อยากได้คำปลอบใจถึงกับหน้าง้ำ เด็กหนุ่มตั้งใจจะเบือนหน้าหนี แต่ก็ทำไม่ลง เมื่อนางคลี่ยิ้มแล้วพูดว่าล้อเล่น

“ถึงองค์ชายจะมีนิสัยเสียๆ เยอะไปหน่อย แต่ก็เป็นคนที่พอคบได้นะเพคะ ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันคงไม่ถ่อมาหาถึงนี่”

“ไม่ต้องทำเป็นพูดดี ผู้หญิงกลับกลอกอย่างเจ้าเชื่อไม่ได้”

แม้จะทำเสียงแข็งใส่ แต่สีหน้าเด็กหนุ่มในยามนี้กลับดูดีขึ้นผิดตา แว่นเห็นแล้วสงสารจับจิต เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดองค์ชายหกจึงเมตตาน้องชายคนนี้นัก ความสุขขององค์ชายหรู่เผยนั้นแสนเรียบง่าย ขอแค่มีคนยอมรับสิ่งที่เขาเป็น ใส่ใจความรู้สึกกันบ้าง เพียงเท่านี้หัวใจเด็กน้อยก็พองโตเต็มอกแล้ว น่าเศร้าที่คนสำคัญในชีวิตทั้งหลายกลับไม่เคยใส่ใจ

“องค์ชายไม่คิดจะอ้อนวอนให้เสด็จพ่อลดโทษบ้างหรือเพคะ” แว่นตัดสินใจเกลี้ยกล่อม แม้จะรู้ว่าโทษทัณฑ์นี้ไม่มีทางได้ลดหย่อน เขาก็ไม่อยากทิ้งความหวังสุดท้ายไป

“เรื่องอะไรข้าต้องทำแบบนั้นด้วย จำใส่ใจไว้ให้ดีว่าข้าอยากหนีจากตัวน่ารำคาญอย่างเจ้าจะแย่”

เด็กหนุ่มทำทีไม่ทุกข์ร้อน เพราะเป็นห่วงว่ากุ้ยฮวาจะคิดมาก แว่นเห็นเขาแสร้งทำเป็นเข้มแข็งก็แทบกลั้นน้ำตาไม่ได้

“จะไปทั้งๆ ที่มีคนคิดถึงหรือเพคะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีใครใส่ใจข้าหรอก”

องค์ชายแปดแสดงออกว่าไม่ยี่หระ ทว่าพริบตา หัวใจก็อ่อนยวบเมื่อได้ฟังคำจากปากนาง

“หม่อมฉันนี่ไงเพคะ ถ้าไม่ได้พบกันอีกคงจะเหงามาก”

แว่นไม่รู้ตัวเลยว่าแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา เด็กหนุ่มเจ็บแปลบในอก ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่พอเห็นนางเป็นเช่นนี้ เขากลับไม่อยากจากไป

‘รอข้านะ ข้าจะรีบกลับมาหาเจ้า’ ถ้อยคำนี้ดังก้องในใจแต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้ สิ่งที่เขาแสดงออกกลับเป็นท่าทางยียวน

“ได้อย่างนั้นก็ดี ข้าจะปล่อยให้เจ้าคิดถึงข้าจนแทบขาดใจไปเลย”

แว่นฝืนยิ้มให้ทั้งที่สะท้านในอก องค์ชายแปดบอกจะทำให้คิดถึงจนขาดใจ ไฉนยังไม่ทันจาก จึงทำหน้าปิ่มจะขาดใจแล้วเล่า

“รักษาตัวด้วยนะเพคะ” แว่นโผเข้าไปกอดเด็กหนุ่ม เขาไม่มีอะไรจะให้นอกจากความรู้สึก แม้มันจะเป็นเพียงสายใยบางเบา แต่แว่นก็อยากให้เด็กหนุ่มได้ตระหนักว่าในวันที่เขาร้างไกล มีใครคนหนึ่งเฝ้าคอยการกลับมา

องค์ชายแปดนิ่งอึ้งไป เขายกมือขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ หมายจะกอดตอบ แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้มือตกลงข้างตัวดังเก่า ตอนนี้เขายังไม่คู่ควรจะแตะต้องนาง

‘ข้าจะกลับมาในฐานะยอดบุรุษ และจะกอดคืนเจ้าด้วยสองมือคู่นี้’


เมื่อเทศกาลเปลี่ยนฤดูสิ้นสุด ขบวนเล็กๆ ขององค์ชายหรู่เผยก็ออกเดินทางจากเมืองหลวง ผู้ติดตามมีเพียงหยิบมือไม่สมฐานะชวนให้เวทนายิ่ง แต่เด็กหนุ่มก็ไม่หลบซ่อนตัว เขาเชิดหน้าขี่ม้าออกจากประตูวัง ดังคนที่ภาคภูมิใจในตัวเอง วันนั้นมีเพียงคนจากสกุลเหอกับองค์ชายหกที่มาส่ง ส่วนกุ้ยฮวาโดนกักตัวไว้เพราะสัญญากับบิดาว่าหากยอมให้ไปพบองค์ชาย จะเก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนอย่างน้อยครึ่งปี

องค์ชายหรู่เผยทราบอยู่แล้วว่านางมาไม่ได้ จึงไม่คิดคอยหรือเหลียวหลังมองหา เด็กหนุ่มควบม้าออกไปด้วยความเร็วพอประมาณ พอพ้นจากประตูวัง องครักษ์ผู้หนึ่งก็ชักม้าเข้ามาใกล้ แล้วมอบกระดาษแผ่นหนึ่งให้

“ท่านหญิงฝากมาขอรับ”

พอได้ยินเสียงกระซิบ เด็กหนุ่มก็ดึงบังเหียนเข้าหาตัว ให้ม้าลดความเร็วลงจะได้อ่านข้อความโดยสะดวก ในจดหมายมีภาพวาดใบหน้ากลมๆ กำลังแลบลิ้นปลิ้นตา

‘ถ้าเป็นเด็กดีจะเขียนจดหมายมาหาบ่อยๆ’

“ผู้หญิงกวนประสาท” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง

แม้ข้อความจะมีเพียงเท่านี้ แต่เขาก็อ่านมันซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ก่อนจะเก็บไว้ในอกเสื้อดังของสำคัญ

“เจ้าชื่ออะไร” องค์ชายหรู่เผยถามองครักษ์ผู้นำจดหมายมาให้

“กระหม่อมมีนามว่าจางไห่พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้านั่นเอง” องค์ชายหรู่เผยพึมพำ

เขาได้ยินจากมหาดเล็กว่า ฮ่องเต้ทรงส่งองครักษ์หลวงให้ติดตามมาด้วย จึงคิดว่าชายผู้นี้ถูกส่งมาคอยสอดส่องดูแลความประพฤติ แต่พอจางไห่แอบนำจดหมายของกุ้ยฮวามาให้ ความรู้สึกระแวงก็เปลี่ยนเป็นสงสัย

“เจ้าเกี่ยวข้องกับนางอย่างไร”

แม้จะไม่เอ่ยนาม องครักษ์หนุ่มก็เข้าใจว่าองค์ชายหรู่เผยถามถึงความสัมพันธ์ของตนกับกุ้ยฮวา คำถามนี้ควรตอบอย่างระมัดระวัง แต่จางไห่กลับเลือกบอกตามตรง

“กระหม่อมนับถือท่านหญิงในฐานะปราชญ์พ่ะย่ะค่ะ”

คำว่า ‘ปราชญ์’ ออกจะเป็นการเชิดชูอย่างเกินจริงไปสักหน่อย ทว่าองค์ชายแปดก็ไม่ขัด ด้วยเห็นจางไห่แสดงความชื่นชมจากใจ

“บอกมา เจ้าถูกนางขอร้องให้ติดตามข้าหรือถูกเสด็จพ่อส่งมา”

“กระหม่อมทราบเรื่องราวขององค์ชายจากท่านหญิงมาพอประมาณพ่ะย่ะค่ะ พอหัวหน้าองครักษ์ประกาศหาคนร่วมเดินทางไปกับองค์ชาย กระหม่อมจึงอาสามาด้วยตัวเอง”

การที่จางไห่ทิ้งลาภยศมาติดตามองค์ชายตกอับถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ในบรรดาองครักษ์หลวงระดับเดียวกัน ชายหนุ่มจัดว่ามีฝีมือเป็นอันดับต้นๆ หากทำงานพิสูจน์ความสามารถต่อไปย่อมมีโอกาสเป็นใหญ่ในอนาคต หัวหน้าองครักษ์เสียดายลูกน้องฝีมือดีมาก จึงพยายามรั้งตัวไว้ ทว่าสุดท้ายก็ต้องจำยอมปล่อยไปเพราะพ่ายต่อความมุ่งมั่น

“นางพูดอะไรบ้าง”

“บอกว่าองค์ชายเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี แล้วก็ขี้เหงามาก ให้คอยดูแลดีๆ พ่ะย่ะค่ะ” จางไห่คุยเพลินก็เลยเผลอบอกความจริงไปหมดเปลือก

องค์ชายหรู่เผยหน้าขึ้นสี เมื่อถูกนินทาลับหลังในทำนองว่าเป็นเด็กน้อยน่าเวทนา

“เจ้าก็เลยสงสารงั้นสิ” เด็กหนุ่มสะบัดเสียงใส่

“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” จางไห่ปฏิเสธแข็งขัน “กระหม่อมนับถือผู้รู้และคนมีความสามารถ จึงอยากเห็นการเติบใหญ่ของมหาบุรุษด้วยสองตา”

“ถ้าเช่นนั้นจงเตรียมตัวผิดหวังเอาไว้ล่วงหน้าเถอะ เจ้าทำพลาดครั้งใหญ่แล้วที่หลงคารมผู้หญิงเจ้าเล่ห์ นางแค่รู้สึกผิดก็เลยหลอกให้เจ้ามาเป็นพี่เลี้ยงข้า”

ถ้อยคำขององค์ชายหาได้ลดทอนความศรัทธาของจางไห่ องครักษ์หนุ่มทำหน้าเคร่งเครียด แล้วเอ่ยความในใจให้ฟังอย่างชัดเจน

“กระหม่อมเชื่อว่าท่านหญิงไม่มีทางมองคนผิด รวมถึงเชื่อมั่นว่าตัวเองมิได้ตัดสินใจพลาด”

องค์ชายหรู่เผยไม่ตอบโต้ เด็กหนุ่มกระตุกบังเหียนม้าแล้วเร่งให้มันวิ่งนำขบวนดังเก่า เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคนที่ไม่รู้จักกัน จึงเชื่อมั่นในตัวเขาโดยไม่แคลงใจ องค์ชายหรู่เผยหัวเราะลั่น เมื่อระลึกได้ว่าท่านหญิงแสนพิลึกได้ส่งองครักษ์ที่พิลึกพอกันมาเป็นผู้ติดตามตน

‘เอาเถอะ .ในเมื่อคนพิลึกพวกนี้เชื่อมั่นในตัวข้า ข้าก็จะไม่ทำให้ผิดหวัง’

เด็กหนุ่มเร่งควบม้าลงใต้เพื่อมุ่งสู่เจียนเจี๋ย เส้นทางกันดารเป็นระยะทางพันลี้กับการเดินทางจากเมืองหลวงสู่ดินแดนที่ไม่เคยเหยียบย่าง คือบททดสอบแรกที่เขาต้องผ่านไปให้ได้

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายบทค่ะ ตอนนี้มีเฉลยปมเบาๆ + เป็นฉากสุดท้ายของน้องแปดจริงๆ แล้ว
เจอน้องอีกทีเล่ม 5 เลยนะคะ ขอเนื้อที่เล่มสี่ให้โบ้บ้างอะไรบ้างค่ะ
สงสารนาง จ้างสิบบาท นางเล่นซะล้านนึง ให้นางได้เป็นนางเอกบ้าง

แจ้งข่าวสักนิดนะคะงานหนังสือปีนี้โน้มไปแจกลายเซ็นที่บูธสถาพรB02
วันที่ 22 28 29 31 ค่ะ เวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสี่ค่ะ
ใครอยากเจอเย็นกว่านี้แจ้งได้นะคะ วันที่ 22 กับ 28 ‪
หลังสี่โมงโน้มยังเดินเล่นในงานโทรตามได้‬ ‪#‎ขอเบอร์หลังไมค์ได้เลยค่ะ‬
.
วันที่ 25 กับ 1 ไปแบบส่วนตัวค่ะ ใครอยากเจอขอเบอร์หลังไมค์ได้เลยนะคะ ‪
‎ส่วนใหญ่จะนั่งเล่นแถวหน้าสตาร์บัคค่ะ‬ มีนัดมีตติ้ง
เข้ามาทักทายได้ไม่ต้องเกรงใจนะคะ ไม่กัดค่า
อยากได้พวงกุญแจหรือแม็กเนตก็ขอได้ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ
เตรียมไว้เยอะพอสมควร คิดว่าพอแจกค่ะ ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ต.ค. 2558, 22:33:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ต.ค. 2558, 22:33:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1047





<< หยกตะวัน : บทที่ ๑๖ คำตัดสิน(พบกันในเล่ม3นะคะ)   ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๒ ภารกิจคำทำนาย >>
mottanoy 14 ต.ค. 2558, 22:55:47 น.
ตกลงแว่นจะได้กินเด็กเหรอคะ

เสียดายจะกลับเมืองไทนเดือนธันวา ไม่งั้นได้ไปเดินงานหนังสือกับเค้าบ้าง


Zephyr 17 ต.ค. 2558, 10:02:03 น.
อัยยะ เฟมือนน้องแปดจะเข้าวินสำหรับแว่นเลย
อยากอายุยืนเปลี่ยนใจกินเด็กแทนเหรอ
แพนด้าไม่น่าสนใจแล้วใช่มั้ย งั้นโน้มเอามาให้เฟอร์มา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account