เสน่ห์รักคล้องใจ
Tags: แต่งงาน,คลุมถุงชน,พ่อแง่แม่งอน
ตอน: ตอนที่ 5
ทักทายยามดึกวันเสาร์ค่ะ มาส่งนิยายตามสัญญาแล้วนะคะ พี่วินยังคงปากเสียเหมือนเดิม แต่จะปากดีได้อีกไม่นานหรอกค่ะ หุหุหุ
คืนนี้ขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสดิ์ค่า ^^
เสน่ห์รักคล้องใจ ตอน 5
นึกว่าอยากจะหมั้นด้วยนักหรือไง ไอ้ผู้ชายปากเสีย! ไอ้ผู้ชายไร้มารยาท! เกลียด ๆ ๆ ๆ ผู้ชายพรรนี้ที่สุดเลย!
พิชชาภาเดินแกมวิ่งมาหยุดยืนพิงเสาโรมันด้านริมสุดของคฤหาสน์ที่มีเพียงแสงสปอร์ตไลท์จากเวทีส่องสลัวมาเท่านั้น เธอทำหน้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางกนด่าอัศวินในใจด้วยความโกรธเกรี้ยว คำพูดและท่าทางรังเกียจรูปร่างหน้าตาเธอทำให้เธออยากจะตบหน้าหล่อ ๆ ของเขาแรง ๆ อีกสักฉาดให้หายเจ็บใจ
แต่เธอรู้ว่าทำไปก็ไม่ช่วยแก้นิสัยปากเสียของเขาได้ และมันก็ทำให้เธอนึกย้อนไปถึงวันในงานเลี้ยงส่งที่บ้านของอัศวินคืนนั้น คืนที่เธอต้องเจ็บปวดกับคำพูดร้ายกาจของเขาจนจำฝังใจมาถึงวันนี้
“พี่วินขยันจังเลยนะคะ จบปริญญาตรีที่เมืองไทยแล้วยังไปต่อปริญญาตรีที่สวิสเซอแลนด์อีก” พิชชาภาเอ่ยชมอัศวินขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนคุยกันอยู่กลางห้องโถงของบ้าน เธอยิ้มบาง ๆ ให้ชายหนุ่มซึ่งยืนจิบพั้นซ์ด้วยใบหน้าเฉยเมยเหมือนไม่มีกระจิตกระใจจะฟังคู่สนทนาตรงหน้า
“ขอบใจ” อัศวินตอบส่ง ๆ พลางเหล่ไปที่พิชชาภาเด็กสาวร่างอ้วนกลมในชุดวันพีชสีขาวแขนตุ๊กตา ผมหยิกฟูของเธอถูกรวบไว้เป็นหางม้าโดยมีริบบิ้นสีขาวผูกเป็นโบ เขาเหลือบมองปานดำใหญ่ที่ร่องแก้มของเด็กสาวอย่างรังเกียจ ที่จมูกและตามเนินแก้มมีจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ เต็มไปหมด เพียงแค่ลอบมองรูปร่างของเธอด้วยหางตามันก็ทำให้เขาอยากจะเดินหนีออกไปสูดอากาศสดชื่นที่ด้านนอกเสียให้ได้
“เอ่อ...ละ...แล้วพี่วินไปอยู่เมืองไหนของสวิสเซอแลนด์เหรอคะ” พิชชาภาถามเสียงสั่น ใบหน้าเธอแดงระเรื่อพลางหลุบตาลงต่ำเมื่อเห็นว่าเขากำลังมองเธออยู่
อัศวินหันหน้าหนีไปอีกทางด้วยใบหน้าเหยเกพร้อมเบ้ปากอย่างเหยียด ๆ เมื่อเห็นพิชชาภาทำทีเอียงอายหลบสายตา เขาจิบพั๊นซ์ในมืออึกใหญ่ก่อนจะตอบเสียงห้วน “เมืองหลวง”
พิชชาภาไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มกำลังยั่วประสาทเธออยู่ ด้วยความที่มัวแต่อายเด็กสาวจึงได้แต่ก้มหน้าบิดมือไปมา ใบหน้าร้อนผะผ่าว คำถามแต่ละคำมันช่างหลุดออกมาได้ยากเย็นเหลือเกินเมื่อต้องมองหน้าอันคมเข้มเกลี้ยงเกลาของอัศวินไปด้วยเมื่อพูด และตอนนี้มือไม้ของเธอก็เย็นเฉียบ แข้งขาสั่นเมื่อได้ลอบมองเขาจากด้านข้างขณะที่เขากำลังยกแก้วพั๊นซ์ขึ้นดื่ม ไม่ว่าจะมองมุมไหน เขาก็ดูดีไปเสียหมด เธอคิดในใจด้วยความสุข
“แล้วพี่วิน...เอ่อ...จะเดินทางเมื่อไรเหรอคะ....” เธอเงยหน้าถามสบตาเขาอย่างอาย ๆ ก่อนจะรีบหลุบตาลงต่ำอีกครั้ง แล้วแอบอมยิ้มกับตัวเอง
คราวนี้อัศวินไม่ตอบเพราะเริ่มจะทนคุยกับยัยเด็กอ้วนอัปลักษณ์ที่คอยแต่จะส่งสายตาหวานหยดเยิ้มและยิ้มเอียงอายให้เขาตลอดเวลาไม่ไหวอีกต่อไป เขาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อไม่สามารถหลุดจากการสนทนากับยัยเด็กอ้วนนี่ได้ แล้วความคิดร้ายกาจก็แล่นวูบเข้ามาในสมองพลางมองแก้วพั้นซ์ในมือที่ยังเหลือน้ำสีชมพูนวลอีกครึ่งแก้ว เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าไม่มีใครมองมาที่พวกเขา จากนั้นก็หันไปยิ้มหวานให้เด็กสาวที่ยืนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงหน้า ขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะแกล้งทำเป็นสะดุดขาตัวเองแล้วสาดน้ำพั๊นซ์ในมือเบา ๆใส่เสื้อพิชชาภา
“อุ๊ย!” พิชชาภากระโดดตัวหนี ก้มลงมองตัวเองที่บัดนี้ชุดวันพีชสีขาวของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำพั๊นซ์สีชมพูตั้งแต่หน้าอกไปจนถึงเอว แถมยังเลอะกระโปรงเป็นจุด ๆ อีกด้วย
“น้องแพร! พี่ขอโทษนะครับ คือ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ แย่ที่สุดเลยพี่หนิ ดูสิ ทำชุดสวย ๆ ของน้องแพรเปื้อนหมดเลย” อัศวินแกล้งทำหน้าตาตกอกตกใจ รีบถลาเข้าไปใช้มือเช็ดคราบน้ำพั๊นซ์ที่ชุดของพิชชาภาพลางพูดขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ในงานที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ มองมาอย่างสนใจ และขณะที่เขาทำทีเป็นช่วยเช็ดคราบน้ำพั๊นซ์ที่เปื้อนชุดเธออยู่ เขาก็ก้มหน้าเข้าไปใกล้ที่หูของเธอ แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงเย็นชาถากถาง
“ขอร้องล่ะ ช่วยไปยืนไกล ๆ ฉันหน่อยจะได้ไหม เพราะแค่ฉันต้องคุยแล้วมองหน้าตาอัปลักษณ์กับรูปร่างเป็นตุ่มของเธอฉันก็อยากจะอาเจียนจะแย่ ไปให้พ้น ๆ เลยไป ยัยหมูตอนหัวฟู” พูดเสร็จเขาก็เงยหน้ามองพิชชาภาด้วยสายตารังเกียจ
พิชชาภาถึงกับตัวแข็งเป็นหิน ทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ฟังคำพูดเจ็บแสบและท่าทีรังเกียจของอัศวิน ซึ่งตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาของเขากำลังแสยะยิ้มมองมายังเธอเหมือนกับเห็นกิ้งกือไส้เดือนที่น่าขยะแขยง เธอกำมือแน่นข้างกายด้วยความโกรธแค้น ถึงรูปร่างหน้าตาเธอจะน่าเกลียดหรืออัปลักษณ์สักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ใช้คำหยาบคายมาพูดว่าเธอแบบนี้!
“ไปสิ ยังมายืนเอ๋ออยู่ได้” อัศวินทำเสียงไล่เบา ๆ ก่อนจะมองเลยไปด้านหลังของพิชชาภาและเห็นครอบครัวของเธอกับมารดาและบิดาของเขากำลังเดินมายังที่ที่ทั้งสองยืนอยู่ เขาจึงรีบปรับสีหน้าเป็นตื่นตะหนกทันที
“น้องแพร พี่ขอโทษจริง ๆ นะครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ” เขาตีสีหน้าและน้ำเสียงสำนึกผิด ยื่นมือไปเช็ดคราบน้ำพั๊นซ์ที่ชุดของพิชชาภา แต่เธอผงะหนีเขาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ก่อนจะหันหลังวิ่งออกจากบ้านไปทั้งน้ำตาโดยมีเสียงของกวินทร์และมารดาเธอเรียกอยู่ไกล ๆ
ฉันเกลียดผู้ชายคนนี้ที่สุด! ชาตินี้ขออย่าให้ได้มาพบมาเจอกันอีกเลย! พิชชาภาร่ำร้องบอกตัวเองในใจ
“แพร....”
เสียงทุ้มต่ำที่เรียกชื่อเธออย่างไม่แน่ใจ ทำให้พิชชาภาสะดุ้งหลุดจากภวังค์ แล้วหันไปมองคนที่เป็นต้นเสียงด้วยสีหน้าตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเย็นชาในทันทีเมื่อเห็นอัศวินยืนยิ้มแห้ง ๆ คล้ายขอโทษกลาย ๆ มาที่เธอ พิชชาภาไม่สนใจ เดินเลี่ยงชายหนุ่มเพื่อจะกลับไปในงาน แต่มือใหญ่ของอัศวินก็คว้าท่อนแขนเธอเอาไว้ได้ทัน
“แพร เดี๋ยวสิ” บอกแล้วดึงร่างเธอให้เผชิญหน้ากับเขา โดยจับแขนของเธอทั้งสองข้างเอาไว้
“ปล่อยนะ แพรเจ็บ” หญิงสาวสลัดท่อนแขนอย่างแรง จนหลุดจากการเกาะกุม
“เอ่อ...พี่ขอโทษ” อัศวินพึมพำเบา ๆ
พิชชาภาจ้องหน้าของอัศวินที่ยังมีรอยฝ่ามือของเธอแดงเป็นปื้นอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะเบี่ยงตัวเองเพื่อเดินหนีเขาอีกครั้ง แต่เขาก็มายืนขวางเธอไว้
“หลีกไป...” เธอบอกเสียงห้วน
“แพร...ฟังพี่ก่อนนะ เมื่อกี๊นี้พี่ขอโทษจริง ๆ ที่จำแพรไม่ได้ คือ...พี่ไม่คิดว่าแพรจะ....เปลี่ยนไปมากขนาดนี้” อัศวินตอบเสียงแผ่วไม่เต็มคำ
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ เพราะมันแน่อยู่แล้วที่พี่วินจะจำแพรไม่ได้ ก็ในเมื่อหลายปีก่อนที่เราเจอกันครั้งแรกตอนนั้นแพรยังอ้วนหัวฟู หน้าดำเป็นยัยเด็กหน้าตาน่าเกลียดอยู่เลยหนิคะ” พิชชาภาพูดน้ำเสียงประชดประชัน
อัศวินถึงกับสะอึกพูดอะไรไม่ออก เขากลืนน้ำลายเอือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยขอโทษกับเธอ
“คือ...พี่ขอโทษที่เมื่อกี๊พูดไม่ดีออกไป พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดว่าแพรเลยนะ ก็พี่นึกว่าผู้หญิงชุดแดงคนนั้น...เป็น....เอ่อ....เป็นแพรหนิ” พูดเสร็จก็เอามือลูบท้ายทอย ยิ้มเจื่อน ๆ
“ผู้หญิงชุดแดงที่ว่า เธอชื่อเมย์เพื่อนแพรเองค่ะ” เธอบอกให้เขาหายเข้าใจผิด แล้วเบ้ปากพูดต่อ
“พี่วินคงคิดว่าแพรจะอ้วนตั้งแต่เด็กจนโตใช่ไหมล่ะคะ ถึงได้พอเห็นเพื่อนของแพรอ้วนก็เลยไม่รีรอที่จะคิดว่าเป็นแพร แต่ก็ดีค่ะที่พี่วินเข้าใจผิดอย่างนี้ เพราะมันทำให้แพรรู้ว่าจริง ๆ แล้วพี่วินเองก็ไม่ได้อยากหมั้นกับแพรสักเท่าไร และแพรเองก็ไม่อยากหมั้นกับพี่วินอยู่แล้วด้วย ถ้าเราบอกผู้ใหญ่ว่าเราต่างก็ไม่อยากหมั้นด้วยกันทั้งคู่ แพรคิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนนะคะ” พิชชาภาสรุปให้เสร็จสรรพ
อัศวินถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกอีกครั้งเมื่อหญิงสาวบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้อยากจะหมั้นกับเขา และยังคิดเตรียมการยกเลิกงานหมั้นกับเขาอีก ทำให้เขาต้องเม้มปากแน่นด้วยความโมโหเพราะเสียหน้าที่ถูกผู้หญิงบอกยกเลิกงานหมั้น
มิน่าล่ะวันนั้นถึงได้ไม่มาดูตัวตามนัดและปล่อยให้เขากับมารดาต้องรอเก้ออยู่หลายชั่วโมง อัศวินคิดอย่างโกรธเคืองในใจ เขาพอจะเดาได้ว่าเธอคงไม่ชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไรหลังจากที่เขาสาดน้ำหวานใส่เธอในคืนงานเลี้ยงที่บ้านเขาเมื่อหลายปีก่อน แต่อย่างน้อยในเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างนัดดูตัวให้เรียบร้อยแล้ว เธอก็ควรจะมีมารยาทมาตามนัดสักนิด ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ใหญ่นั่งหัวโด่รอเก้อเป็นชั่วโมง ๆ และที่สำคัญมันทำให้เขาเสียหน้าแถมยังถูกเพื่อนรักหัวเราะเยาะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ได้ตั้งนาน
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหมวันนั้นถึงได้ไม่ไปดูตัวแล้วปล่อยให้พี่กับแม่ต้องรอเก้อเป็นชั่วโมง” เขาถามเสียงแข็ง
พิชชาภาขมวดคิ้วงุนงงที่จู่ ๆ อัศวินก็เปลี่ยนจากท่าทีเซื่อง ๆ ที่เหมือนคนสำนึกผิดมาเป็นขึงขังจริงจังแถมยังพูดเรื่องวันดูตัวที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการหมั้นเลยสักนิด แต่ในเมื่อเขาอยากจะพูดเรื่องนี้ เธอก็จะพูด
“ทำไมคะ พี่วินรู้สึกเสียหน้าหรือไงที่แพรไม่ไปตามนัดน่ะ” เธอบอกเสียงเยาะหยัน รู้สึกสะใจเมื่อเห็นอัศวินยืนตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าโกรธเกรี้ยว เธอก้าวช้า ๆ ไปหยุดยืนตรงหน้าเขา แล้วเหยียดยิ้มพูดเบา ๆ
“อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าผู้หญิงทุกคนเขาจะสนใจพี่วินไปเสียหมดสิคะ เพราะอย่างน้อย ก็มีแพรนี่
แหล่ะที่ไม่เคยคิดชอบพี่วินเลยแม้แต่น้อย จนแพรต้องหนีการตัวดูวันนั้นยังไงล่ะ” พูดเสร็จก็ยิ้มสะใจ ก่อนจะเชิดหน้าเดินผ่านอัศวินไป แต่ร่างของเธอกลับถูกเขากระชากอย่างแรงจนตัวปลิวไปปะทะกับเสาโรมัน
อัศวินจับต้นแขนเปลือยทั้งสองข้างของพิชชาภาไว้แน่น ใบหน้าแดงก่ำ นึกแค้นเคืองในใจกับคำพูดเหยียดหยามของเธอ ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน และเธอควรจะได้รับการสั่งสอนเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเขา เพื่อที่เธอจะได้สำนึกและจำไว้ว่าไม่ควรจะเล่นกับคนอย่างอัศวิน
“แล้วนึกว่าตัวเองดีนักหรือไง รู้เอาไว้ด้วยนะว่าฉันก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่เคยหน้าตาอัปลักษณ์อย่างเธอสักเท่าไรหรอก” อัศวินเปลี่ยนคำเรียกแทนตัวเองให้ดูห่างเหิน แล้วกวาดสายตาดูถูกไปทั่วร่างอวบอิ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าของพิชชาภา
“แล้วนี่ต้องใช้เวลาแปลงโฉมตัวเองนานไหมกว่าจะออกมาได้แบบนี้” อัศวินทำสีหน้าเย้ยหยัน
“อ้อ...สงสัยเธอคงจะไปพึ่งมีดหมอมาล่ะสิท่าถึงได้ออกมาสวยซะจนฉันแทบจะจำไม่ได้” เขาเหยียดยิ้ม “จะบอกอะไรให้นะ ถึงเธอจะทำตัวเองให้ดูดีแค่ไหน เธอก็เป็นได้แค่ยัยอ้วนอัปลักษณ์ในสายตาของฉันอยู่วันยันค่ำ”
“จะมากไปแล้วนะ!” พิชชาภาตวาดลั่น สะบัดตัวอย่างแรงจนแขนเธอเป็นอิสระจากการเกาะกุมของอัศวิน แล้วยกมือขึ้นสูงหมายจะตบหน้าเขา แต่ชายหนุ่มก็เร็วพอที่จะคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทัน พอเธอรีบยกมืออีกข้างขึ้นเขาก็คว้ามือเธอไว้ได้อีก แล้วบิดไปไพล่หลังเธอไว้
“ไม่มีทางที่ฉันจะให้ผู้หญิงอย่างเธอตบหน้าอีกเป็นครั้งที่สองแน่” อัศวินพูดลอดไรฟันชิดริมฝีปากบางของเธอ
“ผู้หญิงอย่างแพร? ผู้หญิงอย่างแพรมันเป็นยังไงเหรอคะ! มันหน้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์มากใช่ไหม พี่วินถึงได้คอยแต่จะตั้งท่ารังเกียจ พูดจาดูถูกแพรอยู่อย่างนี้!” พิชชาภาแว๊ดใส่ด้วยสีหน้าและแววตาเจ็บปวด น้ำอุ่น ๆ เริ่มมาคลอที่ขอบตาพาลจะไหล เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอัศวินถึงได้ปากร้ายกับเธอไม่เลิก ทั้งที่ตอนนี้เธอไม่ใช่ยัยเด็กอ้วนหัวฟูอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ยังขุดเอาปมด้อยของเธอมาถากถางจนได้
อัศวินค่อย ๆ คลายมือออก เหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาพูดกับเธอแรงเกินไป เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอร้องไห้ แต่เพราะความโมโหเพียงวูบเดียวที่ทำให้เขาเผลอพลั้งปากพล่อย ๆ ออกไป
“แพร...คือพี่...” เขาพยายามจะขอโทษ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาเพราะใจหนึ่งก็กลัวจะเสียฟอร์ม เลยได้แต่ทำปากพยักเพยิด มือไม้เก้ ๆ กัง ๆ อยู่อย่างนั้น
“แพรว่าเราอย่าหมั้นกันนั่นแหล่ะค่ะดีที่สุดแล้ว” พิชชาภาพูดขึ้นหลังจากสะอื้นอยู่พักใหญ่ เธอเอามือปาดน้ำตาแล้วเงยหน้ามองอัศวินด้วยแววตากระด้าง
“พี่วินเองก็เกลียดแพรขนาดนี้ หมั้นไปก็รังจะทำให้พี่วินลำบากใจเปล่า ๆ ส่วนเรื่องป้าวรรณพี่วินก็ไม่ต้องกังวลนะคะ แพรจะพูดให้ท่านเข้าใจเอง” พูดเสร็จพิชชาภาก็ดันอกอัศวินให้ออกห่างแล้วรีบหมุนตัวเดินหนีเพราะไม่อาจจะทนยืนอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป
“แพร เดี๋ยวก่อนแพร!” อัศวินก้าวยาว ๆ ไปคว้าแขนพิชชาภาไว้ แล้วหมุนเธอให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา แต่หญิงสาวก็พยายามขัดขืนดิ้นรน ปากก็ร้องบอกให้เขาปล่อยกลั้วเสียงสะอื้น
“ตาวิน! ปล่อยน้องเดี๋ยวนี้นะ” อมลวรรณสั่งอัศวินเสียงดุ หลังจากที่เธอขอตัวกับพิรภพและเมลิษาไปทำธุระส่วนตัวด้านในคฤหาสน์ แล้วเธอก็ตั้งใจจะไปทักทายรุ้งรวีกับสามีแต่เห็นว่าทั้งคู่ยังติดพันคุณกับแขกอยู่ เธอเลยเดินกลับออกมาด้านนอกงานแล้วหันมาเห็นอัศวินกับพิชชาภากำลังยื้อยุดกันอยู่พอดีจึงรีบเดินหน้าตาตื่นมาทางทั้งสองคน
อัศวินปล่อยมือจากแขนของพิชชาภาแทบจะทันทีเมื่อได้ยินเสียงเฉียบขาดของมารดา พอหันไปเห็นสายตาดุดันที่มองมายังเขา ก็ถึงกับต้องถอนใจรู้ว่าต้องเจอสวดใหญ่เลยรีบคิดหาคำแก้ตัวเป็นพัลวัน
ส่วนพิชชาภาเมื่อเป็นอิสระจากอัศวินได้เธอก็รีบยกมือปาดน้ำตาทิ้ง ปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติและพยายามปั้นหน้าว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมาไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ก่อนจะยกมือไหว้อมลวรรณอย่างนอบน้อม
“หนูแพร ตาวินของป้าทำอะไรหนูหรือเปล่าลูก บอกป้ามาเลย ไม่ต้องไปกลัวใครทั้งนั้น” พอรับไหว้เสร็จก็ปรี่เข้ามาลูบหน้าลูบผมพิชชาภาถามอย่างเป็นห่วง แล้วหันไปมองอัศวินที่ยืนหน้าเจื่อนอย่างเอาเรื่อง
“พี่วินไม่ได้ทำอะไรแพรหรอกค่ะ แพรแค่...เอ่อ...” พิชชาภายิ้มแห้ง ๆ เมื่อนึกไม่ออกว่าจะตอบอมลวรรณอย่างไร พลางเหล่ไปที่อัศวินคล้ายขอความช่วยเหลือ แม้จะอยากบอกความจริงใจจะขาดว่าอัศวินนั้นพูดจาแสบร้อนอะไรกับเธอบ้าง แต่ก็ไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนถึงขั้นอาจจะทำให้ทั้งสองครอบครัวมองหน้ากันไม่ติด
“คือ...แพรเขาโกรธที่วินจำเขาไม่ได้น่ะครับแม่ วินขอโทษตั้งหลายรอบแล้วเธอก็ยังไม่หายโกรธสักที
วินถึงได้ง้อน้องแพรของแม่อยู่นี่ไงครับ” อัศวินตีสีหน้าสลด ยิ้มเศร้าสร้อย แล้วแกล้งลอบมองไปที่พิชชาภาด้วยแววตาน้อยใจ
“จริงเหรอหนูแพร” อมลวรรณหันมาถามกับพิชชาภาอีกรอบ
“เอ่อ...จริงค่ะ” พิชชาภาพยักหน้าอ้อมแอ้มตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้
“โธ่...ถ้าเรื่องนั้นหนูแพรอย่าไปโกรธตาวินเลยนะลูก ป้าผิดเองที่ไม่ยอมรีบบอกให้ตาวินรู้ว่าหนูแพรคือคนไหน ตาวินก็เลยเข้าใจผิดคิดว่า...เอ่อ...” อมลวรรณหยุดอึ้งไปเล็กน้อยเพราะเกือบจะเผลอบอกว่าอัศวินเข้าใจผิดคิดว่าสาวชุดแดงร่างท้วมนั้นเป็นพิชชาภา ซึ่งถ้าหลุดพูดออกไปอาจจะทำให้หญิงสาวน้อยใจและเคืองหล่อนได้ที่ปล่อยให้ลูกชายคิดว่าเธอยังอ้วนฉุเหมือนเมื่อหลายปีก่อน
“คิดว่าผู้หญิงชุดแดงที่เป็นเพื่อนของแพรเป็นแพรใช่ไหมคะ เรื่องนั้นพี่วินบอกแล้วล่ะค่ะ” พิชชาภาต่อให้เมื่อเห็นท่าทีกระอักกระอ่วนของอมลวรรณ
อมลวรรณยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่อัศวินที่ไม่รู้จักหยุดคิดว่าเรื่องไหนควรบอกไม่ควรบอก เพราะถ้าเกิดพิชชาภาน้อยใจไม่ยอมหมั้นขึ้นมาหล่อนคงไม่มีวันได้เห็นพ่อลูกชายตัวดีแต่งงานเป็นแน่เพราะไม่รู้จะไปหาผู้หญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ที่ถูกใจแบบพิชชาภาได้ที่ไหน
พิชชาภาที่เห็นท่าทางของอมลวรรณก็เดาได้ว่าหล่อนคงกลัวว่าเธอจะเสียใจที่อัศวินคิดว่าเมลิษาเป็นเธอ ซึ่งเธอเองก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอีก จึงรีบหยิบเอาเรื่องยกเลิกการหมั้นระหว่างเธอและอัศวินมาพูดกับอมลวรรณทันที
“ป้าวรรณคะ แพรมีเรื่องอยากจะขอร้องน่ะค่ะ....เรื่องหมั้น” พูดเสร็จเธอก็ปลายตามองอัศวินที่ดูเหมือนจะหันขวับมาทางเธอทันที สีหน้าของเขามีแววกังวลเล็กน้อย เธอเลยคิดไปว่าเขาคงกลัวมารดาโกรธ เธอจึงพยายามคิดหาสาเหตุของการยกเลิกการหมั้นที่จะทำให้อัศวินห่างจะการเป็นตัวต้นเหตุมากที่สุด
“ทะ...ทำไมเหรอจ๊ะหนูแพร” อมลวรรณหน้าถอดสีพูดตะกุกตะกักเมื่อเห็นสีหน้าและน้ำเสียงลำบากใจของพิชชาภา ในใจก็ภาวนาขออย่าให้หญิงสาวพูดเรื่องการยกเลิกการหมั้นอย่างที่หล่อนกำลังหวาดระแวง
พิชชาภาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “คือ...เอ่อ...แพรอยากจะให้...”
“แพรเขาอยากจะให้จัดงานหมั้นเร็วขึ้นน่ะครับแม่” อัศวินชิงตัดหน้าพูดก่อนที่พิชชาภาจะทันจะได้พูดจบ แล้วฉีกยิ้มกว้างให้มารดา พลางหันไปส่งยิ้มหวานให้พิชชาภาที่ยืนหน้าเหวอ ตาโต งุนงงกับคำประกาศของเขา อัศวินเลยถือโอกาสเอาตอนที่หญิงสาวกำลังตะลึงยื่นมือไปคว้าเอวเธอมายืนใกล้ ๆ ก่อนจะพูดต่ออย่างอารมณ์ดี
“เมื่อกี๊แพรบอกว่าถ้าอยากจะให้หายโกรธเรื่องที่วินจำเขาไม่ได้ ก็ต้องไปเร่งแม่ให้จัดงานหมั้นเร็ว ๆ แล้วพอหมั้นเสร็จปุ๊บก็ให้จัดงานแต่งปั๊บ แม่ว่าไงครับ พอจะจัดการให้วินได้หรือเปล่า เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแพรเขาบอกว่าจะไม่หมั้นกับวินเด็ดขาด” พูดเสร็จเขาก็ทำท่าขอความเห็นใจจากมารดา แล้วหันไปอมยิ้มกรุ้มกริ่มให้พิชชาภา
“โธ่เอ๊ย ป้าก็นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องงานหมั้นหนูแพรไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ เพราะป้าคุยกับรุ้งเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้หมั้นกลางเดือนหน้าตามกำหนดแต่งงานเดิม ส่วนงานแต่งก็คงต้องหาฤกษ์หายยามกันอีกที” อมลวรรณพูดด้วยใบหน้าชื่นมื่น ยิ้มไม่หุบเมื่อเห็นทั้งคู่ต่างก็พอใจซึ่งกันและกัน
“แต่ป้าวรรณคะ” พิชชาภาทำท่าจะขัดแต่อัศวินก็พูดแทรกเธอขึ้นมาอีก
“ป้ารุ้งกับลุงวัฒน์มาพอดีเลยครับแม่” อัศวินบอกพลางมองเลยมารดาไปทางด้านหลังที่รุ้งรวีกับปิยวัฒน์กำลังเดินมาด้วยใบหน้าฉงนสงสัย เขาจึงรีบปล่อยมือจากเอวของพิชชาภาแล้วยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง
รุ้งรวีและปิยวัฒน์รับไหว้อัศวินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่รุ้งรวีจะมองอัศวินสลับกับพิชชาภาไปมา แล้วหันไปมองอมลวรรณเพื่อนสาวที่ยิ้มหน้าบานด้วยความแปลกใจ จึงเอ่ยถามออกไป
“มาทำอะไรกันอยู่ตรงที่มืด ๆ อย่างนี้ล่ะจ๊ะ แล้ววรรณกับวินมาเมื่อไรทำไมไม่มีใครเข้าไปบอกรุ้งเลยล่ะ”
“มาได้สักพักแล้วล่ะจ้ะ แต่เห็นว่าเธอกับคุณวัฒน์คุยกับแขกสำคัญอยู่ก็เลยไม่อยากรบกวนน่ะ” อมวรรณตอบด้วยเสียงสดชื่น
“แล้ววินกับแพรทักทายกันแล้วเหรอลูก สองคนไม่ได้เจอกันตั้งนานหลายปี เจอกันคราวนี้เป็นยังไงบ้างจ๊ะ” รุ้งรวีถามเสียงตื่นเต้น ตาวาววับด้วยความหวังว่าอัศวินจะถูกใจลูกสาวเธอ
“น้องแพรสวยขึ้นมากเลยครับ สวยจนผมจำแทบไม่ได้” อัศวินยิ้มตอบ แล้วหันไปทำตาหวานซึ้งกับพิชชาภาที่ตอนนี้ยืนยิ้มเหี้ยมให้เขา แต่แก้มเนียนกลับแดงระเรื่อเขินอายเพราะคำชมจากชายหนุ่ม
“แหม เล่นพูดกันตรง ๆ แบบนี้ ลูกสาวป้าก็เขินแย่สิ จริงมั๊ยจ๊ะยัยแพร” รุ้งรวีที่แทบจะตัวลอยยิ้มแก้มปริเมื่อได้ฟังคำชมลูกสาวตนเองจากปากอัศวิน หล่อนคิดไว้ไม่ผิดว่าชายหนุ่มจะต้องหลงเสน่ห์ในคราบใหม่ของพิชชาภาแน่ หล่อนหันไปมองลูกสาวที่อายแก้มแดงแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าจบจากงานหมั้นแล้วต้องมีงานแต่งตามมาอย่างแน่นอน
“ดูแพรกับวินเข้ากันได้ดีนะ” ปิยวัฒน์ที่ยืนสังเกตมานานเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ในใจก็พลอยโล่งอกที่ทั้งคู่ไม่มีทีท่าว่าจะไม่ชอบพอกัน และมันก็ทำให้เขาคลายกังวลเรื่องของอนุภัทรอีกด้วย
“โอ๊ย เข้ากันได้ดีเชียวล่ะค่ะคุณวัฒน์ นี่รู้ไหมคะว่าทั้งหนูแพรและก็ตาวินต่างก็อยากจะเร่งวันหมั้นให้เร็วขึ้นด้วยกันทั้งคู่ พอเสร็จจากงานหมั้นปุ๊บก็บอกว่าอยากให้มีงานแต่งปั๊บ จนตาวินถึงกับต้องเอ่ยปากขอร้องวรรณเลยนะคะเนี่ย” อมลวรรณพูดด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด
“จริงเหรอจ๊ะตาวิน ยัยแพร!” รุ้งรวีร้องตื่นเต้น มองหน้าพิชชาภากับอัศวินสลับกันไปมาด้วยความปลาบปลื้ม
พิชชาภาทำท่าจะพูดค้าน แต่อัศวินก็สวนขึ้นมาอีกจนได้
“จริงครับคุณป้า พอผมเห็นน้องแพรอีกครั้งในวันนี้ ผมก็แทบอยากจะเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันหมั้นเร็ว ๆ เพราะน้องแพรสวยขนาดนี้ ผมกลัวว่าถ้าช้าไปเธออาจจะเปลี่ยนใจแล้วถูกผู้ชายคนอื่นมาคว้าตัวไปก็ได้” อัศวินทำเสียงแผ่วในตอนท้าย หันไปยิ้มหวานแล้วสบสายตาอย่างมีความหมายกับพิชชาภา
เล่นละครตบตาเก่งเหลือเกินนะ ไอ้พี่วินปากเสีย! เธอไม่เข้าใจจริง ๆ เลยว่าเขาคิดอะไรของเขากันแน่ที่จู่ ๆ ก็บอกกับทุกคนว่าอยากจะเร่งวันหมั้นให้เร็วขึ้นทั้งที่เขายังเพิ่งพูดกับเธออยู่หยก ๆ ว่าไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่เคยหน้าตาอัปลักษณ์อย่างเธอ แถมยังทำสีหน้าท่าทางรังเกียจเธออย่างกับอะไรดี เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เขาจะพูดมาจากใจจริง และเธอก็จะไม่ยอมหมั้นให้เขามาหัวเราะเยาะที่หลังได้เด็ดขาด
“แม่คะ....” พิชชาภาจะเรียกรุ้งรวีเพื่อจะบอกว่าเธอจะไม่หมั้นกับอัศวินแต่โดนมารดาชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
ให้มันได้อย่างนี้สิน่า! พิชชาภาบ่นอย่างหงุดหงิดในใจ
“โถ ตาวิน ป้าไม่มีทางยอมให้ผู้ชายคนไหนมาคว้าตัวยัยแพรไปได้หรอกจ้ะ เพราะผู้ชายคนเดียวที่ป้าไว้ใจและวางใจที่จะยกลูกสาวให้มากที่สุดก็คือวินคนเดียวเท่านั้น” รุ้งรวีบอกด้วยรอยยิ้มกริ่ม
อัศวินยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ขอบคุณคุณป้ากับคุณลุงมากนะครับที่ไว้ใจผม และผมขอสัญญาว่าจะไม่ทำให้น้องแพรเสียใจเป็นอันขาด”
“แหม ป้าได้ยินวินพูดอย่างนี้ก็สบายใจ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ป้าจะได้บอกแผนของวันนี้ที่อุตส่าห์ซุ่มเตรียมไว้กับวรรณสองคนให้วินกับแพรรู้ไปเลยดีกว่า ดีไหมจ๊ะวรรณ” รุ้งรวีหันไปถามความเห็นเพื่อน
“ก็ดีเหมือนกัน เวลาตาวินกับหนูแพรอยู่บนเวทีจะได้รู้สึกไม่ประหม่าแล้วก็จะได้เตรียมคำพูดไว้ก่อนด้วย” อมลวรรณพยักหน้าเห็นด้วย
“แผนอะไรเหรอครับ” อัศวินถาม
รุ้งรวีงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะเฉลย “ก็แผนการประกาศหมั้นของวินกับแพรยังไงล่ะจ๊ะ”
“หา!!” พิชชาภาร้องอุทานเสียงดังลั่นจนรุ้งรวีและอมลวรรณถึงกับสะดุ้งตกใจ ปิยวัฒน์เองก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ส่วนอัศวินนั้นแทบจะเก็บอาการไม่อยู่จนต้องหันหน้าไปอีกทางแล้วแอบหัวเราะเบา ๆ
“แค่นี้ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะยัยแพร” รุ้งรวีบอก ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ้มมองลูกสาวแววตาเป็นประกาย “หรือว่าดีใจมากที่จะได้ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าวินเป็นคู่หมั้นเราจ๊ะ หืมม”
“ไม่ใช่นะคะแม่รุ้ง คือแพรกับพี่วินเราจะไม่....”
“จะไม่คัดค้านอะไรเลยครับ เพราะผมว่าอีกไม่นานทุกคนก็ก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จะประกาศหมั้นหรือไม่ประกาศหมั้นผมว่ามันก็คงไม่ต่างกัน จริงไหมจ๊ะน้องแพร” เขายิ้มกว้างบอกรุ้งรวี แล้วหันมาทำตาหวานเชื่อมพูดเสียงหวานกับพิชชาภา
จริงกับผีน่ะสิไอ้พี่วินบ้า! พิชชาภาด่าอัศวินในใจ ถลึงตามองชายหนุ่มด้วยความโมโห โกรธที่เขาเอาแต่พูดเองเออเองโดยที่เธอไม่สามารถเถียงทันเขาได้สักครั้ง
“อุ๊ยตาย ตาวินนี่พูดถูกใจป้าจริง ๆ เลยจ้ะ ถ้างั้นป้าว่าเราอย่าเสียเวลากันเลยดีกว่านะ ป่านนี้แขกเหรื่อคงมากันเยอะแล้วล่ะ ไป ๆ ๆ ทุกคน” พูดเสร็จก็หันไปกวักมือเรียกอมลวรรณและสามีสีหน้าชื่นมื่น
“เดี๋ยวสิคะแม่รุ้ง...” พิชชาภาเรียกมารดาให้หยุดแต่ดูเหมือนว่ารุ้งรวีและบิดาเธอรวมถึงอมลวรรณต่างก็พากันรีบเดินโดยไม่หยุดฟังเธอสักคน
“มัวโอเอ้อยู่นั่นแหล่ะยัยแพร ตามมาเร็ว ๆ เข้า” รุ้งรวีหันมาบอกแล้วก็รีบเดินก้าวยาว ๆ พลางคุยกับอมลวรรณไปยังตัวงานทันที
อัศวินหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นหญิงสาวข้าง ๆ บ่นงึมงำสีหน้ายุ่งเหยิง ยืนกระทืบเท้าอย่างขัดใจ
พิชชาภาหันขวับมาที่อัศวินแทบจะทันทีที่ได้ยินเขาหัวเราะ เธอกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความโกรธ แล้วโพล่งออกไปอย่างเหลืออด “พี่วินทำอย่างนี้เพื่ออะไรคะ แค่คำพูดเจ็บแสบที่ด่าแพรมันยังไม่สะใจพี่วินพออีกหรือไง หรือว่าพี่วินเสียหน้ามากที่ถูก ‘ผู้หญิงอย่างแพร’ ตบหน้า เลยอยากจะเอาคืนแพรอย่างนั้นใช่ไหมคะ” เธอย้ำคำว่าผู้อย่างเธอเสียงเข้ม มองชายหนุ่มด้วยแววตาโกรธแค้นระคนเจ็บปวด
อัศวินอึกอักไม่รู้จะตอบพิชชาภาอย่างไร เขาเองก็อยากจะขอโทษและบอกว่าเขาไม่ได้คิดอย่างที่เขาพูดว่าเธอไปแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ใจหนึ่งก็กลัวจะถูกหญิงสาวหัวเราะเยาะใส่ หาว่าคนที่เคยตั้งแง่รังเกียจ พูดจาถากถางรูปร่างหน้าตาของเธออย่างเขาต้องมากลืนน้ำลายตัวเองเพียงเพราะเธอสวยขึ้นจนสามารถทำให้เขาถึงกับตะลึงได้ และด้วยกลัวว่าจะเสียฟอร์ม จึงทำให้เขาพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับใจออกไป
“โถ น้องแพรจ๊ะ คิดเหรอว่าแค่การที่แพรตบหน้าพี่แล้วจะทำให้พี่โกรธจนต้องเอาคืนน่ะ หืมม” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะหุบยิ้มและเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาทันทีเมื่อพูดต่อเสียงห้วน
“จะไม่สำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเหรอ ที่พี่ทำไปก็เพราะต้องการทำตามที่แม่พี่ขอร้องต่างหาก ไม่เห็นเหรอว่าแม่พี่ดีใจแค่ไหนที่ได้ยินว่าเราสองคนอยากจะแต่งงานกันเร็ว ๆ เฮ้อ...ก็อย่างที่แพรบอกล่ะนะว่าพี่เองก็ไม่อยากจะหมั้นหรือแต่งงานกับแพรสักเท่าไร แต่เป็นเพราะตอนนี้แม่พี่ป่วยท่านก็เลยอยากเห็นพี่แต่งงานแต่งการสักที พี่ก็เลยไม่อยากขัดใจก็เท่านั้น”
พิชชาภาเม้มปากแน่น หน้าของเธอชาดิกเมื่อถูกอัศวินหาว่าเธอสำคัญตัวเองผิด ความโกรธพลุ่งพล่านจนเธอแทบอยากจะชกหน้าเขาแรง ๆ สักหมัด แต่ในเมื่อเขาเลือกที่จะใช้คำพูดทำร้ายเธอ เธอก็จะใช้คำพูดโต้ตอบเขากลับให้เจ็บแสบเช่นกัน
“พี่วินจะบอกว่าที่ทำไปก็เพื่อแม่พี่วินอย่างนั้นใช่ไหมคะ” เธอถามเสียงเรียบ จ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ
“ใช่” เขาตอบพลางเลิกคิ้วข้างนึง
“แหม ที่จริงแล้วแพรเองก็เพิ่งนึกได้ว่าควรจะต้องขอบคุณพี่วินมากกว่าที่จะมาพูดว่าพี่วินอยู่อย่างนี้นะคะเนี่ย” เธอเหยียดยิ้มบอกพลางกอดอกมองหน้าเขาด้วยแววตาเย้ยหยัน
“ทำไม” อัศวินขมวดคิ้วถามเสียงห้วน
“ก็เพราะการหมั้นครั้งนี้จะช่วยให้แพรหลุดจากแฟนเก่าน่าเบื่อที่คอยตามตื้อแพรไม่เลิกได้ง่ายขึ้นน่ะสิคะ” เธอหยักยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าหนักใจเต็มที่
“เฮ้อ...ที่จริงแพรก็อุตส่าห์บอกแม่รุ้งแล้วนะคะว่าไม่ต้องถึงขนาดหาคู่หมั้นมาให้แพรก็ได้ เพราะแค่แพรหาผู้ชายคนใหม่ควงโฉบไปโฉบมาให้แฟนเก่าเห็นสักสองสามครั้งเท่านั้น ขี้คร้านก็จะเผ่นแน่บไปเอง แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่วินมากนะคะที่ช่วยทำอะไร ๆ ให้มันง่ายขึ้น” เธอพูดกลั้วหัวเราะเย้ยหยัน แล้วเหยียดยิ้มอีกครั้งก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีอย่างมาดผู้มีชัย ปล่อยให้อัศวินที่ยืนอึ้งเถียงไม่ออก มองตามหลังเธอไปด้วยแววเกรี้ยวกราดน่ากลัว
“อยากจะหลุดจากแฟนเก่างั้นเหรอ ได้...พี่จะช่วยน้องแพรสาปส่งมันเต็มที่เลย” เขาพูดพึมพำลอดไรฟันกับตัวเอง แล้วจึงรีบตามทุกคนกลับเข้าไปในงาน
<><><><><>>><><><>><><><><><><><><><><><><><
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านทั้งที่คลิกไลค์และคอมเม้นท์นะคะ พบกันตอนหน้าวันอังคารค่า ^_<
คืนนี้ขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสดิ์ค่า ^^
เสน่ห์รักคล้องใจ ตอน 5
นึกว่าอยากจะหมั้นด้วยนักหรือไง ไอ้ผู้ชายปากเสีย! ไอ้ผู้ชายไร้มารยาท! เกลียด ๆ ๆ ๆ ผู้ชายพรรนี้ที่สุดเลย!
พิชชาภาเดินแกมวิ่งมาหยุดยืนพิงเสาโรมันด้านริมสุดของคฤหาสน์ที่มีเพียงแสงสปอร์ตไลท์จากเวทีส่องสลัวมาเท่านั้น เธอทำหน้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางกนด่าอัศวินในใจด้วยความโกรธเกรี้ยว คำพูดและท่าทางรังเกียจรูปร่างหน้าตาเธอทำให้เธออยากจะตบหน้าหล่อ ๆ ของเขาแรง ๆ อีกสักฉาดให้หายเจ็บใจ
แต่เธอรู้ว่าทำไปก็ไม่ช่วยแก้นิสัยปากเสียของเขาได้ และมันก็ทำให้เธอนึกย้อนไปถึงวันในงานเลี้ยงส่งที่บ้านของอัศวินคืนนั้น คืนที่เธอต้องเจ็บปวดกับคำพูดร้ายกาจของเขาจนจำฝังใจมาถึงวันนี้
“พี่วินขยันจังเลยนะคะ จบปริญญาตรีที่เมืองไทยแล้วยังไปต่อปริญญาตรีที่สวิสเซอแลนด์อีก” พิชชาภาเอ่ยชมอัศวินขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนคุยกันอยู่กลางห้องโถงของบ้าน เธอยิ้มบาง ๆ ให้ชายหนุ่มซึ่งยืนจิบพั้นซ์ด้วยใบหน้าเฉยเมยเหมือนไม่มีกระจิตกระใจจะฟังคู่สนทนาตรงหน้า
“ขอบใจ” อัศวินตอบส่ง ๆ พลางเหล่ไปที่พิชชาภาเด็กสาวร่างอ้วนกลมในชุดวันพีชสีขาวแขนตุ๊กตา ผมหยิกฟูของเธอถูกรวบไว้เป็นหางม้าโดยมีริบบิ้นสีขาวผูกเป็นโบ เขาเหลือบมองปานดำใหญ่ที่ร่องแก้มของเด็กสาวอย่างรังเกียจ ที่จมูกและตามเนินแก้มมีจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ เต็มไปหมด เพียงแค่ลอบมองรูปร่างของเธอด้วยหางตามันก็ทำให้เขาอยากจะเดินหนีออกไปสูดอากาศสดชื่นที่ด้านนอกเสียให้ได้
“เอ่อ...ละ...แล้วพี่วินไปอยู่เมืองไหนของสวิสเซอแลนด์เหรอคะ” พิชชาภาถามเสียงสั่น ใบหน้าเธอแดงระเรื่อพลางหลุบตาลงต่ำเมื่อเห็นว่าเขากำลังมองเธออยู่
อัศวินหันหน้าหนีไปอีกทางด้วยใบหน้าเหยเกพร้อมเบ้ปากอย่างเหยียด ๆ เมื่อเห็นพิชชาภาทำทีเอียงอายหลบสายตา เขาจิบพั๊นซ์ในมืออึกใหญ่ก่อนจะตอบเสียงห้วน “เมืองหลวง”
พิชชาภาไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มกำลังยั่วประสาทเธออยู่ ด้วยความที่มัวแต่อายเด็กสาวจึงได้แต่ก้มหน้าบิดมือไปมา ใบหน้าร้อนผะผ่าว คำถามแต่ละคำมันช่างหลุดออกมาได้ยากเย็นเหลือเกินเมื่อต้องมองหน้าอันคมเข้มเกลี้ยงเกลาของอัศวินไปด้วยเมื่อพูด และตอนนี้มือไม้ของเธอก็เย็นเฉียบ แข้งขาสั่นเมื่อได้ลอบมองเขาจากด้านข้างขณะที่เขากำลังยกแก้วพั๊นซ์ขึ้นดื่ม ไม่ว่าจะมองมุมไหน เขาก็ดูดีไปเสียหมด เธอคิดในใจด้วยความสุข
“แล้วพี่วิน...เอ่อ...จะเดินทางเมื่อไรเหรอคะ....” เธอเงยหน้าถามสบตาเขาอย่างอาย ๆ ก่อนจะรีบหลุบตาลงต่ำอีกครั้ง แล้วแอบอมยิ้มกับตัวเอง
คราวนี้อัศวินไม่ตอบเพราะเริ่มจะทนคุยกับยัยเด็กอ้วนอัปลักษณ์ที่คอยแต่จะส่งสายตาหวานหยดเยิ้มและยิ้มเอียงอายให้เขาตลอดเวลาไม่ไหวอีกต่อไป เขาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อไม่สามารถหลุดจากการสนทนากับยัยเด็กอ้วนนี่ได้ แล้วความคิดร้ายกาจก็แล่นวูบเข้ามาในสมองพลางมองแก้วพั้นซ์ในมือที่ยังเหลือน้ำสีชมพูนวลอีกครึ่งแก้ว เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าไม่มีใครมองมาที่พวกเขา จากนั้นก็หันไปยิ้มหวานให้เด็กสาวที่ยืนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงหน้า ขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะแกล้งทำเป็นสะดุดขาตัวเองแล้วสาดน้ำพั๊นซ์ในมือเบา ๆใส่เสื้อพิชชาภา
“อุ๊ย!” พิชชาภากระโดดตัวหนี ก้มลงมองตัวเองที่บัดนี้ชุดวันพีชสีขาวของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำพั๊นซ์สีชมพูตั้งแต่หน้าอกไปจนถึงเอว แถมยังเลอะกระโปรงเป็นจุด ๆ อีกด้วย
“น้องแพร! พี่ขอโทษนะครับ คือ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ แย่ที่สุดเลยพี่หนิ ดูสิ ทำชุดสวย ๆ ของน้องแพรเปื้อนหมดเลย” อัศวินแกล้งทำหน้าตาตกอกตกใจ รีบถลาเข้าไปใช้มือเช็ดคราบน้ำพั๊นซ์ที่ชุดของพิชชาภาพลางพูดขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ในงานที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ มองมาอย่างสนใจ และขณะที่เขาทำทีเป็นช่วยเช็ดคราบน้ำพั๊นซ์ที่เปื้อนชุดเธออยู่ เขาก็ก้มหน้าเข้าไปใกล้ที่หูของเธอ แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงเย็นชาถากถาง
“ขอร้องล่ะ ช่วยไปยืนไกล ๆ ฉันหน่อยจะได้ไหม เพราะแค่ฉันต้องคุยแล้วมองหน้าตาอัปลักษณ์กับรูปร่างเป็นตุ่มของเธอฉันก็อยากจะอาเจียนจะแย่ ไปให้พ้น ๆ เลยไป ยัยหมูตอนหัวฟู” พูดเสร็จเขาก็เงยหน้ามองพิชชาภาด้วยสายตารังเกียจ
พิชชาภาถึงกับตัวแข็งเป็นหิน ทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ฟังคำพูดเจ็บแสบและท่าทีรังเกียจของอัศวิน ซึ่งตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาของเขากำลังแสยะยิ้มมองมายังเธอเหมือนกับเห็นกิ้งกือไส้เดือนที่น่าขยะแขยง เธอกำมือแน่นข้างกายด้วยความโกรธแค้น ถึงรูปร่างหน้าตาเธอจะน่าเกลียดหรืออัปลักษณ์สักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ใช้คำหยาบคายมาพูดว่าเธอแบบนี้!
“ไปสิ ยังมายืนเอ๋ออยู่ได้” อัศวินทำเสียงไล่เบา ๆ ก่อนจะมองเลยไปด้านหลังของพิชชาภาและเห็นครอบครัวของเธอกับมารดาและบิดาของเขากำลังเดินมายังที่ที่ทั้งสองยืนอยู่ เขาจึงรีบปรับสีหน้าเป็นตื่นตะหนกทันที
“น้องแพร พี่ขอโทษจริง ๆ นะครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ” เขาตีสีหน้าและน้ำเสียงสำนึกผิด ยื่นมือไปเช็ดคราบน้ำพั๊นซ์ที่ชุดของพิชชาภา แต่เธอผงะหนีเขาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ก่อนจะหันหลังวิ่งออกจากบ้านไปทั้งน้ำตาโดยมีเสียงของกวินทร์และมารดาเธอเรียกอยู่ไกล ๆ
ฉันเกลียดผู้ชายคนนี้ที่สุด! ชาตินี้ขออย่าให้ได้มาพบมาเจอกันอีกเลย! พิชชาภาร่ำร้องบอกตัวเองในใจ
“แพร....”
เสียงทุ้มต่ำที่เรียกชื่อเธออย่างไม่แน่ใจ ทำให้พิชชาภาสะดุ้งหลุดจากภวังค์ แล้วหันไปมองคนที่เป็นต้นเสียงด้วยสีหน้าตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเย็นชาในทันทีเมื่อเห็นอัศวินยืนยิ้มแห้ง ๆ คล้ายขอโทษกลาย ๆ มาที่เธอ พิชชาภาไม่สนใจ เดินเลี่ยงชายหนุ่มเพื่อจะกลับไปในงาน แต่มือใหญ่ของอัศวินก็คว้าท่อนแขนเธอเอาไว้ได้ทัน
“แพร เดี๋ยวสิ” บอกแล้วดึงร่างเธอให้เผชิญหน้ากับเขา โดยจับแขนของเธอทั้งสองข้างเอาไว้
“ปล่อยนะ แพรเจ็บ” หญิงสาวสลัดท่อนแขนอย่างแรง จนหลุดจากการเกาะกุม
“เอ่อ...พี่ขอโทษ” อัศวินพึมพำเบา ๆ
พิชชาภาจ้องหน้าของอัศวินที่ยังมีรอยฝ่ามือของเธอแดงเป็นปื้นอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะเบี่ยงตัวเองเพื่อเดินหนีเขาอีกครั้ง แต่เขาก็มายืนขวางเธอไว้
“หลีกไป...” เธอบอกเสียงห้วน
“แพร...ฟังพี่ก่อนนะ เมื่อกี๊นี้พี่ขอโทษจริง ๆ ที่จำแพรไม่ได้ คือ...พี่ไม่คิดว่าแพรจะ....เปลี่ยนไปมากขนาดนี้” อัศวินตอบเสียงแผ่วไม่เต็มคำ
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ เพราะมันแน่อยู่แล้วที่พี่วินจะจำแพรไม่ได้ ก็ในเมื่อหลายปีก่อนที่เราเจอกันครั้งแรกตอนนั้นแพรยังอ้วนหัวฟู หน้าดำเป็นยัยเด็กหน้าตาน่าเกลียดอยู่เลยหนิคะ” พิชชาภาพูดน้ำเสียงประชดประชัน
อัศวินถึงกับสะอึกพูดอะไรไม่ออก เขากลืนน้ำลายเอือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยขอโทษกับเธอ
“คือ...พี่ขอโทษที่เมื่อกี๊พูดไม่ดีออกไป พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดว่าแพรเลยนะ ก็พี่นึกว่าผู้หญิงชุดแดงคนนั้น...เป็น....เอ่อ....เป็นแพรหนิ” พูดเสร็จก็เอามือลูบท้ายทอย ยิ้มเจื่อน ๆ
“ผู้หญิงชุดแดงที่ว่า เธอชื่อเมย์เพื่อนแพรเองค่ะ” เธอบอกให้เขาหายเข้าใจผิด แล้วเบ้ปากพูดต่อ
“พี่วินคงคิดว่าแพรจะอ้วนตั้งแต่เด็กจนโตใช่ไหมล่ะคะ ถึงได้พอเห็นเพื่อนของแพรอ้วนก็เลยไม่รีรอที่จะคิดว่าเป็นแพร แต่ก็ดีค่ะที่พี่วินเข้าใจผิดอย่างนี้ เพราะมันทำให้แพรรู้ว่าจริง ๆ แล้วพี่วินเองก็ไม่ได้อยากหมั้นกับแพรสักเท่าไร และแพรเองก็ไม่อยากหมั้นกับพี่วินอยู่แล้วด้วย ถ้าเราบอกผู้ใหญ่ว่าเราต่างก็ไม่อยากหมั้นด้วยกันทั้งคู่ แพรคิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนนะคะ” พิชชาภาสรุปให้เสร็จสรรพ
อัศวินถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกอีกครั้งเมื่อหญิงสาวบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้อยากจะหมั้นกับเขา และยังคิดเตรียมการยกเลิกงานหมั้นกับเขาอีก ทำให้เขาต้องเม้มปากแน่นด้วยความโมโหเพราะเสียหน้าที่ถูกผู้หญิงบอกยกเลิกงานหมั้น
มิน่าล่ะวันนั้นถึงได้ไม่มาดูตัวตามนัดและปล่อยให้เขากับมารดาต้องรอเก้ออยู่หลายชั่วโมง อัศวินคิดอย่างโกรธเคืองในใจ เขาพอจะเดาได้ว่าเธอคงไม่ชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไรหลังจากที่เขาสาดน้ำหวานใส่เธอในคืนงานเลี้ยงที่บ้านเขาเมื่อหลายปีก่อน แต่อย่างน้อยในเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างนัดดูตัวให้เรียบร้อยแล้ว เธอก็ควรจะมีมารยาทมาตามนัดสักนิด ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ใหญ่นั่งหัวโด่รอเก้อเป็นชั่วโมง ๆ และที่สำคัญมันทำให้เขาเสียหน้าแถมยังถูกเพื่อนรักหัวเราะเยาะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ได้ตั้งนาน
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหมวันนั้นถึงได้ไม่ไปดูตัวแล้วปล่อยให้พี่กับแม่ต้องรอเก้อเป็นชั่วโมง” เขาถามเสียงแข็ง
พิชชาภาขมวดคิ้วงุนงงที่จู่ ๆ อัศวินก็เปลี่ยนจากท่าทีเซื่อง ๆ ที่เหมือนคนสำนึกผิดมาเป็นขึงขังจริงจังแถมยังพูดเรื่องวันดูตัวที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการหมั้นเลยสักนิด แต่ในเมื่อเขาอยากจะพูดเรื่องนี้ เธอก็จะพูด
“ทำไมคะ พี่วินรู้สึกเสียหน้าหรือไงที่แพรไม่ไปตามนัดน่ะ” เธอบอกเสียงเยาะหยัน รู้สึกสะใจเมื่อเห็นอัศวินยืนตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าโกรธเกรี้ยว เธอก้าวช้า ๆ ไปหยุดยืนตรงหน้าเขา แล้วเหยียดยิ้มพูดเบา ๆ
“อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าผู้หญิงทุกคนเขาจะสนใจพี่วินไปเสียหมดสิคะ เพราะอย่างน้อย ก็มีแพรนี่
แหล่ะที่ไม่เคยคิดชอบพี่วินเลยแม้แต่น้อย จนแพรต้องหนีการตัวดูวันนั้นยังไงล่ะ” พูดเสร็จก็ยิ้มสะใจ ก่อนจะเชิดหน้าเดินผ่านอัศวินไป แต่ร่างของเธอกลับถูกเขากระชากอย่างแรงจนตัวปลิวไปปะทะกับเสาโรมัน
อัศวินจับต้นแขนเปลือยทั้งสองข้างของพิชชาภาไว้แน่น ใบหน้าแดงก่ำ นึกแค้นเคืองในใจกับคำพูดเหยียดหยามของเธอ ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน และเธอควรจะได้รับการสั่งสอนเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเขา เพื่อที่เธอจะได้สำนึกและจำไว้ว่าไม่ควรจะเล่นกับคนอย่างอัศวิน
“แล้วนึกว่าตัวเองดีนักหรือไง รู้เอาไว้ด้วยนะว่าฉันก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่เคยหน้าตาอัปลักษณ์อย่างเธอสักเท่าไรหรอก” อัศวินเปลี่ยนคำเรียกแทนตัวเองให้ดูห่างเหิน แล้วกวาดสายตาดูถูกไปทั่วร่างอวบอิ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าของพิชชาภา
“แล้วนี่ต้องใช้เวลาแปลงโฉมตัวเองนานไหมกว่าจะออกมาได้แบบนี้” อัศวินทำสีหน้าเย้ยหยัน
“อ้อ...สงสัยเธอคงจะไปพึ่งมีดหมอมาล่ะสิท่าถึงได้ออกมาสวยซะจนฉันแทบจะจำไม่ได้” เขาเหยียดยิ้ม “จะบอกอะไรให้นะ ถึงเธอจะทำตัวเองให้ดูดีแค่ไหน เธอก็เป็นได้แค่ยัยอ้วนอัปลักษณ์ในสายตาของฉันอยู่วันยันค่ำ”
“จะมากไปแล้วนะ!” พิชชาภาตวาดลั่น สะบัดตัวอย่างแรงจนแขนเธอเป็นอิสระจากการเกาะกุมของอัศวิน แล้วยกมือขึ้นสูงหมายจะตบหน้าเขา แต่ชายหนุ่มก็เร็วพอที่จะคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทัน พอเธอรีบยกมืออีกข้างขึ้นเขาก็คว้ามือเธอไว้ได้อีก แล้วบิดไปไพล่หลังเธอไว้
“ไม่มีทางที่ฉันจะให้ผู้หญิงอย่างเธอตบหน้าอีกเป็นครั้งที่สองแน่” อัศวินพูดลอดไรฟันชิดริมฝีปากบางของเธอ
“ผู้หญิงอย่างแพร? ผู้หญิงอย่างแพรมันเป็นยังไงเหรอคะ! มันหน้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์มากใช่ไหม พี่วินถึงได้คอยแต่จะตั้งท่ารังเกียจ พูดจาดูถูกแพรอยู่อย่างนี้!” พิชชาภาแว๊ดใส่ด้วยสีหน้าและแววตาเจ็บปวด น้ำอุ่น ๆ เริ่มมาคลอที่ขอบตาพาลจะไหล เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอัศวินถึงได้ปากร้ายกับเธอไม่เลิก ทั้งที่ตอนนี้เธอไม่ใช่ยัยเด็กอ้วนหัวฟูอีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ยังขุดเอาปมด้อยของเธอมาถากถางจนได้
อัศวินค่อย ๆ คลายมือออก เหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาพูดกับเธอแรงเกินไป เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอร้องไห้ แต่เพราะความโมโหเพียงวูบเดียวที่ทำให้เขาเผลอพลั้งปากพล่อย ๆ ออกไป
“แพร...คือพี่...” เขาพยายามจะขอโทษ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาเพราะใจหนึ่งก็กลัวจะเสียฟอร์ม เลยได้แต่ทำปากพยักเพยิด มือไม้เก้ ๆ กัง ๆ อยู่อย่างนั้น
“แพรว่าเราอย่าหมั้นกันนั่นแหล่ะค่ะดีที่สุดแล้ว” พิชชาภาพูดขึ้นหลังจากสะอื้นอยู่พักใหญ่ เธอเอามือปาดน้ำตาแล้วเงยหน้ามองอัศวินด้วยแววตากระด้าง
“พี่วินเองก็เกลียดแพรขนาดนี้ หมั้นไปก็รังจะทำให้พี่วินลำบากใจเปล่า ๆ ส่วนเรื่องป้าวรรณพี่วินก็ไม่ต้องกังวลนะคะ แพรจะพูดให้ท่านเข้าใจเอง” พูดเสร็จพิชชาภาก็ดันอกอัศวินให้ออกห่างแล้วรีบหมุนตัวเดินหนีเพราะไม่อาจจะทนยืนอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป
“แพร เดี๋ยวก่อนแพร!” อัศวินก้าวยาว ๆ ไปคว้าแขนพิชชาภาไว้ แล้วหมุนเธอให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา แต่หญิงสาวก็พยายามขัดขืนดิ้นรน ปากก็ร้องบอกให้เขาปล่อยกลั้วเสียงสะอื้น
“ตาวิน! ปล่อยน้องเดี๋ยวนี้นะ” อมลวรรณสั่งอัศวินเสียงดุ หลังจากที่เธอขอตัวกับพิรภพและเมลิษาไปทำธุระส่วนตัวด้านในคฤหาสน์ แล้วเธอก็ตั้งใจจะไปทักทายรุ้งรวีกับสามีแต่เห็นว่าทั้งคู่ยังติดพันคุณกับแขกอยู่ เธอเลยเดินกลับออกมาด้านนอกงานแล้วหันมาเห็นอัศวินกับพิชชาภากำลังยื้อยุดกันอยู่พอดีจึงรีบเดินหน้าตาตื่นมาทางทั้งสองคน
อัศวินปล่อยมือจากแขนของพิชชาภาแทบจะทันทีเมื่อได้ยินเสียงเฉียบขาดของมารดา พอหันไปเห็นสายตาดุดันที่มองมายังเขา ก็ถึงกับต้องถอนใจรู้ว่าต้องเจอสวดใหญ่เลยรีบคิดหาคำแก้ตัวเป็นพัลวัน
ส่วนพิชชาภาเมื่อเป็นอิสระจากอัศวินได้เธอก็รีบยกมือปาดน้ำตาทิ้ง ปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติและพยายามปั้นหน้าว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมาไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ก่อนจะยกมือไหว้อมลวรรณอย่างนอบน้อม
“หนูแพร ตาวินของป้าทำอะไรหนูหรือเปล่าลูก บอกป้ามาเลย ไม่ต้องไปกลัวใครทั้งนั้น” พอรับไหว้เสร็จก็ปรี่เข้ามาลูบหน้าลูบผมพิชชาภาถามอย่างเป็นห่วง แล้วหันไปมองอัศวินที่ยืนหน้าเจื่อนอย่างเอาเรื่อง
“พี่วินไม่ได้ทำอะไรแพรหรอกค่ะ แพรแค่...เอ่อ...” พิชชาภายิ้มแห้ง ๆ เมื่อนึกไม่ออกว่าจะตอบอมลวรรณอย่างไร พลางเหล่ไปที่อัศวินคล้ายขอความช่วยเหลือ แม้จะอยากบอกความจริงใจจะขาดว่าอัศวินนั้นพูดจาแสบร้อนอะไรกับเธอบ้าง แต่ก็ไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนถึงขั้นอาจจะทำให้ทั้งสองครอบครัวมองหน้ากันไม่ติด
“คือ...แพรเขาโกรธที่วินจำเขาไม่ได้น่ะครับแม่ วินขอโทษตั้งหลายรอบแล้วเธอก็ยังไม่หายโกรธสักที
วินถึงได้ง้อน้องแพรของแม่อยู่นี่ไงครับ” อัศวินตีสีหน้าสลด ยิ้มเศร้าสร้อย แล้วแกล้งลอบมองไปที่พิชชาภาด้วยแววตาน้อยใจ
“จริงเหรอหนูแพร” อมลวรรณหันมาถามกับพิชชาภาอีกรอบ
“เอ่อ...จริงค่ะ” พิชชาภาพยักหน้าอ้อมแอ้มตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้
“โธ่...ถ้าเรื่องนั้นหนูแพรอย่าไปโกรธตาวินเลยนะลูก ป้าผิดเองที่ไม่ยอมรีบบอกให้ตาวินรู้ว่าหนูแพรคือคนไหน ตาวินก็เลยเข้าใจผิดคิดว่า...เอ่อ...” อมลวรรณหยุดอึ้งไปเล็กน้อยเพราะเกือบจะเผลอบอกว่าอัศวินเข้าใจผิดคิดว่าสาวชุดแดงร่างท้วมนั้นเป็นพิชชาภา ซึ่งถ้าหลุดพูดออกไปอาจจะทำให้หญิงสาวน้อยใจและเคืองหล่อนได้ที่ปล่อยให้ลูกชายคิดว่าเธอยังอ้วนฉุเหมือนเมื่อหลายปีก่อน
“คิดว่าผู้หญิงชุดแดงที่เป็นเพื่อนของแพรเป็นแพรใช่ไหมคะ เรื่องนั้นพี่วินบอกแล้วล่ะค่ะ” พิชชาภาต่อให้เมื่อเห็นท่าทีกระอักกระอ่วนของอมลวรรณ
อมลวรรณยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่อัศวินที่ไม่รู้จักหยุดคิดว่าเรื่องไหนควรบอกไม่ควรบอก เพราะถ้าเกิดพิชชาภาน้อยใจไม่ยอมหมั้นขึ้นมาหล่อนคงไม่มีวันได้เห็นพ่อลูกชายตัวดีแต่งงานเป็นแน่เพราะไม่รู้จะไปหาผู้หญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ที่ถูกใจแบบพิชชาภาได้ที่ไหน
พิชชาภาที่เห็นท่าทางของอมลวรรณก็เดาได้ว่าหล่อนคงกลัวว่าเธอจะเสียใจที่อัศวินคิดว่าเมลิษาเป็นเธอ ซึ่งเธอเองก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอีก จึงรีบหยิบเอาเรื่องยกเลิกการหมั้นระหว่างเธอและอัศวินมาพูดกับอมลวรรณทันที
“ป้าวรรณคะ แพรมีเรื่องอยากจะขอร้องน่ะค่ะ....เรื่องหมั้น” พูดเสร็จเธอก็ปลายตามองอัศวินที่ดูเหมือนจะหันขวับมาทางเธอทันที สีหน้าของเขามีแววกังวลเล็กน้อย เธอเลยคิดไปว่าเขาคงกลัวมารดาโกรธ เธอจึงพยายามคิดหาสาเหตุของการยกเลิกการหมั้นที่จะทำให้อัศวินห่างจะการเป็นตัวต้นเหตุมากที่สุด
“ทะ...ทำไมเหรอจ๊ะหนูแพร” อมลวรรณหน้าถอดสีพูดตะกุกตะกักเมื่อเห็นสีหน้าและน้ำเสียงลำบากใจของพิชชาภา ในใจก็ภาวนาขออย่าให้หญิงสาวพูดเรื่องการยกเลิกการหมั้นอย่างที่หล่อนกำลังหวาดระแวง
พิชชาภาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “คือ...เอ่อ...แพรอยากจะให้...”
“แพรเขาอยากจะให้จัดงานหมั้นเร็วขึ้นน่ะครับแม่” อัศวินชิงตัดหน้าพูดก่อนที่พิชชาภาจะทันจะได้พูดจบ แล้วฉีกยิ้มกว้างให้มารดา พลางหันไปส่งยิ้มหวานให้พิชชาภาที่ยืนหน้าเหวอ ตาโต งุนงงกับคำประกาศของเขา อัศวินเลยถือโอกาสเอาตอนที่หญิงสาวกำลังตะลึงยื่นมือไปคว้าเอวเธอมายืนใกล้ ๆ ก่อนจะพูดต่ออย่างอารมณ์ดี
“เมื่อกี๊แพรบอกว่าถ้าอยากจะให้หายโกรธเรื่องที่วินจำเขาไม่ได้ ก็ต้องไปเร่งแม่ให้จัดงานหมั้นเร็ว ๆ แล้วพอหมั้นเสร็จปุ๊บก็ให้จัดงานแต่งปั๊บ แม่ว่าไงครับ พอจะจัดการให้วินได้หรือเปล่า เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแพรเขาบอกว่าจะไม่หมั้นกับวินเด็ดขาด” พูดเสร็จเขาก็ทำท่าขอความเห็นใจจากมารดา แล้วหันไปอมยิ้มกรุ้มกริ่มให้พิชชาภา
“โธ่เอ๊ย ป้าก็นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องงานหมั้นหนูแพรไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ เพราะป้าคุยกับรุ้งเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้หมั้นกลางเดือนหน้าตามกำหนดแต่งงานเดิม ส่วนงานแต่งก็คงต้องหาฤกษ์หายยามกันอีกที” อมลวรรณพูดด้วยใบหน้าชื่นมื่น ยิ้มไม่หุบเมื่อเห็นทั้งคู่ต่างก็พอใจซึ่งกันและกัน
“แต่ป้าวรรณคะ” พิชชาภาทำท่าจะขัดแต่อัศวินก็พูดแทรกเธอขึ้นมาอีก
“ป้ารุ้งกับลุงวัฒน์มาพอดีเลยครับแม่” อัศวินบอกพลางมองเลยมารดาไปทางด้านหลังที่รุ้งรวีกับปิยวัฒน์กำลังเดินมาด้วยใบหน้าฉงนสงสัย เขาจึงรีบปล่อยมือจากเอวของพิชชาภาแล้วยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง
รุ้งรวีและปิยวัฒน์รับไหว้อัศวินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่รุ้งรวีจะมองอัศวินสลับกับพิชชาภาไปมา แล้วหันไปมองอมลวรรณเพื่อนสาวที่ยิ้มหน้าบานด้วยความแปลกใจ จึงเอ่ยถามออกไป
“มาทำอะไรกันอยู่ตรงที่มืด ๆ อย่างนี้ล่ะจ๊ะ แล้ววรรณกับวินมาเมื่อไรทำไมไม่มีใครเข้าไปบอกรุ้งเลยล่ะ”
“มาได้สักพักแล้วล่ะจ้ะ แต่เห็นว่าเธอกับคุณวัฒน์คุยกับแขกสำคัญอยู่ก็เลยไม่อยากรบกวนน่ะ” อมวรรณตอบด้วยเสียงสดชื่น
“แล้ววินกับแพรทักทายกันแล้วเหรอลูก สองคนไม่ได้เจอกันตั้งนานหลายปี เจอกันคราวนี้เป็นยังไงบ้างจ๊ะ” รุ้งรวีถามเสียงตื่นเต้น ตาวาววับด้วยความหวังว่าอัศวินจะถูกใจลูกสาวเธอ
“น้องแพรสวยขึ้นมากเลยครับ สวยจนผมจำแทบไม่ได้” อัศวินยิ้มตอบ แล้วหันไปทำตาหวานซึ้งกับพิชชาภาที่ตอนนี้ยืนยิ้มเหี้ยมให้เขา แต่แก้มเนียนกลับแดงระเรื่อเขินอายเพราะคำชมจากชายหนุ่ม
“แหม เล่นพูดกันตรง ๆ แบบนี้ ลูกสาวป้าก็เขินแย่สิ จริงมั๊ยจ๊ะยัยแพร” รุ้งรวีที่แทบจะตัวลอยยิ้มแก้มปริเมื่อได้ฟังคำชมลูกสาวตนเองจากปากอัศวิน หล่อนคิดไว้ไม่ผิดว่าชายหนุ่มจะต้องหลงเสน่ห์ในคราบใหม่ของพิชชาภาแน่ หล่อนหันไปมองลูกสาวที่อายแก้มแดงแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าจบจากงานหมั้นแล้วต้องมีงานแต่งตามมาอย่างแน่นอน
“ดูแพรกับวินเข้ากันได้ดีนะ” ปิยวัฒน์ที่ยืนสังเกตมานานเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ในใจก็พลอยโล่งอกที่ทั้งคู่ไม่มีทีท่าว่าจะไม่ชอบพอกัน และมันก็ทำให้เขาคลายกังวลเรื่องของอนุภัทรอีกด้วย
“โอ๊ย เข้ากันได้ดีเชียวล่ะค่ะคุณวัฒน์ นี่รู้ไหมคะว่าทั้งหนูแพรและก็ตาวินต่างก็อยากจะเร่งวันหมั้นให้เร็วขึ้นด้วยกันทั้งคู่ พอเสร็จจากงานหมั้นปุ๊บก็บอกว่าอยากให้มีงานแต่งปั๊บ จนตาวินถึงกับต้องเอ่ยปากขอร้องวรรณเลยนะคะเนี่ย” อมลวรรณพูดด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด
“จริงเหรอจ๊ะตาวิน ยัยแพร!” รุ้งรวีร้องตื่นเต้น มองหน้าพิชชาภากับอัศวินสลับกันไปมาด้วยความปลาบปลื้ม
พิชชาภาทำท่าจะพูดค้าน แต่อัศวินก็สวนขึ้นมาอีกจนได้
“จริงครับคุณป้า พอผมเห็นน้องแพรอีกครั้งในวันนี้ ผมก็แทบอยากจะเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันหมั้นเร็ว ๆ เพราะน้องแพรสวยขนาดนี้ ผมกลัวว่าถ้าช้าไปเธออาจจะเปลี่ยนใจแล้วถูกผู้ชายคนอื่นมาคว้าตัวไปก็ได้” อัศวินทำเสียงแผ่วในตอนท้าย หันไปยิ้มหวานแล้วสบสายตาอย่างมีความหมายกับพิชชาภา
เล่นละครตบตาเก่งเหลือเกินนะ ไอ้พี่วินปากเสีย! เธอไม่เข้าใจจริง ๆ เลยว่าเขาคิดอะไรของเขากันแน่ที่จู่ ๆ ก็บอกกับทุกคนว่าอยากจะเร่งวันหมั้นให้เร็วขึ้นทั้งที่เขายังเพิ่งพูดกับเธออยู่หยก ๆ ว่าไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่เคยหน้าตาอัปลักษณ์อย่างเธอ แถมยังทำสีหน้าท่าทางรังเกียจเธออย่างกับอะไรดี เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เขาจะพูดมาจากใจจริง และเธอก็จะไม่ยอมหมั้นให้เขามาหัวเราะเยาะที่หลังได้เด็ดขาด
“แม่คะ....” พิชชาภาจะเรียกรุ้งรวีเพื่อจะบอกว่าเธอจะไม่หมั้นกับอัศวินแต่โดนมารดาชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
ให้มันได้อย่างนี้สิน่า! พิชชาภาบ่นอย่างหงุดหงิดในใจ
“โถ ตาวิน ป้าไม่มีทางยอมให้ผู้ชายคนไหนมาคว้าตัวยัยแพรไปได้หรอกจ้ะ เพราะผู้ชายคนเดียวที่ป้าไว้ใจและวางใจที่จะยกลูกสาวให้มากที่สุดก็คือวินคนเดียวเท่านั้น” รุ้งรวีบอกด้วยรอยยิ้มกริ่ม
อัศวินยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ขอบคุณคุณป้ากับคุณลุงมากนะครับที่ไว้ใจผม และผมขอสัญญาว่าจะไม่ทำให้น้องแพรเสียใจเป็นอันขาด”
“แหม ป้าได้ยินวินพูดอย่างนี้ก็สบายใจ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ป้าจะได้บอกแผนของวันนี้ที่อุตส่าห์ซุ่มเตรียมไว้กับวรรณสองคนให้วินกับแพรรู้ไปเลยดีกว่า ดีไหมจ๊ะวรรณ” รุ้งรวีหันไปถามความเห็นเพื่อน
“ก็ดีเหมือนกัน เวลาตาวินกับหนูแพรอยู่บนเวทีจะได้รู้สึกไม่ประหม่าแล้วก็จะได้เตรียมคำพูดไว้ก่อนด้วย” อมลวรรณพยักหน้าเห็นด้วย
“แผนอะไรเหรอครับ” อัศวินถาม
รุ้งรวีงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะเฉลย “ก็แผนการประกาศหมั้นของวินกับแพรยังไงล่ะจ๊ะ”
“หา!!” พิชชาภาร้องอุทานเสียงดังลั่นจนรุ้งรวีและอมลวรรณถึงกับสะดุ้งตกใจ ปิยวัฒน์เองก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ส่วนอัศวินนั้นแทบจะเก็บอาการไม่อยู่จนต้องหันหน้าไปอีกทางแล้วแอบหัวเราะเบา ๆ
“แค่นี้ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะยัยแพร” รุ้งรวีบอก ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ้มมองลูกสาวแววตาเป็นประกาย “หรือว่าดีใจมากที่จะได้ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าวินเป็นคู่หมั้นเราจ๊ะ หืมม”
“ไม่ใช่นะคะแม่รุ้ง คือแพรกับพี่วินเราจะไม่....”
“จะไม่คัดค้านอะไรเลยครับ เพราะผมว่าอีกไม่นานทุกคนก็ก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จะประกาศหมั้นหรือไม่ประกาศหมั้นผมว่ามันก็คงไม่ต่างกัน จริงไหมจ๊ะน้องแพร” เขายิ้มกว้างบอกรุ้งรวี แล้วหันมาทำตาหวานเชื่อมพูดเสียงหวานกับพิชชาภา
จริงกับผีน่ะสิไอ้พี่วินบ้า! พิชชาภาด่าอัศวินในใจ ถลึงตามองชายหนุ่มด้วยความโมโห โกรธที่เขาเอาแต่พูดเองเออเองโดยที่เธอไม่สามารถเถียงทันเขาได้สักครั้ง
“อุ๊ยตาย ตาวินนี่พูดถูกใจป้าจริง ๆ เลยจ้ะ ถ้างั้นป้าว่าเราอย่าเสียเวลากันเลยดีกว่านะ ป่านนี้แขกเหรื่อคงมากันเยอะแล้วล่ะ ไป ๆ ๆ ทุกคน” พูดเสร็จก็หันไปกวักมือเรียกอมลวรรณและสามีสีหน้าชื่นมื่น
“เดี๋ยวสิคะแม่รุ้ง...” พิชชาภาเรียกมารดาให้หยุดแต่ดูเหมือนว่ารุ้งรวีและบิดาเธอรวมถึงอมลวรรณต่างก็พากันรีบเดินโดยไม่หยุดฟังเธอสักคน
“มัวโอเอ้อยู่นั่นแหล่ะยัยแพร ตามมาเร็ว ๆ เข้า” รุ้งรวีหันมาบอกแล้วก็รีบเดินก้าวยาว ๆ พลางคุยกับอมลวรรณไปยังตัวงานทันที
อัศวินหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นหญิงสาวข้าง ๆ บ่นงึมงำสีหน้ายุ่งเหยิง ยืนกระทืบเท้าอย่างขัดใจ
พิชชาภาหันขวับมาที่อัศวินแทบจะทันทีที่ได้ยินเขาหัวเราะ เธอกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความโกรธ แล้วโพล่งออกไปอย่างเหลืออด “พี่วินทำอย่างนี้เพื่ออะไรคะ แค่คำพูดเจ็บแสบที่ด่าแพรมันยังไม่สะใจพี่วินพออีกหรือไง หรือว่าพี่วินเสียหน้ามากที่ถูก ‘ผู้หญิงอย่างแพร’ ตบหน้า เลยอยากจะเอาคืนแพรอย่างนั้นใช่ไหมคะ” เธอย้ำคำว่าผู้อย่างเธอเสียงเข้ม มองชายหนุ่มด้วยแววตาโกรธแค้นระคนเจ็บปวด
อัศวินอึกอักไม่รู้จะตอบพิชชาภาอย่างไร เขาเองก็อยากจะขอโทษและบอกว่าเขาไม่ได้คิดอย่างที่เขาพูดว่าเธอไปแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ใจหนึ่งก็กลัวจะถูกหญิงสาวหัวเราะเยาะใส่ หาว่าคนที่เคยตั้งแง่รังเกียจ พูดจาถากถางรูปร่างหน้าตาของเธออย่างเขาต้องมากลืนน้ำลายตัวเองเพียงเพราะเธอสวยขึ้นจนสามารถทำให้เขาถึงกับตะลึงได้ และด้วยกลัวว่าจะเสียฟอร์ม จึงทำให้เขาพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับใจออกไป
“โถ น้องแพรจ๊ะ คิดเหรอว่าแค่การที่แพรตบหน้าพี่แล้วจะทำให้พี่โกรธจนต้องเอาคืนน่ะ หืมม” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะหุบยิ้มและเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาทันทีเมื่อพูดต่อเสียงห้วน
“จะไม่สำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเหรอ ที่พี่ทำไปก็เพราะต้องการทำตามที่แม่พี่ขอร้องต่างหาก ไม่เห็นเหรอว่าแม่พี่ดีใจแค่ไหนที่ได้ยินว่าเราสองคนอยากจะแต่งงานกันเร็ว ๆ เฮ้อ...ก็อย่างที่แพรบอกล่ะนะว่าพี่เองก็ไม่อยากจะหมั้นหรือแต่งงานกับแพรสักเท่าไร แต่เป็นเพราะตอนนี้แม่พี่ป่วยท่านก็เลยอยากเห็นพี่แต่งงานแต่งการสักที พี่ก็เลยไม่อยากขัดใจก็เท่านั้น”
พิชชาภาเม้มปากแน่น หน้าของเธอชาดิกเมื่อถูกอัศวินหาว่าเธอสำคัญตัวเองผิด ความโกรธพลุ่งพล่านจนเธอแทบอยากจะชกหน้าเขาแรง ๆ สักหมัด แต่ในเมื่อเขาเลือกที่จะใช้คำพูดทำร้ายเธอ เธอก็จะใช้คำพูดโต้ตอบเขากลับให้เจ็บแสบเช่นกัน
“พี่วินจะบอกว่าที่ทำไปก็เพื่อแม่พี่วินอย่างนั้นใช่ไหมคะ” เธอถามเสียงเรียบ จ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ
“ใช่” เขาตอบพลางเลิกคิ้วข้างนึง
“แหม ที่จริงแล้วแพรเองก็เพิ่งนึกได้ว่าควรจะต้องขอบคุณพี่วินมากกว่าที่จะมาพูดว่าพี่วินอยู่อย่างนี้นะคะเนี่ย” เธอเหยียดยิ้มบอกพลางกอดอกมองหน้าเขาด้วยแววตาเย้ยหยัน
“ทำไม” อัศวินขมวดคิ้วถามเสียงห้วน
“ก็เพราะการหมั้นครั้งนี้จะช่วยให้แพรหลุดจากแฟนเก่าน่าเบื่อที่คอยตามตื้อแพรไม่เลิกได้ง่ายขึ้นน่ะสิคะ” เธอหยักยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าหนักใจเต็มที่
“เฮ้อ...ที่จริงแพรก็อุตส่าห์บอกแม่รุ้งแล้วนะคะว่าไม่ต้องถึงขนาดหาคู่หมั้นมาให้แพรก็ได้ เพราะแค่แพรหาผู้ชายคนใหม่ควงโฉบไปโฉบมาให้แฟนเก่าเห็นสักสองสามครั้งเท่านั้น ขี้คร้านก็จะเผ่นแน่บไปเอง แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่วินมากนะคะที่ช่วยทำอะไร ๆ ให้มันง่ายขึ้น” เธอพูดกลั้วหัวเราะเย้ยหยัน แล้วเหยียดยิ้มอีกครั้งก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีอย่างมาดผู้มีชัย ปล่อยให้อัศวินที่ยืนอึ้งเถียงไม่ออก มองตามหลังเธอไปด้วยแววเกรี้ยวกราดน่ากลัว
“อยากจะหลุดจากแฟนเก่างั้นเหรอ ได้...พี่จะช่วยน้องแพรสาปส่งมันเต็มที่เลย” เขาพูดพึมพำลอดไรฟันกับตัวเอง แล้วจึงรีบตามทุกคนกลับเข้าไปในงาน
<><><><><>>><><><>><><><><><><><><><><><><><
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านทั้งที่คลิกไลค์และคอมเม้นท์นะคะ พบกันตอนหน้าวันอังคารค่า ^_<
เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ต.ค. 2558, 00:23:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ต.ค. 2558, 00:23:30 น.
จำนวนการเข้าชม : 1422
<< ตอนที่ 4 | ตอนที่ 6 >> |
กาซะลองพลัดถิ่น 24 ต.ค. 2558, 04:10:34 น.
โห อัศวินนายไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย ...นิสัยจะเข้าขั้น นิสัยทราม แล้ว ดูถูกผู้หญิงเกินไปไหม แหม ใคร ๆ ก็ต้องมาสยบ
ก็ถ้าไม่รวย แค่หล่อและปากเสียจะมีใครมาสนไหมล่ะ แพรก็ปฎิเสธหรือพูดความจริงไปดีกว่า มัวอ้ำ ๆ อี้ง ๆ อยู่นั้นแหละ
โห อัศวินนายไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย ...นิสัยจะเข้าขั้น นิสัยทราม แล้ว ดูถูกผู้หญิงเกินไปไหม แหม ใคร ๆ ก็ต้องมาสยบ
ก็ถ้าไม่รวย แค่หล่อและปากเสียจะมีใครมาสนไหมล่ะ แพรก็ปฎิเสธหรือพูดความจริงไปดีกว่า มัวอ้ำ ๆ อี้ง ๆ อยู่นั้นแหละ
lamyong 24 ต.ค. 2558, 11:14:26 น.
ไอ้พี่วินนนน นิสัยแบบนี้มันน่าจะ.... ฮึ้ย แพรอย่าไปหวั่นไหวง่าย ๆ นะ หล่อนิสัยเสียแบบนี้อย่าไปยอม
ไอ้พี่วินนนน นิสัยแบบนี้มันน่าจะ.... ฮึ้ย แพรอย่าไปหวั่นไหวง่าย ๆ นะ หล่อนิสัยเสียแบบนี้อย่าไปยอม
Zephyr 24 ต.ค. 2558, 17:50:59 น.
เชียร์แพรเต็มที่
กระทืบพี่วินให้จมไปเลย
นิสัยเข้าขั้น ทราม เลยนะ เลวไปไหม
เชียร์แพรเต็มที่
กระทืบพี่วินให้จมไปเลย
นิสัยเข้าขั้น ทราม เลยนะ เลวไปไหม