พรหมลิขิตกระซิบรัก
นัมแทบง นายแบบหนุ่มผู้ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงเจ้าของฉายารอยยิ้มเทวดาหากแต่เมื่ออยู่หลังกล้องเขาคือผู้ชายหน้าเดียวที่มีแววตาดุจน้ำแข็ง....
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...
... พรหมลิขิตกระซิบรัก...
เมื่อพบกับปฎิบัติการดูตัวโดยการชักนำของผู้เป็นพี่สาวที่มีความคิดไม่เหมือนใคร รักครั้งนี้จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อเขาได้พบกับกุมาริกาล่ามสาวชาวไทยที่มีแต่ความสดใส เจ้าของดวงตากลมดุจกวางกับบทพิสูจน์ความรักแท้ที่ผู้เป็นพี่มอบให้...
พีมะ ตากล้องมาดเซอร์ประจำนิตยสารวัยรุ่น K magazine กับความรักข้างเดียวตลอด3ปีที่เฝ้าดูแลหญิงสาวอันเป็นที่รักต้องมาสั่นคลอนเพียงแค่เจอนายแบบหนุ่มหน้านิ่ง ซ้ำร้ายได้คู่ปรับเป็นพัคโบรา นางแบบตัวจี๊ดที่เข้ามาป่วนหัวใจให้เขาลังเลกับความรู้สึกแปลกๆที่เธอมอบให้....
กุลธีร์ บอสหนุ่มผู้เชื่อมั่นในความรักแม้จะรู้ว่ารักนี้อาจไม่สมหวังแต่ก็ยังคงรอคอยถึงมันจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีและเธอนัมเริน หญิงสาวสมัยใหม่ผู้ทุ่มเททุกอย่างให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวจนเกือบเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิต...
... พรหมลิขิตกระซิบรัก...
Tags: ดารา นางแบบ ซุปตาร์ โรแมนติก ซึ้้ง
ตอน: ระยะห่าง
กุลธีร์กอดอกยืนกึ่งนั่งกึ่งพิงสะโพกกับขอบโต๊ะอาหาร โดยมีประธานคนสวยนั่งที่เก้าอี้อยู่ด้านข้าง เลิกคิ้วขำกับอาการตาค้างของลูกน้องตนเองทันทีที่เขาบอกแผนการที่จะให้ตากล้องหนุ่มช่วย
“บอสนี่มันละครหลังข่าวชัดๆน้ำเน่าขนาดนี้” พีมะบอกมองเจ้านายตนเองไม่อยากเชื่อกับสิ่งได้ยิน
“แค่เกลี้ยกล่อมให้กัมมี่กลับมันน้ำเน่าตรงไหนว่ะไอ้พี”
“แค่บอสจะให้กลับภายในไม่กี่วันแถมเจ้าตัวเขาไม่รู้ล่วงหน้าอีกนี่มันแผนจับนางเอกพระเอกในละครเขาแยกกันชัดๆ” ตากล้องหนุ่มรู้สึกเหมือนจะขำไม่ออก
“แกไม่เห็นด้วยเหรอ ฉันคิดว่าแกน่าจะเป็นคนแรกที่ดีใจที่ฉันจับกัมมี่แยกออกจากแทบงได้ แต่ดูแกทำหน้าเข้าสิยังกับคนปวดท้อง แต่ก็ช่างเถอะยังไงฉันก็ตัดสินใจแล้ว” กุลธีร์โบกมือเมื่อเห็นว่าตากล้องหนุ่มเหมือนจะพูดอะไร
พีมะส่ายหัวกับการเอาแต่ใจของเจ้านายตนเอง ก่อนหันไปหรี่ตามองประธานนัมโมเดลที่กำลังส่งยิ้มหวานให้กับกุลธีร์อย่างสงสัย
“แล้ว...บอสกับประธานนัมไปคืนดีกันตอนไหนฮ่ะ”
คำถามหน้าตายของพีมะทำเอาบอสหนุ่มใหญ่ถึงกับกระแอมไล่เสียง หันไปมองหญิงสาวข้างตนเองแล้วอดยิ้มตามไม่ได้ “พูดมากน่า..แกทำแค่ที่ฉันบอกก็พอ อ่อ...แกเองก็เตรียมตัวด้วยล่ะ”
“ครับบอสงั้นผมขอตัวกลับเลยล่ะกัน” พีมะเอ่ย ยอมรับว่าตอนนี้หัวเขาเองก็ขาวโพลนไปหมด เขาต้องกลับไทยในอีกสองวันแล้วพัคโบราล่ะตั้งแต่เมื่อวานเขายังไม่ได้คุยกับเธอสักคำ
ผู้จัดการอีส่งน้ำให้นางแบบสาวคนใหม่ที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว วันนี้คิวของพัคโบราเต็มทั้งวันจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้ที่1แต่ดูสื่อในเกาหลีจะสนใจนางแบบหน้าใหม่ไม่น้อยทำเอาผู้จัดการอย่างเธอรับโทรศัพท์ไม่หยุด
“เธอฮอตแล้วนะโบรา ดูข่าวบันเทิงนี่สิสัมภาษณ์เมื่อเช้าลงกรอบบ่ายเลย ยกให้เธอเป็นนางแบบที่มีเรียวขาเลอค่าแล้ววันนี้มีทีมละครติดต่อมาด้วยนะอยากให้เธอไปแคสงาน”
“ฉันไม่ถนัดแล้วก็ไม่ได้อยากเป็นนักแสดง” พัคโบราซบหน้าลงกับแขนมองดูสมาทโฟนของตนเองเหมือนของผิดปกติ เอานิ้วจิ้มเปิดปิดหน้าจอจนเบื่อขณะรอเพื่อถ่ายแบบเซ็ทต่อไป
“รอใครโทรมารึไง ฉันเห็นเธอมองมามันมาครึ่งวันแล้วนะมือถือเนี่ย” ผู้จัดการอีมองจับผิดแต่นางแบบสาวกลับทำเฉยแถมลุกไปทันทีเมื่อทีมงานบอกให้เตรียมถ่ายเซ็ทต่อไปได้
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของนางแบบสาวทำให้ผู้จัดการอีเงยหน้าจากนิตยสารเล่มในมือ ชื่อบนหน้าจอทำเอาผู้จัดการสาวเบิกตากว้าง
“ไซคุ นี่มีไอ้โรคจิตตามก่อกวนโบราจนต้องเมมเบอร์ไว้เลยเหรอ ไม่ได้การแหละฉันต้องจัดการสักหน่อย” ผู้จัดการอีหยิบมือถือของนางแบบสาวมากดรับทันที
“ยัมเซโย่ว...”
เสียงสูงของผู้จัดการนางแบบสาวทำเอาพีมะอึ้ง และอีกหลายคำที่ตามมาถึงเขาจะฟังไม่ออกแต่จากเสียงของเธอเขารับรู้ได้ถึงความไม่พอใจ การวางสายเป็นสิ่งที่ตากล้องหนุ่มทำ
นัมเยรินยิ้มมุมปากเมื่อเลขาส่วนตัวแจ้งว่าน้องชายตัวแสบของเธอกำลังรออยู่ด้านในนานกว่าสองชั่วโมงแล้ว ร่างระหงดึงประตูห้องทำงานออกมองไปมุมที่มีร่างสูงนั่งอยู่ด้วยสีหน้านิ่ง
“วันนี้นายไม่มีงานรึไงถึงมานั่งเล่นอยู่ที่นี่ได้”
“ผมมีเรื่องจะขอให้พี่ช่วย...” นัมแทบงเอ่ยจริงจัง
“ให้ช่วยเรื่องอะไรหรือว่าตอนฉันไม่อยู่นายไปก่อเรื่องอะไรมาอีกแทบง”
คำพูดของพี่สาวทำเอานัมแทบงลอบกลืนน้ำลาย เขาจะบอกได้ยังไงว่าเขาไปทำอะไรไว้ มีหวังพี่สาวคงฆ่าเขาตายแน่ อีกอย่างเขาต้องเว้นวรรคในบางเรื่องไว้เพื่อปกป้องและให้เกียรติผู้หญิงของเขา
“ก็..ไม่มีอะไรนี่” นัมแทบงบอกอึกอัก
“ก็ดี...ฉันก็มีเรื่องจะบอกนายเหมือนกัน”
ดาราหนุ่มเลิกคิ้วกับน้ำเสียงของพี่สาวตนเองที่จู่ๆก็ดูจริงจังขึ้นมา มองดวงตาที่คล้ายกันอย่างหวั่นใจอะไรบ้างอย่างแต่รู้สึกว่ามันไม่น่าจะดีนัก
“อะไร..พี่จะบอกอะไรผมเหรอ”
“กัมมี่ต้องกลับไทยในวันมะรืนนี้”
“อะไรนะ...ทำไมผมไม่รู้มาก่อนล่ะกัมมี่ไม่เห็นบอกอะไรผมเลย” นัมแทบงผุดลุกขึ้นยืน
“แทบง...กัมมี่ก็คงเพิ่งรู้เหมือนนายแหละ ฉันรู้เพราะคนของกอนติดต่อมาว่าตอนนี้กอนอยู่ที่เกาหลี” ประธานสาวถอนหายใจเมื่อเห็นอาการไหล่ลู่ลงของน้องชายตัวเอง
“ไม่จริง ผมกำลังจะขอร้องพี่ให้ติดต่อฮยองให้เพื่อจะได้อธิบายบางเรื่องให้เข้าใจแล้วทำไมทุกอย่างมันผิดพลาดแบบนี้”
“แทบงนายลืมรึไงว่ากัมมี่มาที่นี่ก็เพราะว่างานโปรเจคแลกเปลี่ยน เมื่องานจบเขาก็ต้องกลับ”
“ผมไม่นึกว่ามันจะเร็วแบบนี้”
“กัมมี่มาอยู่นี่นานพอดูเลยนะ อีกอย่างนายก็ไม่ได้สนใจเขาแล้วไม่ใช่เหรอ” นัมเยรินพูดต่ออย่างเฉยชา แววตาเสียใจของน้องชายตนเองเป็นสิ่งที่เธอต้องแกล้งหมางเมิน
“มันไม่ใช่แบบนั้นผมกับกัมมี่เราคุยกันเข้าใจแล้วพี่ต้องช่วยผมนะ” นัมแทบงอ้อนวอน
กุมาริกาเรียกชื่ออาหนุ่มอย่างตกใจเมื่อได้ยินกุลธีร์บอกให้เธอเตรียมตัวกลับพร้อมกับเขาเลย เธอรู้ว่าต้องกลับบ้านแต่ในเวลานี้เรื่องของเธอกับนัมแทบงเพิ่งลงตัว เธออยากอยู่ใกล้ชิดเขาแต่ไม่รู้จะตอบเหตุผลกับอาตัวเองว่าอะไร
“อากุลแค่สองวันมันไม่เร็วไปเหรอคะ”
“ยัยหลานต้องเตรียมตัวอะไรงานก็เสร็จหมดแล้วไม่ใช่เหรอ” กุลธีร์ทำหน้าตายหันมองหลานสาวตนเองก่อนหันไปหาตากล้องหนุ่ม
“เอ่อ..ครับบอส”พีมะอึกอักไม่แพ้หญิงสาวเพราะเรื่องหัวใจตัวเองก็ยังไม่แน่ชัด แล้วต้องกลับกระทันหันแบบนี้เขาจะทำยังไงดี
อาการประหลาดของคนทั้งคู่ทำให้กุลธีร์มองอย่างแปลกใจ ทำไมจู่ๆพีมะถึงได้หลบตาเขาไม่ต่างจากหลานสาวเขาเลยแถมยังพูดอึกอักผิดนิสัยมุทะลุของมัน
“อากุลเขาขอตามกลับไปได้ไหม” กุมาริกาตัดสินใจบอกเพราะความเป็นคนมั่นใจในตัวเองจึงไม่สามารถทนความอึดอัดได้
“อารู้ว่าเพราะอะไรยัยหลานถึงยังไม่อยากกลับแต่อาก็มีเหตุผลของอา เอาเป็นว่าทุกอย่างที่อาทำหรือกำลังจะทำมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับหลานรักของอา ยัยหลานก็รู้ใช่ไหมว่าอารักยัยหลานแค่ไหน”
เมื่อฟังคำจากผู้เป็นอาจบหญิงสาวจึงได้แต่พยักหน้าเธอไม่รู้เหตุผล แต่กุลธีร์รักและหวังดีกับเธอที่สุด กุมาริกาจึงเลือกจะเชื่อใจอาผู้ที่เลี้ยงเธอมาไม่ต่างจากพ่อแม่ ร่างเล็กโผเข้ากอดอาหนุ่มไว้
“ของจะมีราคาเมื่อเรารู้คุณค่าของมัน แต่ถ้าเมื่อไหร่เราไม่เห็นค่า ของที่เคยมีราคาก็มีค่าไม่ต่างจากของที่วางไว้ในแผงตลาด อาไม่อยากให้หนูเหมือนของที่มีอยู่มากมายที่สามารถเลือกหาได้ง่ายๆ ของชิ้นที่ดีที่สุดไม่ได้มีชิ้นเดียวแต่มันจะดีที่สุดเมื่ออยู่ในที่เหมาะสมของมันนะลูก”
น้ำตาไหลเงียบๆหยดลงบนผิวแก้มใส กุมาริกากอดผู้เป็นอาแน่นข้อคิดที่กุลธีร์พูดมันทำให้เธอได้คิด เธอจะมีค่าที่สุดเมื่อเขารู้จักที่จะรักษาเธอไว้รอบตัวเขามีคนสวยกว่าเธอมากมาย เธออาจเจ็บอีกก็ได้ถ้าแทบงคิดจะปล่อยมือเธอไปง่ายๆอีก
สองอาหลานที่ดูเข้าใจกันยิ่งทำให้พีมะกลุ้ม แล้วเขาล่ะจะทำยังไงดีเขาไม่แน่ใจว่าพัคโบราปฏิเสธเขาแล้วใช่ไหมเมื่อเธอไม่มาเมื่อคืนและไม่รับสายเขาเลย ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรจะทำให้มันจบเช่นกัน
“งั้นผมขอไปจัดการเรื่องของตัวเองก่อนนะ บอสกับกัมมี่คงมีเรื่องต้องคุยกันเยอะ ผมไปก่อนดีกว่า” ร่างสูงของตากล้องหนุ่มเดินออกจากห้องไป
“ยัมเซโย่ว...”
เสียงรับสายไม่ใช่เสียงของพัคโบราอีกเช่นเคย พีมะลดมือถือลงเอนตัวพิงผนังห้อง มองดูกระเป๋าที่เก็บของใส่ไปแล้วกว่าครึ่งเหลือเวลาแค่พรุ่งนี้อีกวันเขายังไม่ได้คุยกับเธอเลย จะสองทุ่มแล้วเขาพยายามโทรหาเธอมากว่าสิบครั้งแต่เธอกลับไม่ได้รับสายเขาเลย หมายความว่าเขาแค่โดนเล่นตลกสินะ รอยยิ้มเยาะตนเองผุดที่ริมฝีปาก
“คงสนุกล่ะสิที่แก้แค้นฉันได้พัคโบรา” ตากล้องหนุ่มยิ้มกับตัวเองวางโทรศัพท์ลงข้างตัว
เช้าวันใหม่...
เสียงเปิดประตูทำให้นัมเยรินเงยหน้ามองน้องชายตนเองที่เดินเข้ามาพร้อมใบหน้าบูดบึ้งก่อนเอ่ยตำหนิ
“เข้าห้องทำงานฉันแกไม่คิดจะเคาะประตูรึไงแทบง”
“กอนฮยองอยู่ที่ไหน” เสียงถามที่ไม่ต่างจากเสียงตะโกน ทำให้นัมเยรินต้องระงับอารมณ์ น้องชายของเธอกำลังคลั่งดังคาด
“ฉันจะไปรู้ได้ไงเพราะแกเองที่ทำให้ฉันคุยกับเขาไม่ได้แล้วยังมาอาละวาดอะไรอีก”
“กอนฮยองเอากัมมี่ไปไหน...ข้าวของเธอที่ห้องก็ไม่มีแล้วมันหมายความว่าไง”
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว แต่ฉันไม่รู้ว่ากอนพักที่ไหนกัมมี่กับพีมะมาลาฉันตั้งแต่บ่าย” นัมเยรินกล่าวเย็นชา
“เขามาลาพี่แต่เขาไม่คิดจะลาผมเลยรึไงโทรไปก็ไม่รับ ผมถึงอยากพบเขาไง” นัมแทบงร้อนรน
“แกเพิ่งกลับมาจากถ่ายแบบไม่ใช่เหรอไปพักก่อนเถอะ ตอนบ่ายก็มีสัมภาษณ์อีก” ประธานสาวยังคงนิ่งเฉยบอกไม่สะทกสะท้าน
“ผมไม่ทำอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่ผมยังติดต่อกัมมี่ไม่ได้ พี่ก็รู้นี่..ว่าผมดื้อแค่ไหน” นัมแทบงขู่หน้านิ่ง
“ทำหน้าที่ของแกให้จบแล้วจะไปจัดการเรื่องของแกก็ไป ฉันพูดได้เท่านี้ ตอนนี้แกดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์เรื่องของกัมมี่มันต้องใช้เวลา มันไม่ใช่แค่แกกับกัมมี่สองคนแต่รวมถึงกอนด้วย” นัมเยรินพูดเตือนสติ
กุมาริกามองหมายเลขที่เธอไม่ได้รับสายสิบกว่าmiss call หน้าจอมีแต่ชื่อเจ้าของเธอโทรมา หญิงสาวยิ้มอย่างตัดสินใจกดโทรกลับและเขาก็รับมันในทันที
“แทบงโอป้า”
“กัมมี่อยู่ที่ไหน ทำไมไม่รับสายพี่เลย โดนฮยองดุรึเปล่า”
ล่ามสาวยิ้มรับแม้เขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าแต่เธอรับรู้ได้ว่าเขาเป็นห่วงเธอแค่ไหน กุมาริกาจึงยิ้มทั้งน้ำตาเลือกที่จะบอกลาโดยไม่เห็นใบหน้าดาราหนุ่มดูจะทำให้เธอปวดใจน้อยที่สุด
“โอป้า...ฉันจะกลับไทยแล้วนะ”
“พูดอะไรกัมมี่ จะกลับไทยได้ยังไง”
“โอป้า...ระยะห่างมันไม่สำคัญหรอก โอป้ายังมีหน้าที่ฉันเองก็ด้วย เราต่างมาทำหน้าที่ของเราให้ดีก่อนเถอะนะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาต่อจากนี้ โอป้า~นอมู ซารังเฮโย” กุมาริกากลั้นเสียงสะอื้น
##오빠~ 너무 사랑해요 พี่ค่ะ ฉันรักพี่มากนะ##
นัมแทบงหลับตานิ่งสะกดน้ำในตาที่เอ่อล้น ฟังเสียงสะท้อนที่เขาได้ยินมันก้องซ้ำๆอยู่อย่างนั้น
พัคโบรามองดูสมาท์โฟนเครื่องใหม่ที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างแปลกใจ เนื่องจากมันไม่ใช่เครื่องเดิมของเธอ
“อะไรออนนี่ โทรศัพท์ใคร”
“ของเธอไงเครื่องใหม่ ฉันเห็นเบอร์ที่เธอเมมไว้ว่าโรคจิตโทรมารบกวนวันละเป็นสิบรอบพอฉันบอกท่านประธาน ท่านประธานเลยให้เปลี่ยนให้เธอใหม่ส่วนเครื่องเก่าฉันจะเอาไปใช้เอง” ผู้จัดการอีบอกง่ายๆ
“โรคจิตงั้นเหรอ” นางแบบสาวถึงกับน้ำตาคลอในสิ่งที่ได้ยิน เขาโทรหาเธอ
“ใช่สิพอฉันรับสายมันก็วาง ฉันไม่อยากให้เธอกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเลยไม่ได้บอกแถมข้อความยังส่งมาแปลกๆอีก”
“แล้วเครื่องเก่าอยู่ไหน อยู่ไหนออนนี่” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ผู้จัดการอีงง นี่เธอเหวี่ยงเรื่องอะไรขึ้นมาอีก พักนี้ก็ว่าดูใจเย็นขึ้นตั้งเยอะแล้วนะทำไมมีอาการแบบนี้อีก
“อยู่ในรถตู้เอาไว้...”ยังไม่ทันที่ผู้จัดการสาวจะพูดจบ ร่างโปร่งก็เดินฉับๆตรงไปที่รถทันที
พัคโบรากวาดตามองไปตรงเบาะที่เธอนั่งก่อนจะเห็นเครื่องคุ้นตาวางอยู่ในกล่องเก็บของของผู้จัดการอี เครื่องถูกกดเปิดด้วยหัวใจเต้นระส่ำ ข้อความมากมายถูกส่งถึงเธอตั้งแต่คืนเมื่อวานและข้อความสุดท้ายเมื่อคืนตอนสี่ทุ่ม
“ผมไม่รู้ว่าโดนคุณเล่นตลกอะไร แต่มันก็ทำให้ผมเจ็บไม่น้อยและขอบคุณที่ทำให้ผมใจเต้นได้เสมอเมื่อพบคุณ...คุณทำสำเร็จโบรา ผมมองคุณใหม่ในมุมที่ต่างจากเดิมแล้วจริงๆ ขอให้คุณโชคดี”
นางแบบสาวมือสั่นกดเลขหมายที่ปรากฏบนจออย่างรีบเร่ง เพราะเธอตื่นเต้นกับงานใหม่และเหนื่อยกับมันไม่ใช่น้อยเธอถึงพลาดที่จะคุยกับพีมะและทำให้เขาเข้าใจผิด
“เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
“ทำไมถึงติดต่อไม่ได้ล่ะ เกิดอะไรขึ้น”พัคโบราถามตัวเองพร้อมกับกดหมายเลยปลายทางซ้ำอยู่หลายครั้ง
“โบราถ่ายเซ็ทสุดท้ายแล้ว” เสียงเรียกของผู้จัดการอีทำเอาเธอได้สติ ทั้งที่ใจว้าวุ่นไปหมด
“ทำไมตาแดงแบบนั้นล่ะทำยังกับร้องไห้” ผู้จัดการอีมองดูนางแบบสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างไม่เข้าใจ
“ ถ้าโทรศัพท์เครื่องนี้ดังบอกฉันด้วย ไม่ว่าจะเป็นเบอร์คนบ้า คนโรคจิตฉันก็จะรับเข้าใจไหมออนนี่” เสียงและแววตาดุทำให้ผู้จัดการอีรีบพยักหน้ารับ บทจะเหวี่ยงก็หาเหตุผลไม่ได้ นี่เธอทำอะไรผิดกัน...
เสียงของแอร์โฮสเตสเตือนให้รู้ว่าเครื่องบินกำลังเข้าสู่น่านฟ้าประเทศไทยและกำลังจะนำเครื่องลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิในอีก1ชั่วโมงข้างหน้า
ในเครื่องบินนี้มีคนสามคนที่คิดต่างกัน หนึ่งคนหัวใจเปี่ยมไปด้วยความรัก หนึ่งคนพาความรักของเขา
กลับมาด้วย และอีกหนึ่งคนที่ทิ้งหัวใจของเขาไว้ที่นั่นตลอดไป
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
“บอสนี่มันละครหลังข่าวชัดๆน้ำเน่าขนาดนี้” พีมะบอกมองเจ้านายตนเองไม่อยากเชื่อกับสิ่งได้ยิน
“แค่เกลี้ยกล่อมให้กัมมี่กลับมันน้ำเน่าตรงไหนว่ะไอ้พี”
“แค่บอสจะให้กลับภายในไม่กี่วันแถมเจ้าตัวเขาไม่รู้ล่วงหน้าอีกนี่มันแผนจับนางเอกพระเอกในละครเขาแยกกันชัดๆ” ตากล้องหนุ่มรู้สึกเหมือนจะขำไม่ออก
“แกไม่เห็นด้วยเหรอ ฉันคิดว่าแกน่าจะเป็นคนแรกที่ดีใจที่ฉันจับกัมมี่แยกออกจากแทบงได้ แต่ดูแกทำหน้าเข้าสิยังกับคนปวดท้อง แต่ก็ช่างเถอะยังไงฉันก็ตัดสินใจแล้ว” กุลธีร์โบกมือเมื่อเห็นว่าตากล้องหนุ่มเหมือนจะพูดอะไร
พีมะส่ายหัวกับการเอาแต่ใจของเจ้านายตนเอง ก่อนหันไปหรี่ตามองประธานนัมโมเดลที่กำลังส่งยิ้มหวานให้กับกุลธีร์อย่างสงสัย
“แล้ว...บอสกับประธานนัมไปคืนดีกันตอนไหนฮ่ะ”
คำถามหน้าตายของพีมะทำเอาบอสหนุ่มใหญ่ถึงกับกระแอมไล่เสียง หันไปมองหญิงสาวข้างตนเองแล้วอดยิ้มตามไม่ได้ “พูดมากน่า..แกทำแค่ที่ฉันบอกก็พอ อ่อ...แกเองก็เตรียมตัวด้วยล่ะ”
“ครับบอสงั้นผมขอตัวกลับเลยล่ะกัน” พีมะเอ่ย ยอมรับว่าตอนนี้หัวเขาเองก็ขาวโพลนไปหมด เขาต้องกลับไทยในอีกสองวันแล้วพัคโบราล่ะตั้งแต่เมื่อวานเขายังไม่ได้คุยกับเธอสักคำ
ผู้จัดการอีส่งน้ำให้นางแบบสาวคนใหม่ที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว วันนี้คิวของพัคโบราเต็มทั้งวันจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้ที่1แต่ดูสื่อในเกาหลีจะสนใจนางแบบหน้าใหม่ไม่น้อยทำเอาผู้จัดการอย่างเธอรับโทรศัพท์ไม่หยุด
“เธอฮอตแล้วนะโบรา ดูข่าวบันเทิงนี่สิสัมภาษณ์เมื่อเช้าลงกรอบบ่ายเลย ยกให้เธอเป็นนางแบบที่มีเรียวขาเลอค่าแล้ววันนี้มีทีมละครติดต่อมาด้วยนะอยากให้เธอไปแคสงาน”
“ฉันไม่ถนัดแล้วก็ไม่ได้อยากเป็นนักแสดง” พัคโบราซบหน้าลงกับแขนมองดูสมาทโฟนของตนเองเหมือนของผิดปกติ เอานิ้วจิ้มเปิดปิดหน้าจอจนเบื่อขณะรอเพื่อถ่ายแบบเซ็ทต่อไป
“รอใครโทรมารึไง ฉันเห็นเธอมองมามันมาครึ่งวันแล้วนะมือถือเนี่ย” ผู้จัดการอีมองจับผิดแต่นางแบบสาวกลับทำเฉยแถมลุกไปทันทีเมื่อทีมงานบอกให้เตรียมถ่ายเซ็ทต่อไปได้
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของนางแบบสาวทำให้ผู้จัดการอีเงยหน้าจากนิตยสารเล่มในมือ ชื่อบนหน้าจอทำเอาผู้จัดการสาวเบิกตากว้าง
“ไซคุ นี่มีไอ้โรคจิตตามก่อกวนโบราจนต้องเมมเบอร์ไว้เลยเหรอ ไม่ได้การแหละฉันต้องจัดการสักหน่อย” ผู้จัดการอีหยิบมือถือของนางแบบสาวมากดรับทันที
“ยัมเซโย่ว...”
เสียงสูงของผู้จัดการนางแบบสาวทำเอาพีมะอึ้ง และอีกหลายคำที่ตามมาถึงเขาจะฟังไม่ออกแต่จากเสียงของเธอเขารับรู้ได้ถึงความไม่พอใจ การวางสายเป็นสิ่งที่ตากล้องหนุ่มทำ
นัมเยรินยิ้มมุมปากเมื่อเลขาส่วนตัวแจ้งว่าน้องชายตัวแสบของเธอกำลังรออยู่ด้านในนานกว่าสองชั่วโมงแล้ว ร่างระหงดึงประตูห้องทำงานออกมองไปมุมที่มีร่างสูงนั่งอยู่ด้วยสีหน้านิ่ง
“วันนี้นายไม่มีงานรึไงถึงมานั่งเล่นอยู่ที่นี่ได้”
“ผมมีเรื่องจะขอให้พี่ช่วย...” นัมแทบงเอ่ยจริงจัง
“ให้ช่วยเรื่องอะไรหรือว่าตอนฉันไม่อยู่นายไปก่อเรื่องอะไรมาอีกแทบง”
คำพูดของพี่สาวทำเอานัมแทบงลอบกลืนน้ำลาย เขาจะบอกได้ยังไงว่าเขาไปทำอะไรไว้ มีหวังพี่สาวคงฆ่าเขาตายแน่ อีกอย่างเขาต้องเว้นวรรคในบางเรื่องไว้เพื่อปกป้องและให้เกียรติผู้หญิงของเขา
“ก็..ไม่มีอะไรนี่” นัมแทบงบอกอึกอัก
“ก็ดี...ฉันก็มีเรื่องจะบอกนายเหมือนกัน”
ดาราหนุ่มเลิกคิ้วกับน้ำเสียงของพี่สาวตนเองที่จู่ๆก็ดูจริงจังขึ้นมา มองดวงตาที่คล้ายกันอย่างหวั่นใจอะไรบ้างอย่างแต่รู้สึกว่ามันไม่น่าจะดีนัก
“อะไร..พี่จะบอกอะไรผมเหรอ”
“กัมมี่ต้องกลับไทยในวันมะรืนนี้”
“อะไรนะ...ทำไมผมไม่รู้มาก่อนล่ะกัมมี่ไม่เห็นบอกอะไรผมเลย” นัมแทบงผุดลุกขึ้นยืน
“แทบง...กัมมี่ก็คงเพิ่งรู้เหมือนนายแหละ ฉันรู้เพราะคนของกอนติดต่อมาว่าตอนนี้กอนอยู่ที่เกาหลี” ประธานสาวถอนหายใจเมื่อเห็นอาการไหล่ลู่ลงของน้องชายตัวเอง
“ไม่จริง ผมกำลังจะขอร้องพี่ให้ติดต่อฮยองให้เพื่อจะได้อธิบายบางเรื่องให้เข้าใจแล้วทำไมทุกอย่างมันผิดพลาดแบบนี้”
“แทบงนายลืมรึไงว่ากัมมี่มาที่นี่ก็เพราะว่างานโปรเจคแลกเปลี่ยน เมื่องานจบเขาก็ต้องกลับ”
“ผมไม่นึกว่ามันจะเร็วแบบนี้”
“กัมมี่มาอยู่นี่นานพอดูเลยนะ อีกอย่างนายก็ไม่ได้สนใจเขาแล้วไม่ใช่เหรอ” นัมเยรินพูดต่ออย่างเฉยชา แววตาเสียใจของน้องชายตนเองเป็นสิ่งที่เธอต้องแกล้งหมางเมิน
“มันไม่ใช่แบบนั้นผมกับกัมมี่เราคุยกันเข้าใจแล้วพี่ต้องช่วยผมนะ” นัมแทบงอ้อนวอน
กุมาริกาเรียกชื่ออาหนุ่มอย่างตกใจเมื่อได้ยินกุลธีร์บอกให้เธอเตรียมตัวกลับพร้อมกับเขาเลย เธอรู้ว่าต้องกลับบ้านแต่ในเวลานี้เรื่องของเธอกับนัมแทบงเพิ่งลงตัว เธออยากอยู่ใกล้ชิดเขาแต่ไม่รู้จะตอบเหตุผลกับอาตัวเองว่าอะไร
“อากุลแค่สองวันมันไม่เร็วไปเหรอคะ”
“ยัยหลานต้องเตรียมตัวอะไรงานก็เสร็จหมดแล้วไม่ใช่เหรอ” กุลธีร์ทำหน้าตายหันมองหลานสาวตนเองก่อนหันไปหาตากล้องหนุ่ม
“เอ่อ..ครับบอส”พีมะอึกอักไม่แพ้หญิงสาวเพราะเรื่องหัวใจตัวเองก็ยังไม่แน่ชัด แล้วต้องกลับกระทันหันแบบนี้เขาจะทำยังไงดี
อาการประหลาดของคนทั้งคู่ทำให้กุลธีร์มองอย่างแปลกใจ ทำไมจู่ๆพีมะถึงได้หลบตาเขาไม่ต่างจากหลานสาวเขาเลยแถมยังพูดอึกอักผิดนิสัยมุทะลุของมัน
“อากุลเขาขอตามกลับไปได้ไหม” กุมาริกาตัดสินใจบอกเพราะความเป็นคนมั่นใจในตัวเองจึงไม่สามารถทนความอึดอัดได้
“อารู้ว่าเพราะอะไรยัยหลานถึงยังไม่อยากกลับแต่อาก็มีเหตุผลของอา เอาเป็นว่าทุกอย่างที่อาทำหรือกำลังจะทำมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับหลานรักของอา ยัยหลานก็รู้ใช่ไหมว่าอารักยัยหลานแค่ไหน”
เมื่อฟังคำจากผู้เป็นอาจบหญิงสาวจึงได้แต่พยักหน้าเธอไม่รู้เหตุผล แต่กุลธีร์รักและหวังดีกับเธอที่สุด กุมาริกาจึงเลือกจะเชื่อใจอาผู้ที่เลี้ยงเธอมาไม่ต่างจากพ่อแม่ ร่างเล็กโผเข้ากอดอาหนุ่มไว้
“ของจะมีราคาเมื่อเรารู้คุณค่าของมัน แต่ถ้าเมื่อไหร่เราไม่เห็นค่า ของที่เคยมีราคาก็มีค่าไม่ต่างจากของที่วางไว้ในแผงตลาด อาไม่อยากให้หนูเหมือนของที่มีอยู่มากมายที่สามารถเลือกหาได้ง่ายๆ ของชิ้นที่ดีที่สุดไม่ได้มีชิ้นเดียวแต่มันจะดีที่สุดเมื่ออยู่ในที่เหมาะสมของมันนะลูก”
น้ำตาไหลเงียบๆหยดลงบนผิวแก้มใส กุมาริกากอดผู้เป็นอาแน่นข้อคิดที่กุลธีร์พูดมันทำให้เธอได้คิด เธอจะมีค่าที่สุดเมื่อเขารู้จักที่จะรักษาเธอไว้รอบตัวเขามีคนสวยกว่าเธอมากมาย เธออาจเจ็บอีกก็ได้ถ้าแทบงคิดจะปล่อยมือเธอไปง่ายๆอีก
สองอาหลานที่ดูเข้าใจกันยิ่งทำให้พีมะกลุ้ม แล้วเขาล่ะจะทำยังไงดีเขาไม่แน่ใจว่าพัคโบราปฏิเสธเขาแล้วใช่ไหมเมื่อเธอไม่มาเมื่อคืนและไม่รับสายเขาเลย ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรจะทำให้มันจบเช่นกัน
“งั้นผมขอไปจัดการเรื่องของตัวเองก่อนนะ บอสกับกัมมี่คงมีเรื่องต้องคุยกันเยอะ ผมไปก่อนดีกว่า” ร่างสูงของตากล้องหนุ่มเดินออกจากห้องไป
“ยัมเซโย่ว...”
เสียงรับสายไม่ใช่เสียงของพัคโบราอีกเช่นเคย พีมะลดมือถือลงเอนตัวพิงผนังห้อง มองดูกระเป๋าที่เก็บของใส่ไปแล้วกว่าครึ่งเหลือเวลาแค่พรุ่งนี้อีกวันเขายังไม่ได้คุยกับเธอเลย จะสองทุ่มแล้วเขาพยายามโทรหาเธอมากว่าสิบครั้งแต่เธอกลับไม่ได้รับสายเขาเลย หมายความว่าเขาแค่โดนเล่นตลกสินะ รอยยิ้มเยาะตนเองผุดที่ริมฝีปาก
“คงสนุกล่ะสิที่แก้แค้นฉันได้พัคโบรา” ตากล้องหนุ่มยิ้มกับตัวเองวางโทรศัพท์ลงข้างตัว
เช้าวันใหม่...
เสียงเปิดประตูทำให้นัมเยรินเงยหน้ามองน้องชายตนเองที่เดินเข้ามาพร้อมใบหน้าบูดบึ้งก่อนเอ่ยตำหนิ
“เข้าห้องทำงานฉันแกไม่คิดจะเคาะประตูรึไงแทบง”
“กอนฮยองอยู่ที่ไหน” เสียงถามที่ไม่ต่างจากเสียงตะโกน ทำให้นัมเยรินต้องระงับอารมณ์ น้องชายของเธอกำลังคลั่งดังคาด
“ฉันจะไปรู้ได้ไงเพราะแกเองที่ทำให้ฉันคุยกับเขาไม่ได้แล้วยังมาอาละวาดอะไรอีก”
“กอนฮยองเอากัมมี่ไปไหน...ข้าวของเธอที่ห้องก็ไม่มีแล้วมันหมายความว่าไง”
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว แต่ฉันไม่รู้ว่ากอนพักที่ไหนกัมมี่กับพีมะมาลาฉันตั้งแต่บ่าย” นัมเยรินกล่าวเย็นชา
“เขามาลาพี่แต่เขาไม่คิดจะลาผมเลยรึไงโทรไปก็ไม่รับ ผมถึงอยากพบเขาไง” นัมแทบงร้อนรน
“แกเพิ่งกลับมาจากถ่ายแบบไม่ใช่เหรอไปพักก่อนเถอะ ตอนบ่ายก็มีสัมภาษณ์อีก” ประธานสาวยังคงนิ่งเฉยบอกไม่สะทกสะท้าน
“ผมไม่ทำอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่ผมยังติดต่อกัมมี่ไม่ได้ พี่ก็รู้นี่..ว่าผมดื้อแค่ไหน” นัมแทบงขู่หน้านิ่ง
“ทำหน้าที่ของแกให้จบแล้วจะไปจัดการเรื่องของแกก็ไป ฉันพูดได้เท่านี้ ตอนนี้แกดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์เรื่องของกัมมี่มันต้องใช้เวลา มันไม่ใช่แค่แกกับกัมมี่สองคนแต่รวมถึงกอนด้วย” นัมเยรินพูดเตือนสติ
กุมาริกามองหมายเลขที่เธอไม่ได้รับสายสิบกว่าmiss call หน้าจอมีแต่ชื่อเจ้าของเธอโทรมา หญิงสาวยิ้มอย่างตัดสินใจกดโทรกลับและเขาก็รับมันในทันที
“แทบงโอป้า”
“กัมมี่อยู่ที่ไหน ทำไมไม่รับสายพี่เลย โดนฮยองดุรึเปล่า”
ล่ามสาวยิ้มรับแม้เขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าแต่เธอรับรู้ได้ว่าเขาเป็นห่วงเธอแค่ไหน กุมาริกาจึงยิ้มทั้งน้ำตาเลือกที่จะบอกลาโดยไม่เห็นใบหน้าดาราหนุ่มดูจะทำให้เธอปวดใจน้อยที่สุด
“โอป้า...ฉันจะกลับไทยแล้วนะ”
“พูดอะไรกัมมี่ จะกลับไทยได้ยังไง”
“โอป้า...ระยะห่างมันไม่สำคัญหรอก โอป้ายังมีหน้าที่ฉันเองก็ด้วย เราต่างมาทำหน้าที่ของเราให้ดีก่อนเถอะนะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาต่อจากนี้ โอป้า~นอมู ซารังเฮโย” กุมาริกากลั้นเสียงสะอื้น
##오빠~ 너무 사랑해요 พี่ค่ะ ฉันรักพี่มากนะ##
นัมแทบงหลับตานิ่งสะกดน้ำในตาที่เอ่อล้น ฟังเสียงสะท้อนที่เขาได้ยินมันก้องซ้ำๆอยู่อย่างนั้น
พัคโบรามองดูสมาท์โฟนเครื่องใหม่ที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างแปลกใจ เนื่องจากมันไม่ใช่เครื่องเดิมของเธอ
“อะไรออนนี่ โทรศัพท์ใคร”
“ของเธอไงเครื่องใหม่ ฉันเห็นเบอร์ที่เธอเมมไว้ว่าโรคจิตโทรมารบกวนวันละเป็นสิบรอบพอฉันบอกท่านประธาน ท่านประธานเลยให้เปลี่ยนให้เธอใหม่ส่วนเครื่องเก่าฉันจะเอาไปใช้เอง” ผู้จัดการอีบอกง่ายๆ
“โรคจิตงั้นเหรอ” นางแบบสาวถึงกับน้ำตาคลอในสิ่งที่ได้ยิน เขาโทรหาเธอ
“ใช่สิพอฉันรับสายมันก็วาง ฉันไม่อยากให้เธอกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเลยไม่ได้บอกแถมข้อความยังส่งมาแปลกๆอีก”
“แล้วเครื่องเก่าอยู่ไหน อยู่ไหนออนนี่” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ผู้จัดการอีงง นี่เธอเหวี่ยงเรื่องอะไรขึ้นมาอีก พักนี้ก็ว่าดูใจเย็นขึ้นตั้งเยอะแล้วนะทำไมมีอาการแบบนี้อีก
“อยู่ในรถตู้เอาไว้...”ยังไม่ทันที่ผู้จัดการสาวจะพูดจบ ร่างโปร่งก็เดินฉับๆตรงไปที่รถทันที
พัคโบรากวาดตามองไปตรงเบาะที่เธอนั่งก่อนจะเห็นเครื่องคุ้นตาวางอยู่ในกล่องเก็บของของผู้จัดการอี เครื่องถูกกดเปิดด้วยหัวใจเต้นระส่ำ ข้อความมากมายถูกส่งถึงเธอตั้งแต่คืนเมื่อวานและข้อความสุดท้ายเมื่อคืนตอนสี่ทุ่ม
“ผมไม่รู้ว่าโดนคุณเล่นตลกอะไร แต่มันก็ทำให้ผมเจ็บไม่น้อยและขอบคุณที่ทำให้ผมใจเต้นได้เสมอเมื่อพบคุณ...คุณทำสำเร็จโบรา ผมมองคุณใหม่ในมุมที่ต่างจากเดิมแล้วจริงๆ ขอให้คุณโชคดี”
นางแบบสาวมือสั่นกดเลขหมายที่ปรากฏบนจออย่างรีบเร่ง เพราะเธอตื่นเต้นกับงานใหม่และเหนื่อยกับมันไม่ใช่น้อยเธอถึงพลาดที่จะคุยกับพีมะและทำให้เขาเข้าใจผิด
“เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
“ทำไมถึงติดต่อไม่ได้ล่ะ เกิดอะไรขึ้น”พัคโบราถามตัวเองพร้อมกับกดหมายเลยปลายทางซ้ำอยู่หลายครั้ง
“โบราถ่ายเซ็ทสุดท้ายแล้ว” เสียงเรียกของผู้จัดการอีทำเอาเธอได้สติ ทั้งที่ใจว้าวุ่นไปหมด
“ทำไมตาแดงแบบนั้นล่ะทำยังกับร้องไห้” ผู้จัดการอีมองดูนางแบบสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างไม่เข้าใจ
“ ถ้าโทรศัพท์เครื่องนี้ดังบอกฉันด้วย ไม่ว่าจะเป็นเบอร์คนบ้า คนโรคจิตฉันก็จะรับเข้าใจไหมออนนี่” เสียงและแววตาดุทำให้ผู้จัดการอีรีบพยักหน้ารับ บทจะเหวี่ยงก็หาเหตุผลไม่ได้ นี่เธอทำอะไรผิดกัน...
เสียงของแอร์โฮสเตสเตือนให้รู้ว่าเครื่องบินกำลังเข้าสู่น่านฟ้าประเทศไทยและกำลังจะนำเครื่องลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิในอีก1ชั่วโมงข้างหน้า
ในเครื่องบินนี้มีคนสามคนที่คิดต่างกัน หนึ่งคนหัวใจเปี่ยมไปด้วยความรัก หนึ่งคนพาความรักของเขา
กลับมาด้วย และอีกหนึ่งคนที่ทิ้งหัวใจของเขาไว้ที่นั่นตลอดไป
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
พบกะรัณย์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ต.ค. 2558, 13:02:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ต.ค. 2558, 13:04:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 874
<< ขอร้อง | ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง >> |