เสน่ห์รักคล้องใจ
Tags: แต่งงาน,คลุมถุงชน,พ่อแง่แม่งอน
ตอน: ตอนที่ 8-1
สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน ^^ เอาครึ่งแรกมาส่งก่อนค่ะ บทนี้ยาวหน่อยเลยเอามาลงอย่างละครึ่ง ครึ่งสุดท้ายจะมาลงให้พรุ่งนี้ค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ ^_<
เสน่ห์รักคล้องใจ ตอนที่ 8-1
ริมฝีปากอ่อนนุ่มของพิชชาภาทำให้เขาถึงกับอดใจไม่ไหวจนต้องใช้สองมือโอบประคองแก้มนวลของเธอ แล้วเพิ่มแรงจุมพิตขึ้นอีกนิดพร้อมกับความรู้สึกหวาบหวามที่จู่โจมไปทั่วร่าง อาการเผยอริมฝีปากที่สั่นระริกตอบรับรสจูบจากเขาอย่างเชิญชวญนั้นทำให้หัวเขาหมุนติ้วราวกับลูกข่าง หลงมัวเมาไปกับความหวานล้ำจากเรียวปากอวบอิ่มของเธอจนเขาร้อนวูบวาบราวกับถูกไฟเผา จูบร้อนแรงนั้นยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง
“เฮ้ย...ไอ้วิน”
“ไอ้วินโว๊ยยย” เมธีตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นเพื่อนหนุ่มนั่งเหม่อลอยไม่สนใจที่เขาพูด แถมยังเอาแต่ยิ้มเคลิบเคลิ้มอย่างกับคนบ้าเสียสติ
อัศวินสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองเมธีอย่างงงๆ พอรู้ตัวว่าไม่ได้ยินที่เพื่อนเรียกจึงรีบกระแอมกลบเกลื่อน “อยู่กันแค่นี้จะตะโกนหาพระแสงอะไรวะ” แล้วก็ทำเป็นก้มหน้าก้มตาเซ็นเอกสารบนโต๊ะทำงานต่อ
“อ้าว ก็เรียกตั้งหลายครั้งแล้วแกไม่ตอบสักที ฉันก็ต้องตะโกนสิวะ” เมธีโวย “แล้วนี่แกเป็นไร เห็นนั่งยิ้มกับกองเอกสารอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” เขาหรี่ตามองเพื่อนหนุ่ม สงสัยนักว่าอะไรทำให้อัศวินถึงกับนั่งเหม่อใจลอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ขนาดนี้
“แกพูดบ้าอะไร ใครยิ้ม ฉันไม่ได้ยิ้มสักหน่อย” แต่โหนกแก้มกลับแดงระเรื่อที่ถูกเพื่อนจับได้
“ก็ฉันเห็นอยู่ว่าแกนั่งจ้องเอกสารไปยิ้มไปอย่างกับคนบ้า ไมวะ ในเอกสารที่แกเซ็นมันเขียนอะไรน่าขำนักหรือไง” เมธีที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาใหญ่ทำท่าว่าจะลุกขึ้นมาดูให้เห็นกับตา
อัศวินเลยยรีบสวนขึ้นทันควัน “ไม่ต้องเลยไอ้ธี นี่งานการแกไม่มีทำหรือไง มานั่งจ้องจับผิดคนอื่นเขาอยู่ได้” รีบเปลี่ยนเรื่องพูด ไม่อยากแสดงอาการให้ผิดสังเกตไปมากกว่านี้
เมธีทิ้งน้ำหนักตัวพิงโซฟา เบ้ปากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า “เฮ้อ...ก็ป๊าฉันน่ะซี๊ พยายามจะจับฉันแต่งงานให้ได้ เมื่อเช้าก็พายัยหมวยที่ไหนไม่รู้มาถึงบริษัท ฉันจึงต้องรีบเพ่นหนีมาอยู่โรงแรมแกนี่ไง” หน้าตาออกอาการเซ็งเต็มกำลัง
อัศวินอ้าปากหัวเราะลั่นเมื่อเมธีเองก็โดนจับคลุมถุงชนไม่ต่างจากเขา แต่ติดที่ว่าเขามีภาษีดีกว่าตรงที่ผู้หญิงที่มารดาเขาเลือกให้นั้นช่างถูกใจเขาเสียจริง
“สมน้ำหน้าแก หัวเราะเยาะฉันดีนัก คราวนี้เจอกับตัว รับรองถ้าป๊าแกลงมือทำด้วยตัวเองแบบนี้แล้วล่ะก็ แกไม่พ้นต้องแต่งงานเร็ว ๆ นี้แน่” เขายังหัวเราะขำไม่หยุด และคิดว่าเพื่อนหนุ่มอาจจะมีข่าวดีก่อนเขาก็เป็นได้
เมธีเห็นเพื่อนเอาใหญ่ตัวเองเลยรีบพูดข่มกลับไปบ้าง “โธ่ แกก็ใช่ว่าจะดีกว่าฉันหรอกว๊า ไอ้ที่พ่อฉันหามาให้น่ะ ถึงจะหน้าตาจืดชืดไปหน่อยแต่ก็ขาวๆ เอ๊าะ ๆ ทั้งนั้นเลยนะโว๊ย แต่ของแก เฮ้อ....ไม่อยากจะเซ่ด”
อัศวินลอบอมยิ้มกับคำสบประมาทของเพื่อนหนุ่ม แล้วพลางนึกไปถึงใบหน้าสวยหวานของพิชชาภา ดวงตากลมโตที่มีประกายสดใส รอยยิ้มน่ารักที่แต่งแต้มอยู่บนริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวนใจให้เขาได้ลองลิ้มชิมรสความหอมหวานของมัน ผิวพรรณของเธอก็เนียนนุ่มน่าสัมผัสยามที่เขาได้มีโอกาสกอดเธอไว้ในอ้อมแขนตอนที่หญิงสาวสะดุดล้มเข้าสู่อ้อมกอดของเขา และแม้ว่ารูปร่างของเธอจะไม่ได้ผอมเพรียวราวกับนางแบบ แต่หุ่นของเธอก็เซ็กซี่เร้าใจเขาไม่แพ้กัน แล้วหน้าอกหน้าใจของเธอก็......
“ไอ้วิน! นี่แกเหม่อเป็นรอบที่เท่าไรแล้ววะเนี่ย ไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยหรือไง” เมธีชักยั๊วะ ขมวดคิ้วมองหน้าเพื่อนหนุ่มด้วยความใคร่รู้ อัศวินไม่เคยนั่งเหม่อถึงสองครั้งสองคราแบบนี้มาก่อนขณะที่ทั้งคู่พูดคุยกัน
“อะไร ฉันก็นั่งหัวโด่ฟังแกอยู่นี่ไง” เขาอยากจะเขกหัวตัวเองนักที่ทำอะไรเปิ่น ๆ ออกไปให้เพื่อนสงสัย แล้วต้องโทษหญิงสาวตัวต้นเหตุที่ชอบเสนอหน้าสวย ๆ กับยิ้มหวาน ๆ ยวนใจของเธอเข้ามาในห้วงความคิดของเขาอยู่เรื่อย
“ฉันว่าพักนี้แกดูแปลก ๆ นะ ทำไมวะ ยัยคู่หมั้นอัปลักษณ์นั่นทำให้แกเครียดเหรอ”
อัศวินถึงกับสะอึกกับคำว่า ‘คู่หมั้นอัปลักษณ์’ ในใจก็นึกเคืองเมธีขึ้นมาครามครันที่เรียกพิชชาภาแบบนั้น แต่จะโทษมันก็ไม่ได้ ในเมื่อก่อนหน้านี้เวลาที่เขาพูดถึงเธอให้เพื่อนฟังทีไรก็ไม่เคยเรียกชื่อเธอให้ถูกต้องเหมาะสมเลยสักครั้ง
“แกอย่าเรียกคู่หมั้นฉันแบบนั้นอีกนะ เธอชื่อแพร ต่อไปนี้เรียกให้ถูกด้วยแล้วกัน” อัศวินเตือนเพื่อนหนุ่มด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เฮ้ย แกมาอารมณ์ไหนของแกวะไอ้วิน แต่ก่อนเห็นแกจิกเรียกเขาอย่างกับอะไรดี” เมธีถามกลั้วหัวเราะแกมประหลาดใจ
“เอ่อ...”อัศวินอึกอักเพราะไม่อยากตอบว่าเขาไม่ชอบใจที่คู่หมั้นเขาถูกเรียกแบบนั้น แต่จะยอมรับออกไปตรงๆ ก็กลัวว่า
เจ้าเพื่อนตัวดีจะหัวเราะเยาะและคงหาเรื่องมาล้อเลียนเขาแน่ ๆ
“ก็แม่ฉันน่ะสิ ด่าฉันซะเละเลยที่ไปเรียกเธอแบบนั้น แล้วนี่ถ้ารู้ว่าฉันเสี้ยมสอนแให้แกพูดตามล่ะก็ มีหวังแม่ฉันคงเอาบอระเพ็ดยัดปาก” เขาลอบถอนใจเมื่อรอดตัวไปได้หนึ่งเปราะ
เมธีหัวเราะร่า “ก็นะ แม่แกดูจะหลงว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้เอาการอยู่หนิ”
ไม่ใช่แค่แม่ฉันหรอกที่หลงเธอ ฉันเองตอนนี้ก็หลงเธอหัวปักหัวปำจนเอามานั่งเพ้อพกราวกับหนุ่มคลั่งรักก็ไม่ปาน อัศวินต่อคำตอบให้ตัวเองในใจ
และขณะที่ทั้งคู่คุยกันอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ตอบรับก็ดังขัดจังหวะพร้อมกับเสียงนุ่มๆ ของเลขาสาว
“คุณวินคะ คุณวรรณให้ดิฉันโทรมาแจ้งว่าตอนนี้ท่านกำลังเข้ามาที่โรงแรมเพื่อจะมาพบคุณ และบอกว่าให้คุณรอท่านก่อนอย่าเพิ่งกลับค่ะ”
“แม่แกนี่อายุยืนจริง ๆ พูดถึงก็มาทันทีเลย” เมธีลุกขึ้นจากโซฟา แล้วคว้าเสื้อสูทที่วางพาดไว้กับพนักขึ้นมาสวม เพราะคิดว่าคงไม่เหมาะหากจะอยู่รบกวนอัศวินต่อ
“อ้าวไอ้ธี จะไปแล้วเหรอ” อัศวินร้องถามเมื่อเห็นเมธีสวมเสื้อสูทเรียบร้อยทำท่าเตรียมตัวกลับ
“ก็ตั้งใจว่าจะอยู่รอสวัสดีแม่แกก่อนแล้วก็จะกลับเลย ไม่อยู่รบกวนแกแล้วล่ะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย นี่แม่ฉันก็คงมาชวนฉันกินข้าวเย็นด้วยกันนี่แหล่ะ ไม่มีอะไรหรอก แกเองก็ไปด้วยกันสิ แม่ฉันจะได้ไม่เหงา ทุกทีก็คุยกันอยู่สองคนแม่ลูก” อัศวินเอ่ยชวน
“อืมม...จริง ๆ ฉันก็อยากอยู่หรอกนะ แต่วันนี้ไม่ว่างจริง ๆ ว่ะ” เมธีทำสีหน้าขอโทษขอโพย ก่อนจะกระตุกยิ้มยักคิ้วให้อัศวินอย่างคนรู้กัน “ก็พอดีฉันมีนัดเย็นนี้แล้วน่ะสิ”
อัศวินหัวเราะขำ “เออ ๆ ไอ้นี่ จะไปตอดสาวที่ไหนก็ไปเลยไป”
“ไม่สนใจไปด้วยกันเหรอวะ ตามไปทีหลังก็ได้นะโว้ย คราวนี้เพื่อนสาวที่ไปด้วยกันหน้าใหม่ ๆ ทั้งน้าน” เมธีลากเสียงยาวคุยโว
อัศวินโบกมือไล่ “ไม่เอาล่ะ แกไปคนเดียวเถอะ ช่วงนี้ฉันขอบายว่ะ” พูดเสร็จก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารต่อไป
“อะไรว๊า เซ็งชิบเลย” เมธีบ่นอุบที่อยู่ ๆ เพื่อนหนุ่มก็ออกอาการเสือสิ้นลายเสียอย่างนั้น และในตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของอมลวรรณในชุดผ้าไหมสีม่วงหรูหรา ทั่วทั้งตัวประดับเพชรและต่างหูที่ดูแล้วคงแพงหูฉี่ เดินยิ้มกว้างเข้ามาในห้องแล้วเอ่ยทักทายลูกชายด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ว่าไงตาวิน ใกล้เสร็จงานหรือยังลูก”
อัศวินยิ้มให้มารดา “ใกล้แล้วครับแม่ เดี๋ยวขอผมเซ็นเอกสารบัญชีกองนี้หมดก็เสร็จแล้วครับ”
“อ้าว ตาธี มาหาวินเหรอจ๊ะ ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปเลยนะ เป็นไง สบายดีใช่ไหมจ๊ะ” อมลวรรณทักทายเพื่อนลูกชายพร้อมกับยกมือรับไหว้ชายหนุ่ม
“สวัสดีครับแม่ ช่วงนี้ผมก็เรื่อย ๆ น่ะครับ แล้วคุณแม่สบายดีนะครับ เห็นเจ้าวินบอกว่าตอนนี้คุณแม่ป่วย เอ่อ....ป่วยหนัก” เมธีเหลี่ยงที่จะพูดถึงอาการป่วยของมารดาเพื่อนด้วยความสุภาพ
“อ๋อ ก็ดีจ้ะ พักนี้ตาวินเขาอยู่บ้านดูแลแม่เกือบทุกวัน อีกอย่างอาการป่วยแม่ก็เพิ่งจะระยะแรก ไม่ได้รุนแรงมาก ยังพอมีทางรักษาหาย” หล่อนตอบด้วยรอยยิ้มสดใส
“ครับ ยังไงผมก็ขอให้คุณแม่หายป่วยไว ๆ แต่เอ...” เมธีเอียงคอ มองอมลวรรณยิ้ม ๆ
“จริง ๆ แล้วคุณแม่ดูไม่เหมือนคนป่วยเลยนะครับ ผมว่าดูหน้าเด็ก สวยสดใสขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ”
อมลวรรณปิดปากหัวเราะอาย ๆ “อุ๊ย จริงเหรอจ๊ะตาธี แหม ทำมาเป็นปากหวานใส่คนแก่ แม่น่ะไม่หลงกลธีหรอกจ้ะ”
เมธีได้ยินก็ถึงกับหัวเราะไม่หยุด “ผมไม่กล้าหรอกคร๊าบบ เดี๋ยววินมันเอาผมตาย ใช่ไหมไอ้วิน” หันไปแซวเพื่อน ยิ้มทีเล่นทีจริง อัศวินได้แต่ส่ายหัวกับท่าทางทะเล้นของเมธี
“โอ๊ยยย ตาวินน่ะเหรอจะมาสนใจแม่ เดี๋ยวนี้เขามีอย่างอื่นให้สนใจมากกว่าแล้วล่ะ” ว่าแล้วก็หันไปมองที่ประตูด้านหลัง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นคนที่พามาด้วย
“อ้าว หนูแพรทำไมยังไม่เข้ามาอีกล่ะเนี่ย” หล่อนหมุนตัวเดินไปที่ประตูตั้งใจว่าจะออกไปดูสักหน่อย
“แม่ว่าอะไรนะครับ!” อัศวินลุกพรวดขึ้นยืน ถามออกไปด้วยความตกใจระคนตื่นเต้น “น้องแพรมาที่นี่ด้วยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ วันนี้แม่ตั้งใจจะพาน้องไปทานอาหารที่โรงแรมของเรา นี่เดี๋ยวทุกคนที่บ้านโน้นก็จะตามมาทีหลัง วินก็รีบสะสางงานซะนะลูก” พูดจบหล่อนก็ตั้งท่าจะเปิดประตูออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่พิชชาภากำลังจะเคาะประตูพอดิบพอดี
“อ้าว นี่ไง หนูแพรมาแล้ว แม่ก็นึกว่าหนูหายไปไหน มาๆๆ เข้ามาเร้ว” อมลวรรณจูงแขนพิชชาภาเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของหล่อนแสดงความภาคภูมิใจเต็มที่กับว่าที่ลูกสะใภ้เมื่อเห็นเมธียืนอ้าปากหวอ จ้องมองพิชชาภาด้วยความตกตะลึง พอหันไปมองที่อีกคน ก็เห็นอาการที่แทบจะไม่ต่างกันเลย แต่พ่อลูกชายของหล่อนนั้นมองหญิงสาวด้วยแววตาหวานเชื่อม ถ้าหล่อนมองไม่ผิดประกายในดวงตานั้นบ่งบอกถึงความชื่นชมหลงใหลในตัวหญิงสาวอย่างเปิดเผย ซึ่งหล่อนก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด เพราะวันนี้พิชชาภาสวยน่ารักราวกับตุ๊กตา ชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่เธอใส่ช่วยเน้นผิวพรรณให้ดูขาวผ่องยิ่งขึ้น ใบหน้าหวานแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์เพียงเล็กน้อย ผมหยิกเป็นลอนของเธอถูกรวบมาไว้ด้านข้างมีลูกผมเป็นคลื่นคลอเคลียไหล่ให้ดูทันสมัย
“หนูแพรมารู้จักกับเพื่อนรักตาวินสิจ๊ะ นี่ตาธี เป็นเพื่อนกับวินตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วก็ไปเรียนต่อที่สวิสด้วยกัน” อมลวรรณแนะนำพิชชาภาให้รู้จักกับเมธีที่ยังคงยืนจับจ้องหญิงสาวไม่วางตาจนหล่อนต้องกระแอมเบาๆ
“เอ่อ...ขอโทษครับ พอดี ผมมัวแต่ตะลึงในความสวยของคุณแพรมากไปมากหน่อย....” เมธีพูดจาหยอกล้อตามประสาหนุ่มเจ้าชู้ พร้อมกับส่งยิ้มหวานบาดใจแล้วยื่นมือไปให้ “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ...คุณแพร”
แทนที่จะเป็นมือของพิชชาภาที่ยื่นเข้ามาจับ กลับเป็นมือของอมลวรรณที่ตีมือชายหนุ่มดังป้าบด้วยความหมั่นไส้ “แหม ให้มันน้อย ๆ หน่อยจ้ะตาธี จะไปทำเจ้าชู้ประตูดินกับสาวที่ไหนก็ได้แต่ห้ามมาเจ้าชู้ใส่คู่หมั้นตาวินของแม่เชียวนะ”
“ห๊า! นี่เหรอครับคู่หมั้นไอ้วิน” เมธีตาโต แทบจะตะโกนถาม
“ตาธีนี่ ร้องซะแม่ตกอกตกใจหมด” อมลวรรณโครงศรีษะ เอามือทาบอก
เมธียกมือไหว้หน้าหง๋อย “ขอโทษครับแม่ คือผม...ตกใจที่ได้เห็นคู่หมั้นไอ้วิน...เอ่อ สวยมาก”
อมลวรรณยิ้มหน้าบาน เอามือคล้องแขนพิชชาภาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างภูมิใจ “สวยใช่ไหมล่ะ คนนี้แหล่ะที่ทำเอาตาวินของแม่หลงเพ้อละเมอหาจนไม่เป็นอันทำอะไร”
“แม่!” อัศวินหน้าร้อนผ่าวพลางเหลือบมองไปที่พิชชาภาซึ่งเธอเองก็แก้มแดงหูแดงก้มหน้างุดเพราะความอายไม่แพ้กัน
เมธีมองสลับกันไปมาระหว่างอัศวินและพิชชาภาแล้วต้องทำหน้างุนงงสุดขีด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอัศวินเพิ่งบอกเขาหยกๆ ให้เรียกคู่หมั้นว่าแพร.....อย่างนี้นี่เอง....เขาหันไปส่งสายตาคาดคั้นเอาคำตอบจากเพื่อนหนุ่ม แต่อัศวินไม่สนใจรีบพูดขับไล่ไสส่งทันที
“ไหนว่าแกมีธุระต้องรีบไปทำไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก” อัศวินเดินไปยังคนทั้งสามด้วยท่าทีไม่รีบร้อนแต่ส่งสายตาเป็นเชิงไล่ไปที่เมธี “อ้าว ยังไม่ไปอีก นี่ห้าโมงกว่าแล้วนะ นัดไว้ห้าโมงเย็นไม่ใช่เหรอ” อัศวินพูดแทนให้เสร็จสรรพ
“ธีมีธุระด่วนเหรอลูก แหม นี่แม่กำลังจะชวนให้มาทานข้าวด้วยกันพอดีเลย” อมลวรรณพูดด้วยความเสียดาย
“ไอ้ธีมันยุ่งจะตายครับแม่ ชวนไปก็เท่านั้น มันไม่มีเวลาว่างมาทานกับเราด้วยหรอก”
เมธีหรี่ตามองเพื่อนหนุ่มอย่างรู้ทัน แล้วหันไปยิ้มขอโทษขอโพยกับอมลวรรณ “ครับแม่ พอดีช่วงนี้ผมยุ่งจริงๆ เอาไว้ผมจะไปทานข้าวด้วยที่บ้านวันหลังนะครับ” จากนั้นเขาก็หันไปทางพิชชาภา ฉีกยิ้มหวานไปให้
“ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับ คุณแพร”
“เอ่อ.....เช่นกันค่ะ” พิชชาภายิ้มตอบ
“ว่าง ๆ คุณแพรก็มาหาเพื่อนผมบ่อย ๆ นะครับ ถ้ามันได้เห็นหน้าหวาน ๆ ของคุณแพรทุกวัน มันก็คงไม่ต้องมานั่งเหม่อนั่งเพ้อตาละห้อย ไม่เป็นอันทำงานทั้งวันแบบนี้” เมธีหัวเราะในลำคอ ทำเป็นยักคิ้วลิ่วตาทำหน้ายียวนใส่อัศวิน
อัศวินถึงกับหน้าเหวอ อ้าปากหวอ ไม่คิดว่าเพื่อนหนุ่มจะเล่นกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ “ไอ้ธี แกพล่ามอะไรไร้สาระของแกอยู่ได้ กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้วไปไอ้นี่” พูดไปก็อายไป
เมธีเห็นท่าทางอายหน้าแดงของเพื่อนหนุ่มก็หัวเราะคิกคัก โดยมีเสียงหัวเราะของอมลวรรณดังตาม
“งั้นผมไปก่อนนะครับแม่” ทิ้งระเบิดไว้เมธีก็รีบยกมือไหว้บอกลาผู้ใหญ่แล้วออกจากห้องไปทันที
“นี่แม่จะพาแพรมาทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะครับ ผมจะได้ให้ไอ้ธีมันกลับไปก่อน แล้วดูมันสิ มาทำท่าทางพูดจารุ่มร่ามไม่รู้จักกาละเทศะ” เขาบ่นอุบ มองตามมารดาตนเองจูงมือพิชชาภาไปนั่งที่โซฟา
“อะไรกันตาวิน ตาธีก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วจะไปถือสาทำไม ทำเป็นซีเรียสไปได้ลูกก็”
“แต่แพรเป็นคู่หมั้นผมนะครับ พูดอะไรก็ต้องให้เกียรติกันบ้าง” อัศวินยังฉุน
“อ้าว แล้วธีเขาไม่ให้เกียรติน้องตรงไหนล่ะลูก แม่ไม่เห็นว่าธีจะพูดอะไรไม่ดีสักหน่อย” อมลวรรณดุลูกชาย พอเห็นท่าทางหงุดหงิดหน้าเคร่ง ก็กระตุกยิ้มมุมปาก
“อ๋อออ วินหึงไม่อยากให้ธีเจอหนูแพรใช่ไหมล่ะ อิโธ่ ทำมาหาข้ออ้าง” หล่อนหัวเราะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“แม่!”
“จ้าๆๆ วุ้ย เรียกบ่อยจริง” หล่อนยังคงหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งลูกชาย จากนั้นก็หันไปคุยกับพิชชาภาที่ตั้งแต่เข้ามาเธอก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
“เดี๋ยวหนูแพรรออยู่ที่ห้องทำงานตาวินไปก่อนนะจ๊ะ นั่งดูทีวี อ่านหนังสือไปพลางๆ ก่อน เดี๋ยวแม่ไปดูเรื่องอาหารที่ครัวหน่อยว่าจัดการเรียบร้อยหรือยัง”
“เอ่อ...งั้นให้แพรไปเป็นเพื่อนนะคะ” เธอรีบบอก เพราะจะให้อยู่ในห้องนี้กับอัศวินสองต่อสองเธอคงอกแตกตาย
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ หนูแพรอยู่กับตาวินเนี่ยแหล่ะดีแล้ว ไปเดินเตร็ดเตร่ในห้องอาหารเดี๋ยวจะหมดสวยซะก่อน” หล่อนยิ้มพลางตบมือพิชชาภาที่วางอยู่บนตักเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเอ่ยกับอัศวิน
“ฝากน้องด้วยนะวิน แล้วเดี๋ยวแม่ค่อยโทรมาตามอีกที”
<>>><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
คุณ lamyong ก็คนเคยมีใจให้มาก่อน ใจมันก็ต้องอ่อนเป็นธรรมดาค่ะ
คุณ Zephyr ไม่มีอะไรมาขัดเลยค่ะ ได้จูบอย่างราบรื่นไปเรียบร้อย คริๆๆ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ ^_<
เสน่ห์รักคล้องใจ ตอนที่ 8-1
ริมฝีปากอ่อนนุ่มของพิชชาภาทำให้เขาถึงกับอดใจไม่ไหวจนต้องใช้สองมือโอบประคองแก้มนวลของเธอ แล้วเพิ่มแรงจุมพิตขึ้นอีกนิดพร้อมกับความรู้สึกหวาบหวามที่จู่โจมไปทั่วร่าง อาการเผยอริมฝีปากที่สั่นระริกตอบรับรสจูบจากเขาอย่างเชิญชวญนั้นทำให้หัวเขาหมุนติ้วราวกับลูกข่าง หลงมัวเมาไปกับความหวานล้ำจากเรียวปากอวบอิ่มของเธอจนเขาร้อนวูบวาบราวกับถูกไฟเผา จูบร้อนแรงนั้นยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง
“เฮ้ย...ไอ้วิน”
“ไอ้วินโว๊ยยย” เมธีตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นเพื่อนหนุ่มนั่งเหม่อลอยไม่สนใจที่เขาพูด แถมยังเอาแต่ยิ้มเคลิบเคลิ้มอย่างกับคนบ้าเสียสติ
อัศวินสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองเมธีอย่างงงๆ พอรู้ตัวว่าไม่ได้ยินที่เพื่อนเรียกจึงรีบกระแอมกลบเกลื่อน “อยู่กันแค่นี้จะตะโกนหาพระแสงอะไรวะ” แล้วก็ทำเป็นก้มหน้าก้มตาเซ็นเอกสารบนโต๊ะทำงานต่อ
“อ้าว ก็เรียกตั้งหลายครั้งแล้วแกไม่ตอบสักที ฉันก็ต้องตะโกนสิวะ” เมธีโวย “แล้วนี่แกเป็นไร เห็นนั่งยิ้มกับกองเอกสารอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” เขาหรี่ตามองเพื่อนหนุ่ม สงสัยนักว่าอะไรทำให้อัศวินถึงกับนั่งเหม่อใจลอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ขนาดนี้
“แกพูดบ้าอะไร ใครยิ้ม ฉันไม่ได้ยิ้มสักหน่อย” แต่โหนกแก้มกลับแดงระเรื่อที่ถูกเพื่อนจับได้
“ก็ฉันเห็นอยู่ว่าแกนั่งจ้องเอกสารไปยิ้มไปอย่างกับคนบ้า ไมวะ ในเอกสารที่แกเซ็นมันเขียนอะไรน่าขำนักหรือไง” เมธีที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาใหญ่ทำท่าว่าจะลุกขึ้นมาดูให้เห็นกับตา
อัศวินเลยยรีบสวนขึ้นทันควัน “ไม่ต้องเลยไอ้ธี นี่งานการแกไม่มีทำหรือไง มานั่งจ้องจับผิดคนอื่นเขาอยู่ได้” รีบเปลี่ยนเรื่องพูด ไม่อยากแสดงอาการให้ผิดสังเกตไปมากกว่านี้
เมธีทิ้งน้ำหนักตัวพิงโซฟา เบ้ปากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า “เฮ้อ...ก็ป๊าฉันน่ะซี๊ พยายามจะจับฉันแต่งงานให้ได้ เมื่อเช้าก็พายัยหมวยที่ไหนไม่รู้มาถึงบริษัท ฉันจึงต้องรีบเพ่นหนีมาอยู่โรงแรมแกนี่ไง” หน้าตาออกอาการเซ็งเต็มกำลัง
อัศวินอ้าปากหัวเราะลั่นเมื่อเมธีเองก็โดนจับคลุมถุงชนไม่ต่างจากเขา แต่ติดที่ว่าเขามีภาษีดีกว่าตรงที่ผู้หญิงที่มารดาเขาเลือกให้นั้นช่างถูกใจเขาเสียจริง
“สมน้ำหน้าแก หัวเราะเยาะฉันดีนัก คราวนี้เจอกับตัว รับรองถ้าป๊าแกลงมือทำด้วยตัวเองแบบนี้แล้วล่ะก็ แกไม่พ้นต้องแต่งงานเร็ว ๆ นี้แน่” เขายังหัวเราะขำไม่หยุด และคิดว่าเพื่อนหนุ่มอาจจะมีข่าวดีก่อนเขาก็เป็นได้
เมธีเห็นเพื่อนเอาใหญ่ตัวเองเลยรีบพูดข่มกลับไปบ้าง “โธ่ แกก็ใช่ว่าจะดีกว่าฉันหรอกว๊า ไอ้ที่พ่อฉันหามาให้น่ะ ถึงจะหน้าตาจืดชืดไปหน่อยแต่ก็ขาวๆ เอ๊าะ ๆ ทั้งนั้นเลยนะโว๊ย แต่ของแก เฮ้อ....ไม่อยากจะเซ่ด”
อัศวินลอบอมยิ้มกับคำสบประมาทของเพื่อนหนุ่ม แล้วพลางนึกไปถึงใบหน้าสวยหวานของพิชชาภา ดวงตากลมโตที่มีประกายสดใส รอยยิ้มน่ารักที่แต่งแต้มอยู่บนริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวนใจให้เขาได้ลองลิ้มชิมรสความหอมหวานของมัน ผิวพรรณของเธอก็เนียนนุ่มน่าสัมผัสยามที่เขาได้มีโอกาสกอดเธอไว้ในอ้อมแขนตอนที่หญิงสาวสะดุดล้มเข้าสู่อ้อมกอดของเขา และแม้ว่ารูปร่างของเธอจะไม่ได้ผอมเพรียวราวกับนางแบบ แต่หุ่นของเธอก็เซ็กซี่เร้าใจเขาไม่แพ้กัน แล้วหน้าอกหน้าใจของเธอก็......
“ไอ้วิน! นี่แกเหม่อเป็นรอบที่เท่าไรแล้ววะเนี่ย ไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยหรือไง” เมธีชักยั๊วะ ขมวดคิ้วมองหน้าเพื่อนหนุ่มด้วยความใคร่รู้ อัศวินไม่เคยนั่งเหม่อถึงสองครั้งสองคราแบบนี้มาก่อนขณะที่ทั้งคู่พูดคุยกัน
“อะไร ฉันก็นั่งหัวโด่ฟังแกอยู่นี่ไง” เขาอยากจะเขกหัวตัวเองนักที่ทำอะไรเปิ่น ๆ ออกไปให้เพื่อนสงสัย แล้วต้องโทษหญิงสาวตัวต้นเหตุที่ชอบเสนอหน้าสวย ๆ กับยิ้มหวาน ๆ ยวนใจของเธอเข้ามาในห้วงความคิดของเขาอยู่เรื่อย
“ฉันว่าพักนี้แกดูแปลก ๆ นะ ทำไมวะ ยัยคู่หมั้นอัปลักษณ์นั่นทำให้แกเครียดเหรอ”
อัศวินถึงกับสะอึกกับคำว่า ‘คู่หมั้นอัปลักษณ์’ ในใจก็นึกเคืองเมธีขึ้นมาครามครันที่เรียกพิชชาภาแบบนั้น แต่จะโทษมันก็ไม่ได้ ในเมื่อก่อนหน้านี้เวลาที่เขาพูดถึงเธอให้เพื่อนฟังทีไรก็ไม่เคยเรียกชื่อเธอให้ถูกต้องเหมาะสมเลยสักครั้ง
“แกอย่าเรียกคู่หมั้นฉันแบบนั้นอีกนะ เธอชื่อแพร ต่อไปนี้เรียกให้ถูกด้วยแล้วกัน” อัศวินเตือนเพื่อนหนุ่มด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เฮ้ย แกมาอารมณ์ไหนของแกวะไอ้วิน แต่ก่อนเห็นแกจิกเรียกเขาอย่างกับอะไรดี” เมธีถามกลั้วหัวเราะแกมประหลาดใจ
“เอ่อ...”อัศวินอึกอักเพราะไม่อยากตอบว่าเขาไม่ชอบใจที่คู่หมั้นเขาถูกเรียกแบบนั้น แต่จะยอมรับออกไปตรงๆ ก็กลัวว่า
เจ้าเพื่อนตัวดีจะหัวเราะเยาะและคงหาเรื่องมาล้อเลียนเขาแน่ ๆ
“ก็แม่ฉันน่ะสิ ด่าฉันซะเละเลยที่ไปเรียกเธอแบบนั้น แล้วนี่ถ้ารู้ว่าฉันเสี้ยมสอนแให้แกพูดตามล่ะก็ มีหวังแม่ฉันคงเอาบอระเพ็ดยัดปาก” เขาลอบถอนใจเมื่อรอดตัวไปได้หนึ่งเปราะ
เมธีหัวเราะร่า “ก็นะ แม่แกดูจะหลงว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้เอาการอยู่หนิ”
ไม่ใช่แค่แม่ฉันหรอกที่หลงเธอ ฉันเองตอนนี้ก็หลงเธอหัวปักหัวปำจนเอามานั่งเพ้อพกราวกับหนุ่มคลั่งรักก็ไม่ปาน อัศวินต่อคำตอบให้ตัวเองในใจ
และขณะที่ทั้งคู่คุยกันอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ตอบรับก็ดังขัดจังหวะพร้อมกับเสียงนุ่มๆ ของเลขาสาว
“คุณวินคะ คุณวรรณให้ดิฉันโทรมาแจ้งว่าตอนนี้ท่านกำลังเข้ามาที่โรงแรมเพื่อจะมาพบคุณ และบอกว่าให้คุณรอท่านก่อนอย่าเพิ่งกลับค่ะ”
“แม่แกนี่อายุยืนจริง ๆ พูดถึงก็มาทันทีเลย” เมธีลุกขึ้นจากโซฟา แล้วคว้าเสื้อสูทที่วางพาดไว้กับพนักขึ้นมาสวม เพราะคิดว่าคงไม่เหมาะหากจะอยู่รบกวนอัศวินต่อ
“อ้าวไอ้ธี จะไปแล้วเหรอ” อัศวินร้องถามเมื่อเห็นเมธีสวมเสื้อสูทเรียบร้อยทำท่าเตรียมตัวกลับ
“ก็ตั้งใจว่าจะอยู่รอสวัสดีแม่แกก่อนแล้วก็จะกลับเลย ไม่อยู่รบกวนแกแล้วล่ะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย นี่แม่ฉันก็คงมาชวนฉันกินข้าวเย็นด้วยกันนี่แหล่ะ ไม่มีอะไรหรอก แกเองก็ไปด้วยกันสิ แม่ฉันจะได้ไม่เหงา ทุกทีก็คุยกันอยู่สองคนแม่ลูก” อัศวินเอ่ยชวน
“อืมม...จริง ๆ ฉันก็อยากอยู่หรอกนะ แต่วันนี้ไม่ว่างจริง ๆ ว่ะ” เมธีทำสีหน้าขอโทษขอโพย ก่อนจะกระตุกยิ้มยักคิ้วให้อัศวินอย่างคนรู้กัน “ก็พอดีฉันมีนัดเย็นนี้แล้วน่ะสิ”
อัศวินหัวเราะขำ “เออ ๆ ไอ้นี่ จะไปตอดสาวที่ไหนก็ไปเลยไป”
“ไม่สนใจไปด้วยกันเหรอวะ ตามไปทีหลังก็ได้นะโว้ย คราวนี้เพื่อนสาวที่ไปด้วยกันหน้าใหม่ ๆ ทั้งน้าน” เมธีลากเสียงยาวคุยโว
อัศวินโบกมือไล่ “ไม่เอาล่ะ แกไปคนเดียวเถอะ ช่วงนี้ฉันขอบายว่ะ” พูดเสร็จก็ก้มหน้าเซ็นเอกสารต่อไป
“อะไรว๊า เซ็งชิบเลย” เมธีบ่นอุบที่อยู่ ๆ เพื่อนหนุ่มก็ออกอาการเสือสิ้นลายเสียอย่างนั้น และในตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของอมลวรรณในชุดผ้าไหมสีม่วงหรูหรา ทั่วทั้งตัวประดับเพชรและต่างหูที่ดูแล้วคงแพงหูฉี่ เดินยิ้มกว้างเข้ามาในห้องแล้วเอ่ยทักทายลูกชายด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ว่าไงตาวิน ใกล้เสร็จงานหรือยังลูก”
อัศวินยิ้มให้มารดา “ใกล้แล้วครับแม่ เดี๋ยวขอผมเซ็นเอกสารบัญชีกองนี้หมดก็เสร็จแล้วครับ”
“อ้าว ตาธี มาหาวินเหรอจ๊ะ ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปเลยนะ เป็นไง สบายดีใช่ไหมจ๊ะ” อมลวรรณทักทายเพื่อนลูกชายพร้อมกับยกมือรับไหว้ชายหนุ่ม
“สวัสดีครับแม่ ช่วงนี้ผมก็เรื่อย ๆ น่ะครับ แล้วคุณแม่สบายดีนะครับ เห็นเจ้าวินบอกว่าตอนนี้คุณแม่ป่วย เอ่อ....ป่วยหนัก” เมธีเหลี่ยงที่จะพูดถึงอาการป่วยของมารดาเพื่อนด้วยความสุภาพ
“อ๋อ ก็ดีจ้ะ พักนี้ตาวินเขาอยู่บ้านดูแลแม่เกือบทุกวัน อีกอย่างอาการป่วยแม่ก็เพิ่งจะระยะแรก ไม่ได้รุนแรงมาก ยังพอมีทางรักษาหาย” หล่อนตอบด้วยรอยยิ้มสดใส
“ครับ ยังไงผมก็ขอให้คุณแม่หายป่วยไว ๆ แต่เอ...” เมธีเอียงคอ มองอมลวรรณยิ้ม ๆ
“จริง ๆ แล้วคุณแม่ดูไม่เหมือนคนป่วยเลยนะครับ ผมว่าดูหน้าเด็ก สวยสดใสขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ”
อมลวรรณปิดปากหัวเราะอาย ๆ “อุ๊ย จริงเหรอจ๊ะตาธี แหม ทำมาเป็นปากหวานใส่คนแก่ แม่น่ะไม่หลงกลธีหรอกจ้ะ”
เมธีได้ยินก็ถึงกับหัวเราะไม่หยุด “ผมไม่กล้าหรอกคร๊าบบ เดี๋ยววินมันเอาผมตาย ใช่ไหมไอ้วิน” หันไปแซวเพื่อน ยิ้มทีเล่นทีจริง อัศวินได้แต่ส่ายหัวกับท่าทางทะเล้นของเมธี
“โอ๊ยยย ตาวินน่ะเหรอจะมาสนใจแม่ เดี๋ยวนี้เขามีอย่างอื่นให้สนใจมากกว่าแล้วล่ะ” ว่าแล้วก็หันไปมองที่ประตูด้านหลัง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นคนที่พามาด้วย
“อ้าว หนูแพรทำไมยังไม่เข้ามาอีกล่ะเนี่ย” หล่อนหมุนตัวเดินไปที่ประตูตั้งใจว่าจะออกไปดูสักหน่อย
“แม่ว่าอะไรนะครับ!” อัศวินลุกพรวดขึ้นยืน ถามออกไปด้วยความตกใจระคนตื่นเต้น “น้องแพรมาที่นี่ด้วยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ วันนี้แม่ตั้งใจจะพาน้องไปทานอาหารที่โรงแรมของเรา นี่เดี๋ยวทุกคนที่บ้านโน้นก็จะตามมาทีหลัง วินก็รีบสะสางงานซะนะลูก” พูดจบหล่อนก็ตั้งท่าจะเปิดประตูออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่พิชชาภากำลังจะเคาะประตูพอดิบพอดี
“อ้าว นี่ไง หนูแพรมาแล้ว แม่ก็นึกว่าหนูหายไปไหน มาๆๆ เข้ามาเร้ว” อมลวรรณจูงแขนพิชชาภาเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของหล่อนแสดงความภาคภูมิใจเต็มที่กับว่าที่ลูกสะใภ้เมื่อเห็นเมธียืนอ้าปากหวอ จ้องมองพิชชาภาด้วยความตกตะลึง พอหันไปมองที่อีกคน ก็เห็นอาการที่แทบจะไม่ต่างกันเลย แต่พ่อลูกชายของหล่อนนั้นมองหญิงสาวด้วยแววตาหวานเชื่อม ถ้าหล่อนมองไม่ผิดประกายในดวงตานั้นบ่งบอกถึงความชื่นชมหลงใหลในตัวหญิงสาวอย่างเปิดเผย ซึ่งหล่อนก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด เพราะวันนี้พิชชาภาสวยน่ารักราวกับตุ๊กตา ชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่เธอใส่ช่วยเน้นผิวพรรณให้ดูขาวผ่องยิ่งขึ้น ใบหน้าหวานแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์เพียงเล็กน้อย ผมหยิกเป็นลอนของเธอถูกรวบมาไว้ด้านข้างมีลูกผมเป็นคลื่นคลอเคลียไหล่ให้ดูทันสมัย
“หนูแพรมารู้จักกับเพื่อนรักตาวินสิจ๊ะ นี่ตาธี เป็นเพื่อนกับวินตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วก็ไปเรียนต่อที่สวิสด้วยกัน” อมลวรรณแนะนำพิชชาภาให้รู้จักกับเมธีที่ยังคงยืนจับจ้องหญิงสาวไม่วางตาจนหล่อนต้องกระแอมเบาๆ
“เอ่อ...ขอโทษครับ พอดี ผมมัวแต่ตะลึงในความสวยของคุณแพรมากไปมากหน่อย....” เมธีพูดจาหยอกล้อตามประสาหนุ่มเจ้าชู้ พร้อมกับส่งยิ้มหวานบาดใจแล้วยื่นมือไปให้ “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ...คุณแพร”
แทนที่จะเป็นมือของพิชชาภาที่ยื่นเข้ามาจับ กลับเป็นมือของอมลวรรณที่ตีมือชายหนุ่มดังป้าบด้วยความหมั่นไส้ “แหม ให้มันน้อย ๆ หน่อยจ้ะตาธี จะไปทำเจ้าชู้ประตูดินกับสาวที่ไหนก็ได้แต่ห้ามมาเจ้าชู้ใส่คู่หมั้นตาวินของแม่เชียวนะ”
“ห๊า! นี่เหรอครับคู่หมั้นไอ้วิน” เมธีตาโต แทบจะตะโกนถาม
“ตาธีนี่ ร้องซะแม่ตกอกตกใจหมด” อมลวรรณโครงศรีษะ เอามือทาบอก
เมธียกมือไหว้หน้าหง๋อย “ขอโทษครับแม่ คือผม...ตกใจที่ได้เห็นคู่หมั้นไอ้วิน...เอ่อ สวยมาก”
อมลวรรณยิ้มหน้าบาน เอามือคล้องแขนพิชชาภาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างภูมิใจ “สวยใช่ไหมล่ะ คนนี้แหล่ะที่ทำเอาตาวินของแม่หลงเพ้อละเมอหาจนไม่เป็นอันทำอะไร”
“แม่!” อัศวินหน้าร้อนผ่าวพลางเหลือบมองไปที่พิชชาภาซึ่งเธอเองก็แก้มแดงหูแดงก้มหน้างุดเพราะความอายไม่แพ้กัน
เมธีมองสลับกันไปมาระหว่างอัศวินและพิชชาภาแล้วต้องทำหน้างุนงงสุดขีด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอัศวินเพิ่งบอกเขาหยกๆ ให้เรียกคู่หมั้นว่าแพร.....อย่างนี้นี่เอง....เขาหันไปส่งสายตาคาดคั้นเอาคำตอบจากเพื่อนหนุ่ม แต่อัศวินไม่สนใจรีบพูดขับไล่ไสส่งทันที
“ไหนว่าแกมีธุระต้องรีบไปทำไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก” อัศวินเดินไปยังคนทั้งสามด้วยท่าทีไม่รีบร้อนแต่ส่งสายตาเป็นเชิงไล่ไปที่เมธี “อ้าว ยังไม่ไปอีก นี่ห้าโมงกว่าแล้วนะ นัดไว้ห้าโมงเย็นไม่ใช่เหรอ” อัศวินพูดแทนให้เสร็จสรรพ
“ธีมีธุระด่วนเหรอลูก แหม นี่แม่กำลังจะชวนให้มาทานข้าวด้วยกันพอดีเลย” อมลวรรณพูดด้วยความเสียดาย
“ไอ้ธีมันยุ่งจะตายครับแม่ ชวนไปก็เท่านั้น มันไม่มีเวลาว่างมาทานกับเราด้วยหรอก”
เมธีหรี่ตามองเพื่อนหนุ่มอย่างรู้ทัน แล้วหันไปยิ้มขอโทษขอโพยกับอมลวรรณ “ครับแม่ พอดีช่วงนี้ผมยุ่งจริงๆ เอาไว้ผมจะไปทานข้าวด้วยที่บ้านวันหลังนะครับ” จากนั้นเขาก็หันไปทางพิชชาภา ฉีกยิ้มหวานไปให้
“ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับ คุณแพร”
“เอ่อ.....เช่นกันค่ะ” พิชชาภายิ้มตอบ
“ว่าง ๆ คุณแพรก็มาหาเพื่อนผมบ่อย ๆ นะครับ ถ้ามันได้เห็นหน้าหวาน ๆ ของคุณแพรทุกวัน มันก็คงไม่ต้องมานั่งเหม่อนั่งเพ้อตาละห้อย ไม่เป็นอันทำงานทั้งวันแบบนี้” เมธีหัวเราะในลำคอ ทำเป็นยักคิ้วลิ่วตาทำหน้ายียวนใส่อัศวิน
อัศวินถึงกับหน้าเหวอ อ้าปากหวอ ไม่คิดว่าเพื่อนหนุ่มจะเล่นกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ “ไอ้ธี แกพล่ามอะไรไร้สาระของแกอยู่ได้ กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้วไปไอ้นี่” พูดไปก็อายไป
เมธีเห็นท่าทางอายหน้าแดงของเพื่อนหนุ่มก็หัวเราะคิกคัก โดยมีเสียงหัวเราะของอมลวรรณดังตาม
“งั้นผมไปก่อนนะครับแม่” ทิ้งระเบิดไว้เมธีก็รีบยกมือไหว้บอกลาผู้ใหญ่แล้วออกจากห้องไปทันที
“นี่แม่จะพาแพรมาทำไมไม่บอกผมก่อนล่ะครับ ผมจะได้ให้ไอ้ธีมันกลับไปก่อน แล้วดูมันสิ มาทำท่าทางพูดจารุ่มร่ามไม่รู้จักกาละเทศะ” เขาบ่นอุบ มองตามมารดาตนเองจูงมือพิชชาภาไปนั่งที่โซฟา
“อะไรกันตาวิน ตาธีก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วจะไปถือสาทำไม ทำเป็นซีเรียสไปได้ลูกก็”
“แต่แพรเป็นคู่หมั้นผมนะครับ พูดอะไรก็ต้องให้เกียรติกันบ้าง” อัศวินยังฉุน
“อ้าว แล้วธีเขาไม่ให้เกียรติน้องตรงไหนล่ะลูก แม่ไม่เห็นว่าธีจะพูดอะไรไม่ดีสักหน่อย” อมลวรรณดุลูกชาย พอเห็นท่าทางหงุดหงิดหน้าเคร่ง ก็กระตุกยิ้มมุมปาก
“อ๋อออ วินหึงไม่อยากให้ธีเจอหนูแพรใช่ไหมล่ะ อิโธ่ ทำมาหาข้ออ้าง” หล่อนหัวเราะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“แม่!”
“จ้าๆๆ วุ้ย เรียกบ่อยจริง” หล่อนยังคงหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งลูกชาย จากนั้นก็หันไปคุยกับพิชชาภาที่ตั้งแต่เข้ามาเธอก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
“เดี๋ยวหนูแพรรออยู่ที่ห้องทำงานตาวินไปก่อนนะจ๊ะ นั่งดูทีวี อ่านหนังสือไปพลางๆ ก่อน เดี๋ยวแม่ไปดูเรื่องอาหารที่ครัวหน่อยว่าจัดการเรียบร้อยหรือยัง”
“เอ่อ...งั้นให้แพรไปเป็นเพื่อนนะคะ” เธอรีบบอก เพราะจะให้อยู่ในห้องนี้กับอัศวินสองต่อสองเธอคงอกแตกตาย
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ หนูแพรอยู่กับตาวินเนี่ยแหล่ะดีแล้ว ไปเดินเตร็ดเตร่ในห้องอาหารเดี๋ยวจะหมดสวยซะก่อน” หล่อนยิ้มพลางตบมือพิชชาภาที่วางอยู่บนตักเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเอ่ยกับอัศวิน
“ฝากน้องด้วยนะวิน แล้วเดี๋ยวแม่ค่อยโทรมาตามอีกที”
<>>><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
คุณ lamyong ก็คนเคยมีใจให้มาก่อน ใจมันก็ต้องอ่อนเป็นธรรมดาค่ะ
คุณ Zephyr ไม่มีอะไรมาขัดเลยค่ะ ได้จูบอย่างราบรื่นไปเรียบร้อย คริๆๆ
เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ย. 2558, 12:50:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ย. 2558, 12:50:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 1275
<< ตอนที่ 7-2 | ตอนที่ 8-2 >> |
lamyong 2 พ.ย. 2558, 23:41:38 น.
ทำตัวดี ๆ กับแพรนะพี่วิน อย่าออกฤทธิ์อีกล่ะ
ทำตัวดี ๆ กับแพรนะพี่วิน อย่าออกฤทธิ์อีกล่ะ
Zephyr 7 พ.ย. 2558, 22:35:45 น.
เิดโอกาสจริงจริ้งงงงงงง
เิดโอกาสจริงจริ้งงงงงงง