เล่ห์รักบงการใจ

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 3

แสงไฟหลากสีระยิบระยับสลับกันเปล่งแสงอยู่หน้าอาคารห้าชั้นที่เปิดเป็นร้านอาหารกึ่งผับสุดหรูของไอโซหนุ่ม ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่อยากผ่อนคลายอารมณ์กับบรรยากาศสบายๆ อาหารอร่อยและเพลงเพราะๆ ซึ่งจัดเป็นโซนไว้อย่างเป็นระเบียบ ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร ชั้นสองเป็นผับ ชั้นสี่กับชั้นห้าเป็นที่ทำงานและที่พักของหุ้นส่วน ส่วนชั้นสามเปิดให้บริการสำหรับสมาชิกวีไอพีที่ต้องการสาวสวยหนุ่มหล่อมานั่งเคล้าคลอเอาใจ และไปหาความสุขกัน

ด้านหลังอาคารเป็นประตูทางเข้าเฉพาะเจ้าของร้านและคนที่ได้รับสิทธิพิเศษ มีคนดูแลเป็นชายห้าคน สองคนยืนอยู่ตรงประตู อีกสามคนก็คอยตรวจตราดูแลความเป็นระเบียบของรถที่เข้ามาจอด เช่นเดียวกับรถสปอร์ตที่เคลื่อนเข้ามา ศักดิ์หนึ่งในสองที่ยืนเฝ้าประตูรีบวิ่งไปหาเพราะจำได้ดีว่าเจ้าของรถเป็นหนึ่งในเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนี้ พอรถจอดสนิทเขาก็เปิดประตูด้านคนขับให้ทันที

“สวัสดีครับคุณลักษณ์” เสียงศักดิ์ดังขึ้นพร้อมกับก้มหน้าให้ด้วยความเคารพ

ลักษณาลงมายืนอยู่ข้างรถ ตัวเธออยู่ในชุดเซกสีดำ เปิดไหล่ข้างหนึ่ง ขณะที่ประตูรถอีกด้านก็ถูกเปิดออก สาวสวยปลายฟ้าก็ลงมาจากรถสีหน้าเธอดูไม่ดีเหมือนชุดสีฟ้าที่ใส่มา ลักษณาตวัดสายตามามองเพียงนิดเดียว ก็ละสายตามามองหน้านายศักด์ ที่ยังยืนรอรับใช้อยู่

“พาตัวไปให้เชอรี่”

“ครับ” นายศักดิ์รับคำแล้วเดินมาที่ปลายฟ้า ที่มองลักษณาอย่างอ้อนวอนขอให้เปลี่ยนใจ แต่เมื่อไม่อาจเปลี่ยนใจเธอได้ ก็ตามนายศักดิ์ไปหาคนที่จะให้งานให้เงินเธอเพื่อเลี้ยงตัวเองต่อไป
ลักษณาไม่ได้มองตามไป เธอขยับตัวเดินเข้าไปในอาคาร ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสี่ พอประตูลิฟต์เปิดออก ก็เดินไปยังห้องส่วนตัวของหุ้นส่วน เปิดประตูเข้าไปโดยไม่ต้องเคาะ เจ้าของห้องที่นั่งดื่มด่ำบรรยากาศกับชายหนุ่มรูปงาม ตรงระเบียงห้อง หันมามองเพียงนิด ก็พยักหน้าให้ชายหนุ่มออกไปก่อน ลักษณาเดินสวนเข้ามา นั่งบนโซฟาตัวใหญ่ หลับตาสูดกลิ่นเทียนหอมที่มีฤทธิ์กล่อมประสาทให้ผ่อนคลายสบายใจไม่นานก็พูดขึ้น

“หาเด็กให้คุณลักษณ์คนซิ ขอแบบไม่ช้ำมาก ยิ่งหน้าใหม่ ยิ่งดี”

“ใช้ส่วนตัว หรือจะให้ทำอะไร”

“เหมือนเดิม”

เจตน์ หรือเจติน์ ชายหนุ่มรูปหล่อทายาทเศรษฐี ผู้มีรสนิยมชมรมรักเพศเดียวกัน หุ้นส่วนสถานบันเทิงของลักษณา ยิ้มให้กับคำตอบที่เหมือนเดิม เพราะเขาทำซ้ำมาหลายครั้งจนรู้ความหมายของมันดี “แล้วคนเก่า”

“โละให้เชอรี่ไปแล้ว”
เชอรี่คือเพื่อนอีกคนที่เป็นหุ้นส่วนร้านนี้ มีหน้าที่ดูแลเด็กสาวที่ชอบออกแรงบนเตียงแล้วได้เงินซื้อความอยากมีอยากได้มากกว่าออกแรงทำอย่างอื่นแต่ก็ยังลำบากอยู่เหมือนเดิม

“ก็ดีที่ยังมีที่ให้เด็กไป แล้วจะใช้เมื่อไร จะได้จัดให้ถูก”

“อาทิตย์หน้า แต่ระหว่างที่รอ ก็พาไปฝึกให้ดูดีมีชาติตระกูล จริตจะกร้านให้พองาม ที่สำคัญนอกจากจะสวยหยาดเยิ้มไปทั้งตัวแล้ว ต้องรักสัตว์ด้วย โดยเฉพาะแมว”

เจตน์ทำหน้าแปลกใจกับข้อแม้ข้อหลัง ก่อนจะล้อออกมาอย่างขำๆ “ยังกับนางงาม”

ลักษณาลืมตาขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เพราะมีความคิดดีๆเกิดขึ้นมา เธอเอียงหน้ามองหน้าเจตน์พลางบอกว่า “เป็นความคิดที่ดี งั้นลักษณ์เปลี่ยนใจไม่ใช้เด็กของเจตน์แล้ว แต่หานางงามมาให้ลักษณ์ดีกว่า ยิ่งผ่านมาหลายเวทียิ่งดี เพราะไม่ต้องฝึกมาก ทั้งมารยาทและจริตจกร้านมีพร้อมที่จะทำงานให้ลักษณ์ได้เลย”

“แล้วเรื่องบนเตียงละ”

“ขอแบบธรรมชาติ ไม่ผิดแปลกก็แล้วกัน”

เจตน์นิ่งไป เพราะข้อจำกัดที่ไม่เคยมีมาก่อน “ทำไมคราวนี้ถึงได้เจาะจงขนาดนี้ มีอะไรหรือเปล่า”

ลักษณาสบตาเจตน์ที่เป็นหุ้นส่วนธุรกิจ รู้ชีวิตของเธอบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด ว่ากว่าเธอจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ เธอต้องผ่านอะไรมาบ้าง จึงบอกเท่าที่จะบอกได้เท่านั้น “เพราะเขาเริ่มเปลี่ยนไป”

“กลัววัวหายก่อนล้อมคอกละซิ”

“ใช่ ยิ่งวัวดีๆ ที่มีแค่ตัวเดียว ลักษณ์ก็ยิ่งต้องรีบ ก่อนจะมีใครมาขี่เขาไป”

“นั่นนะซินะ เขาน่ากัด น่ากอด น่ารุกล้ำเข้าไป ให้บาดไปทุกอารมณ์” เจตน์ว่าพลางเคลิ้มจนลักษณาต้องยื่นมือไปตีแขน แล้วบอกว่า

“คนนี้ของลักษณ์ ฝันได้ แต่อย่าแตะ”

“แล้วทำไมถึงให้คนอื่นแตะได้ละ”

“เพราะคนอื่นคือลูกไก่ในกำมือ แต่เจตน์นะเป็นลูกตะเข้ ที่จ้องจะงาบเขาอย่างเดียว และไม่ใช่เบาๆนะแรงอย่างนี้เดี๋ยวเสียของหมด”

“แล้วถ้าเจตน์ไม่ทำให้เสียของละ”

“ก็ไม่ได้ เพราะเจตน์อาจจะเสียชีวิต เพราะเขาไม่ชอบเกย์”

เจติน์มองค้อนลักษณาตาคว่ำ แล้วหยิบไวน์รสดีมาดื่ม ลักษณาจึงได้แต่ขำ จากนั้นเธอก็เดินออกมาจากห้องเจตน์ ไปหาเชอรี่ เพื่อนที่รู้อดีตของเธอเป็นอย่างดี และขอให้ส่งชายหนุ่มไปปลอบใจเจตน์ด้วย เชอรี่ก็จัดการให้อย่างรู้ใจ ก่อนจะหันมามองเพื่อนที่มานั่งเล่าเรื่องที่ทำลงไปให้ฟัง

“ทำไมเธอไม่จัดการเขาด้วยตัวเอง ในเมื่อความสาวความสวยของเธอก็ยังมีพร้อม”

“แต่เขาไม่เคยพร้อมที่จะเหลียวแลฉัน”

“แล้วทำไมไม่ตัดใจ ดีกว่าจะยืมมือผู้หญิงคนอื่นไปเอาตัวเขามา และคิดเหรอว่าถ้าได้เขามาอยู่ชายคาเดียวกันแล้ว เขาจะมองเธอ”

“ถึงเขาไม่มอง แต่ฉันก็ได้มองเขา”

“ทุกวันนี้ก็ได้มองอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถึงจะไม่ได้อยู่ชายคาเดียวกัน แต่รั้วเดียวกันก็มองได้ทุกเวลา”

“ก็ยังห่างอยากใกล้ชิดยิ่งชิดใกล้ยิ่งดี”

ได้ฟังคำตอบของเพื่อนแล้ว เชอรี่ก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด “ฉันไม่เข้าใจว่าเธอจะทำร้ายตัวเองไปทำไม และที่สำคัญ ผู้หญิงที่เธอหามา จะแน่ใจได้ยังไง ว่าจะเป็นลูกไก่ในกำมือ ไม่ใช่เป็นงูพิษที่คิดจะกัดเธอภายหลัง”

“ฉันมีวิธีก็แล้วกัน”

เชอรี่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะมองไม่เห็นว่าจะมีวิธีใดที่เพื่อนจะทำได้ แต่เธอเหนื่อยใจเกินกว่าจะพูดเตือนแล้ว นอกจากยอมเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนทำ ลักษณาก็ไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน นอกจากเอนตัวไปซบกับอกเชอรี่ที่ให้เธอพึ่งพิงยามทุกข์ใจได้เสมอมา
********
เช้าวันรุ่งขึ้นคนหาเช้ากินค่ำตื่นก่อนไก่ออกหากินก่อนนกจะบินออกจากรัง ไม่งั้นอดตาย เพราะสภาวะเศรษฐกิจ กับการจราจรในเมืองหลวง ก็ตื่นขึ้นมาเตรียมตัว เสียงกุกกักจึงเริ่มดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงพูดคุย อันเป็นลักษณะวัฎจักรของคนในชุมชนแห่งนี้ อนุชกับพ่อก็เช่นกัน ทั้งคู่ออกมาจากบ้านพักพร้อมกระเป๋าเป้ ปิดประตูคล้องกุญแจเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินมาไปรอรถเมล์ ระหว่างทางก็ทักทายคนโน้นคนนี้ จนเดินมาถึงหน้าปากซอย บรรดาวินมอเตอร์ไซด์ ก็เอ่ยปากแซวกันนิดหน่อย

“วันนี้มีพ่อมาคุมหรือจ๊ะน้องนุช”

“จ้ะ แล้วพี่ละ เมียไม่มาคุมเหรอ”

“แหมพี่แซวน้อง ทำไมถึงพ้องไปถึงเมียพี่ละจ๊ะ”

“แต่ฉันยังไม่มีเมีย ยินดีมาสมัครไหมนุช” คนพูดคือไอ้แกะ ที่เพิ่งขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจมาจอดอยู่ไม่ห่าง และได้ยินคำพูดสุดท้ายพอดี มันส่งยิ้มมาให้พลางรอฟังคำตอบ

“ไม่”

“ไม่ให้ความหวังกันเลยนะนุช”

เสียงมันโอดครวญออกมา แล้วยิ้มขำ อนุชก็พลอยขำไปด้วย เพราะรู้ว่าพูดเล่นกันเท่านั้น จากนั้นเธอกันพ่อก็รีบเดินไปขึ้นรถเมล์ที่มาจอดตรงป้ายพอดี นั่งมาได้ไม่นาน อนุชก็ยกมือไหว้พ่อ พร้อมกับรับกระเป๋าเป้มาคล้องไหล่ ลงจากรถเมล์ เพื่อต่อรถอีกสายไปมหาวิทยาลัย

ส่วนอนันต์ก็นั่งต่อไปจนถึงบ้านเจ้านาย แต่ระหว่างเดินตรงไปที่บ้านหลังเบ้อเร่อ รถยนต์คันหรูของผู้หญิงอีกบ้าน ก็วิ่งมาจอดขวางทางเดินเขา

ลักษณาลดกระจกลง เปิดยิ้มหวานพลางมองชายวัยกลางคนที่ยังดูสมาร์ทแถมดูดีไม่เคยเปลี่ยน ก็ถามอย่างมีน้ำใจ “ติดรถลักษณ์ไปไหมคะ”

“ไม่ดีกว่าครับ ใกล้จะถึงแล้ว”

“ขึ้นมาเถอะค่ะ ยังไงก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว”

“ผมเดินดีกว่าครับ”

คำยืนยันที่ไม่อาจเปลี่ยนใจของอีกฝ่าย ทำให้ลักษณายินยอมไม่ฝืนใจอีก แต่ไม่ถอยออกไปให้ง่ายๆ ชวนคุยอย่างเป็นมิตร และไม่ถือตัว “แล้ววันนี้คุณคิมจะไปไหนบ้างคะ”

“ยังไม่ทราบครับ”

ลักษณาพยักหน้าเข้าใจแล้วไม่ถามอะไรให้ผิดสังเกต กดกระจกขึ้นพลางเคลื่อนรถออกไป อนันต์มองตามไปเพียงเดี๋ยวเดียว ก็เดินตรงไปยังบ้านคนเป็นนาย โดยไม่คิดสงสัยให้ปวดหัวว่าทำไมนายหญิงอีกบ้านกลับบ้านมาพร้อมตะวันขึ้นแทนที่ตะวันจะตกดิน

ร่างสูงของคิม หยุดชะงักไปนิด เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างรถเช้านี้ ไม่ใช่หญิงสาวที่สร้างวีรกรรมให้เขาจดจำเมื่อวาน เขาเดินไปเข้าไปในนั่งในรถที่ประตูเปิดออกรอ เรียบร้อยแล้วอนันต์ก็ปิดประตู หันไปเปิดประตูด้านหน้าขึ้นไปนั่งประจำหน้าที่คนขับ คาดเบลล์เพื่อความปลอดภัย แต่ยังไม่ทันได้เคลื่อนรถออกไป เสียงเรียบๆของเจ้านายก็ดังขึ้น
“สบายดีแล้วเหรอ”

“ครับคุณคิม ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไร ไปบริษัท”

อนันต์ออกรถไปทันที ใช้เวลาราวชั่วโมงก็มาถึงอาคารสำนักงานของคาร์ริก ร่างสูงลงจากรถเดินเข้าบริษัท พนักงานหลายคนยกมือไหว้ คิมก้มหน้าให้เล็กน้อย ก็ขึ้นลิฟต์ร่วมกับพนักงานไปยังชั้นบนสุดของอาคาร เขาเดินออกจากลิฟต์ทันทีที่เปิดออก แต่เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าต้องชะลอเกือบจะกลายเป็นหยุด เมื่อเห็นคนที่เขาไม่คิดว่าจะมาเยือน ยืนมองฟ้าอยู่ตรงกระจก แม้จะยืนหันหลังให้แต่เขาก็จำได้ดีว่าคือใคร

“อากาศที่นี่ยังเหมือนเดิมเลยนะคิม” เสียงดังออกมา โดยที่คนพูดไม่ได้หันมามองด้วยซ้ำว่าเป็นเขา ที่เดินอยู่ข้างหลัง และก้าวไปยืนเคียงข้าง สองมือมองล้วงกระเป๋ากางเกง สองตามองฟ้าไร้นกแต่มีเมฆลอยละลิ่วไปตามแรงลมที่พัดพา แต่เมื่อยังไม่มีเสียงตอบ เสียงถามก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ทำไมไม่ตอบ”

“พ่อรู้อยู่แล้วนี่ครับ”

“ทำไมคิดว่าพ่อรู้ ทำไมไม่คิดว่าพ่อไม่รู้ แล้วตอบคำถามที่ถามมาเสีย”

“ผมเคยลอดสายตาพ่อไปหรือครับ”

หึๆๆๆ เสียงร็อบ คาร์ริก เจ้าพ่อธุรกิจระดับโลกหัวเราะออกมา ก่อนจะหยุดแล้วบอกว่า “แกเข้าใจผิดแล้วคิม พ่อไม่เคยสอดส่องดูความเป็นไปของแก ตั้งแต่ยกที่นี่ให้แกคุมแล้ว สิ่งที่ดูอยู่มีเพียงอย่างเดียว ก็คือผลสรุปแต่ละไตรมาสของบริษัทเท่านั้น นอกนั้นพ่อไม่เคยยุ่ง”

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อไม่รู้”

ร็อบ คาร์ริก นิ่งคล้ายยอมรับ แต่ที่ทำไม่ใช่ไม่ไว้ใจลูกๆแต่เพราะธุรกิจที่เติบโตขึ้น มีคู่แข่งที่พร้อมจะขัดแข้งขัดขาให้มีอันตรายต่างหาก “มิน่าแกถึงไม่เคยมีบอร์ดี้การ์ดอย่างนักธุรกิจคนอื่นๆแกรู้ทันพ่อเสมอไอ้ลูกชาย แต่รู้ไหมว่าทำไมพ่อจึงต้องทำ”

“เพราะความปลอดภัยของผม”

“นั่นนะซิ แกถึงยอมรับโดยไม่เคยที่จะโวยวาย ทั้งๆที่แกมันทระนงและหัวรั้น ไม่เคยยอมอะไรง่ายๆอยู่แล้ว” ร็อบยกมือขึ้นตบบ่าลูกชายเบาๆ แต่สายตาเห็นบางอย่างให้ต้องถามออกมา “แล้วมือไปโดนอะไรมา”

“อุบัตเหตุนิดหน่อยครับ” เขาบอกพลางคิดถึงคนที่สร้างอุบัติเหตุให้เขา ที่ป่านนี้อาจจะกอดคนอื่นตอนที่หมอฉีดยาให้ก็ได้ แววตาของคิมกร้าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะหายวับไป เมื่อเสียงคนเป็นพ่อดังขึ้น

“ตัดสินใจเรื่องสถานที่ประชุมใหญ่ของพวกเราได้หรือยัง”

“ศิริกรุ๊ป”

“แพ้ความสวยหรือไง”

คำถามที่มีเจือแววล้อ ไม่ได้ทำให้คิมขำ แต่บอกให้เขารู้ว่าเรื่องที่เขาทำ ไม่รอดพ้นสายตาพ่อเขาตามเคย และเมื่อรู้แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องตอบ ว่าเพราะอะไร แต่คนเป็นพ่อก็ยังอยากรู้อยู่ดี

“จะไม่บอกให้พ่อรู้หน่อยเหรอว่าแกคิดยังไง”

“มาตรฐานทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ที่พอใจ ไม่เกี่ยวกับเจ้าของ”

“อืม แกเลือกได้ดี แต่รู้ใช่ไหมว่าทำไมเราถึงไม่ใช่สถานที่ของเราเอง ทั้งๆที่เราก็มีศักยภาพมากพอ”

“เพราะพ่อขี้เหนียว”

“ฮะๆๆๆ” ร็อบ คาร์ริก หัวเราะลั่นเพราะถูกใจ และตบบ่าลูกชายที่รู้ใจเขาหนักๆ “เยี่ยม เยี่ยมจริงๆคิม แกเยี่ยมจริงๆ ที่รู้ใจพ่อ งั้นพ่อจะวางมือจากแกทุกเรื่อง แกติดปีกเหินลมไปได้เลย อ๋อ เดี๋ยวพ่อจะแวะไปกินข้าวกับแม่เลี้ยงแกเสียหน่อย แล้วค่อยเดินทางต่อ แล้วจะกลับมาวันที่เปิดประชุม แกไปด้วยนะ” พูดจบร็อบก็หมุนตัว เดินออกมา แต่เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุด เมื่อมีเสียงลูกชายดังตามหลังมา

“ทำไมพ่อไม่หยุดพักเสียที”

“เพราะพ่อยังหาที่ดีที่สุดไม่ได้”

“ไม่จริง พ่อมีที่ดีที่สุดแล้ว แต่ทำไมไม่หยุด”

“นั้นซินะ พ่อน่าจะหยุดตั้งแต่มีแม่แกแล้ว แต่เพราะสันดานไงคิม หน้าที่กับความรับผิดชอบจึงต้องตามมา แกเอา เอาย่างด้านการทำงานของพ่อได้ แต่อย่างเอาเยี่ยงไม่ดีนี้ไปเด็ดขาด จำไว้ว่าเมื่อแกเจอใครสักคนที่ดีสำหรับหัวใจแกแล้ว ก็หยุดเสีย รักษามันไว้ให้ดี อย่าคิดว่าเขาเป็นของตาย อย่าทำให้เขาเสียใจเด็ดขาด ไม่งั้นแกจะเหนื่อยอย่างนี้ไปจนตาย”

คิมหันกลับมามองร่างสูงของพ่อที่เดินห่างออกไป พร้อมกับเข้าใจในสิ่งที่พ่อพูด ว่าท่านเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เมื่อผูกพันกับผู้หญิงคนไหนจนมีลูกแล้วก็ต้องตามดูแลให้ถึงที่สุด และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่เขามีคู่ควง แต่ไม่เคยยอมให้ใครมาเป็นคู่ชีวิต
*******
เสียงโทรศัพท์ภายในห้องประธานอาคารศิริกรุ๊ปดังขึ้น หลังจากนั้นไม่เกินห้านาที ประตูห้องก็เปิดออก วีรยุทธ์เลขาหน้าห้อง เงยหน้าขึ้นมองนายสาวที่ยิ้มกว้างอย่างบอกให้รู้ว่ามีเรื่องที่น่ายินดีเกิดขึ้น เขาจึงยิ้มไปกับเธอก่อนจะพูดขึ้น “อย่าบอกนะครับว่า...”

“โปรเจ็กซ์ยักษ์ใหญ่ของคิมคาร์ริก เป็นของเรา”

“ฮู้” วีรยุทธ์ร้องออกมาอย่างดีใจพร้อมกับยกมือเฮเบาๆ ก็ยื่นมือไปขอจับมือนายสาว ซึ่งก็ยื่นมาให้จับด้วยความยินดี “ยินดีด้วยครับคุณศิ”

“ขอบใจ แล้วไปเตรียมรถนะ ฉันจะไปเซ็นสัญญากับคาร์ริกเลย”

“รวดเร็วอย่างงั้นเลยเหรอครับ”

“เขาเรียกร้องมา”

“วิเศษครับคุณศิ” วีรยุทธ์บอกแล้วหยิบสมุดตารางงานพร้อมกุญแจรถ เดินออกไปเตรียมทำหน้าที่ทันที

ศิริพักต์มองตามไปเพียงเดี๋ยวเดียวก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องทำงาน หยิบสัญญาที่ได้เสนอไปให้ทางคาร์ริกดู มาอ่านทวนอีกครั้ง ก็หยิบกระเป๋าสะพายมาคล้องไหล่เดินออกจากห้องด้วยหัวใจที่แอบหวังว่าการไปที่คาร์ริกครั้งนี้ จะทำให้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ กลายเป็นความสมหวังเสียที

เวลาในการเดินทางผ่านไปเพียงชั่วโมง รถยนต์คันหรูของประธานศิริกรุ๊ป ก็เลี้ยวเข้ามาจอดตรงลานจอดรถ หน้าอาคารคาร์ริก วีรยุทธ์ลงจากรถมาเปิดประตูให้นายสาว ซึ่งก็ลงมายืนข้างรถ ศิริพักต์กวาดตามองไปรอบอาคารที่ยืนอยู่ ความโอ่อ่าสมัยใหม่นั้นสวยงามสมกับเป็นเจ้าของธุรกิจอันดับใหญ่ๆจริงๆ แต่ในการมองก็แอบหวังว่าจะเห็นใครที่หวังว่าจะได้เจออีกสักครั้ง

“คุณศิครับ”

เสียงวีรยุทธ์ที่ดังขึ้น ทำให้ศิริพักต์ตัดความหวังทิ้งไป หันมายิ้มให้กับเลขาหนุ่มเพียงนิด ก็เดินตัวตรงเข้าไปในอาคารคาร์ริก ซึ่งพนักงานต้อนรับก็รับรองเธอกับลูกน้องอย่างดี ภายในห้องประชุมพรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างกับห้องพักในโรงแรมห้าดาว วีรยุทธ์นั่งดูวีทีอาร์ความเป็นมาของคาร์ริก ขณะที่ศิริพักต์ก็เดินไปยืนตรงผนังกระจก มองออกไปเห็นสวนสวย แต่สายตาไม่ได้มองต้นไม้ดอกไม้เลย กลับมองหาสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ แต่สุดท้าย ทุกๆที่สายตามองไป มีเพียงความว่างเปล่า

“คุณศิครับ”
ศิริพักต์หมุนตัวมาตามเสียงวีรยุทธ์ พอเห็นหน้าเจ้าของคาร์ริก เธอก็เปิดยิ้มให้ คิมก้มหน้าทักทายเพียงเล็กน้อย ก็ผายมือเชิญให้นั่ง ก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้หัวโต๊ะ ทั้งสองพูดคุยกันพอเป็นพิธี จากนั้นวีรยุทธ์ก็นำสัญญามาวางให้ตรงหน้า คิมอ่านสัญญาโดยละเอียด แม้ก่อนหน้านี้จะได้ดูและให้ทางฝ่ายกฎหมายตรวจสอบแล้วว่าไม่มีปัญหาใดๆ แต่เขาก็ต้องตรวจดูอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ได้ตกลงกัน เขาก็เซ็นชื่อลงนามไปทันที

“ขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจศิริกรุ๊ปค่ะ”

“ขอบคุณเช่นกันครับ”

ทั้งสองคนยื่นมือมาจับกัน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็จะกลับ คิมผายมือเชิญศิริพักต์ ซึ่งก็ยิ้มให้เพียงเล็กน้อยก็เดินออกมาจากเก้าอี้ แต่เพียงแค่สองก้าว เธอก็หยุดเพราะมีบางอย่างผุดขึ้นในใจ จึงหันกลับมามองหน้าคิมที่กำลังจะก้าวเดินตามมาเพื่อไปส่งเธอ สบตาเขาเพียงอึดใจก็ถามออกมา

“คุณคิมคะ ดิฉันมีเรื่องบางอย่างจะขอคุยด้วย ไม่ทราบว่าพอจะมีเวลาไหมคะ”

คิมมองแววตาที่แฝงการขอร้อง ก็พยักหน้า ศิริพักต์จึงบอกให้วีรยุทธออกไปรอข้างนอก จากนั้นเพียงประตูห้องประชุมปิดลง การพูดคุยก็ดังขึ้น

“ดิฉันขอพูดตรงๆเลยนะคะ ดิฉันอยากขอพบคนขับรถของคุณได้ไหมคะ”

คิมแปลกใจกับคำร้องขอ ก่อนจะถามออกมา “คุณหมายถึง...”

“คนขับรถของคุณที่ดิฉันเจอเมื่อวานนะคะ ขอพบเขาได้ไหมคะ ดิฉันรับรองว่าเรื่องที่ดิฉันของพบเขา ไม่ได้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับคาร์ริกเลย แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของดิฉันเอง แต่ขอโทษที่ไม่อาจบอกคุณได้”

“ไม่เป็นไรครับ แต่คนที่คุณศิริพักต์อยากพบ วันนี้เขาไม่มาครับ”

“ไม่มา” ศิริพักต์ทวนคำอย่างผิดหวัง ก่อนจะถามออกมาด้วยความหวังครั้งใหม่ เขาไม่สบายเหรอคะ หรือว่า...”

“เขาไม่ได้เป็นคนขับรถของผม แต่เป็นลูกของคนขับรถของผม มาขับแทนพ่อเขาเท่านั้นเองครับ”

“ลูก ลูกเหรอคะ”

“ครับ”

คำยืนยันทำให้ศิริพักต์หน้าซีด ใจสั่น ตัวอ่อนจนแทบจะยืนไม่อยู่ คิมสาวเท้าเข้าไปจะช่วย แต่เธอกลับยกมือขึ้นบอกว่าไม่เป็นไร และสูดลมหายใจตั้งสติให้ตัวเอง ขณะที่ในสมองก็มีแต่คำถามประดังกันขึ้นมาจนไม่อาจจะทำตามความหวังได้อีก พึมพำบอกขอบคุณคิมคาร์ริก แล้วเดินออกมาจากห้อง ให้วีรยุทธ์พากลับบ้านทันที
คิมเดินไปตรงกระจกกั้นห้อง มองรถยนต์ของประธานศิริกรุ๊ปที่วิ่งออกไป พร้อมกับคำถามมากมายที่สงสัยการกระทำของเธอ โดยเฉพาะประโยคหลังที่ได้รู้ว่าคนที่เธออยากพบเป็นลูกของนายอนันต์คนขับรถเขา ถึงกับหน้าซีด ทำไมเป็นอย่างนั้นหรือว่าเธอมีเกี่ยวข้องกับสองพ่อลูกคู่นี้

ความคิดของเขา ไม่มีใครตอบได้แม้แต่ตัวเขาเอง แต่คิดว่าเรื่องนี้คงไม่จบแค่นี้ ผู้บริหารศิริกรุ๊ปต้องมาหาคำตอบจากเขาอีกแน่
**********
แสงไฟสว่างขึ้นมาแทนแสงตะวัน หลังเวทีการประกวดขาอ่อนที่จบลง ก็มีทั้งน้ำตาและรอยยิ้มของคนที่สมหวังและไม่สมหวัง ทั้งญาติทั้งเพื่อนทั้งเหลือบที่ปั้นมาต่างก็เข้ามาแสดงความยินดีกันคนสมหวัง ส่วนคนผิดหวังก็เสียใจ และพูดให้กำลังใจให้สู้กันต่อไป ท้อได้แต่อย่างถอย เวทีนี้ไม่ได้ก็ไปเวทีอื่น ที่มีการประกวดกันเกือบทั้งปี ทั้งมิสเวิร์ด มิสแกรนด์ มิสอะไรต่อมิสอะไรอีกมากมาย

สาวๆยิ้มรับกำลังใจและหวังว่าสักวันจะเป็นจริง จากนั้นหันไปเก็บของส่วนตัวเพื่อกลับบ้าน ต่างกับอีกมุมหนึ่ง ที่ไม่มีความเศร้าเสียใจใดๆ และไม่ต้องมาเก็บของ เพราะมีคนเก็บให้อยู่แล้ว หญิงสาวที่พลาดมงกุฎก็ลุกขึ้นเดินตามคนปั้นกับสาวใช้ไป ทั้งหมดเดินตรงไปที่ลิฟต์ พอประตูลิฟต์เปิดออก ก็มีคนเดินสวนออกมา แต่พอจะก้าวเข้าไปยืนข้างใน ต้องหยุดชะงัก เมื่อจำได้ว่าคนที่ก้าวสวนออกไปนั้น เป็นใคร โด่งดังแค่ไหนในวงสังคม

“คุณเจตน์”

คนถูกเรียกหันหน้ากลับมา พร้อมๆกับที่คนเรียกก็เดินสะบัดก้นเข้าไปหา พอมาหยุดยืนตรงหน้าก็พนมมือยกขึ้นไหว้พร้อมย่อตัวลงถอนสายบัวอย่างนอบน้อม ก่อนจะบอกว่า “วีวี่ฮะ จำได้ไหมฮะ ที่ครั้งก่อนดูแลเรื่องการประกวดที่คุณเจตน์เป็นกรรมการนะฮะ”

คิ้วเข้มขมวดหากันอย่างครุ่นคิด เพียงไม่กี่อึดใจก็จำได้ เพราะหลังจากนั้นก็เคยเจอในวงสังคมมาบ้าง ก็ยิ้มให้ก่อนจะบอกว่า “จำได้ซิครับ แล้วนี่คุณวีวี่มาทำอะไรที่นี่”

“ก็มาทำมาหากินนะซิฮะ คุณเจตน์ก็รู้ว่าวีวี่ทำอะไร” แล้วหันไปหาหญิงสาว “นี่ค่ะงานของวีวี่ น้องเกล เกลลาวรรณ โสพลพรรณ นางงามติดหนึ่งในห้าของวีวี่ในคืนนี้ แต่เสียดายไม่ติดมงกุฎ เกลจ๊ะนี่คุณเจติน์หรือคุณเจตน์ นักธุรกิจหนุ่ม เจ้าของผับไอโซชื่อดัง รู้จักไว้ซิ”

“สวัสดีค่ะ” เกลลาวรรณยกมือขึ้นไหว้อย่างเรียบร้อยพร้อมยิ้มหวานอย่างสวยงาม แต่สายตาที่ทอดมองเจติน์นั้นทำให้เขาต้องเก็บอาการพึงพอใจไว้

“น้องเกลเป็นลูกคุณหญิงอ้อ ภรรยาท่านนายพลสำราญ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก วีวี่เข้าไปกราบกรานคุณหญิงท่านพอดี จึงขอตัวมาประกวด แต่กว่าคุณหญิงจะอนุญาต วีวี่ก็หมดลายน้ำไปหลายปี๊บ” เสียงตอนท้ายของผู้ชายแปลงเพศออกแววขำ แล้วพูดต่อ “แต่ก็คุ้มนะฮะ เพราะเวทีแรกน้องเกลก็เกือบจะประสบความสำเร็จ เวทีต่อไปนี่คงไม่พลาด วีวี่จะทำให้..” เสียงเจ้าประเภทสองคุยฟุ้งตามประสาอาชีพ ที่ต้องใช้วาทศิลป์พูดคุยเพื่อผลสำเร็จในงานตัวเอง “ว่าแต่ตอนนี้คุณเจตน์มีโครงการที่จะไปร่วมเป็นกรรมการการประกวดที่ไหนบ้างฮะ วีวี่จะได้ฝากให้ช่วยสนับสนุนน้องเกลบ้าง”

“ยังไม่มีครับ แต่ก็พอจะมีเพื่อนที่รู้จักกันทำอยู่บ้าง”

“เหรอฮะ” วีวี่ตาลุกวาก่อนกระซิบถาม “พอจะบอกชื่อบ้างได้ไหมฮะ วีวี่จะเข้าไปกราบเสียหน่อย หรือว่าคุณเจตน์จะกรุณาแนะนำก็ได้ฮะ”

“ได้ซิ”

“อุ้ย ตายแล้วคุณเจตน์ทำไมใจดีใจยังกับพ่อพระอย่างนี้ฮะ ขอบพระคุณมากฮะ” นายหน้าขาอ่อนพนมมือขึ้นไหว้พร้อมถอนสายบัวด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจเป็นที่สุด

“วันไหนว่างๆก็พาไปหาผมที่ร้าน จะได้คุยกัน”

“ขอบพระคุณมากๆอีกครั้งฮะ”

ว่าแล้วก็ยิ้มปลื้ม แต่สายตาปรายไปจิกให้หญิงสาวที่ยืนเป็นหุ่นอยู่ข้างๆยกมือขึ้นไหว้ด้วย ซึ่งก็หัวไว อ่อนน้อมตามสายตาที่มองมาทันที เจติน์ยิ้มให้ทั้งคู่ แล้วบอกขอตัวเพื่อไปทำธุระ แต่จริงๆแล้วธุระของเขาได้จบลงตรงนี้แล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้หนูไปหาถึงรัง แมวอย่างเขาก็จะตะครุบไว้ทันที

นายหน้าขาอ่อนมองตามร่างสูงไปด้วยความอิ่มเอิบใจ แล้วหันมาหาหญิงสาวที่ความจริงแล้วปลุกปั้นมาจากเด็กท้องไร่ท้องนา มาขัดเกลาเพื่อให้มีคุณค่า งามสง่าด้วยสถาบันต่างๆที่สร้างเสริมกริยามารยาทให้สวยงาม สร้างประวัติให้เลิศหรูขึ้นมาหาเงินหาใส่กระเป๋าตัวเอง มิเสียแรงที่ปลุกปั้นมาเท่านั้นเอง

“น้องเกล” เสียงวีวี่เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนหวาน “จำคุณเจติน์หรือคุณเจตน์ไว้ให้แม่นนะจ๊ะ เพราะเขาจะเป็นสะพานทอดให้น้องเกลขึ้นไปคว้าดาว อยากได้ดวงไหน ก็เล็งไว้ให้ดีแล้วจับไว้ให้แน่น กำไว้อย่าได้ปล่อย เพราะดาวที่ล้อมอยู่รอบตัวเขานั้นช่างมีค่า ทั้งชื่อเสียง เงินทอง ชาติตระกูลเชียวล่ะ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“ใช่ แล้วเจ๊จะพาเธอไปพิสูจน์ เตรียมตัวไว้ให้พร้อม ซักซ้อมทุกอย่างที่เรียนมาให้ดี แล้วอย่าได้เผลอเสนอกำพืดบ้านนอกออกมา จะได้เผยอผยองเป็นนางพญาก็คราวนี้แหละ”

เกลลาวรรณปรายตามองทางที่คนจะทอดสะพานให้เธอเดินไปคว้าดาว ด้วยสายตาที่วาดหวัง แต่เก็บไว้ในใจอย่างมิดชิด แล้วรับคำเชื่อฟังนักปั้น ซึ่งก็ยิ้มอย่างพอใจ แล้วพากันเดินเข้าไปในลิฟต์ พอประตูลิฟต์ปิดลง โทรศัพท์ส่วนตัวของนายหน้าขาอ่อนก็ดังขึ้น เขาเปิดกระเป๋าก๊อบแบรน์ดัง หยิบโทรศัพท์ออกมารับสายทันที
“สวัสดีฮะ วีวี่รับสายฮะ” ทักทายออกไปแล้ว ก็ฟังอีกเสียงที่ดังเข้ามา แล้วก็ตาโต ยกมือขึ้นทาบอก เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นช่างเหมือนเสียงพระมาโปรด “ท่านเหรอฮะ ได้ฮะ แหมขอบพระคุณท่านมากนะฮะที่กรุณา ฮะ กราบสวัสดีฮะ”

วีวี่กดปุ่มตัดสัญญาณ แล้วกรี๊ดออกมาเสียงดัง ก่อนจะขยับเข้าไปหาตัวทำเงินให้เขา “น้องเกลจ๋า น้องเกล น้องเกลคนดี มีเงินมีทองลอยมาหาเราแล้วลูก”

“เงินทองอะไรคะ”

“ก็ท่านโทรเข้ามาว่าคืนนี้อยากให้น้องเกลไปอยู่ด้วย”

หญิงสาวรู้ได้ทันทีว่าต้องไปทำอะไร เพราะเคยผ่านมาแล้ว แต่คืนนี้เธอไม่อยากไป จึงข่มความไม่ชอบใจไว้ในใจ ก่อนจะบอกว่า “เกลไม่อยากไปค่ะ”

“ต้องไป” เสียงของวีวี่เข้มขึ้นมาสั่ง ก่อนจะปรับให้นุ่ม “เราต้องหาทุนมาลงทุนรู้ไหมจ๊ะ”

“แล้วเงินรางวัลที่ได้มาละคะ”

“เงินขี้ปะติ๋วแค่นั้น จะไปพอยาไส้อะไร ทำเล็บมือเธอข้างเดียวยังไม่ได้เลย และรู้ไหมจ๊ะว่าท่านคนนี้เป็นถึงรัฐมนตรี ที่ร่ำรวยมาก ไปปฏิเสธท่าน เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดพอดี แต่มีข่าววงในเคยได้ยินมาว่า ท่านใจป้ำเป็นที่หนึ่ง คนไหนที่ท่านเรียกไปหา ก็เหมือนไปตกลงในบ่อทองและท่านก็ไม่ได้เรียกหาใครพร่ำเพรื่อ ท่านเรียกเฉพาะคนที่ท่านพอใจเท่านั้น อีกอย่างเงินลอยมาหาเราแล้ว ก็อย่าทำให้หายไป รีบไปเพื่อเอาเงินมาชุบตัวเดินขึ้นสะพานไปเก็บดาวสวยๆไม่ดีกว่าเหรอ”

หญิงสาวนิ่งไปเมื่อคิดถึงความจริงข้อนี้ ทุกวันนี้ก็อยู่ด้วยเปลือกที่สร้างขึ้นมาให้สวยงามเท่านั้น “ก็ได้ค่ะ”

“ดีมากจ้ะ” นักค้าขาอ่อนยิ้มอย่างพอใจ แล้วรอจนลิฟต์หยุดชั้นใต้ดิน พอประตูลิฟต์เปิดก็เดินออกไป พร้อมพร่ำสอนหญิงสาวว่าต้องทำตัวยังไงให้ท่านเมตตาให้เงินติดกระเป๋ามาเยอะๆ

เกลลาวรรณรับฟังด้วยความสงบ ทั้งที่ภายในใจนั้นแสนจะเบื่อหน่าย ที่ต้องไปปรนเปรอพวกท่านๆที่บ้าตัณหา ชีวิตเธอพบเจอเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในวงการขาอ่อน นางงามตกเวที มักจะมีผู้ใหญ่เข้ามาเอ็นดู อยู่ที่ใครจะยอมให้ดูตัว เธอนั้นเมื่อแรกก็ปฏิเสธ แต่ความฟุ้งเฟ้อเพ้อฝัน ทะเยอทะยานอยากมีอยากได้ ก็ตอบตกลงไป

แต่การดูแลตัวเองขณะที่มีเงินน้อย ทำให้เธอไม่สามารถไปถึงเวทีใหญ่ๆ จึงมาเข้าสังกัดเจ๊วีวี่ ซึ่งมีบริษัทโมเดลลิ่ง หาสาวๆมาทำงานในวงการบันเทิงและเวทีประกวดต่างๆ แต่ยังไม่พ้นวงจรดูตัวอยู่ดี เพราะเงินมันล่อตาล่อใจให้ใช้เสพความสะดวกสบาย ซึ่งเจ๊วีวี่ก็ไม่ได้บังคับให้สิทธิในการตัดสินใจ แต่เงินนั้นต้องมีการแบ่งกันตามสัญญาที่ตกลงกันไว ซึ่งก็ต้องยอมเพราะได้มากกว่าเสียและบางครั้งก็ใช้ต่อยอดไปหาสิ่งที่อยากได้ด้วย
*********

เจติน์โทรไปบอกลักษณาซึ่งนั่งอยู่ในร้านอาหารบนโรงแรมหรู เขาเล่าเรื่องที่เพิ่งได้พบเจอมา และถามถึงวันที่จะให้หญิงสาวไปพบ แต่ลักษณาตอบมาสั้นๆว่าค่อยคุยกัน เพราะตอนนี้เธอไม่ว่าง วางสายเรียบร้อยแล้ว ก็หันมายิ้มหวานให้สามีชั่วคราว ที่เธอแอบเรียกอย่างนี้ เพราะเขาไม่เคยอยู่กับเธอเช่นสามีภรรยาทั่วๆไป มาให้เห็นหน้า หรืออยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่วัน ก็จากกันแล้ว วันนี้ก็เช่นกันเธอยังไม่รู้ว่าเขาจะอยู่นานแค่ไหน และโชคดีที่มีลูกเลี้ยงมาร่วมโต๊ะอาหารให้รสชาติอร่อยมากขึ้น

“คุณน่าจะอยู่หลายๆวันนะคะ จะได้ไปเที่ยวกัน” ลักษณาว่าพลางตักอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ใส่จานสามี แล้วตักให้ลูกเลี้ยงด้วย “คุณคิมเห็นด้วยไหมคะ”

คิมตวัดสายตาขึ้นมองหน้าคนเป็นพ่อแวบเดียว ก็บอกว่า “ผมแล้วแต่พ่อ”

“หึๆๆ รู้ใจจริงไอ้ลูกชาย”

“พูดอย่างนี้แสดงว่าจะไม่อยู่ใช่ไหมคะ ลักษณ์งอนแล้วนะคะ กลับมาทีไรก็รีบไปทุกที” ลักษณาว่าพลางทำหน้างอให้เห็นว่างอนจริงๆ

หึๆๆ ร็อบหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยกมือมากอดไหล่ลักษณาให้หายงอน “เธออยากไปเที่ยวไหนละ”

“อย่าถามเลยค่ะ ถ้าไม่ได้ไป ลักษณ์เสียดาย”

“บอกมาเถอะ เผื่อฉันจะเปลี่ยนใจ”

“ลักษณ์อยากไปเที่ยวทะเล”

“ได้”

ลักษณานิ่งไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกลง แผนการที่วางไว้ทั้งหมด คงต้องเลื่อนไปก่อน ขณะที่คิมได้แต่มองหน้าคนเป็นพ่ออย่างแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้พ่อบอกเขาว่าอยู่ไม่ได้ แต่ทำไมตอนนี้เปลี่ยนใจ

“อ้าวเงียบกันหมด ตกใจหรือว่าดีใจกันแน่” ร็อบถามอย่างขำๆพลางมองหน้าลูกและเมียสลับกันไปมา

“ดีใจปนตกใจค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะตกลง” ลักษณาบอกพลางเก็บความรู้สึกต่างๆใต้รอยยิ้มที่แสดงออกมาว่าเธอดีใจแค่ไหน

“ตอนแรกฉันคิดอย่างนั้น แต่คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้อะไรที่แน่นอนมักไม่แน่นอนเสมอ เธออยากไปเที่ยวที่ไหนก็บอก ฉันจะพาเธอไป อ๋อ คิมพ่อยืมคนขับรถแกได้เปล่า”

“ได้ครับ”

“ดี ได้คนขับรถฝีมือดีๆ จะได้หมดห่วงเรื่องการเดินทาง ว่าแต่แกจะไปเที่ยวกับพ่อด้วยไหม”

“พ่อก็รู้ว่างานผมเยอะ”

ร็อบพยักหน้าว่าเข้าใจแล้วหันมายิ้มกับลักษณา ซึ่งก็ทำหน้าระรื่นอย่างแสนจะดีใจแต่ในใจนั้นสุดแสนจะเสียดายที่ลูกเลี้ยงไม่ไปด้วย จากนั้นก็คุยเรื่องสถานที่ที่เธออยากไป แต่ยังไม่ขอกำหนดวันกลับ เพราะรู้ว่าเวลาหยุดของสามีชั่วคราวของเธอนั้นไม่มีความแน่นอน
*******
คิมเดินออกมาจากโรงแรมพร้อมพ่อกับแม่เลี้ยง เขาเดินตามมาส่งทั้งคู่ถึงรถของแม่เลี้ยง พอขับรถเคลื่อนออกไป เขาก็เดินมาที่รถตัวเอง คนขับรถที่ยืนรออยู่ก็เปิดประตูให้เข้าไปนั่ง ปิดประตูให้เรียบร้อยก็รีบวิ่งไปนั่งทำหน้าที่ตัวเอง พารถวิ่งไปบนถนนที่ตรงไปบ้านหลังเบ้อเร่อที่ลูกสาวเขาเปรียบว่าไว้ ระหว่างทางคิมก็บอกเรื่องที่คนเป็นพ่อขอยืมตัวไปขับรถให้ฟัง

“ครับ” อนันต์รับปากทั้งที่กังวลใจ เพราะห่วงใยลูกที่ต้องอยู่คนเดียว คิมที่สังเกตเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของอนันต์ จึงถามออกมา

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีครับ ผมแค่เป็นห่วงอนุชเท่านั้น”

“แวะไปบอกเธอก่อนก็ได้ แล้วค่อยไปรับพ่อฉัน”

“อนุชไม่อยู่ครับ ไปช่วยเพื่อนรับน้องที่มหาวิทยาลัย อีกสองวันถึงจะกลับมาครับ”

คิมนิ่งไป ก่อนจะบอกว่า “งั้นก็ไม่น่าจะเป็นห่วง บางทีเวลาอาจจะพอดีกัน เพราะพ่อคงไปไม่นาน แต่ถ้านานกว่าวันที่กลับมา ฉันจะไปรับและบอกให้”

“ขอบคุณครับ”

เมื่อเจ้านายรับปาก อนันต์ก็คลายความห่วงใยและบอกวันเวลากลับของลูกให้ได้รู้ และมั่นใจว่าอนุชอยู่บ้านคนเดียวได้ เพราะโตแล้ว ที่สำคัญทุกคนที่อยู่ในซอยนั้นก็รู้จักกันเป็นอย่างดีและเคยดูแลอนุชมาบ้างยามที่เขาต้องไปค้างต่างจังหวัดกับเจ้านาย โดยเฉพาะบ้านของสมัยกับลำใยพ่อแม่ของไข่มุกที่เขาเคยฝากเลี้ยงอนุชมาแล้ว แม้จะนานทีปีหนแต่ก็รักและเอ็นดูอนุชจนเขาวางใจ ว่าลูกจะอยู่ได้แน่นอน

รถยนต์คันหรูของคิม เลี้ยวผ่านประตูอัลลอยมาจอดตรงบันไดบ้านหลังเบ้อเร่อ นายอนันต์รีบเปิดประตูรถลงจากมาเปิดประตูให้เจ้านาย คิมก้าวลงมายืนข้างรถ ก่อนจะเดินไปหาคนเป็นพ่อกับแม่เลี้ยงที่ยืนรออยู่พร้อมกระเป๋าเดินทาง ที่โทรมาให้สาวใช้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
“ไม่เปลี่ยนใจนะไอ้ลูกชาย” ร็อบถามขึ้นทันทีที่คิมเดินมายืนตรงหน้า

“ครับ พ่อเที่ยวให้สนุกนะครับ”

“ขอบใจ”

ร็อบว่าแล้วหันพยักหน้าให้อนันต์ที่ยกมือขึ้นไหว้ ก่อนจะไปขนกระเป๋าใส่ท้ายรถ เรียบร้อยแล้วลักษณาก็ขึ้นไปนั่งรอสามีชั่วคราวที่ยังคุยกับลูกอยู่ ร็อบตบบ่าคิมเบาๆ แล้วเดินไปขึ้นรถ อนันต์ปิดประตูให้เรียบร้อยแล้ว ก็หันมาสบตาคิม ซึ่งก็พยักหน้ารับรู้สายตาที่มองมาอย่างฝากฝัง จากนั้นก็ยืนมองจนรถเคลื่อนออกไปจากรั้วบ้าน ก็หมุนตัวเดินขึ้นบันไดก้าวไปในบ้าน

“เหมียว”

เสียงร้องของแมวทำให้คิมหยุดยืนมองหา และได้เห็นมันวิ่งเข้ามาคลอเคลียที่ปลายเท้า ก่อนจะตะกุยขากางเกงเขาหยอกเย้าราวกับเป็นของเล่นอย่างสนุก คิมมองท่าทางแสนสุขของมันเพียงแวบเดียว ก็เดินขึ้นบันไดโดยมีมันวิ่งตามไป คุณแม่บ้านที่ยืนมองอยู่ด้วยความกลัวว่าคุณคิมจะดีดมันออกไปไกล โล่งใจที่เขาไม่ทำอะไรมัน ดูจะเอ็นดูมันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จึงถามตัวเองว่า อะไรทำให้คุณคิมที่เฉยชาเปลี่ยนไป
***********


ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ต.ค. 2558, 11:17:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ต.ค. 2558, 11:17:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 2969





<< ตอน 2   ตอน 4 >>
แว่นใส 28 ต.ค. 2558, 18:07:32 น.
ระวังแม่เลี้ยงนะ


กาซะลองพลัดถิ่น 28 ต.ค. 2558, 23:53:51 น.
น่ากลัวจัง ผู้หญิงแต่ละคน เหมือนงูเหลือมเลย โดยเฉพาะแม่เลี้ยงที่มาเหนือเมฆ แต่คิดว่าคิมน่าจะตามทัน
แล้วอนุชจะเป็นไงต่อไป อยากอ่านต่อเร็ว ๆ จังเลย


Zephyr 31 ต.ค. 2558, 16:06:30 น.
แต่ละคนดู ดูไม่น่าไว้ใจ
เหมือนรอตะครุบเหยื่อ
คุณศิ เป็นอะไรกะอนุชนะ


คิมหันตุ์ 1 พ.ย. 2558, 12:31:58 น.
แม่เลี้ยงน่ากลัวมากกก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account