จันทร์หลงเงา
สาวไฮโซสุดสวยที่มีดีกรีเป็นถึงนักเรียนนอก แต่ต้องแพ็คกระเป๋ากลับบ้านนอกเพราะแฟนตัวดีดันนอกใจ เธอหอบหัวใจช้ำๆ หวังกลับมาพักเยียวยารักษาแผลใจที่บ้านเกิด แต่อนิจาบ้านสวยในไร่กลับตกเป็นของคนอื่นไปแล้ว
Tags: วัยรุ่น
ตอน: ตอนที่ 2
บทที่ 2
“นี่แกตื่นเช้าหรือว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนกันแน่” สิรินภายื่นแก้วกาแฟหอมฟุ้งให้เพื่อน
“ฉันคิดไม่ตกอ่ะแก เอาไงดี” ปลายดาวรับไว้ก่อนจะวางมันลงข้างๆ โดยที่ไม่แตะมันแม้แต่อึกเดียวก็แหมเธอเคยชินกับกาแฟชั้นดีจนเสียนิสัยไปเสียแล้ว เธอได้แต่นั่งเท้าคาง บ่อยครั้งที่รอบถอนหายใจทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย
“คิดเรื่องง่ายๆ แล้วก็ด่วนๆ ก่อน เช่นกลับไปเอากระเป๋าแล้วก็มาพักกับฉัน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
“เรื่องง่ายๆ ที่แกว่ามันก็ยังยากสำหรับฉันอยู่ดี” ปลายดาวลอบถอนหายใจอีกครั้ง
“อะไรแค่กลับไปเอากระเป๋าเนี่ยนะยากตรงไหน อีกอย่างจะได้ไปขอโทษคุณปรานต์ที่แกฟาดจนเย็บไปยี่สิบสองเข็มนั่นด้วย” สิรินภาหันมาค้อนใส่เพื่อน นี่ถ้าปลายดาวฟังเธอสักนิดเรื่องก็คงไม่ยุ่งขนาดนี้
“ก็ยากตรงที่ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาไง” ปลายดาวนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนตอนที่ผ้าเช็ดตัวเธอหลุดลงไปกองที่พื้น
…จะทำยังไงดี เขาเห็นหมดทุกอย่าง แล้วจะเอาหน้าที่ไหนกลับไป อย่าว่าแต่จะกล่าวคำขอโทษเลย แค่ไปเอากระเป๋าออกจากบ้านเขายังยากเลย
“แกจะบ้าเหรอยัยนาว คุณปรานต์เขาหล่อจะตายไป แว่วว่าเวลาที่เขาเล่นกีตาร์ยามตะวันคล้อยลมตกนกนอน โคตรเท่เลยล่ะแก” สิรินภาทำหน้าเคลิ้มฝันชนิดที่ว่าแทบจะหลุดไปอยู่อีกห้วงมิติ
ปลายดาวทำหน้าเศร้านั่งฟังเพื่อนเล่าถึงคนดังในตำบล และดูเหมือนเรื่องที่เธอเล่าจะเป็นจริงไปเสียทุกเรื่อง เริ่มตั้งแต่เขาเรียนจบจากมหาลัยชื่อดังในกรุงเทพ แล้วเลือกที่จะปฏิเสธบริษัทโก้หรูในเมืองมาเป็นวิศวะจบใหม่ที่โรงไฟฟ้าราชบุรีแถมยังติดดินไม่ยอมใช้ชีวิตสบายๆ อยู่ในตัวจังหวัด กลับมาซื้อบ้านต่อจากพี่สาวของเธอโดยไม่สนใจราคา ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่หยิ่งไม่ถือตัวแม้ว่าจะรวยโคตรๆ ใครๆ ในตำบลก็รู้จักกันถ้วนหน้า
ทีแรกปลายดาวได้แต่นั่งเท้าค้างไม่สนใจสิ่งใดนอกจากมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย แต่พอเจอเพื่อนเล่าออกรสถึงพริกถึงขิง ก็อดไม่ได้ต้องหันมาฟังแม่เพื่อนตัวดีสาธยายเรื่องราวสารพัดสารเพของเขาอีกยืดยาว จนเธอแทบจะลืมเรื่องร้ายๆ ไปชั่วขณะ และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีทีเดียวที่เธอสามารถลืมมันไปได้ แม้เพียงชั่วพักชั่วครู่ก็ตาม
“เขาไร้ที่ติขนาดนั้น ทำไมไม่มีแฟน” ปลายดาวนึกสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นเกย์จริงๆ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นสาวๆ ทั้งตำบลคงร้องไห้ยิ่งกว่าญาติเสีย
“ใครบอกแกว่าไม่มี น้อยไปล่ะสิไม่ว่า แกอยู่ที่นี่ไปสักพักเดี๋ยวก็รู้ เดือนๆ หนึ่งนะมีผู้หญิงเมืองกรุงแต่งตัวเปรี๊ยวจี๊ดเข็ดฟันมาถามทางไปบ้านแกเยอะแค่ไหน”
“งั้นเชียว” ปลายดาวพึมพำ
“แต่ที่มาบ่อยก็คงจะเป็น…” สิรินภาทำหน้าเศร้า “คุณแก้วใส เธอสวยมาก สวยชนิดที่ว่าคนอะไรว่ะทำไมเกิดมาไร้ที่ติขนาดนี้โดยที่ไม่ต้องพึ่งมีดหมอ ฉันน่ะคิดมาตลอดว่าจะยอมให้แกคนเดียวแต่ไม่นึกเลยว่าในโลกใบนี้ยังมี คุณแก้วใสหลุดลงมาจากสวรรค์พร้อมแกอีกคน”
เมื่อรู้ว่ามีสาวๆ เข้าหาชายหนุ่ม ปลายดาวกลับรู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล อาจเป็นเพราะเธอคงเสียดายถ้าผู้ชายหน้าตาดีๆ จะกลายเป็นเกย์กันไปหมดอีกหน่อยผู้หญิงบนโลกคงหมดความสำคัญ
“แกก็เว่อร์เกินจริง ถ้าฉันสวยขนาดนั้นฉันก็คงเป็นดาราไปแล้ว อีกอย่างคงไม่โดน…” ปลายดาวชะงักไป ไม่อยากพูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส แล้วก็โชคดีที่
สิรินภาไม่ทันสงสัย
“ก็ลองแกอยู่เมืองไทยสิป่านนี้แกเป็นนางเอกละครไปแล้ว” สิรินภาแย้งขึ้นอย่างไม่ยอมลดละ
“แล้วคุณแก้วใสอะไรนั่นก็ต้องเป็นดาราด้วยงั้นสิ” ปลายดาวโต้อย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ใช่เลยเพื่อน” สิรินภาหันมาอมยิ้มเมื่อรู้ว่าเพื่อนหมดทางไป “เพิ่งจะเป็นไม่นานนี้ล่ะ”
ตกเย็นความจำเป็นมันก็เรียกร้องให้ปลายดาวต้องกลับไปเอากระเป๋าเดินทางที่บ้านของปรานต์ โดยมีสิรินภาเป็นคนขับรถไปส่ง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านจะไม่อยู่แต่คงไปไหนไม่ไกลเพราะประตูรั้วหน้าบ้านถูกเปิดทิ้งไว้
“คงไปธุระใกล้ๆ แถวนี้มั้งแก” สิรินภาออกความเห็น “เห็นสภาพที่แกทำกับเขาเมื่อคืนคงต้องลางานกินยาถึงสามวันล่ะ”
“เว่อร์ละแก” ปลายดาวค้อนใส่
แม้เจ้าของบ้านจะไม่อยู่แต่เจ้าถังเบียร์ก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนที่ดี มันวิ่งออกมาต้อนรับปลายดาวด้วยสภาพคลุกโคลนมาเต็มตัว ปลายดาวกระโดดโหยงทันทีที่มันตะกุยตะกายแข้งขาเธอ เพราะกลัวว่าเสื้อผ้าจะเปรอะเปื้อนโคลนไปด้วย แต่มันก็ยิ่งสนุกคิดว่าเธอกำลังเล่นด้วยมันเลยยิ่งตะกายใหญ่ จนเธอต้องวิ่งหนีไปยืนบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนที่ตั้งอยู่ที่กลางสวนหน้าบ้าน แต่ก็ไม่วาย เธอเลยต้องปีนหนีมันขึ้นไปบนโต๊ะ คราวนี้เจ้าถังเบียร์สุดปัญญาเลยได้แต่ตะกายแกร่กๆ อยู่ข้างล่าง
“เฮ่! ยัยนาวที่บ้านโทรมามีธุระด่วน เดี๋ยวแกรอฉันที่นี่ก่อนนะเสร็จธุระจะรีบกลับมารับ” สิรินภาตะโกนอยู่บนรถไม่กล้าลงมาข้างล่างเพราะเจ้าถังเบียร์มันไม่นับญาติกับคนแปลกหน้า
“ได้ไงล่ะแกเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“เขาคงอยู่แถวๆ นี้มั้ง ประตูรั้วก็เปิด เอาน่าแป๊บเดียวเดี๋ยวมารับ” ยังไม่ทันที่ปลายดาวจะตอบกลับ สิรินภาก็ออกรถไปโน่นแล้ว ปลายดาวได้แต่มองตาปริบๆ จะบอกว่าไปด้วยกันวันหลังค่อยมาใหม่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอเลยต้องจำใจถือวิสาสะเข้ามารอในบ้านเพราะเจ้าถังเบียร์ ทั้งๆ ที่เจ้าของบ้านเขาไม่อยู่
บ้านที่เคยเป็นของเธอมาก่อน เธอมองสำรวจไปรอบๆ บ้าน มีหลายอย่างเปลี่ยนไปมาก ต้นไม้ที่เคยขึ้นรกครึ้มตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนกุหลาบแสนสวย ต้นไม้ใหญ่เก่าๆ ที่แม่ลงมือปลูกตั้งแต่เธอยังเล็กที่ขึ้นหนาแน่นหลากพันธุ์ตอนนี้เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เขาคงเอาออกเพื่อความสวยงาม แล้วก็โปร่งสบายตาแต่ยังคงให้ความร่มรื่นไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อก่อนแม่ชอบปลูกต้นไม้ให้กลิ่นหอมจำพวกดอกแก้ว เวลาพลบค่ำมันจะส่งกลิ่นหอมอบอวนไปทั่วบ้าน แต่เธอมักร้องให้แม่ซื้อต้นกุหลาบมาปลูกเพราะมันสวย และบางพันธุ์ก็มีกลิ่นหอม แต่แม่ก็เอ็ดกลับมาทุกทีว่ากุหลาบเลี้ยงยากสวยได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว สักพักก็เจอเจ้าหนอนรุมสะกำจนพรุนไปทั้งต้น และไม่นานมันก็จะเหลือแต่ต้นโด่ๆ เด่ๆ เอาไว้ให้เจ้าของช้ำใจเล่น แล้วมันก็จริงเสียด้วยเพราะเธอรั้นจนได้ต้นกุหลาบมาปลูกจนเต็มล็อคหลังบ้าน เธอเชยชมมันอยู่ได้ไม่นาน ก็ไม่ผิดคำที่แม่บ่น เป็นอันว่าเธอเลยต้องล้มเลิกความนิยมชมชอบดอกไม้ชนิดนี้ไปเพราะมันช่างบอบบาง แต่ดูตอนนี้สิเจ้าของบ้านคนใหม่กลับมีสวนดอกกุหลาบที่เธอเคยฝันถึง เต็มบ้านไปหมดทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายแท้ๆ ช่างผิดกับเธออย่างลิบลับ
“ไม่มีที่ยืนเหรอคุณ”
ปรานต์เงยหน้าขึ้นทักหญิงสาวที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่บนโต๊ะ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นแต่เขาก็จำใจต้องกลั้นยิ้มเพราะกลัวว่าเดี๋ยวเจ้าตัวจะรู้สึกอาย แต่อีกฝ่ายกลับตีหน้าเฉยไม่แสดงว่าแคร์กับเหตุการณ์เมื่อคืนเท่าไหร่นักทั้งๆ ที่แก้มเนียนขาวเริ่มแดง เธอก้าวลงจากโต๊ะมายืนที่พื้นเพราะเจ้าถังเบียร์มีที่หมายใหม่แล้ว
“เฮ่ๆ เจ้าถังเบียร์ แกไปลุยโคลนมาอีกแล้วหรือเนี่ย” คราวนี้เป็นฝ่ายชายหนุ่มบ้างที่ต้องกระโดดหนีเจ้าหมาคลุกโคลนขึ้นไปอยู่บนโต๊ะบ้าง พอพลาดเป้าเจ้าถังเบียร์ก็หันมาคว้าปลายดาวแทน
“อย่านะ ฉันเปื้อนไปหมดแล้ว” ปลายดาวโวยพลางหลบเจ้าถังเบียร์ขึ้นไปอยู่บนโต๊ะเหมือนกัน “เจ้าหมาประหลาดฉันหนีแกนะไม่ได้เล่นด้วย ดูสิชุดฉันเปรอะไปหมดแล้วเนี่ย” ปลายดาวบ่นพลางปัดเศษโคลนที่ติดอยู่ตามขากางเกงของตัวเองออก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปว่าบนโต๊ะนั้นก็มีผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย พอรู้ตัวทั้งสองก็เลยถ้อยหนีเพื่อเว้นระยะห่าง เมื่อคนสองคนยืนอยู่คนละมุมจึงทำให้โต๊ะเอนไปทางน้ำหนักที่มากกว่า ปรานต์รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเสียหลักรีบกระเถิบเข้ามายังกึ่งกลางโต๊ะ แต่อีกฝ่ายไม่ทันระวังมัวแต่ยืนปัดเศษโคลน ไม่รู้ตัวว่าตอนนี้โต๊ะกำลังจะเอนไปทางฝั่งตัวเอง กว่าจะรู้อีกทีเธอก็เกือบเสียหลักหงายหลังตกจากโต๊ะไปนอนจุ๊บพื้นหญ้าเบื้องล่าง ดีที่อีกฝ่ายคว้าตัวเธอเข้ามายืนอยู่ตรงกลางโต๊ะได้ทันเสียก่อน
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” ปรานต์พึมพำอย่างโล่งอก แต่ปลายดาวเนี่ยสิอยากจะร้องไห้ที่ต้องมายืนอยู่ในอ้อมแขนของเขา และดูเหมือนเจ้าตัวจะคิดไม่ถึง ว่าตัวเองกำลังถือวิสาสะโอบเอวเธออยู่
แวบหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าหัวใจกระตุกแปลกพิกล เมื่อต้องสบตาดำขลับนั้น
“ฉัน…ว่าโต๊ะมันคงไม่ล้มแล้วล่ะ จะดีมากถ้าคุณจะปล่อยแขนออกจาก…เอวฉัน” ปรานต์เลิกคิ้วพลางปล่อยแขนออกทันทีที่รู้ตัว เขาไม่ได้ตั้งใจจะ…แต่ด้วยสัญชาตญาณที่จะปกป้องอีกฝ่ายทำให้เขาลืมตัว
“แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อ” ปลายดาวก้มมองเจ้าถังเบียร์อย่างเหนื่อยใจ เมื่อมันหาทางตะกุยตะกายจะร่วมสมทบขึ้นมาเล่นข้างบนด้วย
…เจ้าหมาบ้า คนเขาไม่ได้เล่นด้วยซะหน่อย
“คุณอ่ะ ลงไปล่อมันสิ แล้วฉันจะวิ่งไปที่บันไดก่อน” ปลายดาวออกความเห็น
“ผมก็เปื้อนน่ะสิ” ปรานต์โวยเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องเป็นตัวล่อให้เจ้าหมาคลุกโคลนตะกุย
“เปื้อนก็เปื้อนสิ” ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องสน “อีกอย่างคุณก็เป็นผู้ชาย ก็ต้องเสียสละให้ฉันสิ”
จนด้วยเกล้าเถียงไม่ออก ปรานต์จำต้องเป็นตัวล่อ เจ้าถังเบียร์สมใจทั้งตะกุยทั้งสะบัดโคลน จนสภาพของปรานต์เริ่มไม่ต่างจากเจ้าถังเบียร์สักเท่าไหร่ กว่าจะรอดวิกฤตเจ้าถังเบียร์ถล่มโคลนจนขึ้นมาสมทบกับอีกฝ่ายที่ยืนคอยท่าอยู่ที่ชานพักบันไดได้ก็เล่นเอาเปื้อนไปทั้งตัว
“ให้ตายเถอะ! เหม็นด้วยนะเนี่ย” ปรานต์บ่นขณะเอามือเช็ดคราบโคลนที่ติดอยู่บนหน้าตัวเอง
ปลายดาวนึกขำในใจ… “ฉันมาเอากระเป๋า”
“อ๋อ รอเดี๋ยวแล้วกัน ขอผมจัดการกับขี้โคลนพวกนี้ก่อน คุณขึ้นมาข้างบนก่อนก็ได้นะ” ปรานต์เชื้อเชิญ
“เรื่อง! ” หญิงสาวทำหน้าไม่สน “คุณจะทำอะไรก็ไปเถอะ ฉันจะรอกระเป๋าอยู่ตรงนี้”
“ตามใจ ถ้าเมื่อยก็อย่ามาว่าเจ้าของบ้านใจร้ายไม่เชิญนั่งก็แล้วกัน”
ระหว่างรอเจ้าของบ้านหยิบกระเป๋ามาให้ ปลายดาวก็โทรตามสิรินภาขั้นเวลา เธอพยายามโทรอยู่หลายครั้ง ขยับไปมาอยู่หลายจุดแต่สัญญาณก็ไม่ยักจะมี
“ตรงนี้ไม่มีสัญญาณหรอกคุณ ต้องไปยืนหน้ารั้วบ้านโน่น หรือไมก็ต้องขึ้นไปบนระเบียงถึงจะโทรออกได้” ปรานต์ที่ดูเหมือนจะจัดการคราบโคลนเรียบร้อยแล้ว ยื่นกระเป๋าเดินทางให้อีกฝ่าย “ผมถือวิสาสะเก็บเสื้อผ้าที่คุณรื้อไว้ใส่กระเป๋า เพราะเดินไปเดินมาก็ต้องไปสะดุดกับกางเกงลิงลายมะเขือเทศของคุณทุกที”
กรี๊ดดด…อีตาบ้า “ฉันไม่เคยมีลายมะเขือเทศย่ะ มันเป็นลายสตรอว์เบอร์รี่ต่างหาก แยกแยะผลไม้ไม่ออกรึไง” ปลายดาวแทบเต้น เธอมองอีกฝ่ายที่ยืนอมยิ้มทำท่าสบายใจเต็มแก่
…หน็อยมันน่าซ้ำแผลเก่าให้เย็บอีกสักเข็มดีมั้ย
“คุณมารอนานหรือยัง” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง คงเห็นท่าอีกฝ่ายเริ่มฟึดฟัด
“สักพัก”
“พอดีผมออกไปล้างแผลที่อนามัย รอทั้งวันไม่เห็นมาก็นึกว่าคงจะทิ้งแล้ว”
“โอ้โห คิดได้ไงถ้าไม่เอาแล้วฉันจะหอบมันข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำไมให้หนัก” ปลายดาวทำตาโต แต่อีกฝ่ายกับทำหน้าเฉยกวาดสายตาไปยังหน้าบ้าน
“แล้วจะกลับยังไง ไม่เห็นรถจอด”
“เดี๋ยวเพื่อนมารับ กำลังโทรตามอยู่ แต่ยังไม่มีสัญญาณ”
ปลายดาวเริ่มเดินหาคลื่น จนแล้วจนรอดที่ที่เธอยืนอยู่ก็ไม่มีสัญญาณจริงๆ ในที่สุดเธอก็จำใจต้องเดินขึ้นไปบนระเบียงตามที่เขาแนะนำจนได้
ร่างสูงเดินลับหายเข้าไปในบ้าน สักพักจึงกลับมาพร้อมกับน้ำเย็นในแก้วใส ยื่นส่งให้หญิงสาว
“โทรติดมั้ยคุณ”
“ติดแล้ว คงอีกสักพักถึงจะมา เธอติดธุระอยู่”
“ตามสบายแล้วกัน ผมขอตัวไปทำแผลก่อน โดนโคลนเจ้าถังเบียร์ไอ้ที่เพิ่งไปล้างแผลมาก็ไร้ความหมายไปเลย”
“จะทำเองเหรอ” ปลายดาวนึกรู้ความผิดตนเอง
“อนามัยปิดแล้วล่ะ หมอเป็นผู้หญิงด้วยอยู่บ้านพักคนเดียวผมเกรงใจทำเองส่งๆ ไปก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน ผมขอตัวนะ ”
ร่างสูงเดินยิ้มกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ปลายดาวทิ้งตัวบนโต๊ะนั่งไม้สักฝังมุขริมระเบียง ดูแสงสุดท้ายของตะวันลาลับขอบฟ้าบนยอดภูเขาหลังบ้าน
บ้าน ที่เธอไม่เคยใส่ใจจนเธอต้องเสียมันไป…
“เป็นไงได้ขอโทษเขาหรือยัง” สิรินภาพูดพลางคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก
“ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะขอโทษ” พูดเองเออเองแท้ๆ ปลายดาวทำเป็นไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปสั่งก๊วยเตี๋ยวน้ำตกชามที่สอง “ความจริงเมนูบ้านๆ อย่างก๊วยเตี๋ยวน้ำตกก็ใช้ได้เหมือนกันนะ”
“เออ ทำเขาเย็บยี่สิบกว่าเข็มยังไม่รู้สึกอะไรอีก คนอะไรวะ” สิรินภาค้อนใส่
ปลายดาวย่นจมูก นึกสมน้ำหน้าคนลามกที่ไม่ยอมหลบ มั่วแต่จ้องตอนที่เธอผ้าหลุด ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องเย็บแผลเยอะขนาดนี้หรอก “แกก็ใส่ใจเขามากเกินไป อ๊ะๆ อย่าบอกนะว่าแกคิดนอกใจพี่หนึ่ง แกแต่งานแล้วนะยะยัยจอย”
“แกจะบ้าเหรอ พูดมั่วๆ ” สิรินภาแทบสำหลักเส้นก๋วยเตี๋ยว “ฉันพูดตามมารยาทที่ควรทำย่ะ อย่ามาใส่ร้ายขอร้อง”
“ไม่รู้เห็นเป็นห่วงเป็นใย” ปลายดาวชอบใจที่แหย่เพื่อนได้
“ติดต่อเจ๊นิ้งได้ยัง”
“ยัง” ปลายดาวคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวค้าง จู่ๆ น้ำตาก็คลอเบ้า “แต่คิดว่าคงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก” เธอปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว แล้วคีบเส้นเข้าปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอไม่อยากอ่อนแอเพราะแค่นี้เธอก็รู้สึกแย่มากแล้ว
“จะกลับฝรั่งเศสเลยมั้ย” สิรินภาแตะข้อมือเพื่อนอย่างเห็นใจ ด้วยความที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับปัญหาของปลายดาวที่ฝรั่งเศส เธอเลยคิดไปว่าการที่ปลายดาวกลับไปดำรงชีวิตอยู่ที่เก่าอาจจะทำให้เพื่อนลืมเรื่องพี่สาวไปได้
“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้คิด” ปลายดาวพูดตัดบท เพราะเธอรู้อยู่เต็มอกว่าตอนนี้เธอไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว
“ถ้ายังโอเคกับที่นี่ก็อยู่บ้านฉันไปก่อน ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเราก็เพื่อนกัน”
ปลายดาวนึกขอบคุณเพื่อนในใจ แม้ว่าวันนี้เธอจะไม่เหลือใครแต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีเพื่อนที่ไม่คิดจะทิ้งกันแม้ในยามยาก…
“นี่แกตื่นเช้าหรือว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนกันแน่” สิรินภายื่นแก้วกาแฟหอมฟุ้งให้เพื่อน
“ฉันคิดไม่ตกอ่ะแก เอาไงดี” ปลายดาวรับไว้ก่อนจะวางมันลงข้างๆ โดยที่ไม่แตะมันแม้แต่อึกเดียวก็แหมเธอเคยชินกับกาแฟชั้นดีจนเสียนิสัยไปเสียแล้ว เธอได้แต่นั่งเท้าคาง บ่อยครั้งที่รอบถอนหายใจทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย
“คิดเรื่องง่ายๆ แล้วก็ด่วนๆ ก่อน เช่นกลับไปเอากระเป๋าแล้วก็มาพักกับฉัน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
“เรื่องง่ายๆ ที่แกว่ามันก็ยังยากสำหรับฉันอยู่ดี” ปลายดาวลอบถอนหายใจอีกครั้ง
“อะไรแค่กลับไปเอากระเป๋าเนี่ยนะยากตรงไหน อีกอย่างจะได้ไปขอโทษคุณปรานต์ที่แกฟาดจนเย็บไปยี่สิบสองเข็มนั่นด้วย” สิรินภาหันมาค้อนใส่เพื่อน นี่ถ้าปลายดาวฟังเธอสักนิดเรื่องก็คงไม่ยุ่งขนาดนี้
“ก็ยากตรงที่ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาไง” ปลายดาวนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนตอนที่ผ้าเช็ดตัวเธอหลุดลงไปกองที่พื้น
…จะทำยังไงดี เขาเห็นหมดทุกอย่าง แล้วจะเอาหน้าที่ไหนกลับไป อย่าว่าแต่จะกล่าวคำขอโทษเลย แค่ไปเอากระเป๋าออกจากบ้านเขายังยากเลย
“แกจะบ้าเหรอยัยนาว คุณปรานต์เขาหล่อจะตายไป แว่วว่าเวลาที่เขาเล่นกีตาร์ยามตะวันคล้อยลมตกนกนอน โคตรเท่เลยล่ะแก” สิรินภาทำหน้าเคลิ้มฝันชนิดที่ว่าแทบจะหลุดไปอยู่อีกห้วงมิติ
ปลายดาวทำหน้าเศร้านั่งฟังเพื่อนเล่าถึงคนดังในตำบล และดูเหมือนเรื่องที่เธอเล่าจะเป็นจริงไปเสียทุกเรื่อง เริ่มตั้งแต่เขาเรียนจบจากมหาลัยชื่อดังในกรุงเทพ แล้วเลือกที่จะปฏิเสธบริษัทโก้หรูในเมืองมาเป็นวิศวะจบใหม่ที่โรงไฟฟ้าราชบุรีแถมยังติดดินไม่ยอมใช้ชีวิตสบายๆ อยู่ในตัวจังหวัด กลับมาซื้อบ้านต่อจากพี่สาวของเธอโดยไม่สนใจราคา ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่หยิ่งไม่ถือตัวแม้ว่าจะรวยโคตรๆ ใครๆ ในตำบลก็รู้จักกันถ้วนหน้า
ทีแรกปลายดาวได้แต่นั่งเท้าค้างไม่สนใจสิ่งใดนอกจากมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย แต่พอเจอเพื่อนเล่าออกรสถึงพริกถึงขิง ก็อดไม่ได้ต้องหันมาฟังแม่เพื่อนตัวดีสาธยายเรื่องราวสารพัดสารเพของเขาอีกยืดยาว จนเธอแทบจะลืมเรื่องร้ายๆ ไปชั่วขณะ และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีทีเดียวที่เธอสามารถลืมมันไปได้ แม้เพียงชั่วพักชั่วครู่ก็ตาม
“เขาไร้ที่ติขนาดนั้น ทำไมไม่มีแฟน” ปลายดาวนึกสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นเกย์จริงๆ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นสาวๆ ทั้งตำบลคงร้องไห้ยิ่งกว่าญาติเสีย
“ใครบอกแกว่าไม่มี น้อยไปล่ะสิไม่ว่า แกอยู่ที่นี่ไปสักพักเดี๋ยวก็รู้ เดือนๆ หนึ่งนะมีผู้หญิงเมืองกรุงแต่งตัวเปรี๊ยวจี๊ดเข็ดฟันมาถามทางไปบ้านแกเยอะแค่ไหน”
“งั้นเชียว” ปลายดาวพึมพำ
“แต่ที่มาบ่อยก็คงจะเป็น…” สิรินภาทำหน้าเศร้า “คุณแก้วใส เธอสวยมาก สวยชนิดที่ว่าคนอะไรว่ะทำไมเกิดมาไร้ที่ติขนาดนี้โดยที่ไม่ต้องพึ่งมีดหมอ ฉันน่ะคิดมาตลอดว่าจะยอมให้แกคนเดียวแต่ไม่นึกเลยว่าในโลกใบนี้ยังมี คุณแก้วใสหลุดลงมาจากสวรรค์พร้อมแกอีกคน”
เมื่อรู้ว่ามีสาวๆ เข้าหาชายหนุ่ม ปลายดาวกลับรู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล อาจเป็นเพราะเธอคงเสียดายถ้าผู้ชายหน้าตาดีๆ จะกลายเป็นเกย์กันไปหมดอีกหน่อยผู้หญิงบนโลกคงหมดความสำคัญ
“แกก็เว่อร์เกินจริง ถ้าฉันสวยขนาดนั้นฉันก็คงเป็นดาราไปแล้ว อีกอย่างคงไม่โดน…” ปลายดาวชะงักไป ไม่อยากพูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส แล้วก็โชคดีที่
สิรินภาไม่ทันสงสัย
“ก็ลองแกอยู่เมืองไทยสิป่านนี้แกเป็นนางเอกละครไปแล้ว” สิรินภาแย้งขึ้นอย่างไม่ยอมลดละ
“แล้วคุณแก้วใสอะไรนั่นก็ต้องเป็นดาราด้วยงั้นสิ” ปลายดาวโต้อย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ใช่เลยเพื่อน” สิรินภาหันมาอมยิ้มเมื่อรู้ว่าเพื่อนหมดทางไป “เพิ่งจะเป็นไม่นานนี้ล่ะ”
ตกเย็นความจำเป็นมันก็เรียกร้องให้ปลายดาวต้องกลับไปเอากระเป๋าเดินทางที่บ้านของปรานต์ โดยมีสิรินภาเป็นคนขับรถไปส่ง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านจะไม่อยู่แต่คงไปไหนไม่ไกลเพราะประตูรั้วหน้าบ้านถูกเปิดทิ้งไว้
“คงไปธุระใกล้ๆ แถวนี้มั้งแก” สิรินภาออกความเห็น “เห็นสภาพที่แกทำกับเขาเมื่อคืนคงต้องลางานกินยาถึงสามวันล่ะ”
“เว่อร์ละแก” ปลายดาวค้อนใส่
แม้เจ้าของบ้านจะไม่อยู่แต่เจ้าถังเบียร์ก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนที่ดี มันวิ่งออกมาต้อนรับปลายดาวด้วยสภาพคลุกโคลนมาเต็มตัว ปลายดาวกระโดดโหยงทันทีที่มันตะกุยตะกายแข้งขาเธอ เพราะกลัวว่าเสื้อผ้าจะเปรอะเปื้อนโคลนไปด้วย แต่มันก็ยิ่งสนุกคิดว่าเธอกำลังเล่นด้วยมันเลยยิ่งตะกายใหญ่ จนเธอต้องวิ่งหนีไปยืนบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนที่ตั้งอยู่ที่กลางสวนหน้าบ้าน แต่ก็ไม่วาย เธอเลยต้องปีนหนีมันขึ้นไปบนโต๊ะ คราวนี้เจ้าถังเบียร์สุดปัญญาเลยได้แต่ตะกายแกร่กๆ อยู่ข้างล่าง
“เฮ่! ยัยนาวที่บ้านโทรมามีธุระด่วน เดี๋ยวแกรอฉันที่นี่ก่อนนะเสร็จธุระจะรีบกลับมารับ” สิรินภาตะโกนอยู่บนรถไม่กล้าลงมาข้างล่างเพราะเจ้าถังเบียร์มันไม่นับญาติกับคนแปลกหน้า
“ได้ไงล่ะแกเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“เขาคงอยู่แถวๆ นี้มั้ง ประตูรั้วก็เปิด เอาน่าแป๊บเดียวเดี๋ยวมารับ” ยังไม่ทันที่ปลายดาวจะตอบกลับ สิรินภาก็ออกรถไปโน่นแล้ว ปลายดาวได้แต่มองตาปริบๆ จะบอกว่าไปด้วยกันวันหลังค่อยมาใหม่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอเลยต้องจำใจถือวิสาสะเข้ามารอในบ้านเพราะเจ้าถังเบียร์ ทั้งๆ ที่เจ้าของบ้านเขาไม่อยู่
บ้านที่เคยเป็นของเธอมาก่อน เธอมองสำรวจไปรอบๆ บ้าน มีหลายอย่างเปลี่ยนไปมาก ต้นไม้ที่เคยขึ้นรกครึ้มตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนกุหลาบแสนสวย ต้นไม้ใหญ่เก่าๆ ที่แม่ลงมือปลูกตั้งแต่เธอยังเล็กที่ขึ้นหนาแน่นหลากพันธุ์ตอนนี้เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เขาคงเอาออกเพื่อความสวยงาม แล้วก็โปร่งสบายตาแต่ยังคงให้ความร่มรื่นไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อก่อนแม่ชอบปลูกต้นไม้ให้กลิ่นหอมจำพวกดอกแก้ว เวลาพลบค่ำมันจะส่งกลิ่นหอมอบอวนไปทั่วบ้าน แต่เธอมักร้องให้แม่ซื้อต้นกุหลาบมาปลูกเพราะมันสวย และบางพันธุ์ก็มีกลิ่นหอม แต่แม่ก็เอ็ดกลับมาทุกทีว่ากุหลาบเลี้ยงยากสวยได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว สักพักก็เจอเจ้าหนอนรุมสะกำจนพรุนไปทั้งต้น และไม่นานมันก็จะเหลือแต่ต้นโด่ๆ เด่ๆ เอาไว้ให้เจ้าของช้ำใจเล่น แล้วมันก็จริงเสียด้วยเพราะเธอรั้นจนได้ต้นกุหลาบมาปลูกจนเต็มล็อคหลังบ้าน เธอเชยชมมันอยู่ได้ไม่นาน ก็ไม่ผิดคำที่แม่บ่น เป็นอันว่าเธอเลยต้องล้มเลิกความนิยมชมชอบดอกไม้ชนิดนี้ไปเพราะมันช่างบอบบาง แต่ดูตอนนี้สิเจ้าของบ้านคนใหม่กลับมีสวนดอกกุหลาบที่เธอเคยฝันถึง เต็มบ้านไปหมดทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายแท้ๆ ช่างผิดกับเธออย่างลิบลับ
“ไม่มีที่ยืนเหรอคุณ”
ปรานต์เงยหน้าขึ้นทักหญิงสาวที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่บนโต๊ะ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นแต่เขาก็จำใจต้องกลั้นยิ้มเพราะกลัวว่าเดี๋ยวเจ้าตัวจะรู้สึกอาย แต่อีกฝ่ายกลับตีหน้าเฉยไม่แสดงว่าแคร์กับเหตุการณ์เมื่อคืนเท่าไหร่นักทั้งๆ ที่แก้มเนียนขาวเริ่มแดง เธอก้าวลงจากโต๊ะมายืนที่พื้นเพราะเจ้าถังเบียร์มีที่หมายใหม่แล้ว
“เฮ่ๆ เจ้าถังเบียร์ แกไปลุยโคลนมาอีกแล้วหรือเนี่ย” คราวนี้เป็นฝ่ายชายหนุ่มบ้างที่ต้องกระโดดหนีเจ้าหมาคลุกโคลนขึ้นไปอยู่บนโต๊ะบ้าง พอพลาดเป้าเจ้าถังเบียร์ก็หันมาคว้าปลายดาวแทน
“อย่านะ ฉันเปื้อนไปหมดแล้ว” ปลายดาวโวยพลางหลบเจ้าถังเบียร์ขึ้นไปอยู่บนโต๊ะเหมือนกัน “เจ้าหมาประหลาดฉันหนีแกนะไม่ได้เล่นด้วย ดูสิชุดฉันเปรอะไปหมดแล้วเนี่ย” ปลายดาวบ่นพลางปัดเศษโคลนที่ติดอยู่ตามขากางเกงของตัวเองออก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปว่าบนโต๊ะนั้นก็มีผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย พอรู้ตัวทั้งสองก็เลยถ้อยหนีเพื่อเว้นระยะห่าง เมื่อคนสองคนยืนอยู่คนละมุมจึงทำให้โต๊ะเอนไปทางน้ำหนักที่มากกว่า ปรานต์รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเสียหลักรีบกระเถิบเข้ามายังกึ่งกลางโต๊ะ แต่อีกฝ่ายไม่ทันระวังมัวแต่ยืนปัดเศษโคลน ไม่รู้ตัวว่าตอนนี้โต๊ะกำลังจะเอนไปทางฝั่งตัวเอง กว่าจะรู้อีกทีเธอก็เกือบเสียหลักหงายหลังตกจากโต๊ะไปนอนจุ๊บพื้นหญ้าเบื้องล่าง ดีที่อีกฝ่ายคว้าตัวเธอเข้ามายืนอยู่ตรงกลางโต๊ะได้ทันเสียก่อน
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” ปรานต์พึมพำอย่างโล่งอก แต่ปลายดาวเนี่ยสิอยากจะร้องไห้ที่ต้องมายืนอยู่ในอ้อมแขนของเขา และดูเหมือนเจ้าตัวจะคิดไม่ถึง ว่าตัวเองกำลังถือวิสาสะโอบเอวเธออยู่
แวบหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าหัวใจกระตุกแปลกพิกล เมื่อต้องสบตาดำขลับนั้น
“ฉัน…ว่าโต๊ะมันคงไม่ล้มแล้วล่ะ จะดีมากถ้าคุณจะปล่อยแขนออกจาก…เอวฉัน” ปรานต์เลิกคิ้วพลางปล่อยแขนออกทันทีที่รู้ตัว เขาไม่ได้ตั้งใจจะ…แต่ด้วยสัญชาตญาณที่จะปกป้องอีกฝ่ายทำให้เขาลืมตัว
“แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อ” ปลายดาวก้มมองเจ้าถังเบียร์อย่างเหนื่อยใจ เมื่อมันหาทางตะกุยตะกายจะร่วมสมทบขึ้นมาเล่นข้างบนด้วย
…เจ้าหมาบ้า คนเขาไม่ได้เล่นด้วยซะหน่อย
“คุณอ่ะ ลงไปล่อมันสิ แล้วฉันจะวิ่งไปที่บันไดก่อน” ปลายดาวออกความเห็น
“ผมก็เปื้อนน่ะสิ” ปรานต์โวยเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องเป็นตัวล่อให้เจ้าหมาคลุกโคลนตะกุย
“เปื้อนก็เปื้อนสิ” ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องสน “อีกอย่างคุณก็เป็นผู้ชาย ก็ต้องเสียสละให้ฉันสิ”
จนด้วยเกล้าเถียงไม่ออก ปรานต์จำต้องเป็นตัวล่อ เจ้าถังเบียร์สมใจทั้งตะกุยทั้งสะบัดโคลน จนสภาพของปรานต์เริ่มไม่ต่างจากเจ้าถังเบียร์สักเท่าไหร่ กว่าจะรอดวิกฤตเจ้าถังเบียร์ถล่มโคลนจนขึ้นมาสมทบกับอีกฝ่ายที่ยืนคอยท่าอยู่ที่ชานพักบันไดได้ก็เล่นเอาเปื้อนไปทั้งตัว
“ให้ตายเถอะ! เหม็นด้วยนะเนี่ย” ปรานต์บ่นขณะเอามือเช็ดคราบโคลนที่ติดอยู่บนหน้าตัวเอง
ปลายดาวนึกขำในใจ… “ฉันมาเอากระเป๋า”
“อ๋อ รอเดี๋ยวแล้วกัน ขอผมจัดการกับขี้โคลนพวกนี้ก่อน คุณขึ้นมาข้างบนก่อนก็ได้นะ” ปรานต์เชื้อเชิญ
“เรื่อง! ” หญิงสาวทำหน้าไม่สน “คุณจะทำอะไรก็ไปเถอะ ฉันจะรอกระเป๋าอยู่ตรงนี้”
“ตามใจ ถ้าเมื่อยก็อย่ามาว่าเจ้าของบ้านใจร้ายไม่เชิญนั่งก็แล้วกัน”
ระหว่างรอเจ้าของบ้านหยิบกระเป๋ามาให้ ปลายดาวก็โทรตามสิรินภาขั้นเวลา เธอพยายามโทรอยู่หลายครั้ง ขยับไปมาอยู่หลายจุดแต่สัญญาณก็ไม่ยักจะมี
“ตรงนี้ไม่มีสัญญาณหรอกคุณ ต้องไปยืนหน้ารั้วบ้านโน่น หรือไมก็ต้องขึ้นไปบนระเบียงถึงจะโทรออกได้” ปรานต์ที่ดูเหมือนจะจัดการคราบโคลนเรียบร้อยแล้ว ยื่นกระเป๋าเดินทางให้อีกฝ่าย “ผมถือวิสาสะเก็บเสื้อผ้าที่คุณรื้อไว้ใส่กระเป๋า เพราะเดินไปเดินมาก็ต้องไปสะดุดกับกางเกงลิงลายมะเขือเทศของคุณทุกที”
กรี๊ดดด…อีตาบ้า “ฉันไม่เคยมีลายมะเขือเทศย่ะ มันเป็นลายสตรอว์เบอร์รี่ต่างหาก แยกแยะผลไม้ไม่ออกรึไง” ปลายดาวแทบเต้น เธอมองอีกฝ่ายที่ยืนอมยิ้มทำท่าสบายใจเต็มแก่
…หน็อยมันน่าซ้ำแผลเก่าให้เย็บอีกสักเข็มดีมั้ย
“คุณมารอนานหรือยัง” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง คงเห็นท่าอีกฝ่ายเริ่มฟึดฟัด
“สักพัก”
“พอดีผมออกไปล้างแผลที่อนามัย รอทั้งวันไม่เห็นมาก็นึกว่าคงจะทิ้งแล้ว”
“โอ้โห คิดได้ไงถ้าไม่เอาแล้วฉันจะหอบมันข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำไมให้หนัก” ปลายดาวทำตาโต แต่อีกฝ่ายกับทำหน้าเฉยกวาดสายตาไปยังหน้าบ้าน
“แล้วจะกลับยังไง ไม่เห็นรถจอด”
“เดี๋ยวเพื่อนมารับ กำลังโทรตามอยู่ แต่ยังไม่มีสัญญาณ”
ปลายดาวเริ่มเดินหาคลื่น จนแล้วจนรอดที่ที่เธอยืนอยู่ก็ไม่มีสัญญาณจริงๆ ในที่สุดเธอก็จำใจต้องเดินขึ้นไปบนระเบียงตามที่เขาแนะนำจนได้
ร่างสูงเดินลับหายเข้าไปในบ้าน สักพักจึงกลับมาพร้อมกับน้ำเย็นในแก้วใส ยื่นส่งให้หญิงสาว
“โทรติดมั้ยคุณ”
“ติดแล้ว คงอีกสักพักถึงจะมา เธอติดธุระอยู่”
“ตามสบายแล้วกัน ผมขอตัวไปทำแผลก่อน โดนโคลนเจ้าถังเบียร์ไอ้ที่เพิ่งไปล้างแผลมาก็ไร้ความหมายไปเลย”
“จะทำเองเหรอ” ปลายดาวนึกรู้ความผิดตนเอง
“อนามัยปิดแล้วล่ะ หมอเป็นผู้หญิงด้วยอยู่บ้านพักคนเดียวผมเกรงใจทำเองส่งๆ ไปก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน ผมขอตัวนะ ”
ร่างสูงเดินยิ้มกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ปลายดาวทิ้งตัวบนโต๊ะนั่งไม้สักฝังมุขริมระเบียง ดูแสงสุดท้ายของตะวันลาลับขอบฟ้าบนยอดภูเขาหลังบ้าน
บ้าน ที่เธอไม่เคยใส่ใจจนเธอต้องเสียมันไป…
“เป็นไงได้ขอโทษเขาหรือยัง” สิรินภาพูดพลางคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก
“ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะขอโทษ” พูดเองเออเองแท้ๆ ปลายดาวทำเป็นไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปสั่งก๊วยเตี๋ยวน้ำตกชามที่สอง “ความจริงเมนูบ้านๆ อย่างก๊วยเตี๋ยวน้ำตกก็ใช้ได้เหมือนกันนะ”
“เออ ทำเขาเย็บยี่สิบกว่าเข็มยังไม่รู้สึกอะไรอีก คนอะไรวะ” สิรินภาค้อนใส่
ปลายดาวย่นจมูก นึกสมน้ำหน้าคนลามกที่ไม่ยอมหลบ มั่วแต่จ้องตอนที่เธอผ้าหลุด ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องเย็บแผลเยอะขนาดนี้หรอก “แกก็ใส่ใจเขามากเกินไป อ๊ะๆ อย่าบอกนะว่าแกคิดนอกใจพี่หนึ่ง แกแต่งานแล้วนะยะยัยจอย”
“แกจะบ้าเหรอ พูดมั่วๆ ” สิรินภาแทบสำหลักเส้นก๋วยเตี๋ยว “ฉันพูดตามมารยาทที่ควรทำย่ะ อย่ามาใส่ร้ายขอร้อง”
“ไม่รู้เห็นเป็นห่วงเป็นใย” ปลายดาวชอบใจที่แหย่เพื่อนได้
“ติดต่อเจ๊นิ้งได้ยัง”
“ยัง” ปลายดาวคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวค้าง จู่ๆ น้ำตาก็คลอเบ้า “แต่คิดว่าคงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก” เธอปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว แล้วคีบเส้นเข้าปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอไม่อยากอ่อนแอเพราะแค่นี้เธอก็รู้สึกแย่มากแล้ว
“จะกลับฝรั่งเศสเลยมั้ย” สิรินภาแตะข้อมือเพื่อนอย่างเห็นใจ ด้วยความที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับปัญหาของปลายดาวที่ฝรั่งเศส เธอเลยคิดไปว่าการที่ปลายดาวกลับไปดำรงชีวิตอยู่ที่เก่าอาจจะทำให้เพื่อนลืมเรื่องพี่สาวไปได้
“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้คิด” ปลายดาวพูดตัดบท เพราะเธอรู้อยู่เต็มอกว่าตอนนี้เธอไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว
“ถ้ายังโอเคกับที่นี่ก็อยู่บ้านฉันไปก่อน ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเราก็เพื่อนกัน”
ปลายดาวนึกขอบคุณเพื่อนในใจ แม้ว่าวันนี้เธอจะไม่เหลือใครแต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีเพื่อนที่ไม่คิดจะทิ้งกันแม้ในยามยาก…
หมูโกโก้
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ต.ค. 2558, 14:39:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ค. 2559, 14:04:25 น.
จำนวนการเข้าชม : 1140
<< ตอนที่ 1 | ตอนที่ 3 >> |
หมูโกโก้ 22 ต.ค. 2558, 14:40:47 น.
ถึงคุณปลาวาฬสีน้ำเงิน ลงตอนที่ 2 ให้แล้วนะคะหวังว่าคุณจะมีความสุขกับมัน
ถึงคุณปลาวาฬสีน้ำเงิน ลงตอนที่ 2 ให้แล้วนะคะหวังว่าคุณจะมีความสุขกับมัน