เสน่ห์รักคล้องใจ

Tags: แต่งงาน,คลุมถุงชน,พ่อแง่แม่งอน

ตอน: ตอนที่ 4

สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน ^^ เอานิยายมาส่งก่อนจะลายาวไปพักผ่อนค่ะ ฝากติดตามวินกับแพรด้วยนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ ^_^


เสน่ห์รักคล้องใจ ตอน 4

“แพรไม่ใส่ชุดนี้ไม่ได้เหรอคะแม่รุ้ง” พิชชาภาหันไปทำหน้าเหยเก บอกมารดาที่กำลังเลือกเครื่องประดับอยู่บนเตียง ก่อนจะหันกลับมามองตัวเองในกระจกอีกครั้งด้วยสีหน้าหนักใจ

ชุดที่มารดาเลือกให้เป็นชุดราตรีสีดำแบบสายเดี่ยวคล้องคอสั้นคลุมเข่าประดับด้วยเกล็ดเพชรทั้งชุด ด้านหน้าที่คว้านลึกก็เปิดเผยร่องอกอิ่มของเธอซึ่งอัดแน่นอยู่ภายใต้ผ้าเนื้อบาง จนมองดูเหมือนว่ามันแทบจะหกล้นออกมา ตัวเสื้อด้านหลังก็เว้าต่ำเกือบถึงเอวอวดแผ่นหลังขาวผ่องดุจน้ำนมของเธอ

“ทำไมล่ะแพร แม่ว่าชุดนี้แหล่ะเหมาะกับหนูที่สุดแล้ว เชื่อแม่สิ” รุ้งรวีเงยหน้าขึ้นบอกกับลูกสาว แล้วหันมาสนใจกล่องสร้อยเพชรและสร้อยมุกสี่ห้ากล่องตรงหน้าสำหรับพิชชาภา

“แต่แพรว่ามันโป๊ไปนะคะแม่รุ้ง แพรไม่กล้าออกจากห้องหรอกค่ะถ้าใส่ชุดนี้” พิชชาภาบอกพลางเดินมานั่งข้าง ๆ มารดาที่เตียง

“อุ๊ย ไม่เห็นจะปงจะโป๊ตรงไหนเลย แม่ว่าแพรใส่แต่พวกเสื้อผ้าเรียบ ๆ แบบพวกคุณหนูจนชิน พอมาใส่ไอ้ที่มันมีเปิดนิดเปิดหน่อยก็เลยยังไม่คุ้นเท่านั้นแหล่ะ” รุ้งรวีแย้งลูกสาว หล่อนเองใช่ว่าจะเป็นคนหัวโบราณที่จะต้องให้ลูกสาวแต่งตัวเรียบร้อยมิดชิดอยู่ตลอดเวลา และชุดที่หล่อนเลือกให้ก็ใช่ว่าจะโป๊เปลือยเสียเมื่อไร เพียงแต่พอเปิดเผยให้เห็นนิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อเปลี่ยนพิชชาภาที่เคยดูเรียบร้อยให้กลายเป็นสาวเซ็กซี่ในคืนที่จะประกาศหมั้น ซึ่งเรื่องนี้หล่อนไม่ได้บอกพิชชาภาเพราะรู้ว่าหญิงสาวต้องค้านหัวชนฝาและหาทางเลี่ยงอย่างแน่นอน ดังนั้นหล่อนจึงบอกแต่เพียงว่าอัศวินจะมางานเลี้ยงคืนนี้เท่านั้น

“แต่แม่รุ้งคะ” พิชชาภาขัดขึ้นอีกครั้งแต่รุ้งรวีก็ยกมือห้ามไว้ก่อน

“ไม่มีแต่ แม่บอกชุดนี้ก็คือชุดนี้ เข้าใจไหม” รุ้งรวีรีบพูดตัดบท ไม่สนใจหน้าบูดบึ้งของลูกสาว

“อ้อ แล้วแพรเอาสร้อยมุขเส้นนี้ไปใส่นะลูก ดูสิ มีตุ้มหูกับสร้อยข้อมือเข้าชุดกันด้วยนะ สวยไหม” รุ้งรวียิ้มบอกแล้วยื่นกล่องสร้อยมุกสองกล่องให้พิชชาภาดู สร้อยมุกขาวนวลที่เรียงจากเม็ดเล็กและค่อย ๆ ไล่ลำดับความใหญ่มาจนถึงกลางสร้อยเข้าชุดกับตุ้มหูมุกที่มีดีไซน์เดียวกัน ส่วนสร้อยข้อมือเป็นแบบยาวสำหรับใส่ทบพันข้อมือโดยมีมุกเม็ดเล็กเม็ดใหญ่เรียงสลับกันสวยงาม

“ค่ะ” เธอตอบเบา ๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“อะไรกัน แค่ ‘ค่ะ’ เนี่ยนะ” รุ้งรวีทำเสียงจึ๊กจั๊กเมื่อลูกสาวตอบไม่ถูกใจ

“แล้วก็เลิกทำหน้าเหมือนกำลังจะถูกเชือดอย่างนั้นสักทีได้ไหม หันหลังมาซิ แม่จะได้ใส่สร้อยให้” พูดเสร็จก็หยิบสร้อยมุกออกมาจากกล่องแล้วสวมลงบนคอพิชชาภาที่หันหลังมาให้ด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ จากนั้นก็ติดตุ้มหูและพันสร้อยคอมือให้เธอ รุ้งรวีคลี่ยิ้มมองผลงานชิ้นเอกตรงหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะบอกให้พิชชาภาลุกไปดูตัวเองที่กระจกอีกครั้งโดยมีเธอมองอย่างชื่นชมอยู่ข้าง ๆ

“วันนี้แพรของแม่สวยมากเลยรู้ไหมจ๊ะ สวยจนอาจจะทำให้ใครบางคนต้องตะลึง” รุ้งรวีพูดด้วยรอยยิ้มกริ่ม วันนี้หล่อนอุตส่าห์จ้างช่างแต่งหน้าและช่างทำผมฝีมือดีให้มาเนรมิตลูกสาวผู้เรียบร้อยของหล่อนมาเป็นสาวเซ็กซี่สวยคมเพื่อสร้างความประทับใจให้กับอัศวินในการพบกันครั้งแรกในรอบหลายปีโดยเฉพาะ

เมื่อรุ้งรวีพอใจผลงานของตัวเองแล้ว จึงบอกกับลูกสาว “เดี๋ยวแม่จะไปแต่งตัวบ้างล่ะนะ แล้วอีกชั่วโมงแม่จะมาตามเราอีกที แล้วค่อยลงไปรับแขกกับแม่พร้อมกัน” พูดเสร็จหมุนตัวเดินออกจากห้องไป


พิชชาภาถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองตัวเองในกระจกด้วยสีหน้าหนักใจ เธอรู้ว่างานเลี้ยงคืนนี้รุ้งรวีอยากให้เธอดูสวยเป็นพิเศษเพราะอัศวินว่าที่คู่หมั้นของเธอจะมางานเลี้ยงพร้อมกับมารดาของเขา ซึ่งทำให้เธออดที่จะรู้สึกประหม่าระคนตื่นเต้นไม่ได้เมื่อคิดว่าต้องเผชิญหน้ากับอัศวินซึ่งไม่ได้พบกันมานานหลายปีอีกครั้ง

แต่แล้วพิชชาภาก็สูดหายใจเข้าเต็มปอดคล้ายเรียกกำลังใจ แล้วผุดลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระจกอีกครั้ง เธอมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“เธอจะไปกลัวเขาทำไมกันยัยแพร ในเมื่อคืนนี้เป็นโอกาสดีที่เธอจะได้ทำให้ผู้ชายนิสัยไม่ดีคนนั้นต้องตะลึงกับเธอคนใหม่ ที่ไม่ใช่ยัยอ้วนหน้าดำคนเดิมเมื่อหลายปีก่อนอีกต่อไป” เธอยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยอย่างมั่นใจ พลางเอียงซ้ายเอียงขวา และจับผมที่หยักเป็นลอนของเธอให้เข้าที่เข้าทาง เตรียมตัวเองสำหรับงานเลี้ยงฉลองในอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้านี้


“วินช่วยแม่มองหารุ้งกับคุณวัฒน์หน่อยซิลูกว่าอยู่ตรงไหน แม่แก่แล้วตาไม่ค่อยดี” อมลวรรณชะเง้อมองผ่านแขกเหรื่อในงานพลางบอกอัศวินที่เดินตามหลังหล่อนเข้ามาในตัวคฤหาสน์โดยมีชานนท์บอร์ดี้การ์ดเดินตามอยู่ห่าง ๆ

“แล้วนี่งานเขาเริ่มกันกี่โมงล่ะครับ” อัศวินถาม คอก็คอยชะเง้อมองหาตามคำสั่งของมารดา

หล่อนบอกโดยที่ตายังสอดส่องหาร่างของเพื่อนสาวกับสามี “เห็นรุ้งบอกจะมีกินเลี้ยงกันตอนทุ่มนึงน่ะ นี่ก็คงใกล้เวลาแล้วล่ะลูก....นี่ เดี๋ยว หนู ๆ” หล่อนกวักมือเรียกสาวใช้ที่เพิ่งเดินก้มหลังผ่านหน้าไป

“คะ”

“รู้ไหมว่าตอนนี้รุ้งกับคุณวัฒน์อยู่ไหนน่ะ” อมลวรรณถาม

“คุณท่านทั้งสองกำลังคุยอยู่กับ กับ...เอ่อ...ท่านรองผู้กำกับอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะค่ะ ตอนนี้อยู่ที่ห้องรับแขกด้านในน่ะค่ะ”

“อ้อ...” อมลวรรณพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะถามถึงคนที่เธออยากเจอมากที่สุด “แล้วหนูแพรล่ะจ๊ะ รู้ไหมว่าอยู่ไหน”

อัศวินแอบพ่นลมหายใจเบา ๆ อย่างเซ็ง ๆ ดูเหมือนมารดาเขาจะตื่นเต้นเสียเหลือเกินที่เขาจะได้เจอกับยัยเด็กอัปลักษณ์นั่นสักที เพราะตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านก็ยิ้มหน้าบานพูดถึงยัยเด็กนั่นได้ไม่หยุด

“อ๋อ ตอนนี้คุณแพรเธอคุยอยู่กับคุณพีทที่ลานน้ำพุค่ะ” เด็กสาวตอบพลางพยักเพยิดหน้าไปทางบานประตูกระจกด้านหลังซึ่งเป็นส่วนที่เปิดไปสู่สถานที่จัดงานและลานน้ำพุที่ว่า

“ขอบใจมากนะหนู ฉันถามแค่นี้แหล่ะจ้ะ” อมลวรรณยิ้มขอบใจ

“งั้นแม่ว่าเดี๋ยวเราไปหาน้องเขาก่อนดีกว่านะวินนะ ปล่อยให้รุ้งกับคุณวัฒน์เขาต้อนรับแขกคนสำคัญ ๆ กันไปก่อน แล้วเราค่อยไปทักทายทีหลังก็ได้” หล่อนหันมาบอกอัศวินด้วยใบหน้าชื่นมื่น ในที่สุดลูกชายหล่อนก็จะได้เจอกับพิชชาภาสักที และคราวนี้แหล่ะหล่อนได้หัวเราะเยาะอาการหน้าเหวอตอนที่เจอกับพิชชาภาอีกครั้งของเจ้าลูกชายตัวแสบให้ท้องแข็งไปเลยคอยดู

“แล้วแต่แม่สิครับ” เขายักไหล่ตอบ ใบหน้าเฉยเมยไร้ความรู้สึก แต่ใจจริงเขาก็แอบลุ้นนิด ๆ ว่ายัยเด็กอัปลักษณ์ที่ไม่ได้เจอมาหลายปีจะสวยขึ้นจริงอย่างที่มารดาพร่ำกรอกหูเขาอยู่ทุกวันหรือเปล่า

“เชอะ” อมลวรรณเบ้ปาก ทำเสียงหมั่นไส้ใส่ลูกชายแล้วสะบัดหน้าหนีเดินไปทางบานประตูด้านหลัง

อัศวินหัวเราะเบา ๆ ขำท่าทางของมารดา แล้วเดินเอามือล้วงกระเป๋าตามหล่อนไป สายตาก็คอยกวาดมองความงดงามของคฤหาสน์ว่าที่คู่หมั้นไปด้วยสายตาชื่นชม


“โอ้โห งานจัดใหญ่โตเหมือนกันนะครับเนี่ย นักข่าว ช่างภาพมากันให้พรึ่บ” อัศวินร้องบอกเมื่อมองโต๊ะจัดเลี้ยงหลายสิบตัวกลางสนามหญ้ากว้างหลังคฤหาสน์ ตามต้นไม้มีการประดับไฟสวยงามหลากหลายสี

เขามองเลยไปยังเวทีใหญ่ด้านข้างที่มีวงดนตรีในชุดสูทสีขาวทั้งวงกำลังบรรเลงเพลงสุนทราภรณ์ ให้แขกเหรื่อที่มาในงานได้เต้นรำในจังหวะเพลงวอลซ์กันอยู่ที่หน้าเวที นักข่าวและช่างภาพก็คอยสัมภาษณ์และถ่ายรูปแขกที่เดินอยู่รอบๆ งาน คนโน้นทีคนนี้ทีกันให้ขวัก

“แหม จะไม่ให้จัดใหญ่โตได้ไงล่ะลูก ก็วันนี้น่ะ...” อมลวรรณที่กำลังกระหยิ่มยิ้มหย่องถึงกับต้องงับปากฉับเมื่อเกือบเผลอพูดแผนการของวันนี้ออกไป ก่อนจะปรับท่าทางให้เป็นปกติแล้วพูดต่อ “เอ่อ...ก็วันนี้น่ะครบรอบยี่สิบห้าปีของรุ้งกับคุณวัฒน์เขาเชียวนะ” เธอทำตาโตบอก

“อ้อ...” อัศวินพยักหน้าตอบโดยไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้มารดากำลังแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

“หนิวิน...ตรงนั้นหรือเปล่าลูกลานน้ำพุที่ว่า” อมลวรรณชี้ไปทางลานน้ำพุเล็ก ๆ เลยออกไปด้านหลังซึ่งมีรูปปั้นผู้หญิงกรีกยืนเทน้ำจากเหยือกด้วยท่วงท่าสวยงามอยู่บนฐานปูนสีขาวทรงกลมใหญ่ตรงกลางน้ำพุ

อัศวินมองตามมือมารดาที่ชี้ไปยังน้ำพุ “คงใช่มั้งครับ”

อมลวรรณไม่รอช้ารีบเดินนำลูกชายไปยังลานน้ำพุที่ว่านั่นทันที และพอใกล้จะเดินเข้าไปถึง หล่อนก็ชะงักเท้าแล้วรีบหันมาพูดกับอัศวินด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“เจอน้องแล้วล่ะวิน นู่นไง ยืนอยู่ตรงโน้นแน่ะ” พูดเสร็จก็บุ้ยปากไปทางพิรภพ

อัศวินมองตามสายตาของมารดาไปทางลานน้ำพุ ทันใดนั้นหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาก็บิดเบี้ยวอย่างกับเห็นผี

“ห๊า! นี่เหรอยัยน้องแพรที่บอกว่าโตขึ้นแล้วสวยของแม่อ่ะ ยี๊ยย อ้วนจนผีเสื้อสมุทรยังต้องชิดซ้ายเนี่ยนะ!” อัศวินร้องตกใจเสียงดัง ตาเบิกโตแทบจะถลนเมื่อมองผู้หญิงร่างอ้วนในชุดราตรียาวสีแดงซึ่งยืนหันหลังคุยอยู่พิรภพเป็นพิชชาภา

เขาเชื่อสนิทใจว่าเธอคนนั้นต้องใช่ยัยเด็กอัปลักษณ์แน่ ๆ เพราะเขาฝังใจว่ารูปร่างของพิชชาภานั้นอ้วนท้วม ดังนั้นพอเห็นผู้หญิงอ้วนที่ยืนคุยอย่างสนิทสนมกับพิรภพ เขาจึงไม่ลังเลที่จะเชื่อว่าเธอคนนั้นก็คือยัยเด็กอัปลักษณ์นั่น

อัศวินถึงกับต้องยกมือขึ้นกุมขมับที่เริ่มจะปวดหนึบ ๆ เพราะรับไม่ได้กับว่าที่คู่หมั้นกลิ้งได้ของเขา

อมลวรรณมองท่าทางของอัศวินแล้วต้องขมวดคิ้วสงสัยเพราะไม่รู้ว่าลูกชายเธอพูดถึงใครในเมื่อเธอเองยังไม่เห็นพิชชาภาเลยว่าอยู่ไหน แต่แล้วเธอก็ต้องอมยิ้มกลั้นหัวเราะ เมื่อหันกลับไปมองผู้หญิงร่างอ้วนที่ยืนคุยอยู่กับพิรภพ นี่พ่อลูกชายตัวแสบของเธอคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอคนนั้นเป็นพิชชาภาแน่ ๆ เพียงแค่เห็นว่าเธออ้วนและยืนอยู่กับพิรภพเท่านั้น ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้นเธอจะขอแกล้งพ่อลูกชายตัวแสบให้หายซ่าส์สักทีเถอะ

“ไม่เห็นจะอ้วนตรงไหนเลย แม่ว่ากลม ๆ ปุ๊กลุก ๆ อย่างนี้น่ารักดีออก นี่แหล่ะสวยของแม่ล่ะ” อมลวรรณทำเสียงชื่นชมบอกอัศวินกลั้วเสียงหัวเราะ

อัศวินอ้าปากค้างแทบจะล้มลงไปกองกับพื้นเพราะลมใส่เมื่อได้ยินมารดาพูดถึงยัยเด็กอัปลักษณ์นั่นจบ เขาหันกลับไปมองลานน้ำพุตรงจุดที่สองพี่น้องยืนอยู่อีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พิรภพหันมาทางเขาและมารดา ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่ายิ้มแย้มโบกมือให้เขา ซึ่งเขาเองก็โบกมือพร้อมรอยยิ้มแหย ๆ ตอบกลับไปเช่นกัน และตอนนั้นเองที่ยัยเด็กอัปลักษณ์นั่นหันหน้ามาทางเขาเมื่อเห็นพิรภพทำท่าโบกไม้โบกมือมาให้

คราวนี้อัศวินแทบอยากจะลงไปชักเมื่อสบตากลมโตที่มองมาของยัยเด็กอัปลักษณ์นั่น ปากหนาที่เคลือบลิปสติกสีแดงบนใบหน้ากลม ๆ ของเธอคลี่ยิ้มเอียงอายมาให้เขาพลางเขย่าแขนพิรภพไปมาคล้ายกับตื่นเต้นดีใจ ยัยเด็กอัปลักษณ์กระซิบกระซาบกับน้องชายก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวานให้เขาอีกครั้งแล้วกลิ้งตัวเองหายไปทางมุมเครื่องดื่มซึ่งอยู่เยื้องกันไม่ไกล

“แม่ว่าท่าทางน้องแพรเขาจะชอบวินมากนะเนี่ย ยิ้มหน้าบานไม่หุบตั้งแต่เห็นเราและ แล้วนี่ดูสิ วิ่งหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ คงจะอายล่ะสิท่า” อมลวรรณหัวเราะชอบใจ พูดกระเซ้าเย้าแหย่ลูกชาย

อัศวินอ้าปากจะพูดบ้างหลังจากที่เงียบมานานเพราะอาการช็อคกะทันหัน แต่พิรภพก็เดินมาทางเขากับมารดาเสียก่อน

“สวัสดีครับป้าวรรณ สวัสดีครับพี่วิน” พิรภพยกมือไหว้คนทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“สวัสดีจ้ะตาพีท แหม วันนี้หล่อเข้มเชียวนะเรา อ้าว แล้วนี่พี่แพรของเราไปไหนซะล่ะ” อมลวรรณยกมือไหว้ตอบพลางชมพิรภพที่อยู่ในชุดสูทสีเทาดูดี ก่อนจะเอ่ยถามถึงพิชชาภา

พิรภพลูบท้ายทายแก้เขินเมื่อถูกชม“พี่แพรไปเอาเครื่องดื่มน่ะครับป้าวรรณ” เขาตอบ แล้วมองไปยังซุ้มเครื่องดื่มที่อยู่ไม่ไกล

“นั่นไงครับ พี่แพรโบกมืออยู่ตรงนั้นแน่ะ” พิรภพบอกแล้วโบกมือยิ้มตอบพี่สาว

อมลวรรณมองตามสายตาของพิรภพ แล้วก็เห็นพิชชาภาในชุดราตรีสีดำ ผมยาวที่เคยเป็นคลื่นปล่อยสยายกลางหลังก็ถูกแต่งให้เป็นทรงลอนใหญ่ทำให้ดูเซ็กซี่ผิดตาไปจากครั้งล่าสุดที่เจอกันอย่างลิบลับ ซึ่งหญิงสาวกำลังยืนถือแก้วคอกเทลอยู่กับผู้หญิงร่างอ้วนชุดแดงซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่ยืนคุยอยู่กับพิรภพเมื่อสักครู่

ทั้งสองสาวโบกมือให้กับพิรภพด้วยรอยยิ้มหวาน ซึ่งดูเหมือนสาวชุดแดงจะดูเริงร่ามากกว่าเพื่อน เมื่อเธอกระโดดเหยง ๆ ยิ้มหน้าบาน โบกไม้โบมือไปมาไม่หยุด ส่วนพิชชาภาก็ยิ้มหวานโบกมือได้ไม่นาน ก็ต้องค่อย ๆ ลดมือลงต่ำ พร้อมกับสีหน้าตกใจ

“อ้อ ป้าเห็นแล้วล่ะจ้ะ วันนี้หนูแพรของป้าสวยจริง ๆ สวยมากจนตาวินถึงกับตะลึงพูดไม่ออกเลยดูสิ”

อมลวรรณหันไปพูดกับลูกชายเสียงเยาะหยันเล็กน้อย

อัศวินฉีกยิ้มกว้างแบบไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไรกับคำพูดเสียดสีของมารดา แล้วมองไปยังซุ้มเครื่องดื่มที่ยัยเด็กอ้วนอัปลักษณ์นั่นยืนอยู่พลางทำหน้าเบ้คล้ายกับเห็นของแสลง แต่แล้วสายตาของเขาก็พลันสบกับดวงตากลมใสของหญิงสาวชุดดำที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยัยเด็กอัปลักษณ์นั่น และ ณ วินาทีนั้น ที่เหมือนกับโลกทั้งโลกหยุดหมุน ทุก ๆ สิ่งรอบกายหยุดนิ่งเมื่อสองสายตาประสานกันโดยที่ไม่มีใครสามารถละสายตาจากกันและกันได้

“จริงด้วยครับ วันนี้พี่แพรของผมสวยสุด ๆ ไปเลย” พิรภพพยักหน้าเห็นด้วย แล้วหันไปถามอัศวินที่ยืนตาค้างอยู่ข้าง ๆ อมลวรรณ “ไงครับพี่วิน พี่แพรของผมสวยไหม”

อัศวินพยักหน้าช้า ๆ โดยที่ยังคงจ้องสาวชุดดำไม่วางตา แล้วตอบเสียงแผ่ว “สวย สวยมาก”

ตอนนี้แม่สาวชุดดำกำลังทำให้เขาหัวหมุน ใบหน้ารูปหัวใจของเธอช่างรับกับดวงตากลมโต และจมูกที่โด่งเป็นสันยิ่งนัก ผมยาวดัดเป็นลอนคลอเคลียระไหล่เนียน ริมฝีปากบางหยักได้รูปที่เคลือบลิปสติกสีชมพูมันวาวก็ช่างยั่วยวนเขาให้เข้าไปลิ้มรสเสียจริง เขาถึงกับลมหายใจสะดุดเมื่อค่อย ๆ ละสายตาจากใบหน้าเธอลงมายังเนินอกขาวผ่องที่แทบจะปริล้นออกมา ก่อนจะไล่สายตาลงไปยังเรียวขายาวเนียนน่าสัมผัสนั่น คิด ๆ แล้วแม่สาวชุดดำนี่ช่างมีรูปร่างอวบอิ่มเย้ายวนใจเขาเป็นบ้า

“ดูพี่วินสิครับป้าวรรณ เห็นพี่แพรครั้งแรกก็ถึงกับออกปากชมว่าสวยจนต้องตะลึงมองตาค้างซะแล้ว” พิรภพทำเป็นพูดเบา ๆ กับอมลวรรณแล้วส่งสายตากรุ้มกริ่มไปที่อัศวิน

“แหม ก็หนูแพรออกจะสวยขนาดนั้น ตาวินไม่ตะลึงตาค้างก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะตาพีท” อมลววรณยิ้มร่าบอกพิรภพ แล้วเหลือบมองอัศวินที่ยังจ้องพิชชาภาไม่วางตาอย่างพอใจ เธอคิดไว้แล้วว่าลูกชายเธอจะต้องตะลึงเมื่อเห็นพิชชาภาในคราบใหม่ที่ไม่ใช่เด็กสาวอ้วนกลมอีกต่อไป แม้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มจะยังไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ตัวเองจ้องอยู่นั่นคือพิชชาภาจริง ๆ ไม่ใช่ผู้หญิงร่างอ้วนในชุดราตรีสีแดงคนนั้น

อัศวินหลุดจากมนต์สะกดของแม่สาวชุดดำเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของพิรภพกับมารดา ก่อนจะทำหน้าเหรอหรามองสองคนสลับกันไปมา

“หัวเราะอะไรกันเหรอครับ” อัศวินถามสีหน้างง ๆ

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับพี่วิน พีทแค่คุยกับป้าวรรณว่าพี่วินน่ะถึงกับตะลึงตาค้างเพราะความสวยของพี่แพรก็เท่านั้นเอง” พิรภพตอบพลางอมยิ้มหัวเราะซึ่งพลอยทำให้อมลวรรณหัวเราะตามไปด้วย

อัศวินกำลังอ้าปากจะเถียงกลับว่าเขาไม่ได้ตะลึงยัยเด็กอัปลักษณ์นั่น แต่ก็ต้องอ้าค้างเอาไว้ก่อนจะค่อย ๆ ปิดปากแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแห้ง ๆ แทน นี่กลายเป็นว่ามารดาเขากับพิรภพเข้าใจผิดคิดว่าเขามองยัยน้องแพรนั่นทั้งที่จริงแล้วเขาตะลึงมองแม่สาวชุดดำหุ่นเซ็กซี่บาดใจอยู่ต่างหาก

“แม่ว่าเราเข้าไปทักน้องสักหน่อยกันดีไหมวิน” อมลวรรณชวนลูกชาย

อัศวินมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย แต่พอเหลือบมองไปยังสาวชุดดำที่ยังยืนอยู่กับยัยเด็กอัปลักษณ์นั่น เขาก็ลังเลใจ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบมารดา “เอ่อ...ก็ดีครับ”

แม้ว่าเขาจะต้องทนคุยกับยัยเด็กอัปลักษณ์นั่น แต่อย่างน้อยเขาก็จะได้รู้จักกับสาวชุดดำว่าเป็นใคร เพราะท่าทางสองคนนั่นจะเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แล้วความหวังของเขาที่จะได้รู้จักกับสาวชุดดำนั้นก็ต้องมีอันพังครืนลงเมื่อหญิงสาวหันมาสบตาเขาเพียงแว่บเดียวก่อนจะรีบหมุนตัวเดินไปทางเรือนกระจกทรงห้าเหลี่ยมหลังเล็กที่อยู่เลยจากลานน้ำพุไปไม่ไกล ส่วนยัยเด็กอัปลักษณ์นั่นก็กำลังยิ้มแป้นกลิ้งตัวเองมาทางเขากับมารดาและพิรภพด้วยความเร็วปานพายุ

“เอ่อ...แม่ครับ ผมเพิ่งนึกได้ว่าลืมหยิบของขวัญที่แม่เตรียมไว้ให้คุณลุงกับคุณป้าไว้ที่รถน่ะครับ ไงเดี๋ยวผมไปหยิบมาก่อนนะครับ” อัศวินรีบหาข้ออ้างเพื่อหลีกหนีว่าที่คู่หมั้นทันที

“ให้นนท์ไปเอามาให้ก็ได้หนิลูก โน่นแน่ะ หนูแพรกำลังเดินมาพอดีเลย อยู่คุยกับน้องก่อนสิ” เธอบอกลูกชายแล้วบุ้ยหน้าไปทางผู้หญิงชุดแดงที่กำลังเดินมา ในใจก็แอบขำกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของอัศวินที่อยากจะไปจากตรงนี้เต็มที

“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าผมไปเอาเองจะดีกว่า ไปแป๊ปเดียวแล้วเดี๋ยวผมมานะครับ” พูดเสร็จเขาก็รีบเดินไปขอกุญแจรถจากชานนท์ที่ยืนกลั้นยิ้มอยู่ไม่ไกล เขาส่งสายตาเข่นเขี้ยวให้บอร์ดี้การ์ดหนุ่มทีหนึ่งก่อนจะรีบเดินเร็ว ๆ ออกมาจากตรงนั้นทันที

“เอ่อ...ป้าวรรณครับ ที่กำลังเดินมาน่ะพี่เมย์เพื่อนพี่แพรต่างหากครับ เอ๊ะ หรือว่าวันนี้พี่แพรของผมแต่งตัวสวยเกินไปจนป้าวรรณจำไม่ได้” พิรภพเอียงคอ พูดด้วยสีหน้างง ๆ

อมลวรรณหัวเราะเบา ๆ เมื่อพิรภพคิดว่าหล่อนจำพิชชาภาไม่ได้ ก่อนจะบอกกับชายหนุ่มว่าหล่อนคงจะสายตาไม่ดี ซึ่งพิรภพเองพยักหน้าหงึก ๆ รับรู้ จากนั้นหล่อนก็มองเลยไปยังร่างใหญ่ของลูกชายที่บอกว่าจะไปหยิบของขวัญที่รถแต่กลับเดินเร็ว ๆ ไปที่เรือนกระจกแทน งานนี้พ่อลูกชายตัวดีคงได้แต่งงานก่อนสิ้นปีตามที่สัญญาไว้แน่ ๆ อมลวรรณคิดอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกชานนท์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล

“นนท์มีกุญแจรถสำรองใช่ไหมลูก เดี๋ยวนนท์ไปเอาของขวัญมาแทนแล้วกัน เพราะท่าทางตาวินคงไปไม่ถึงรถแน่”


เมื่อพิชชาภาเดินมาถึงเรือนกระจก ก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ที่สามารถหลุดจากการรบเร้าของเมลิษาที่พยายามจะให้เธอไปคุยกับอัศวินให้ได้

เมื่อครู่เธอกำลังยืนจิบคอกเทลพลางคุยกับคนรู้จักของมารดาอยู่ที่ซุ้มเครื่องดื่ม แต่แล้วเมลิษาก็วิ่งหอบมาลากตัวเธอออกจากวงสนทนาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่าพิรภพรู้จักกับผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง แล้วพูดชื่นชมรูปร่างหน้าตาของผู้ชายคนนั้นไม่หยุดปาก จนเธอถึงกับหลุดขำกับอาการกระดี๊กระด๊าของเพื่อนสาวก่อนที่เมลิษาจะชี้ให้เธอดูผู้ชายที่ว่าซึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับพิรภพ

และพอเมลิษาชี้ไปทางน้องชายของเธอพร้อมกับโบกมือให้ ซึ่งเธอเองก็ทำตามเมื่อเห็นน้องชายโบกมือตอบกลับมา และตอนนั้นเองที่เธอถึงกับยืนโบกมือค้างกลางอากาศเมื่อเหลือบไปเห็นผู้ชายในชุดสูทสีดำทั้งชุดตัดกับเนคไทสีขาวซึ่งเธอจำเขาได้แทบจะทันทีว่าเป็นใคร แม้จะไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแล้วก็ตาม

อัศวินยังคงหล่อเหลาไม่ต่างไปจากครั้งแรกที่เธอได้เจอกับเขาที่คืนงานเลี้ยงส่งวันนั้น เพียงแต่ตอนนี้ เขาดูเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวขึ้นมาก ร่างกายที่เคยสูงโปร่งก็กลายมาเป็นสูงใหญ่ล่ำสันอย่างหนุ่มสปอร์ตแมนจนเมื่อเธอเห็นเขาแว่บแรกก็ทำให้หัวใจสาวเต้นรัวเร็วเสียแทบจะทะลุออกมานอกอก และยิ่งได้สบสายตาคมเข้มของเขาที่หันมามองทางเธอพอดี แข้งขาก็เกิดอาการอ่อนเปรี้ยจนแทบจะยืนไม่อยู่ มือที่ถือแก้วคอกเทลสั่นระริกจนเธอต้องกำไว้แน่นเพื่อไม่ให้มันหล่นลงไปแตก

ความรู้สึกวันนี้ที่ได้เจอกับอัศวินอีกครั้ง มันช่างไม่ต่างอะไรกับวันแรกในคืนงานเลี้ยงส่งที่บ้านของเขาเลยสักนิด แม้หลังจากคืนนั้นเธอจะรู้สึกรังเกียจ ชิงชังเขามากแค่ไหน แต่เธอก็ยังคงไม่สามารถต้านทานแรงดึงดูดของเขาที่มีต่อเพศตรงข้ามได้เลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่เธอและอัศวินจ้องกันอยู่พักใหญ่ เมลิษาก็สะกิดเรียกพร้อมกับเอ่ยแซวเธอที่ตะลึงในความหล่อของเขา หญิงสาวจึงพยายามชวนเธอให้เดินไปเข้าร่วมวงสนทนากับพิรภพและอัศวิน แต่เธอปฎิเสธเพราะยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขาในตอนที่ใจยังเต้นโครมคราม มือไม้สั่นอยู่อย่างนี้ จึงได้บอกกับเมลิษาว่าจะเดินไปดูกุหลาบที่เรือนกระจกก่อนจะรีบหมุนตัวก้าวเร็ว ๆ โดยไม่ฟังเสียงเรียกของเพื่อนสาวแม้แต่น้อย

พิชชาภาสะบัดศีรษะเบา ๆ เพื่อไล่ภาพอัศวินออกจากสมอง แต่ก็ดูเหมือนว่าใบหน้าคมเข้มของเขาก็ยังลอยเด่นอยู่ในหัวจนเธอต้องถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหันไปเปิดประตูเรือนกระจกและกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปข้างใน แต่ด้วยความสูงของส้นรองเท้าทำให้เธอสะดุดกับยกพื้นของเรือนกระจกจนเซถลาไปข้างหลัง

“ว๊ายย” พิชชาภาร้องตกใจ เมื่อร่างของเธอเซล้มอยู่ในอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง เธอค่อย ๆ เงยหน้าเพื่อจะเอ่ยขอบคุณแต่ก็ต้องอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

“พี่วิน!” เธออุทานพลางพยุงตัวยืนขึ้นแล้วใช้มือยันหน้าอกเขาไว้ เพื่อดันตัวออกห่างแต่ชายหนุ่มกลับโอบรอบเอวเธอไว้ไม่ปล่อย

“รู้ด้วยเหรอครับว่าผมชื่ออะไร” อัศวินเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ พลางยิ้มหวานเชื่อมให้เธอ

พิชชาภาที่ยังคงตะลึงกับการปรากฎตัวของอัศวินอย่างกะทันหันได้แต่ยืนจ้องหน้าเขาตาปริบ ๆ หัวใจกลับมาเต้นโครมครามอีกครั้งหลังจากที่มันกลับไปเป็นปกติได้ไม่นาน

“อ้อ....สงสัยเพื่อนคุณคงจะบอกแล้วล่ะสิ” เขาเดา

“คะ? ว่าไงนะคะ?” พิชชาภาถามเสียงสูง รู้สึกถึงแก้มที่ร้อนผะผ่าวเมื่อเธอมัวแต่จ้องหน้าชายหนุ่มจนไม่ได้ยินที่เขาพูด

อัศวินหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบ “ผมพูดว่าที่คุณรู้จักชื่อผม คงเพราะเพื่อนคุณบอกแล้วว่าผมเป็นใคร”

พิชชาภาขมวดคิ้ว และกำลังจะเอ่ยปากถามว่าเขาหมายถึงใครที่เป็นเพื่อนของเธอ แต่แล้วเธอก็ฉุกคิดได้ว่าอัศวินคงหมายถึงเมลิษา เพราะเห็นว่าเธออยู่กับเพื่อนสาวเมื่อสักครู่นี้ นี่ก็แสดงว่าเขาต้องจำเธอไม่ได้แน่ ๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ถามว่าเธอรู้จักชื่อเขาผ่านเมลิษาเช่นนี้ แต่เขาก็น่าจะรู้นี่นาว่าเป็นเธอ เพราะพิรภพหรือมารดาของเขาก็คงจะบอกไปแล้ว พิชชาภานึกสงสัยในใจ

เมื่ออัศวินเห็นเธอยังยืนนิ่ง เขาก็เลยถือโอกาสพูดต่อด้วยสายตากรุ้มกริ่ม “คุณเองก็รู้จักชื่อผมแล้ว...ถ้าผมอยากจะรู้จักชื่อคุณบ้าง คงไม่เป็นการเสียมารยาทไปใช่ไหมครับ”

“เอ่อ...” พิชชาภาอึกอัก คิดอยู่ว่าจะบอกเขาให้รู้ดีมั๊ยว่าเธอคือใคร แต่พอคิดอีกที ถ้าบอกเขาง่าย ๆ อย่างนี้ก็ดูจะสะใจเธอน้อยไปหน่อย ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอไม่ใช่พิชชาภาและรอให้เขารู้ทีหลัง เมื่อถึงตอนนั้นเธอคงได้หัวเราะเยาะเขาสะใจกว่าตอนนี้แน่

“พิชชี่ค่ะ” เธอตอบเสียงหวานพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ใช้ชื่อเล่นเวลาเพื่อน ๆ สมัยเรียนอยู่อเมริกาเรียกกันแทนชื่อเล่นจริงเพื่อให้เขาไม่เอะใจ

“พิชชี่....ชื่อเพราะจังเลยครับ” อัศวินทวนชื่อเธอเสียงเบาหวิว แล้วเอ่ยปากชมแววตาหวานเยิ้ม

พิชชาภาทำทีหัวเราะเอียงอาย แล้วบอกขอบคุณเสียงหวาน พลางขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้อัศวินปล่อยเธอยืนเอง แต่ขาเจ้ากรรมก็ดันก้าวถอยไปเหยียบก้อนกรวดจนคราวนี้เธอเซล้มถลาไปข้างหน้าเข้าสู่อ้อมอกเขาเต็ม ๆ

“เป็นอะไร....หรือเปล่าครับ” อัศวินถามเสียงตื่นก่อนจะลดเสียงลงต่ำในตอนท้ายเมื่อใบหน้าสวยของเธออยู่ห่างจากเขาไม่ถึงคืบจนปลายจมูกแทบจะชนกัน

“เอ่อ...มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” พิชชาภาตอบตะกุกตะกัก หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มือที่เกาะไหล่เขาไว้สั่นระริกเมื่อได้สบดวงตาอันดำสนิทของอัศวินใกล้ ๆ และเธอก็อาจละลายในอีกไม่ช้าถ้าเขายังเอาแต่จ้องมองเธออยู่อย่างนี้

“รู้ตัวไหมครับว่าคุณมีดวงตาที่สวยแค่ไหน สวยจนผมไม่อาจละสายตา....” จู่ ๆ อัศวินก็พูดชมเธอขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พลางมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธออย่างอยากจะห้ามใจ

พิชชาภาถึงกับหน้าแดงซ่านเมื่อถูกอัศวินชมแบบจู่โจมโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว หัวใจเธอราวกับมีปีกขึ้นมาในทันทีและพร้อมจะโบยบินไปอยู่กับเขาได้ทุกเมื่อ ความรู้สึกที่ได้ถูกผู้ชายคนที่เปรียบเสมือนรักครั้งแรกของเธอชมต่อหน้าเช่นนี้ทำให้เธอลืมความเจ็บช้ำน้ำใจที่เขาเคยทำกับเธอเมื่อหลายปีก่อนไปชั่วขณะจนเผลอพูดความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขาออกไป

“ตาพี่วินเองก็สวยเหมือนกันค่ะ...ดูน่าค้นหา...และยากที่จะละสายตาไปได้” พูดเสร็จเธอก็รีบเสมองไปทางอื่นด้วยความอาย ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าพูดออกไป เพราะเธอไม่เคยพูดชมผู้ชายที่ไหนมาก่อนเลยสักครั้ง แม้แต่กับอนุภัทรที่คบกันมาเกือบปีเธอก็ไม่เคยจะพูดชมเขาสักคำ

อัศวินยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินคำชมของหญิงสาว ผู้หญิงในอดีตของเขามีแต่จะพูดชมความเร่าร้อนเรื่องบนเตียงของเขากันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครพูดชมดวงตาของเขาอย่างแม่สาวชุดดำคนนี้เลยสักครั้ง และมันยิ่งทำให้ความชื่นชอบในตัวเธอตั้งแต่แรกเห็นเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าตัว

เขาเลื่อนมือที่วางอยู่บนเอวของพิชชภามาจับที่ปลายคางมนของเธอให้หันมาสบตากับเขา พูดกับเธอเสียงหวาน

“บอกว่ายากที่จะละสายตา...แล้วหลบตาผมทำไมครับ หืมม์”

พิชชาภาถึงกับหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศพูดอะไรไม่ถูก และเธอก็ได้ยินเขาหัวเราะเบา ๆ ยิ่งทำให้หน้าเธอร้อนผ่าวด้วยความเขินอายมากกว่าเดิม

อัศวินหยุดหัวเราะเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเธอแดงจนเกือบถึงใบหู ภาพเขินอายที่ดูน่ารักของหญิงสาวตรงหน้าทำให้หัวใจหนุ่มของเขาสูบฉีดเต้นรัวเร็วจนเขานึกไม่ออกว่าครั้งสุดท้ายที่มีความรู้สึกแบบนี้คือเมื่อไร และนั่นก็คงเป็นเพราะแม่สาวชุดดำคนนี้ที่ทำให้เขาเหมือนกลับมาเป็นหนุ่มอายุสิบแปดอีกครั้ง

ด้วยรูปร่างภายนอกและการแต่งตัวของเธอที่เขาเห็นในครั้งแรกช่างเหมือนกับสาวผู้เจนจัด เร่าร้อนที่พร้อมจะกระโดดขึ้นเตียงกับชายหนุ่มที่เธอพอใจได้ทุกเมื่อเหมือนผู้หญิงที่ผ่าน ๆ มาของเขา แต่เธอกลับต่างออกไปเมื่อหญิงสาวอายหน้าแดงก่ำเหมือนสาวเพิ่งเริ่มริจะมีรักเพียงแค่เขาพูดแซวเท่านั้น และมันยากกับการห้ามใจเหลือเกินที่จะไม่จูบผู้หญิงน่ารักอย่างเธอสักครั้ง

อัศวินลดสายตาไปยังริมฝีปากอวบอิ่มของเธอโดยที่พยายามยั้งใจไม่มองต่ำลงไปยังเนินอกขาวเนียนที่กำลังขยับขึ้นลงเพราะแรงหายใจ เขารีบเลื่อนสายตากลับมาสบตาหวานที่มีแววลังเลของเธอ ก่อนจะจับคางมนให้เงยขึ้น แล้วค่อย ๆ ลดใบหน้าลงต่ำ เอียงศรีษะเล็กน้อยเพื่อที่จะได้มอบจูบให้เธอได้ถนัด และพอเห็นว่าเธอปรือตาหลับพร้อมกับเผยอริมฝีปากคล้ายรอคอยจุมพิตจากเขา เขาจึงไม่รอช้า และกำลังก้มลงแนบริมฝีปากเข้ากับเธอ แต่แล้วหญิงสาวกลับเบี่ยงหน้าหนีกะทันหันจนจมูกเขาเฉียดแก้มเนียนของเธอเบา ๆ

“เราไม่ควรทำอย่างนี้นะคะ” พิชชาภาบอกเสียงแหบพร่า ไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา ในใจก็กนด่าตัวเองที่เกือบปล่อยตัวปล่อยใจยอมให้อัศวินจูบทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะเจอกันเท่านั้น

“คุณคงรู้สึกไม่ดีที่จะต้องจูบกับคู่หมั้นของเพื่อนสนิทสินะ” เขาบอกเบา ๆ ข้างหูเธอ ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความเสียดาย มือที่โอบเอวเธอไว้อยู่ตกลงข้างกาย

พิชชาภาหันขวับมามองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอัศวินยังไม่รู้ว่าเธอก็คือคู่หมั้นของเขา จึงแกล้งหลุบตาลงต่ำแล้วพยักหน้าเบาๆ แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าพรึ่บอีกครั้ง ขมวดคิ้วมองเขาที่หันหน้าไปอีกทางอย่างงง ๆ นี่อัศวินคิดว่าเมลิษาคือเธอเหรอ

“ทำไมผมต้องถูกจับหมั้นกับยัยน้องแพรอ้วนอะไรนั่นด้วยนะ” อัศวินสบถกับตัวเองน้ำเสียงหงุดหงิด แต่แล้วก็รู้สึกถึงสายตาเกรี้ยวกราดของหญิงสาวตรงหน้าที่มองจ้องมา เลยคิดว่าเธอคงโกรธเขาที่ไปพูดว่าเพื่อนของเธอ จึงรีบเอ่ยขอโทษทันที

“ผมขอโทษที่พูดถึงเพื่อนคุณแบบนั้น แต่คุณก็เห็นว่าเธอ...เอ่อ...อ้วนขนาดไหน นี่ดีที่ยังลบปานดำบนหน้าออกไปแล้ว ไม่งั้นผมคงไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเธอแน่ ๆ และถ้าไม่ใช่เป็นเพราะแม่ผมขอร้องนะ ผมก็ไม่มีวันหมั้นกับผู้หญิงอ้วนฉุแบบนั้นเด็ดขาด” เขาเบ้ปาก ทำหน้าว่ารังเกียจจะแย่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเผลอปากเสียไปว่าเพื่อนเธออีกครั้งจึงพยายามจะพูดต่อ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปากพูด....

เสียงฝ่ามือของเธอฟาดเข้าให้ที่แก้มเขาจนหน้าหันไปตามแรงตบ

“ถ้าแม่รุ้งไม่ขอร้อง แพรก็ไม่มีวันหมั้นกับคนอย่างพี่วินเหมือนกัน!” พิชชาภาตวาดแว๊ดใส่อัศวินเสียงสั่น พลางใช้มือปาดน้ำใส ๆ ที่เต้นระริกตรงขอบตา แล้วหันหลังวิ่งออกมาจากตรงนั้นทันที ทิ้งให้อัศวินยืนอ้าปากหวอ ตาเบิกโพลง มองตามร่างอวบอิ่มของแม่สาวชุดดำไปอย่างงง ๆ

‘เธอเรียกตัวเองว่าแพร? และบอกว่าไม่มีวันจะหมั้นกับคนอย่างเขา? หรือว่า!!’ อัศวินหน้าถอดสี เมื่อนึกถึงคำพูดของแม่สาวชุดดำและดวงตากลมใสที่มองเขาอย่างลึกซึ้งเมื่อสักครู่ พลางทำให้นึกถึงสายตาหวานเชื่อมของยัยเด็กอัปลักษณ์ในคืนเลี้ยงส่งที่เขาพอจะจำได้ลาง ๆ แล้วทำไมมารดาเขาต้องบอกว่าผู้หญิงชุดแดงคนนั้นคือพิชชาภาด้วยนะ

แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาคิดวิเคราะห์ว่าทำไมมารดาเขาถึงทำอย่างนั้น เพราะเขาต้องไปคุยกับเธอให้รู้เรื่องก่อน คิดแล้วอัศวินก็รีบวิ่งตามหญิงสาวไปทันที
<><><><><><><><><><><>><><><><><><><><><><>

คุณ lamyong จริง ๆ แล้วพี่วินไม่ได้เลวร้ายหรอกนะคะ แค่เป็นโสดมานานเลยกลัวการผูกมัดเท่านั้นเอง อิอิ



เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ต.ค. 2558, 10:07:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ต.ค. 2558, 11:40:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1367





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
Vergo222 21 ต.ค. 2558, 17:02:25 น.
เหอๆ สมน้ำหน้าอีพี่วิน
ช่วงลาพักผ่อนยาวจะมาอัพไหมคะ รอนะคะ
ขอให้พักผ่อนอย่างมีความสุขค่ะ


lamyong 21 ต.ค. 2558, 17:41:35 น.
สงสารแพรจัง น่าจะตบพี่วินอีกสักฉาดสองฉาด เดี๋ยวก็อัปลักษณ์ เดี๋ยวก็อ้วน อ้วนแล้วยังไงเหรอยะ ชิชะ! อินค่ะ 555
เที่ยวให้สนุกนะคะ แล้วอย่าลืมคนอ่านต้องมาอัพด้วยนะคะ


เปลวหอม 21 ต.ค. 2558, 19:32:20 น.
Vergo222 วันเสาร์ดึก ๆ จะมาอัพให้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^_^

lamyong หลังจากนี้พี่วินจะเลิกปากเสียแล้วค่า หุหุ ไม่ลืมมาอัพแน่นอน วันเสาร์นี้มาอัพให้ค่า


Zephyr 21 ต.ค. 2558, 19:54:42 น.
คอเคล็ดมะ หน้าหันด้วย หน้าชา รอยแดงขึ้นมีรอยเล็บด้วยกะดี
ชิ ปากเสียไม่เปลี่ยน สมน้ำหน้า
อย่าให้ได้จูบแพรเร็วนักนะคะ
แตะๆคลำๆก็ให้รออีกชาตินึง ฮึ หมั่นไส้


เปลวหอม 21 ต.ค. 2558, 20:21:16 น.
คุณ Zephyr ห้ามคนเจ้าชู้อย่างพี่วินไม่จูบสาวน่ะเหรอคะ คริคริ จะห้ามได้หรือเปล่าหนอ อย่าลืมตอนต่อไปนะคะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account