เล่ห์รักบงการใจ

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 4

ตอน 4
ดวงอาทิตย์ตัวแทนของความสว่างสลับกับดวงจันทร์ตัวแทนของความมืด ซึ่งเป็นวัฏจักรของธรรมชาติให้มนุษย์ได้รู้ว่าวันเวลาได้ผ่านไปแค่ไหนแล้ว แสงดวงอาทิตย์ลับหายไปพร้อมๆกับรถทัวร์คันใหญ่เลี้ยวเข้ามาจอดในรั้วมหาวิทยาลัย เสียงเพลงฉิ่งฉับทัวร์ดังกระหึ่มทิ้งท้ายให้ทุกคนได้สนุกกันเต็มที่ หลายคนยังเต้นกันอยู่ อีกหลายคนก็เดินลงมายืนอยู่ข้างรถรอกระเป๋าที่เด็กรถกำลังลำเลียงออกมาวางไว้ให้

อนุชลงมายืนรอกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ทั้งหญิงและชาย แต่ยังเต้นยึกๆยักๆกันเพราะยังมันส์ในอารมณ์ แถมยังจับมือเธอให้เต้นด้วยกัน เธอเต้นตามอย่างสนุก แต่ไม่นานความบันเทิงก็ค่อยๆหยุดลง เพราะถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันกลับ อนุชหยิบเป้ขึ้นมาคล้องไหล่ โบกมือบ๊ายบายเพื่อน แล้วเดินไปที่จุดนัดพบกับคนเป็นพ่อ

คิมจับตาดูร่างอรชรที่เขาเห็นตั้งแต่เดินลงมาจากรถอันธพาลที่เปิดเพลงเสียงดังนั่นแล้ว ภาพที่เธอเต้นยึกๆยักๆก็เข้ามาอยู่ในความทรงจำเขาแล้วเช่นกัน มันน่าจับตีก้นอีกสักทีสองที ที่ทำตัวก๋ากั่นขนาดนั้น แล้วดูสภาพที่ลงมาจากรถ หน้ามอมยังกับแมว ผมที่มัดไว้เป็นหางม้ารุ่ยร่ายลงมาเคลียบ่าเคลียแก้ม เสื้อผ้าที่ใส่กางเกงยีนที่ขาดตรงหัวเข่ากับเสื้อยืดสีขาว ทำให้เขาเปรียบเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากเด็กสก็อย

อนุชเปิดยิ้มให้คนเป็นพ่อเต็มที่ แต่รอยยิ้มค่อยๆหายไป เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ ณ จุดนัดพบไม่ใช่คนเป็นพ่อ กวาดตามองหาก็ไม่เห็น จึงดึงสายตามาสบตาคมที่มองอยู่ ยกมือขึ้นไหว้เช่นทุกครั้งที่เจอ

“พ่อเธอไปต่างจังหวัด ฝากฉันมารับแทน”

อนุชไม่แปลกใจเพราะทำความเข้าใจในอาชีพของพ่อไว้แล้ว ว่าถ้ามีกรณีแบบนี้เธอจะต้องไปอยู่บ้านไข่มุก “ขอบคุณค่ะ งั้นฝากคุณกลับไปด้วยนะคะ ดิฉันกลับเองได้” เธอตอบกลับอย่างหมั่นไส้ เพราะคำพูดที่ฟังช่างเป็นความกรุณาเสียเหลือเกิน
“อย่าเรื่องมาก ขึ้นรถได้แล้ว”

“ไม่ได้เรื่องมาก แต่บอกแล้วว่ากลับเองได้” พูดจบเธอก็หมุนตัวจะเดินไป แต่ต้องหันกลับมามองหน้าคม ที่พูดขึ้นมาว่า

“งั้นพ่อเธอก็เตรียมตัวตกงานได้เลย เพราะขัดคำสั่ง”

“พ่อไม่ได้ขัด”

“แต่พ่อกับลูกที่มีสายเลือดเดียวกัน ก็เหมือนเป็นคนๆเดียวกัน เมื่อคนหนึ่งไม่ขัด อีกคนก็ต้องขัดเหมือนกัน”

“ทฤษฎีอะไรของคุณ บ้าบอที่สุด”

“แล้วจะฉลาดหรือโง่”

อนุชกัดริมฝีปากอย่างสุดเคือง แล้วต้องฉลาดเพื่อไม่ให้พ่อตกงาน เชิดหน้าขึ้นเดินไปที่รถ แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูรถด้านหลังที่เธอหมายจะขึ้นไปนั่งเป็นคุณนายให้เขาเป็นคนขับ ต้องพังทลาย เมื่อเขาโยนกุญแจรถมาให้เธอ ซึ่งก็ยกมือขึ้นรับโดยอัตโนมัติ พร้อมกับได้ยินเขาบอกว่า

“หน้าที่เธอ”

พูดจบคิมก็เดินไปเปิดประตูรถ อนุชจึงต้องถอยร่นออกมา ตีหน้ายักษ์ใส่ร่างสูงที่เข้าไปนั่งคอแข็งอยู่ในรถ เธอยกมือขึ้นปัดเส้นที่ปรกหน้าอยู่อย่างขัดใจ ก่อนจะเปิดประตูรถดึงเป้ออกมาจากหลังวางไว้ที่เบาะหน้า แล้วเดินอ้อมหน้ารถเปิดประตูขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็ดึงสายเบลล์มาคาดตัว ก็ขับเคลื่อนรถออกไปทั้งที่ขุ่นเคืองใจเป็นที่สุด แต่ไม่นานคนโง่อย่างเธอที่เขาว่าไว้ ก็เปิดวิทยุหาคลื่นลูกทุ่งมันส์ๆ ร้องตามเต้นตามลั่นรถ

‘มันแน่นอก ต้องยก ให้แบกเอาไว้ นานไปก็ใจถลอก มันแน่นอก....

คิมตวัดสายตามองอย่างดุๆ แต่อนุชจะสนใจหรือก็ไม่ เธอขับรถไปร้องไป โยกตัวไปอย่างสุดมันส์ ก่อนจะอารมณ์ค้าง เพราะเสียงเพลงหายไป เพราะเจ้าของรถโน้มตัวยื่นมือมาปิด หญิงสาวหันหน้ามามองจนหน้าเกือบจะชนกับหน้าเขา ตาสบกันจนต้องรีบหันไปมองถนนเพราะใจที่เต้นขึ้นมาอย่างแปลก และยังรู้สึกถึงรอยอุ่นจากลมหายใจเขาที่เป่ารดแก้ม แล้วรีบกดความรู้สึกเหล่านั้นให้หายไป เมื่อมีเสียงขู่ดังขึ้น

“ถ้าเปิดอีก ฉันจะหักนิ้วเธอ และถ้าร้องออกมา ฉันจะพาไปให้หมอเย็บปากเสีย”

อนุชเม้มริมฝีปากเพื่อไม่ให้เผลอลองดีกับเขา ส่วนคิมเมื่อเห็นเธอนิ่ง ก็ดึงตัวกลับมานั่งที่เดิม แต่ไม่นานคนที่นิ่งมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็เปิดไฟเลี้ยวนำรถเข้าจอดข้างทาง และพูดขึ้นลอยๆว่า

“ดิฉันหิว”

“ไปกินที่บ้านฉัน”

อนุชไม่สนใจ เธอปลดล็อกสายเบลล์เพื่อลงไปหาอะไรกิน แต่แรงกดที่หัวไหล่ทำให้ออกไปไม่ได้ จึงหันมามองหน้าคมอย่างไม่พอใจ แต่กลับถูกเขาพูดใส่หน้าว่า “ทำไมถึงดื้อนักนะ”

“แล้วทำไมคุณไม่ฟังดิฉันละ”

“แล้วทำไมฉันต้องฟังเธอ เมื่อเธอเป็นลูกจ้าง ต้องฟังฉันที่เป็นนาย ไม่ใช่มาดื้อใส่ แต่ควรจะจำใส่ใจไว้ว่าต้องทำตามที่ฉันสั่งเท่านั้น”

“แต่ดิฉันไม่ใช่ลูกจ้างคุณ”

“งั้นก็เชิญ”

เสียงกระด้างกร้าวขึ้นพร้อมกับฝ่ามือหนักที่ยกออกไปจากไหล่เธอ อนุชอยากจะเปิดประตูลงไปนัก แต่สามัญสำนึกสุดท้ายที่เหนี่ยวรั้งไว้คือพ่อ จำให้ต้องเลิกพยศ กดล็อกสายเบลล์ ขับรถเคลื่อนออกไป โดยไม่พูดอะไรอีก จนเลี้ยวเข้าสู่บ้านหลังเบ้อเร่อ นำรถมาจอดตรงบันไดประตูทางเข้า ก็ปลดล็อกสายเบลล์เปิดประตูรถ พาตัวออกมาเปิดประตูรถให้เขา

คิมก้าวออกมายืนอยู่ข้างรถ อนุชปิดประตู แล้วเดินไปเปิดประตูด้านหน้าหยิบกระเป๋าเป้ตัวเองออกมาคล้องไหล่ แต่เพียงจะก้าวออกไปข้อมือเธอถูกมือเขายึดเอาไว้ จึงเงยหน้ามองอย่างไม่พอใจ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกดึงให้เดินขึ้นบันไดตามเขาเข้าไปในบ้าน เธอพยายามบิดข้อมือออกพร้อมขืนตัวไม่ให้เดินตามเข้าไป แต่ไม่เป็นผล ตัวเธอยังปลิวติดมือเขาไป

“นี่คุณ ปล่อยนะ จะพาไปไหน ดิฉันจะกลับบ้าน”

“เธอต้องอยู่ที่นี่”

“ไม่อยู่”

คิมหยุดตัวเองแล้วหันขวับมาจนอนุชเบรกตัวเองไม่อยู่ถลาเข้าไปชนอกเขาเต็มๆ พอเงยหน้าขึ้น เสียงกร้าวต่ำก็ท้าทายเธอออกมา “จะลองหรือเปล่า”

อนุชเชิดหน้าขึ้นเหมือนจะลอง แต่ต้องยินยอมเพราะสีหน้าที่จริงจังของเขาบอกให้รู้ว่าถ้าเธอทำอะไรไป จะถูกภาคทัณฑ์กลับมาทันที จึงสะบัดหน้าไปทางอื่น... เห็นท่าทางที่ยอมอย่างไม่เต็มใจ คิมก็หมุนตัวเดินต่อไป ทั้งที่ยังไม่ปล่อยแขนเธอ อนุชเดินตามไปอย่างกระแทกกระทั้น จนเข้ามายืนอยู่กลางห้องโถง แม่บ้านของเขาก็เดินออกมา มองคุณคิมที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจับมือผู้หญิงคนใดเข้ามาในบ้านอย่างแปลกใจ

“จัดห้องให้อนุชด้วย ตรงข้ามห้องฉัน”

“ค่ะ” รับคำสั่งแล้ว แม่บ้านก็เดินผละไป โดยไม่มีคำถามใด เพราะพึ่งระลึกไว้ว่าเป็นเรื่องของเจ้านาย

ขณะที่อนุชก็พยายามบิดข้อมือออกจากมือเขาให้ได้ คิมหรุบตาลงมองเพียงนิด ก็คลายมือออก เธอยกข้อมือขึ้นดู ก็เห็นรอยแดงเป็นรอยนิ้วรอบข้อมือเธอ จึงมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ แต่ไม่ได้ต่อว่าออกมานอกจากจะถามว่า

“ทำไมดิฉันต้องอยู่ที่นี่ด้วย”

“ทำงานแทนพ่อเธอไง”

“จะบ้าเหรอ ดิฉันไม่ได้ว่างขนาดมาขับรถให้คุณทั้งวันนะ ดิฉันมีงานเยอะแยะต้องไปทำ ที่สำคัญต้องไปเรียนหนังสือ จะมาเป็นคนขับรถให้คุณได้ไง”

“ฉันก็ไม่ได้ไปไหนทั้งวันเหมือนกัน เช้าไปส่งฉันที่บริษัท เย็นไปรับ กลางวันก็ไปเรียน แค่นี้เอง มันจะยากตรงไหน”
“ตรงที่คุณเอาแต่ใจและเรื่องมากไง” อนุชว่าเข้าให้ แล้วเมินหน้าไปทางอื่นอย่างไม่อยากมองหน้าเขา แต่ต้องหันกลับมามองเพราะโดนจับแขนอีก จึงอ้าปากจะต่อว่า แต่ปลายนิ้วที่ลูบแผ่วตรงรอยแดง ทำให้เสียงเธอหายไป

“เจ็บหรือเปล่า”

อนุชกะพริบตาเพราะปรับอารมณ์ไม่ทัน แต่ก็ตอบออกมาว่า “เปล่า” พลางดึงข้อมือออกจากมือหนา ซึ่งก็คลายให้โดยดี แต่สั่งเธอว่า

“ไปพักได้แล้ว อีกชั่วโมงลงมาทานข้าวกับฉัน”

อนุชรับฟังแต่ไม่รับปาก คนสั่งจึงยังไม่ไป ยังยืนมองเธออยู่ จนรู้สึกอึดอัดนั่นแหละจึงรับปากเขาไป “ค่ะ”

ได้ฟังคำที่ต้องการแล้ว ร่างสูงจึงเดินขึ้นบันไดโค้งมนไปชั้นสอง อนุชจึงถอนหายใจออกมาแรงๆ ที่หลุดออกมาจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเสียที แล้วตาโตยิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้าแมวเหมียวที่เก็บได้เมื่อวันก่อน เดินร้องเหมียวๆเข้ามาในห้องที่ยืนอยู่

“เจ้าเหมียว” เธอเรียกพลางถลาไปหามันด้วยความดีใจ โดยไม่เห็นว่าท่าทางของเธอนั้นตกอยู่ในสายตาของคนที่กำลังเดินขึ้นบันไดด้วย อนุชนั่งลงลูบหัวมันพลางถามอย่างกับมันฟังภาษาคนรู้เรื่อง “แกสบายดีไหม แต่ขนฟูขึ้น ตัวเกลี้ยงหน้ากลมขนาดนี้ แสดงว่าดี” เธอว่าแล้วจับมันขึ้นมานั่งบนตัก เล่นกับมันจนกระทั่งแม่บ้านเดินมาหา ก็ปล่อยแมวเหมียวลงจากตัก ลุกขึ้นยืนยิ้มให้คุณแม่บ้าน แล้วถามว่า

“มันเลี้ยงยากไหมคะ”

“ไม่ค่ะ มันน่ารักและขี้อ้อนค่ะ”

“ขอบคุณที่เลี้ยงมันนะคะ”

“คนที่คุณต้องขอบคุณ คือคุณคิมไม่ใช่ป้าค่ะ ถึงป้าจะเลี้ยงมันแต่ทุกอย่างที่ใช้เลี้ยงมันมาจากคุณคิม”

อนุชยิ้มให้อย่างเข้าใจ และทอดสายตามองมันที่เดินอาดๆไม่สนใจใครออกไปจากห้อง ทางท่าของมันทำให้เธอนึกถึงเจ้าของบ้านที่เย่อหยิ่งพอกัน

“ป้าชื่อจิตร ห้องของคุณจัดเรียบร้อยแล้ว ขึ้นไปพักเถอะค่ะ”

เสียงนางจิตรที่ดังขึ้น ดึงสายตาอนุชกลับมามองนาง แล้วยกมือขึ้นไหว้ พร้อมกับบอกว่า “ขอบคุณค่ะ หนูชื่ออนุชค่ะ ป้าจิตรเรียกนุชก็พอ ไม่ต้องเรียกคุณหรอกค่ะ”

“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณเป็นแขกของคุณคิมป้าต้องเรียกเพื่อให้เกียรติ งั้นป้าเรียกคุณว่าคุณนุชก็แล้วกัน”

อนุชอยากจะปฏิเสธ แต่ดูท่าทางนางจิตรจะไม่ยอม จึงต้องอย่างจำยอมและเดินตามนางที่เดินนำไปขึ้นบันไดวนไปยังชั้นสอง ตรงไปยังห้องพักที่จัดไว้ให้ อนุชมองภาพที่แขวงไว้บนผนัง ซึ่งเป็นลายเส้นที่อ่อนช้อยสวยงามและแปลกแตกต่างกันออกไป แต่จะให้เข้าใจความหมายเธอไม่มีความสามารถขนาดนั้น แล้วดึงสายตากลับมาเมื่อนางจิตรหยุดยืนหน้าประตูสีขาว ก่อนจะเปิดเข้าไป

อนุชเดินตามเข้ามา สายตาเธอปะทะกับความสวยงามกว้างขวางของห้อง ตกแต่งด้วยโทนสีขาว ตู้เตียงผ้าม่านเข้าชุดกันจนเธอไม่กล้าขยับเข้าไปมากกว่าที่ยืนอยู่ เพราะกลัวจะทำให้ห้องสวยๆสกปรก ได้แต่ยืนมอง จนนางจิตรถามขึ้น

“ไม่ถูกใจเหรอคะ

“ถูกใจค่ะ แต่ห้องมันใหญ่และสวยเกินไป ไม่เหมาะกับนุชเลย มีห้องเล็กๆให้นุชพักไหมคะ”

“มีค่ะ แต่คุณคิมบอกให้คุณพักห้องนี้”

“เปลี่ยนไม่ได้เหรอคะ”

“ไม่มีใครเคยขัดใจคุณคิมค่ะ”
อนุชเม้มริมฝีปากเมื่อเข้าใจคำว่าไม่ขัดใจ จึงเดินเข้าไปหยุดยืนข้างโซฟายาวปลายเตียง ปลดเป้จากหลังวางไว้บนพื้นห้อง กวาดตามองไปรอบห้องอีกครั้ง ก่อนจะหยุดที่ระเบียง ซึ่งมีต้นไม้พลิ้วไปตามแรงลม ออกดอกสีแดงแซมขาวขึ้นมา ให้น่าสนใจ แต่อนุชยังไม่ทันได้เดินไปดู เสียงนางจิตรบอกว่า

“คุณนุชพักได้ตามสบายนะคะ ห้องน้ำอยู่ข้างใน ขาดเหลืออะไรอีกก็บอกได้เลย ส่วนกระเป๋าส่งมาให้ป้าเถอะค่ะ ป้าจะจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ไว้ให้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ นุชทำเองได้ อีกอย่างเสื้อผ้าในเป้นี้ใส่แล้วทั้งนั้น นุชจะเอาไปซักก่อน ป้าจิตรมีที่ให้ซักไหมคะ”

“มีค่ะ แต่ไม่ให้ซักค่ะ คุณนุชหยิบที่จะใส่ไว้ ที่เหลือเดี๋ยวป้าให้เด็กจัดการให้”

อนุชยิ้มให้อย่างอ่อนใจที่ไม่สามารถทำตามใจได้สักอย่าง หยิบเป้ไปวางไว้บนโซฟาปลายเตียง จัดการเปิดกระเป๋า หยิบเสื้อผ้าที่เหลือพอจะใส่ได้ออกมาพร้อมชุดชั้นใน กระเป๋าเครื่องสำอางค์ งานฝีมือที่เธอพกไปทำในเวลาว่าง กระเป๋าสตางค์ และของอีกสองสามอย่าง ก็ส่งเป้ให้นางจิตร ซึ่งก็รับไปถือไว้

“พรุ่งนี้เช้าป้าจะเอามาคืนให้นะคะ”

นางจิตรบอก และก่อนจะออกจากห้องไปก็ย้ำเรื่องที่เธอต้องไปทานข้าวกับเจ้าของบ้านที่ชอบออกคำสั่งเหมือนกัน
ประตูห้องปิดลง อนุชก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อารมณ์ที่จะชื่นชมความสวยงามของห้องหมดไปตั้งแต่ได้ยินชื่อเจ้าของบ้านแล้ว แล้วหยิบโทรศัพท์มากดหาคนเป็นพ่อ แต่ปรากฏว่าติดต่อไม่ได้ กดอีกครั้งก็เหมือนเดิม จึงหยิบเสื้อผ้าไปเข้าห้อง อาบน้ำรอออกไปเจอคนชอบสั่ง
***********
ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปพร้อมๆกับรถยนต์คันหรู เลี้ยวผ่านประตูอัลลอยสีทองเข้าไปจอดหน้าบันไดคฤหาสน์หลังใหญ่ คนขับรถเปิดประตูลงมาเปิดประตูด้านหลังให้คนเป็นนายที่นั่งอยู่ ซึ่งก็พาตัวเองออกมายืนข้างรถ แล้วเดินตัดสนามหญ้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กตัดที่วางอยู่กลางสนาม

“คุณแม่” เสียงเรียกที่ได้ยินทำให้นางศิริหันไปมอง ก่อนจะเปิดยิ้มให้ลูกสาวของนาง ที่เดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ “อากาศดีนะคะ”

“ใช่ วันนี้อากาศดี ราวกับจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น”

“คุณแม่คิดอย่างงั้นเหรอคะ”

“ใช่ และแม่ก็รออยู่ว่าศิจะมีอะไรมาบอกแม่หรือเปล่า”
ศิริพักต์สบตาคนเป็นแม่อย่างแปลกใจ ที่พูดราวกับอ่านใจเธอออก เพราะเธอเพิ่งตัดสินใจว่าจะบอกเรื่องสำคัญที่เพิ่งได้ไปเจอมาเมื่ออาทิตย์ก่อนให้ท่านรู้ แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่การที่เธอกับแม่มีกันอยู่เพียงสองคน จึงไม่มีเรื่องใดที่ต้องปิดบังกัน

“แม่รู้ใจศิจังค่ะ”

“แม่มีศิและศิก็มีแม่ ครอบครัวเรามีมากกว่านี้ แต่ก็เหมือนเรามีกันแค่สองคน แม่เลี้ยงศิมาตั้งแต่อยู่ในท้อง จนเติบใหญ่กว่าแม่แล้ว แม่ภูมิใจในตัวศิมาก ศิคิดอะไรก็มักแสดงออกมาทางสีหน้าให้แม่รู้หมด”

“ศิไม่ได้ดีขนาดนั้น แม่ก็รู้”

นางศิรินิ่งไปเพียงนิดก็ปัดเรื่องที่คิดคำนึงออกไป “ว่าไงตกลงมีเรื่องอะไรจะบอกแม่ไหม”

ศิริพักต์หรุบตาลงคล้ายกำลังตัดสินใจ และในที่สุดก็เล่าเรื่องที่ได้เจอกับเด็กหนุ่มคนขับรถของเจ้าของคาร์ริกให้ฟัง “เขาเหมือนมากเลยนะคะแม่ มากจนศิคิดว่าใช่ จึงไปขอคุณคิมพบตัว แต่ไม่ได้พบ เพราะเด็กคนนั้นไม่ใช่คนขับรถของเขา แต่เป็นลูกของคนขับรถของเขา”

“ลูก”

“ค่ะ ลูก ที่ทำให้หัวใจศิแทบจะหยุดเต้น เพราะถ้าใช่อย่างที่ศิคิดไว้จริงๆ เด็กคนนั้นก็จะเป็น...”

“ศิ” เสียงคนเป็นแม่แทรกขึ้นขณะใจก็หวั่นไปกับสิ่งที่ได้รู้ “ศิมั่นใจเกินไปหรือเปล่า บางทีมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราคิดก็ได้นะลูก แม่ว่าศิควรจะให้สืบให้แน่ใจ แล้วค่อยชี้ชัดลงไปก็ยังไม่สายนะลูก”

“มันสายมานานแล้วค่ะแม่ ศิไม่อยากให้สายไปกว่านี้แล้ว ศิอยากเจอทั้งเขาและเด็กคนนั้น อยากเจอเพื่อให้ภาพที่หลอกหลอนศิมายี่สิบปีหายไปเสียที”

นางศิริจับมือลูกบีบปลอบใจ ขณะสายตาของนางก็มีแววรำลึกถึงเรื่องเก่าก่อน ที่เป็นบาดแผลของตระกูล คนภายนอกต่างว่านางโชคดีมีลูกที่ดี มีสามีก็ดี แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ความดีที่มี ยังมีเรื่องด่างพร้อยของตระกูลซ่อนเร้นอยู่ แม้คนภายนอกไม่เห็น แต่ตานางเห็นและใจก็เป็นทุกข์มากกว่าคนเป็นลูกหลายเท่า เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในฐานะแม่ย่อมเจ็บกว่าลูกอยู่แล้ว

“แล้วศิจะทำยังไงต่อไป”

“ยังไม่รู้เลยค่ะแม่ ไม่รู้ว่าจะพูดกับคุณคิมยังไง เพื่อขอพบคนของเขาอีกครั้ง เพราะครั้งแรกเขาก็สงสัยศิพอสมควรแล้ว”

“เราต้องร่วมงานกับเขาไม่ใช่เหรอลูก โอกาสของเราก็ยังมี”

“ค่ะ แต่โอกาสจะมีให้ศิสักกี่ครั้งกัน เพื่อให้ศิได้ชดใช้สิ่งที่ทำลงไปเสียทีนี่ซิคะที่ศิกังวล”

“แต่อย่างน้อยการที่ศิได้เจอ ได้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่ไหน แม้จะยังไม่แน่ชัด ก็ทำให้ทุกข์ในใจของศิเบาบางลงไม่ใช่เหรอลูก”

ศิริพักต์อยากตอบว่าใช่ แต่ความจริงแล้วยังไม่ใช่ เธอตวัดสายตาไปมองท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ที่ยังไม่รู้ว่าเส้นขอบฟ้าอยู่ตรงไหน เช่นเดียวกับเรื่องของเธอที่ยังไม่รู้ว่าจะจบลงยังไง หลายปีที่ผ่านมาแม้จะทุกข์แต่การไม่รู้ ก็ไม่ทำให้เธอทุกข์เหมือนการได้รู้อย่างวันนี้
*******
โคมไฟดวงใหญ่ส่องสว่างอยู่กลางห้องสีขาว เจ้าของห้องหมาดๆนั่งอยู่บนขอบเตียง มองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง เวลาที่เจ้าบ้านบอกไว้ใกล้เข้ามาแล้ว จากที่คิดว่าจะออกไปพบเขาตามคำสั่ง เธอต้องคิดใหม่ เพราะเสื้อผ้าที่เหลือให้ใส่ไม่เหมาะที่จะออกไปนอกห้องเลย

เสื้อยืดบางๆกับกางเกงขาสั้นที่เธอมีไว้ใส่นอนสบายๆจะให้คนอื่นเห็นได้ไง แต่จะทำยังไงในเมื่อเธอไม่มีเสื้อผ้าชุดอื่นแล้ว จะไปขอยืมเสื้อผ้าป้าจิตรเธอก็ไม่รู้ว่าป้าจิตรพักตรงไหน จะเดินทะเล่อทะล่าออกไปก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่บ้านของตัวเอง “เฮ้อ” อนุชถอนหายใจออกมา แล้วลุกขึ้นไปยืนหน้ากระจก มองตัวเองอีกครั้ง

บราสีแดงตัดกับเสื้อยืดสีขาวอย่างเด่นชัด แถมกางเกงก็สั้นน่าหวาดเสียวอีกต่างหาก “จะออกไปยังไงเนี๋ย” อนุชคิดพลางมองหาตัวช่วย ที่จะไม่ต้องทนต่อสายตาและวาจาเขาที่จะต้องมองและว่าเธอแน่นอน “งั้นก็ไม่ต้องออกไป ถ้าป้าจิตรมาตามก็บอกว่าไม่สบาย แล้วถ้าเขามาตามละ”

อนุชหน้ามุ่ยลงทันที เมื่อตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะทำยังไง และคนที่ชอบสั่งอย่างนั้น ไม่มีทางที่จะยอมแน่นอนและอาจจะมีคำพูดให้เธอได้แสบๆคันๆอีก

“ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูทำให้อนุชหันไปมองหวั่นๆ ก่อนจะถามออกไป “ใครค่ะ”

“ฉันเอง”

เธอหน้าเสียทันที หันรีหันขวางว่าจะทำยังไงดี แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ ดึงผ้าขนหนูมาพันเอว อีกผืนก็เอามาคลุมไหล่ จับชายให้มาทบกันกลางอกไว้แน่น ก็เดินออกไปยืนข่มอารมณ์อยู่หน้าประตู ก่อนจะค่อยๆเปิดประตูออก ทั้งที่หน้าบอกว่าไม่เต็มใจ

ดวงตาคมกริบฉายแววแปลกใจ เมื่อเห็นการแต่งตัวของหญิงสาวที่เหมือนตัวหนอนอยู่ในดักแด้ แต่เพียงแวบก็นิ่งเรียบอย่างเดิมและถามออกมา “เป็นอะไร”

“หนาว”

“ไม่สบายหรือเปล่า”

“เปล่า” อนุชตอบแบบประหยัดคำ เพราะไม่อยากให้เขาซักมากกว่านี้ แต่ความสงสัยยังไม่หมดไปจากสายตาคิม

“อยากให้ฉันกอดหรือไง”

อนุชงงกับคำถามก่อนจะมองหน้าคมอย่างไม่พอใจ “ดิฉันทำอย่างนั้นเมื่อไหร่กัน”

“แล้วที่ทำอยู่คืออะไร ปิดนิดปิดหน่อยอยากเรียกร้องความสนใจเหรอ”

“ปิดนิดปิดหน่อยที่ไหน ดิฉันออกจะปิดมิดชิด ตาหาเรื่องชะมัด”

“เป็นเด็กเป็นเล็ก พูดแทนตัวเองว่าดิฉัน มันไม่น่ารักรู้ไหม”

“เรื่องของดิฉัน”

“แต่ตอนนี้เธออยู่ในบ้านฉัน เรื่องของเธอก็คือเรื่องของฉัน และอย่าพูดให้ได้ยินอีกนะ ไปทานข้าวได้แล้ว” พูดจบคิมก็หมุนตัวเดินนำไป

อนุชหน้าหงิกงออย่างไม่พอใจที่ถูกบังคับ ขณะสายตามองตามร่างสูงไปอย่างดื้อดึง แล้วลากเท้าเดินตามเขาไป ลงบันไดมาถึงชั้นล่าง กระทั่งเดินเข้ามาในห้องอาหาร เธอเห็นเขานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะตัวยาวสิบที่นั่ง จึงจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ท้ายโต๊ะ จะได้ห่างเขา แต่...

“ทางนี้ค่ะ คุณนุช”

นางจิตรบอกพร้อมทั้งแอบขำการแต่งตัวปนเอ็นดูหญิงสาว อนุชอยากจะดื้อกับนางจิตร แต่นางเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ จึงลากเท้าเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่นางเลื่อนออกไว้รอทางขวามือคนที่เธอไม่อยากจะเข้าไปยุ่งอย่างเกรงใจ พอนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นางจิตรก็พยักหน้าให้สาวใช้ ตักข้าวใส่จานทันที

อนุชมองกับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะมากกว่าที่เธอกับคนเป็นพ่อเคยกินกันตั้งสามสี่อย่าง แถมยังมีผลไม้และของหวานอีก ก็ค่อนขอดเขาในใจตามประสาคนจนที่มักจะกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกินเหมือนคนรวย

คิมปรายตามองหน้าสวยใสเพียงนิด ก็เริ่มลงมือทานข้าว อนุชทานตามเงียบๆ รสชาติอาหารอร่อยถูกปากเธอจนหันไปมองนางจิตร ยิ้มหวานให้อย่างขอบคุณ แต่สำหรับเจ้าของบ้าน ไม่มีสิ่งใดให้ เธอนั่งทานข้าวกับเขาไป โดยไม่รู้ว่าวันนี้เจ้าของบ้านทานข้าวได้มากกว่าทุกวัน จนกระทั่งอิ่มก็วางช้อน ดื่มน้ำตามเรียบร้อยก็ขยับตัวจะลุก เสียงอันทรงพลังก็ดังขึ้น

“จะไปไหน”

“กลับห้อง”

“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยตามมา”

สั่งจบ ร่างสูงก็ลุกขึ้นก้าวออกจากห้องอาหาร แต่ยังไม่รู้สึกถึงปฏิกิริยาใดๆ จึงหันมามองด้านหลัง นัยน์ตาดุๆที่มองมา ทำให้อนุชที่นั่งทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่อยากทำตามคำสั่ง จำต้องลุกขึ้นลากเท้าตามไป นางจิตรมองตามไปเพียงนิด ก็หันไปพยักหน้าให้เด็กๆเก็บโต๊ะ

ร่างอรชรเดินตามร่างสูงจนเข้ามาในห้องๆหนึ่ง ที่ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไร แต่พอมองไปรอบๆที่มีเอกสารต่างๆวางอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ที่เขายืนอิงอยู่ ก็พอจะรู้ว่าเป็นห้องทำงาน คิมยกมือกอดอก ทอดสายตามองร่างอรชรที่ห่อด้วยผ้าขนหนูราวดักแด้ ยืนอยู่ไม่ห่างแต่เมินมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจเขา

“นั่งซิ”

คำสั่งที่ดังขึ้นทำให้อนุชละสายตามาสบตาคม แต่ไม่ทำตามคำสั่ง “คุณจะพูดอะไรก็พูดมาเลย”

“พรุ่งนี้มีเรียนหรือเปล่า”

“มี”

“ค่ะ”

อนุชเม้มริมฝีปาก เมื่อปากเขาพูดแต่สายตาเขากำลังตำหนิเธอที่พูดเหมือนพวกไร้การศึกษา ไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะรู้ถึงมารยาทเวลาพูดกับผู้ใหญ่ จึงต้องพูดออกไปอย่างเสียไม่ได้ “ค่ะ”

“แล้วหนังสือกับชุดนักศึกษา”

“อยู่ที่บ้าน พรุ่งนี้ส่งคุณเสร็จแล้ว ดิฉันจะแวะไปเอา ก่อนไปเรียน”

คิมปิดเปลือกตาลงเพียงนิด ก็เปิดขึ้นมองใบหน้างาม ดันตัวออกมาจากโต๊ะเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเธอ “ทำไมไม่จำที่ฉันบอก หรือคิดว่าฉันเป็นเพื่อนเล่นเธอ ถึงไม่ใส่ใจ ไม่จำเป็นต้องจำ คล้ายสีซอให้ควายฟัง ถ้าคิดอย่างนั้น ก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องคิดมากอะไรกันอีกแล้ว”

“แล้วทำไมดิฉันจะต้องจำหรือฟังด้วย คุณไม่ใช่คนสำคัญ ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่นายจ้าง ไม่ใช่คนที่ดิฉันเคารพ ถึงจะต้องจดจำในสิ่งที่คุณบอก และดิฉันก็ไม่เห็นว่า ดิฉันพูดไม่ดี ไม่มีมารยาทการศึกษา อย่างที่คุณกำลังดูถูกอยู่ตรงไหน และคุณจะต้องคิดมากเรื่องอะไร”

“ไม่รู้จริงๆเหรอ”

“ถ้าดิฉันรู้แล้วจะถามคุณทำไม”

อนุชย้อนอย่างไร้ความเกรงกลัว ตัวเธอก็เป็นอย่างนี้ การเติบโตมากับชุมชนที่คนส่วนใหญ่ต้องหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเวลามานั่งคิดหาคำสวยหรูใดๆมาพูดให้เสนาะเพราะพริ้ง มีอะไรก็พูดไปตรงๆให้จบๆกันไป จะได้ไม่ต้องมานั่งค้างคาใจกันอีก แต่แววตาคมที่มอง ทำให้เธอรู้สึกแปลก และกำชายผ้าขนหนูที่อกไว้แน่น

“พูดธุระของคุณจบหรือยัง”

“ยัง”

“งั้นก็รีบพูดมา”

“มีคนสนใจเธอ” อนุชนิ่งไป และเมินมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่กล้าสบตาเขาอย่างเคย ขณะที่คิมก็มองใบหน้าสวยใสไม่วางตา “จะไม่ถามหรือว่าใคร”

“คุณก็บอกมาซิ”

“พูดดีๆแล้วจะบอก”

อนุชรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องที่กำลังสั่งสอนเธออยู่ แต่ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญกับเสียงเขาที่ทุ้มนุ่มลง จนเธอรู้สึกเหมือนเขาอ้อนอยู่ใกล้ๆ “ไม่รู้ก็ได้” เธอพึมพำบอก แล้วขยับตัวจะเดินออกไปจากห้อง แต่... “อุ้ย” เสียงหวานดังแผ่วเมื่อชนกับอกเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว

คิมที่เลื่อนตัวเองมาขวางเธอไว้ ยกมือขึ้นจับแขนเรียว ขณะที่อนุชก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าคม สบเข้ากับดวงตาเขาที่หลุบลงมองพอดี เธอหน้างอให้เห็นอย่างไม่ชอบใจทั้งที่ใจเต้นแรง แก้มก็เหมือนจะร้อนผ่าวเพราะความใกล้ชิดจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้น แล้วปรายตามองมือหนาที่เลื่อนลงมาจับข้อมือเธอแถมพลิกดูรอยแผลที่โดนเจ้าเหมียวข่วนให้ลงเหลือเป็นรอยจางๆ

“ไปฉีดยาครบหรือยัง”

“ครบแล้ว”

“แล้วกอดใคร”

“เพื่อน”

“เหมือนฉันหรือเหมือนเธอ”

เสียงที่เริ่มเปลี่ยนเป็นแข็ง ทำให้อนุชตวัดสายตาขึ้นมองหน้าคมที่ซักยังกับเธอเป็นจำเลยในศาล แต่คนถามมองต่ำกว่าใบหน้างาม เพราะผ้าขนหนูที่ถูกจับไว้แน่นคลายออกให้เห็นสิ่งที่ถูกปกปิดไว้ นัยน์ตาคมเก็บรายละเอียดไว้ภายใต้ความนิ่งเฉยที่อนุชไม่รู้ แต่ถึงจะมีอาหารตาที่น่ามองเพียงใด คิมก็ยังไม่ลืมเรื่องที่ถามไว้

“ว่าไง เหมือนใคร”

“เหมือนดิฉัน”

“สามสิบห้าเหมือนกันเหรอ”

อนุชกะพริบตาอย่างงงๆ และเพียงแวบเดียวสมองก็ไล่ตามคำพูดเขาได้ทันเพราะสายตาเขามองอยู่ จึงรีบก้มลงมองตัวเองแล้วรีบดึงผ้าขนหนูมาปิด ก่อนจะมองหน้าคมอย่างกรุ่นโกรธแล้วอยากจะร้องกรี๊ดเมื่อสีหน้านิ่งเฉยแต่คำพูดเชือดนิ่มๆออกมา

“ข้างล่างสีเดียวกันหรือเปล่า”
อนุชทั้งโกรธทั้งอายลืมเรื่องที่เขาคุยไว้ ผลักตัวเขาออกเต็มแรงแล้วรีบก้าวเดินไปที่ประตูเพื่อไปให้พ้นหน้าเขา แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูออกไป เสียงทุ้มที่เจือแววล้อก็ถามออกมาอีก

“ชอบสีนี้เหรอ”

อนุชหันขวับไปมองหน้าคม และบริภาษคนปากบอนอย่างโมโห “คนบ้า” แล้วรีบเปิดประตูออกไปและปิดดังปัง ก็ยืนกำมือระงับอารมณ์ของตัวเองก่อนจะรีบเดินกลับไปที่ห้อง ผิดกับคนที่ยืนอยู่หลังประตูที่แววตาเปล่งประกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
***********

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ย. 2558, 16:50:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ย. 2558, 16:50:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 3169





<< ตอน 3   ตอน 5 >>
แว่นใส 13 พ.ย. 2558, 22:11:18 น.
ถามมาได้เนอะ


konhin 14 พ.ย. 2558, 08:14:11 น.
พระเอกแอบทะลึ่งนะเนี่ย นึกว่าจะเป็นแต่เสาศิลา


นกขมิ้น 15 พ.ย. 2558, 19:34:33 น.
ติดตามตอนต่อไป


Zephyr 16 พ.ย. 2558, 23:04:50 น.
อุบ้ะ แค่มองกะขนาดได้ด้วย
ต่อไปพี่ติมคิดจะสัมผัสแน่ๆ


ผักหวาน 24 พ.ย. 2558, 12:09:12 น.
คุณหิน เอ้ยคุณคิม ทำตาเหมือนจะตะครุบเหยื่อซะงั้นนะคะ 555


แกะดำ 25 พ.ย. 2558, 01:23:01 น.
เขิล 55


innam 1 ธ.ค. 2558, 11:13:12 น.
เขิลลลลลล เหมือนกันเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account