เสน่ห์รักคล้องใจ
Tags: แต่งงาน,คลุมถุงชน,พ่อแง่แม่งอน
ตอน: ตอนที่ 8-2
มาติดตามวินกับแพรต่อครึ่งบทหลังกันค่า มีอะไรติติงและติชมกันได้นะคะ เจอกันบทต่อไปศุกร์นี้ค่า^^
เสน่ห์รักคล้องใจ ตอนที่ 8-2
อัศวินทำหน้าปั้นยากเมื่อเห็นมารดาเดินยิ้มกว้างออกจากห้องไป ใจหนึ่งก็ดีใจที่ได้อยู่กันตามลำพังสองคน แต่อีกใจหนึ่งก็ยังรู้สึกอายที่ทั้งมารดาและเพื่อนต่างพากันแกล้งแซวเขาจนไม่กล้ามองหน้าหญิงสาวเพราะเธอคงรู้หมดแล้วว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอ
เขาหันไปมองพิชชาภาที่นั่งตัวลีบก้มหน้าไม่สบตาใคร เขาเองก็ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะเริ่มคุยจากตรงไหน ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อเหลือกันอยู่สองคน
“เอ่อ....แพรอยากดื่มอะไรไหมจ๊ะ เดี๋ยวพี่สั่งให้เลขาเอาเข้ามาให้” เขาเสนอ เอ่ยทำลายความเงียบ
พิชชาภาเงยหน้าขึ้นมอง และเพียงแค่สบตาแว่บเดียวเท่านั้นใจเธอก็เต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ
“เอ่อ...อะ...อะไรก็ได้ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ให้เลขาเอาน้ำส้มคั้นมาให้แล้วกันนะ” เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานกดโทรศัพท์หาเลขาทันที
จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดตู้หนังสือข้าง ๆ โซฟาหยิบนิตสารออกมา
“แพรอยากอ่านหนังสือไหม แต่ที่ห้องทำงานพี่มีแต่นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจนะ อาจจะน่าเบื่อไปหน่อย” เขาหยิบเอานิตสารสองสามเล่มออกมากองไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟาที่หญิงสาวนั่ง
“หรือว่าแพรอยากจะดูทีวีก็ได้นะ เปิดดูได้ตามสบายเลย” เขาหมุนตัวเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานเพื่อจะหยิบรีโมทมาให้หญิงสาว
“หรือว่าแพรอยากจะดูหนังพี่ก็มี...”
“พี่วินคะ” พิชชาภาขัดขึ้นเมื่อเห็นเขาวุ่นวายพยายามหาอะไรให้เธอทำ
“พี่วินทำงานเถอะค่ะ เดี๋ยวแพรอ่านหนังสือพวกนี้เอาก็ได้”
“เอางั้นเหรอ ถ้างั้นก็ได้จ้ะ แต่ถ้าเบื่อยังไงก็เปิดทีวีได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” เขายื่นรีโมทให้เธอ
พิชชาภายิ้มตอบแล้วรับรีโมทในมือเขามา “ขอบคุณค่ะ”
น้ำเสียงหวาน ๆ พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจของเธอทำเอาเขายืนบื้อเป็นใบ้พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนจะเดินงง ๆ กลับไปที่โต๊ะทำงาน พยายามก้มหน้าก้มตาตรวจเอกสารให้เสร็จ แต่สายตาก็คอยจะลอบมองไปที่หญิงสาวซึ่งนั่งเรียบร้อยอ่านหนังสือที่โซฟาอยู่เรื่อย สักพักเลขาเขาก็เคาะประตูยกน้ำส้มมาให้ เห็นพิชชาภายิ้มหวานรับแก้วน้ำส้มมาดื่มแล้วชมว่าอร่อยก่อนจะเอ่ยขอบคุณ พอเลขาเขาออกไปแล้ว เธอก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อด้วยท่าทางสบาย ปอยผมน้อย ๆ ตกลงมาระใบหน้า เธอจึบจับมันไปทัดหูและเลื่อนมือนั้นไปลูบต้นคอนวลเนียนที่เอียงเล็กน้อย หลับตาพริ้มขณะบีบนวดที่คอเบา ๆ คลายความปวดเมื่อย....
อัศวินเผลออ้าปากค้างกลืนน้ำลายขณะที่แอบมองพิชชาภา อากัปกริยาของเธอช่างแสนจะธรรมดาแต่มันช่างดูยั่วยวนจนทำให้หัวใจเขาเต้นแรงตึกตักเสียแทบทะลุออกมานอกอก เขารีบเบือนหน้าหนีจากภาพล่อตาล่อใจตรงหน้าแล้วก้มลงเซ็นเอกสารให้เสร็จๆ จะได้ออกไปสมทบกับมารดาเขาเสียที อยู่ในห้องนี้กับเธอสองคนมันทำให้เขาร้อนวูบวาบยังไงบอกไม่ถูก
“พี่วินคะ”
อัศวินสะดุ้งที่จู่ ๆ พิชชาภาก็เอ่ยทัก เงยหน้ามองเธอที่มีสีหน้าเรียบเฉย ผิดไปจากเขาตอนนี้ที่ยิ้มเก้อ ๆ ทำหน้าไม่ถูก
“ครับ”
“มือถือพี่วินสั่นตั้งนานแล้วน่ะค่ะ ไม่รับเหรอคะ” เธอยิ้มบอกพลางมองไปที่มือถือข้างกองเอกสาร
“อ๋อ จ้ะๆ โทษที” เขาเอื้อมไปหยิบมือถือ พอเห็นว่าใครโทรมาก็แทบอยากโยนมันทิ้ง เขาจึงใส่ลงในกระเป๋าเสื้อสูท ปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้น
“ป้าวรรณโทรมาเหรอคะ”
“เอ่อ...เปล่าหรอกจ้ะ เบอร์ใครก็ไม่รู้ พี่ก็เลยไม่รับ” เขายักไหล่ทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“นี่ก็ห้าโมงกว่าแล้วเดี๋ยวเราไปกันเลยดีกว่าไหม เอกสารที่เหลือนี่เดี๋ยวพี่ไว้เคลียร์พรุ่งนี้ก็ได้” เขาลุกขึ้นแล้วปิดสมุดเซ็นเอกสารวางกองรวมกันไว้
พิชชาภาทำหน้างงที่อยู่ ๆ เขาก็ทำอะไรปุปปับ แต่ก็เออออตอบตกลง “ยังไงก็ได้ค่ะ แพรแล้วแต่พี่วิน” เธอเองก็ลุกขึ้นยืนค่อย ๆ ทยอยเก็บหนังสือที่เขาหยิบออกมาให้เอาไปใส่เข้าตู้
“แพรไม่ต้องเก็บหรอกจ้ะ เดี๋ยวแม่บ้านก็เข้ามาเก็บเองแหล่ะ” อัศวินพูดพลางเดินเข้าไปหา
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เอง” เธอเก็บหนังสือเล่มสุดท้ายเข้าตู้ “เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นเราไปกันเถอะจ้ะ” อัศวินผายมือให้เธอเดินนำก่อน พิชชาภาจึงหันไปหยิบกระเป๋าถือที่โซฟา แต่ด้วยความไม่ทันระวัง พอหมุนตัวกลับมา กระเป๋าจึงปัดไปโดนแก้วน้ำส้มที่วางอยู่หมิ่นเหม่หกใส่ขาทั้งสองข้าง เธอร้องตกใจรีบขยับตัวหนี แต่ด้วยระยะห่างระหว่างโซฟากับโต๊ะที่แคบเกินไปทำเอาเข่าข้างหนึ่งของเธอชนขอบโต๊ะเต็มแรง
“โอ๊ย” พิชชาภาเอามือลูบที่เข่า รู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวด้วยความอับอายที่แสดงอาการเปิ่นซุ่มซ่ามต่อหน้าอัศวิน แถมยังทำห้องเขาเลอะเทอะไปหมด
“แพรเป็นอะไรมากไหม มายืนตรงนี้ก่อนมา” อัศวินจับมือหญิงสาวให้เดินออกมาให้ห่างจากจุดที่เปื้อน แล้วหยิบกระดาษทิชชูที่อยู่บนโต๊ะ ก้มลงตรงหน้าพิชชาภาเพื่อจะช่วยเช็ดคราบน้ำส้มที่ขาเธอให้
“อุ๊ย พี่วินทำอะไรคะ ไม่ต้องค่ะเดี๋ยวแพรทำเอง” เธอตกใจยกขาหนี รีบโบกมือห้าม
“แพรอยู่เฉย ๆ เถอะ เดี๋ยวพี่เช็ดให้” เขายื่นมือมาจะทำต่อ แต่เธอก็ก้าวถอยหนีอีกครั้ง
“ไม่ต้องจริงๆ ค่ะพี่วิน ให้แพรไปล้างที่ห้องน้ำก็ได้ค่ะ คราบน้ำส้มมันเหนียว ยังไงก็ต้องล้างออก”
อัศวินลุกขึ้นยืน “จริงด้วย งั้นเอางี้ เดี๋ยวแพรขึ้นไปล้างที่เพ้นท์เฮ้าส์พี่นะ จะได้สะดวก” เขาตัดสินใจให้เสร็จสรรพ
พิชชาภาส่ายหน้าดิก “แพรล้างในห้องน้ำเองก็ได้ค่ะ แพรไม่อยากรบกวนพี่วิน” แต่ใจจริงแล้วเธออายไม่กล้าขึ้นไปที่ห้องเขาต่างหาก เกิดมาจนโตเป็นสาวยังไม่เคยเข้าห้องผู้ชายคนไหนมาก่อน แล้วยิ่งห้องของอัศวินด้วยแล้ว.....
“ล้างที่ห้องน้ำตรงนี้แล้วจะล้างยังไงล่ะจ๊ะ ไม่มีห้องอาบน้ำก็เลอะเทอะหมด ขึ้นไปล้างที่ห้องพี่แพรจะได้ล้างรองเท้าด้วยไง เดี๋ยวตรงนี้พี่บอกเลขาสั่งแม่บ้านให้มาทำความสะอาดเอง”
“เอ่อ...” พิชชาภาไม่รู้จะหาข้ออ้างยังไงเพราะที่เขาพูดมาก็ถูก จึงได้แต่ตอบตกลงเสียงอ่อยแล้วปล่อยให้เขาจูงมือเธอออกไปพร้อมกัน
พิชชาภาเดินออกมาจากห้องน้ำ ในมือถือรองเท้าที่ทำความสะอาดแล้วออกมาด้วย พลางสอดส่องสายตาไปทั่วห้องนั่งเล่นแต่ก็ไม่เห็นร่างของอัศวิน เธอจึงเดินเอารองเท้าไปวางที่หน้าประตูห้องแล้วเดินกลับมานั่งรอที่โซฟา
หญิงสาวมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องซึ่งตกแต่งด้วยโทนสีเทาควันบุหรี่สไตล์โมเดิร์น ทั้งผ้าม่าน โซฟา วอลเปเปอร์ หรือแม้แต่พรม ก็มีสีไปในโทนเดียวกันหมด เธอมองไปที่แผ่นเหล็กสีเทาโครเมี่ยมรูปหัวกวางที่ติดอยู่บนฝาผนังเหนือทีวีจอใหญ่ ดวงตาของมันประดับด้วยเพชรวับวาวดูดุดันอยู่ในที แต่ก็มีความสง่างามไปในตัวด้วยเช่นกัน
“เสร็จแล้วเหรอจ๊ะแพร พี่ขอโทษทีพอดีไอ้ธีโทรมาเลยติดคุยนิดหน่อยน่ะ” เขาปด เพราะจริง ๆ แล้วเป็นจีน่าที่โทรจิกเขามาเป็นสิบ ๆ สาย เลยต้องรับเพื่อตัดความรำคาญ
“ไม่เป็นไรค่ะ แพรก็เพิ่งเสร็จธุระเมื่อกี๊นี้เองเหมือนกัน” พูดเสร็จเธอก็ลุกขึ้น จับกระโปรงให้เข้าที่เข้าทาง “งั้นเราไปกันเลยดีกว่าค่ะ แพรว่าทุกคนคงมาพร้อมกันหมดแล้ว” เธอรีบตัดบท เพราะไม่อยากอยู่กับเขาสองต่อสองนานไปมากกว่านี้
“เดี๋ยวก่อนสิแพร” อัศวินก้าวมาคว้ามือเธอไว้ “คือ..พี่อยากจะคุยกับแพรหน่อยน่ะ ขอเวลาพี่สักเดี๋ยวนึงได้ไหม”
พิชชาภาเลิกคิ้วสงสัย “พี่วินจะคุยเรื่องอะไรเหรอคะ”
อัศวินดึงมือเธอให้นั่งลงที่โซฟาอีกครั้งแล้วเขาก็นั่งลงข้าง ๆ เธอ มือยังจับมือหญิงสาวไว้ไม่ปล่อยจนเธอเขินอายหลบสายตาเขา เขาจึงจับคางมนของเธอให้หันมามองที่เขาตามเดิม
“พี่อยากคุยเรื่องของเรา” เขาบอกหน้าตาจริงจัง และพอเห็นเธอจะพูด เขาจึงรีบเอานิ้วชี้ไปวางไว้ที่ริมฝีปากเธอเบา ๆ
“ขอให้พี่ได้บอกในสิ่งที่พี่อยากพูดก่อนนะจ๊ะ” เขาส่งยิ้มหวานที่หวานหยดเยิ้มไปถึงนัยน์ตา ทำเอาคนตรงหน้าแทบลืมหายใจ
“คือพี่มานึก ๆ ดู...พี่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราเริ่มต้นไม่ค่อยดีนัก เอ่อ...หรืออาจจะเรียกกว่าไม่ดีเลยก็ได้” เขาเกริ่นเข้าเรื่อง หยุดมองหน้าเธอเพื่อประเมินสีหน้าท่าทาง เมื่อเห็นเธอรอฟังอย่างตั้งใจ เขาก็พูดต่อ
“แพรคงโกรธและเกลียดพี่มาก และฝังใจตั้งแต่เด็กในวันเลี้ยงส่งที่บ้านพี่วันนั้น พี่รู้ว่าสิ่งที่พี่ทำกับแพรมันเลวร้ายแค่ไหน พี่ขอโทษและขอยอมรับผิดในสิ่งที่พี่ทำลงไปถึงแม้เรื่องมันจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม และที่พี่พูดนี่ก็ไม่ได้ต้องการให้แพรยกโทษให้” เขาพูดโดยไม่ละสายตาไปจากเธอ บีบมือที่จับมือเธอไว้เบา ๆ
พิชชาภาเองก็จ้องเข้าไปในดวงตาอัศวินเพื่อค้นหาความจริงใจจากเขา และเธอยังไม่ไว้ใจเขานัก “เรื่องนั้นแพรไม่ติดใจอะไรแล้วล่ะค่ะ เรื่องมันนานมาแล้ว เรายังเด็กด้วยกันทั้งคู่ แล้วแพรก็เข้าใจว่าตอนนั้นพี่วินคงไม่ชอบขี้หน้าแพรสักเท่าไร เพราะแค่คุยด้วยพี่วินก็ไล่แพรซะเตลิดเลย” ถึงแม้จะบอกว่าไม่ติดใจ แต่ก็อดแขวะเพราะน้อยใจไม่ได้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น
อัศวินหน้าเสีย รีบเขยิบเข้ามาใกล้ “โธ่แพรจ๋า...ตอนนั้นพี่ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงได้ทำอะไรบ้า ๆ แบบนั้นลงไป พี่ขอโทษ พี่มันเลว พี่มันแย่ ที่ทำให้แพรเสียใจ” ชายหนุ่มคอตก ตีหน้าสำนึกผิด
“พี่วินไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ แล้วพี่วินก็ไม่ได้ผิดอะไรด้วย ตอนนั้นแพรทั้งอ้วนทั้งไม่สวย ก็ถูกต้องแล้วล่ะค่ะที่พี่วินไม่อยากเข้าใกล้ ผู้ชายคนไหนก็ชอบผู้หญิงสวยหน้าตาดีทั้งนั้น จริงไหมคะ” พูดน้ำเสียงสะบัด ไม่วายจิกกัดชายหนุ่ม ทั้งที่บอกกับตัวเองว่าเรื่องมันแล้วไปแล้วไม่อยากคิดแค้นเคือง
อัศวินอ้าปากจะคัดค้าน แต่ก็ต้องหุบปากฉับเพราะที่เธอพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง หน้าเขาเจื่อนลงทันทีเมื่อเห็นพิชชาภาเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตา
“พอมาเจอกันอีกครั้ง พี่วินก็ยังพูดจาดูถูกเหยีดหยามแพร ทำเหมือนกับแพรน่ารังเกียจไม่ต่างอะไรกับตอนที่เจอกันครั้งแรก คำพูดพวกนั้นมันตอกย้ำให้แพรรู้ว่าพี่วินไม่เคยชอบขี้หน้าแพรเลย”
“โธ่...แพร....” เขาเรียกเสียงอ่อย จับคางเธอให้หันมามองที่เขาอีกครั้ง หัวใจเขาหดเหลือครึ่งหนึ่งได้รับสายตาเย็นชาจากเธอ
“พี่รู้ว่าพี่พูดจาไม่ดีกับแพรสารพัด แต่ที่พี่ทำไป ก็เพราะว่าพี่...แค่ไม่อยากเสียหน้า...” น้ำเสียงหงอย ๆ อย่างคนสำนึกผิด
“เมื่อก่อนพี่แสดงออกว่าไม่ชอบแพรอย่างชัดเจน พอกลับมาเจอกันอีกครั้ง พี่ก็ไม่อยากให้แพรได้ใจว่าสามารถทำให้พีเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อแพรได้ มันก็แค่ความคิดโง่ ๆ ของพี่ที่อยากจะอยู่เหนือแพร แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรไรที่พี่ต้องทำอย่างนั้นอีก” เขายิ้มจริงใจ ก่อนจะพูดต่อเพื่อไม่ให้เธอค้านคำพูดของเขา
“พี่อยากให้เราลืมเรื่องไม่ดีทุกอย่างที่ผ่านมา แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่....ได้ไหมจ๊ะ” เขาส่งสายตาเว้าวอน
“ไหน ๆ เราก็จะหมั้นกันแล้ว พี่ไม่อยากให้เรื่องเก่า ๆ มาทำให้เราหมางเมินต่อกัน” อัศวินจับมืออีกข้างของเธอมาประสานกันแล้วกุมมือเอาไว้
“มันอาจจะเร็วไปหน่อย.....แต่พี่รู้สึกดีกับแพรนะ และมันก็คงจะดี....ถ้าแพรเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน” เขามองเข้าไปในตาของพิชชาภาอย่างมีความหมาย ถึงจะคิดเข้าข้างตัวเองไปบ้างว่าเธอก็มีใจให้เขาอยู่แล้วไม่น้อย แต่หากได้ฟังจากปากของเธอเองก็ทำให้เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นอีก
ด้านพิชชาภาดูจะตกตะลึงแกมอึ้งที่อยู่ๆ เขาก็เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ใจเธอเต้นรัวราวกับกลองเมื่อเขาเปิดเผยความในใจต่อเธอ ยิ่งเขาใกล้ชิดเธอมากขนาดนี้ แถมสายตาที่ส่งมาก็แทบจะละลายเธอได้....
“เอ่อ...แพร....” ในหัวเธอหมุนติ้วคิดอะไรไม่ออก
อัศวินเลิกคิ้วขึ้นคล้ายรอคำตอบ ยิ้มให้บาง ๆ
พิชชาภาหลุบตาลงต่ำ “ไม่รู้สิคะ แพรเพิ่งเลิกกับพี่ภัทร แล้วแพรก็เข็ดไม่อยากเจ็บซ้ำอีก....แพรคงให้คำตอบอะไรพี่วินตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอตอบไปอย่างนั้นแต่ในใจรู้ตัวเองดีกว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาไม่เคยผันแปร แต่จะให้ยอมรับตอนนี้ก็ดูจะง่ายสำหรับคนอย่างอัศวินเกินไป
“แล้วพี่วินเองก็เคยบอกแพรว่าที่ยอมตกลงหมั้นกับแพรก็เพราะอยากให้ป้าวรรณสบายใจ...ไม่ใช่เหรอคะ” เธอย้อนถามกลับ
“ใช่...พี่เคยพูดไปแบบนั้น แต่เพราะตอนนั้นเรากำลังทะเลาะกัน แล้วพี่ก็แค่อยากจะเอาชนะเท่านั้นเอง” เขารีบแก้ตัว พอเห็นเธอทำหน้าไม่แน่ใจก็รีบยืนยัน
“จริงๆ นะจ๊ะแพร...พี่สาบานได้ ตั้งแต่เห็นแพรอีกครั้ง ความรู้สึกพี่ที่มีต่อแพรก็เปลี่ยนไป ยิ่งตอนที่แฟนเก่าแพรบุกมาหาแพรถึงบ้าน ใจพี่ก็แทบลุกเป็นไฟ เป็นไปได้พี่อยากจะเสกให้เจ้านั่นมันหายไปจากโลกนี้ได้ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องมีใครมาแย่งแพรไปจากพี่” เขาสารภาพน้ำเสียงจริงจัง
พิชชาภาถึงกับตกตะลึงเป็นรอบที่สอง ใจของเธอพลิกหงายพลิกคว่ำไปหลายตลบตั้งแต่มาหาเขาที่นี่ ร่างกายเธอร้อนวูบวาบเพียงแค่ได้ฟังคำสารภาพในอารมณ์หึงหวงเธอจากชายที่ตนเคยมีรักฝังใจมานานเช่นนี้ ทำเอาหญิงสาวได้แต่นั่งนิ่งไปไม่เป็น
“ความรู้สึกทุกอย่างนี้มันพอจะพิสูจน์ได้หรือยังจ๊ะว่าพี่จริงใจต่อแพรจริง ๆ” เขาย้ำถาม อาการขวยเชินหน้าแดงของพิชชาภาทำเอาอัศวินอดยิ้มกับความน่ารักเป็นธรรมชาติของเธอไม่ได้ จนเขาอดใจไม่ไหว จับมือทั้งสองข้างที่เขากุมไว้ยกขึ้นมาจูบแผ่วเบาช้า ๆ โดยไม่ละสายตาไปจากเธอ
“พี่วิน....” พิชชาภาตกใจ แต่ก็ไม่ได้ชักมือหนี ใจตอนนี้ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอมองริมฝีปากของเขาที่บรรจงจูบอ่อนโยนลงบนมือเธอ ทำให้นึกถึงภาพริมฝีปากได้รูปขณะที่เคลื่อนไหวอยู่บนริมฝีปากตัวเองเมื่อวันก่อนนั้นว่าช่างให้ความรู้สึกเช่นไร แค่คิด ร่างกายเธอก็แทบจะอ่อนระทวยเหมือนทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยนเพียงแค่ได้ใกล้ชิดเขาเท่านั้น
อัศวินเงยหน้าขึ้น ยกมือข้างนึงลูบไล้แก้มนวลของพิชชาภาไปมา แล้วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวาน
“ตอนนี้แพรยังไม่เชื่อพี่ก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้รับรู้ความรู้สึกพี่ไว้ก็พอ”
พิชชาภาได้แต่พยักหน้ารับคำ อารมณ์หลากหลายลึกซึ้งที่เธอรู้สึกตอนนี้ทำเอาเธอไม่สามารถสรรหาคำพูดใด ๆ มาโต้ตอบเขาได้เลย
“งั้นเดี๋ยวเราลงไปที่ห้องอาหารกันดีกว่า” อัศวินหันไปมองดูนาฬิกาแขวนบนผนัง
“ป่านนี้ครอบครัวแพรคงมากันหมดแล้วมั้งจ๊ะ ถ้าขืนเราชักช้า เดี๋ยวจะหาว่าพี่พาแพรมารังแก”
อัศวินลุกขึ้นแล้วยิ้มกว้างยื่นมือให้พิชชาภา เธอจับมือเขาอย่างอาย ๆ แล้วยืนตาม จากนั้นเขาก็จูงมือพาเธอเดินไปที่หน้าประตู
พิชชาภาก้มมองมือเล็ก ๆ ของตนที่อยู่ในอุ้งมือใหญ่แข็งแรงของอัศวิน พลันความอบอุ่นก็แผ่ขยายเข้าสู้หัวใจ เพิ่มแรงสูบฉีดจนเธอสะท้านหวั่นไหว รู้สึกปลอดภัยภายใต้การปกป้องจากมือผู้ชายคนนี้ เธอคิดอย่างมีความสุข ขณะที่สวมรองเท้า ยื่นมือไปจับกับมืออัศวินที่ยื่นรอไว้แล้วอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปด้วยกันพร้อมกับรอยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขใจของทั้งสองคน
<><>><><><><>><><>><>><><><><><><><><><>
คุณ lamyong พี่วินสัญญาว่าจะทำตัวดี ๆ แล้วค่า อิอิ
เสน่ห์รักคล้องใจ ตอนที่ 8-2
อัศวินทำหน้าปั้นยากเมื่อเห็นมารดาเดินยิ้มกว้างออกจากห้องไป ใจหนึ่งก็ดีใจที่ได้อยู่กันตามลำพังสองคน แต่อีกใจหนึ่งก็ยังรู้สึกอายที่ทั้งมารดาและเพื่อนต่างพากันแกล้งแซวเขาจนไม่กล้ามองหน้าหญิงสาวเพราะเธอคงรู้หมดแล้วว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอ
เขาหันไปมองพิชชาภาที่นั่งตัวลีบก้มหน้าไม่สบตาใคร เขาเองก็ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะเริ่มคุยจากตรงไหน ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อเหลือกันอยู่สองคน
“เอ่อ....แพรอยากดื่มอะไรไหมจ๊ะ เดี๋ยวพี่สั่งให้เลขาเอาเข้ามาให้” เขาเสนอ เอ่ยทำลายความเงียบ
พิชชาภาเงยหน้าขึ้นมอง และเพียงแค่สบตาแว่บเดียวเท่านั้นใจเธอก็เต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ
“เอ่อ...อะ...อะไรก็ได้ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ให้เลขาเอาน้ำส้มคั้นมาให้แล้วกันนะ” เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานกดโทรศัพท์หาเลขาทันที
จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดตู้หนังสือข้าง ๆ โซฟาหยิบนิตสารออกมา
“แพรอยากอ่านหนังสือไหม แต่ที่ห้องทำงานพี่มีแต่นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจนะ อาจจะน่าเบื่อไปหน่อย” เขาหยิบเอานิตสารสองสามเล่มออกมากองไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟาที่หญิงสาวนั่ง
“หรือว่าแพรอยากจะดูทีวีก็ได้นะ เปิดดูได้ตามสบายเลย” เขาหมุนตัวเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานเพื่อจะหยิบรีโมทมาให้หญิงสาว
“หรือว่าแพรอยากจะดูหนังพี่ก็มี...”
“พี่วินคะ” พิชชาภาขัดขึ้นเมื่อเห็นเขาวุ่นวายพยายามหาอะไรให้เธอทำ
“พี่วินทำงานเถอะค่ะ เดี๋ยวแพรอ่านหนังสือพวกนี้เอาก็ได้”
“เอางั้นเหรอ ถ้างั้นก็ได้จ้ะ แต่ถ้าเบื่อยังไงก็เปิดทีวีได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” เขายื่นรีโมทให้เธอ
พิชชาภายิ้มตอบแล้วรับรีโมทในมือเขามา “ขอบคุณค่ะ”
น้ำเสียงหวาน ๆ พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจของเธอทำเอาเขายืนบื้อเป็นใบ้พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนจะเดินงง ๆ กลับไปที่โต๊ะทำงาน พยายามก้มหน้าก้มตาตรวจเอกสารให้เสร็จ แต่สายตาก็คอยจะลอบมองไปที่หญิงสาวซึ่งนั่งเรียบร้อยอ่านหนังสือที่โซฟาอยู่เรื่อย สักพักเลขาเขาก็เคาะประตูยกน้ำส้มมาให้ เห็นพิชชาภายิ้มหวานรับแก้วน้ำส้มมาดื่มแล้วชมว่าอร่อยก่อนจะเอ่ยขอบคุณ พอเลขาเขาออกไปแล้ว เธอก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อด้วยท่าทางสบาย ปอยผมน้อย ๆ ตกลงมาระใบหน้า เธอจึบจับมันไปทัดหูและเลื่อนมือนั้นไปลูบต้นคอนวลเนียนที่เอียงเล็กน้อย หลับตาพริ้มขณะบีบนวดที่คอเบา ๆ คลายความปวดเมื่อย....
อัศวินเผลออ้าปากค้างกลืนน้ำลายขณะที่แอบมองพิชชาภา อากัปกริยาของเธอช่างแสนจะธรรมดาแต่มันช่างดูยั่วยวนจนทำให้หัวใจเขาเต้นแรงตึกตักเสียแทบทะลุออกมานอกอก เขารีบเบือนหน้าหนีจากภาพล่อตาล่อใจตรงหน้าแล้วก้มลงเซ็นเอกสารให้เสร็จๆ จะได้ออกไปสมทบกับมารดาเขาเสียที อยู่ในห้องนี้กับเธอสองคนมันทำให้เขาร้อนวูบวาบยังไงบอกไม่ถูก
“พี่วินคะ”
อัศวินสะดุ้งที่จู่ ๆ พิชชาภาก็เอ่ยทัก เงยหน้ามองเธอที่มีสีหน้าเรียบเฉย ผิดไปจากเขาตอนนี้ที่ยิ้มเก้อ ๆ ทำหน้าไม่ถูก
“ครับ”
“มือถือพี่วินสั่นตั้งนานแล้วน่ะค่ะ ไม่รับเหรอคะ” เธอยิ้มบอกพลางมองไปที่มือถือข้างกองเอกสาร
“อ๋อ จ้ะๆ โทษที” เขาเอื้อมไปหยิบมือถือ พอเห็นว่าใครโทรมาก็แทบอยากโยนมันทิ้ง เขาจึงใส่ลงในกระเป๋าเสื้อสูท ปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้น
“ป้าวรรณโทรมาเหรอคะ”
“เอ่อ...เปล่าหรอกจ้ะ เบอร์ใครก็ไม่รู้ พี่ก็เลยไม่รับ” เขายักไหล่ทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“นี่ก็ห้าโมงกว่าแล้วเดี๋ยวเราไปกันเลยดีกว่าไหม เอกสารที่เหลือนี่เดี๋ยวพี่ไว้เคลียร์พรุ่งนี้ก็ได้” เขาลุกขึ้นแล้วปิดสมุดเซ็นเอกสารวางกองรวมกันไว้
พิชชาภาทำหน้างงที่อยู่ ๆ เขาก็ทำอะไรปุปปับ แต่ก็เออออตอบตกลง “ยังไงก็ได้ค่ะ แพรแล้วแต่พี่วิน” เธอเองก็ลุกขึ้นยืนค่อย ๆ ทยอยเก็บหนังสือที่เขาหยิบออกมาให้เอาไปใส่เข้าตู้
“แพรไม่ต้องเก็บหรอกจ้ะ เดี๋ยวแม่บ้านก็เข้ามาเก็บเองแหล่ะ” อัศวินพูดพลางเดินเข้าไปหา
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เอง” เธอเก็บหนังสือเล่มสุดท้ายเข้าตู้ “เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นเราไปกันเถอะจ้ะ” อัศวินผายมือให้เธอเดินนำก่อน พิชชาภาจึงหันไปหยิบกระเป๋าถือที่โซฟา แต่ด้วยความไม่ทันระวัง พอหมุนตัวกลับมา กระเป๋าจึงปัดไปโดนแก้วน้ำส้มที่วางอยู่หมิ่นเหม่หกใส่ขาทั้งสองข้าง เธอร้องตกใจรีบขยับตัวหนี แต่ด้วยระยะห่างระหว่างโซฟากับโต๊ะที่แคบเกินไปทำเอาเข่าข้างหนึ่งของเธอชนขอบโต๊ะเต็มแรง
“โอ๊ย” พิชชาภาเอามือลูบที่เข่า รู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวด้วยความอับอายที่แสดงอาการเปิ่นซุ่มซ่ามต่อหน้าอัศวิน แถมยังทำห้องเขาเลอะเทอะไปหมด
“แพรเป็นอะไรมากไหม มายืนตรงนี้ก่อนมา” อัศวินจับมือหญิงสาวให้เดินออกมาให้ห่างจากจุดที่เปื้อน แล้วหยิบกระดาษทิชชูที่อยู่บนโต๊ะ ก้มลงตรงหน้าพิชชาภาเพื่อจะช่วยเช็ดคราบน้ำส้มที่ขาเธอให้
“อุ๊ย พี่วินทำอะไรคะ ไม่ต้องค่ะเดี๋ยวแพรทำเอง” เธอตกใจยกขาหนี รีบโบกมือห้าม
“แพรอยู่เฉย ๆ เถอะ เดี๋ยวพี่เช็ดให้” เขายื่นมือมาจะทำต่อ แต่เธอก็ก้าวถอยหนีอีกครั้ง
“ไม่ต้องจริงๆ ค่ะพี่วิน ให้แพรไปล้างที่ห้องน้ำก็ได้ค่ะ คราบน้ำส้มมันเหนียว ยังไงก็ต้องล้างออก”
อัศวินลุกขึ้นยืน “จริงด้วย งั้นเอางี้ เดี๋ยวแพรขึ้นไปล้างที่เพ้นท์เฮ้าส์พี่นะ จะได้สะดวก” เขาตัดสินใจให้เสร็จสรรพ
พิชชาภาส่ายหน้าดิก “แพรล้างในห้องน้ำเองก็ได้ค่ะ แพรไม่อยากรบกวนพี่วิน” แต่ใจจริงแล้วเธออายไม่กล้าขึ้นไปที่ห้องเขาต่างหาก เกิดมาจนโตเป็นสาวยังไม่เคยเข้าห้องผู้ชายคนไหนมาก่อน แล้วยิ่งห้องของอัศวินด้วยแล้ว.....
“ล้างที่ห้องน้ำตรงนี้แล้วจะล้างยังไงล่ะจ๊ะ ไม่มีห้องอาบน้ำก็เลอะเทอะหมด ขึ้นไปล้างที่ห้องพี่แพรจะได้ล้างรองเท้าด้วยไง เดี๋ยวตรงนี้พี่บอกเลขาสั่งแม่บ้านให้มาทำความสะอาดเอง”
“เอ่อ...” พิชชาภาไม่รู้จะหาข้ออ้างยังไงเพราะที่เขาพูดมาก็ถูก จึงได้แต่ตอบตกลงเสียงอ่อยแล้วปล่อยให้เขาจูงมือเธอออกไปพร้อมกัน
พิชชาภาเดินออกมาจากห้องน้ำ ในมือถือรองเท้าที่ทำความสะอาดแล้วออกมาด้วย พลางสอดส่องสายตาไปทั่วห้องนั่งเล่นแต่ก็ไม่เห็นร่างของอัศวิน เธอจึงเดินเอารองเท้าไปวางที่หน้าประตูห้องแล้วเดินกลับมานั่งรอที่โซฟา
หญิงสาวมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องซึ่งตกแต่งด้วยโทนสีเทาควันบุหรี่สไตล์โมเดิร์น ทั้งผ้าม่าน โซฟา วอลเปเปอร์ หรือแม้แต่พรม ก็มีสีไปในโทนเดียวกันหมด เธอมองไปที่แผ่นเหล็กสีเทาโครเมี่ยมรูปหัวกวางที่ติดอยู่บนฝาผนังเหนือทีวีจอใหญ่ ดวงตาของมันประดับด้วยเพชรวับวาวดูดุดันอยู่ในที แต่ก็มีความสง่างามไปในตัวด้วยเช่นกัน
“เสร็จแล้วเหรอจ๊ะแพร พี่ขอโทษทีพอดีไอ้ธีโทรมาเลยติดคุยนิดหน่อยน่ะ” เขาปด เพราะจริง ๆ แล้วเป็นจีน่าที่โทรจิกเขามาเป็นสิบ ๆ สาย เลยต้องรับเพื่อตัดความรำคาญ
“ไม่เป็นไรค่ะ แพรก็เพิ่งเสร็จธุระเมื่อกี๊นี้เองเหมือนกัน” พูดเสร็จเธอก็ลุกขึ้น จับกระโปรงให้เข้าที่เข้าทาง “งั้นเราไปกันเลยดีกว่าค่ะ แพรว่าทุกคนคงมาพร้อมกันหมดแล้ว” เธอรีบตัดบท เพราะไม่อยากอยู่กับเขาสองต่อสองนานไปมากกว่านี้
“เดี๋ยวก่อนสิแพร” อัศวินก้าวมาคว้ามือเธอไว้ “คือ..พี่อยากจะคุยกับแพรหน่อยน่ะ ขอเวลาพี่สักเดี๋ยวนึงได้ไหม”
พิชชาภาเลิกคิ้วสงสัย “พี่วินจะคุยเรื่องอะไรเหรอคะ”
อัศวินดึงมือเธอให้นั่งลงที่โซฟาอีกครั้งแล้วเขาก็นั่งลงข้าง ๆ เธอ มือยังจับมือหญิงสาวไว้ไม่ปล่อยจนเธอเขินอายหลบสายตาเขา เขาจึงจับคางมนของเธอให้หันมามองที่เขาตามเดิม
“พี่อยากคุยเรื่องของเรา” เขาบอกหน้าตาจริงจัง และพอเห็นเธอจะพูด เขาจึงรีบเอานิ้วชี้ไปวางไว้ที่ริมฝีปากเธอเบา ๆ
“ขอให้พี่ได้บอกในสิ่งที่พี่อยากพูดก่อนนะจ๊ะ” เขาส่งยิ้มหวานที่หวานหยดเยิ้มไปถึงนัยน์ตา ทำเอาคนตรงหน้าแทบลืมหายใจ
“คือพี่มานึก ๆ ดู...พี่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราเริ่มต้นไม่ค่อยดีนัก เอ่อ...หรืออาจจะเรียกกว่าไม่ดีเลยก็ได้” เขาเกริ่นเข้าเรื่อง หยุดมองหน้าเธอเพื่อประเมินสีหน้าท่าทาง เมื่อเห็นเธอรอฟังอย่างตั้งใจ เขาก็พูดต่อ
“แพรคงโกรธและเกลียดพี่มาก และฝังใจตั้งแต่เด็กในวันเลี้ยงส่งที่บ้านพี่วันนั้น พี่รู้ว่าสิ่งที่พี่ทำกับแพรมันเลวร้ายแค่ไหน พี่ขอโทษและขอยอมรับผิดในสิ่งที่พี่ทำลงไปถึงแม้เรื่องมันจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม และที่พี่พูดนี่ก็ไม่ได้ต้องการให้แพรยกโทษให้” เขาพูดโดยไม่ละสายตาไปจากเธอ บีบมือที่จับมือเธอไว้เบา ๆ
พิชชาภาเองก็จ้องเข้าไปในดวงตาอัศวินเพื่อค้นหาความจริงใจจากเขา และเธอยังไม่ไว้ใจเขานัก “เรื่องนั้นแพรไม่ติดใจอะไรแล้วล่ะค่ะ เรื่องมันนานมาแล้ว เรายังเด็กด้วยกันทั้งคู่ แล้วแพรก็เข้าใจว่าตอนนั้นพี่วินคงไม่ชอบขี้หน้าแพรสักเท่าไร เพราะแค่คุยด้วยพี่วินก็ไล่แพรซะเตลิดเลย” ถึงแม้จะบอกว่าไม่ติดใจ แต่ก็อดแขวะเพราะน้อยใจไม่ได้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น
อัศวินหน้าเสีย รีบเขยิบเข้ามาใกล้ “โธ่แพรจ๋า...ตอนนั้นพี่ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงได้ทำอะไรบ้า ๆ แบบนั้นลงไป พี่ขอโทษ พี่มันเลว พี่มันแย่ ที่ทำให้แพรเสียใจ” ชายหนุ่มคอตก ตีหน้าสำนึกผิด
“พี่วินไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ แล้วพี่วินก็ไม่ได้ผิดอะไรด้วย ตอนนั้นแพรทั้งอ้วนทั้งไม่สวย ก็ถูกต้องแล้วล่ะค่ะที่พี่วินไม่อยากเข้าใกล้ ผู้ชายคนไหนก็ชอบผู้หญิงสวยหน้าตาดีทั้งนั้น จริงไหมคะ” พูดน้ำเสียงสะบัด ไม่วายจิกกัดชายหนุ่ม ทั้งที่บอกกับตัวเองว่าเรื่องมันแล้วไปแล้วไม่อยากคิดแค้นเคือง
อัศวินอ้าปากจะคัดค้าน แต่ก็ต้องหุบปากฉับเพราะที่เธอพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง หน้าเขาเจื่อนลงทันทีเมื่อเห็นพิชชาภาเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตา
“พอมาเจอกันอีกครั้ง พี่วินก็ยังพูดจาดูถูกเหยีดหยามแพร ทำเหมือนกับแพรน่ารังเกียจไม่ต่างอะไรกับตอนที่เจอกันครั้งแรก คำพูดพวกนั้นมันตอกย้ำให้แพรรู้ว่าพี่วินไม่เคยชอบขี้หน้าแพรเลย”
“โธ่...แพร....” เขาเรียกเสียงอ่อย จับคางเธอให้หันมามองที่เขาอีกครั้ง หัวใจเขาหดเหลือครึ่งหนึ่งได้รับสายตาเย็นชาจากเธอ
“พี่รู้ว่าพี่พูดจาไม่ดีกับแพรสารพัด แต่ที่พี่ทำไป ก็เพราะว่าพี่...แค่ไม่อยากเสียหน้า...” น้ำเสียงหงอย ๆ อย่างคนสำนึกผิด
“เมื่อก่อนพี่แสดงออกว่าไม่ชอบแพรอย่างชัดเจน พอกลับมาเจอกันอีกครั้ง พี่ก็ไม่อยากให้แพรได้ใจว่าสามารถทำให้พีเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อแพรได้ มันก็แค่ความคิดโง่ ๆ ของพี่ที่อยากจะอยู่เหนือแพร แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรไรที่พี่ต้องทำอย่างนั้นอีก” เขายิ้มจริงใจ ก่อนจะพูดต่อเพื่อไม่ให้เธอค้านคำพูดของเขา
“พี่อยากให้เราลืมเรื่องไม่ดีทุกอย่างที่ผ่านมา แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่....ได้ไหมจ๊ะ” เขาส่งสายตาเว้าวอน
“ไหน ๆ เราก็จะหมั้นกันแล้ว พี่ไม่อยากให้เรื่องเก่า ๆ มาทำให้เราหมางเมินต่อกัน” อัศวินจับมืออีกข้างของเธอมาประสานกันแล้วกุมมือเอาไว้
“มันอาจจะเร็วไปหน่อย.....แต่พี่รู้สึกดีกับแพรนะ และมันก็คงจะดี....ถ้าแพรเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน” เขามองเข้าไปในตาของพิชชาภาอย่างมีความหมาย ถึงจะคิดเข้าข้างตัวเองไปบ้างว่าเธอก็มีใจให้เขาอยู่แล้วไม่น้อย แต่หากได้ฟังจากปากของเธอเองก็ทำให้เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นอีก
ด้านพิชชาภาดูจะตกตะลึงแกมอึ้งที่อยู่ๆ เขาก็เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา ใจเธอเต้นรัวราวกับกลองเมื่อเขาเปิดเผยความในใจต่อเธอ ยิ่งเขาใกล้ชิดเธอมากขนาดนี้ แถมสายตาที่ส่งมาก็แทบจะละลายเธอได้....
“เอ่อ...แพร....” ในหัวเธอหมุนติ้วคิดอะไรไม่ออก
อัศวินเลิกคิ้วขึ้นคล้ายรอคำตอบ ยิ้มให้บาง ๆ
พิชชาภาหลุบตาลงต่ำ “ไม่รู้สิคะ แพรเพิ่งเลิกกับพี่ภัทร แล้วแพรก็เข็ดไม่อยากเจ็บซ้ำอีก....แพรคงให้คำตอบอะไรพี่วินตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอตอบไปอย่างนั้นแต่ในใจรู้ตัวเองดีกว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาไม่เคยผันแปร แต่จะให้ยอมรับตอนนี้ก็ดูจะง่ายสำหรับคนอย่างอัศวินเกินไป
“แล้วพี่วินเองก็เคยบอกแพรว่าที่ยอมตกลงหมั้นกับแพรก็เพราะอยากให้ป้าวรรณสบายใจ...ไม่ใช่เหรอคะ” เธอย้อนถามกลับ
“ใช่...พี่เคยพูดไปแบบนั้น แต่เพราะตอนนั้นเรากำลังทะเลาะกัน แล้วพี่ก็แค่อยากจะเอาชนะเท่านั้นเอง” เขารีบแก้ตัว พอเห็นเธอทำหน้าไม่แน่ใจก็รีบยืนยัน
“จริงๆ นะจ๊ะแพร...พี่สาบานได้ ตั้งแต่เห็นแพรอีกครั้ง ความรู้สึกพี่ที่มีต่อแพรก็เปลี่ยนไป ยิ่งตอนที่แฟนเก่าแพรบุกมาหาแพรถึงบ้าน ใจพี่ก็แทบลุกเป็นไฟ เป็นไปได้พี่อยากจะเสกให้เจ้านั่นมันหายไปจากโลกนี้ได้ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องมีใครมาแย่งแพรไปจากพี่” เขาสารภาพน้ำเสียงจริงจัง
พิชชาภาถึงกับตกตะลึงเป็นรอบที่สอง ใจของเธอพลิกหงายพลิกคว่ำไปหลายตลบตั้งแต่มาหาเขาที่นี่ ร่างกายเธอร้อนวูบวาบเพียงแค่ได้ฟังคำสารภาพในอารมณ์หึงหวงเธอจากชายที่ตนเคยมีรักฝังใจมานานเช่นนี้ ทำเอาหญิงสาวได้แต่นั่งนิ่งไปไม่เป็น
“ความรู้สึกทุกอย่างนี้มันพอจะพิสูจน์ได้หรือยังจ๊ะว่าพี่จริงใจต่อแพรจริง ๆ” เขาย้ำถาม อาการขวยเชินหน้าแดงของพิชชาภาทำเอาอัศวินอดยิ้มกับความน่ารักเป็นธรรมชาติของเธอไม่ได้ จนเขาอดใจไม่ไหว จับมือทั้งสองข้างที่เขากุมไว้ยกขึ้นมาจูบแผ่วเบาช้า ๆ โดยไม่ละสายตาไปจากเธอ
“พี่วิน....” พิชชาภาตกใจ แต่ก็ไม่ได้ชักมือหนี ใจตอนนี้ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอมองริมฝีปากของเขาที่บรรจงจูบอ่อนโยนลงบนมือเธอ ทำให้นึกถึงภาพริมฝีปากได้รูปขณะที่เคลื่อนไหวอยู่บนริมฝีปากตัวเองเมื่อวันก่อนนั้นว่าช่างให้ความรู้สึกเช่นไร แค่คิด ร่างกายเธอก็แทบจะอ่อนระทวยเหมือนทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยนเพียงแค่ได้ใกล้ชิดเขาเท่านั้น
อัศวินเงยหน้าขึ้น ยกมือข้างนึงลูบไล้แก้มนวลของพิชชาภาไปมา แล้วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวาน
“ตอนนี้แพรยังไม่เชื่อพี่ก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้รับรู้ความรู้สึกพี่ไว้ก็พอ”
พิชชาภาได้แต่พยักหน้ารับคำ อารมณ์หลากหลายลึกซึ้งที่เธอรู้สึกตอนนี้ทำเอาเธอไม่สามารถสรรหาคำพูดใด ๆ มาโต้ตอบเขาได้เลย
“งั้นเดี๋ยวเราลงไปที่ห้องอาหารกันดีกว่า” อัศวินหันไปมองดูนาฬิกาแขวนบนผนัง
“ป่านนี้ครอบครัวแพรคงมากันหมดแล้วมั้งจ๊ะ ถ้าขืนเราชักช้า เดี๋ยวจะหาว่าพี่พาแพรมารังแก”
อัศวินลุกขึ้นแล้วยิ้มกว้างยื่นมือให้พิชชาภา เธอจับมือเขาอย่างอาย ๆ แล้วยืนตาม จากนั้นเขาก็จูงมือพาเธอเดินไปที่หน้าประตู
พิชชาภาก้มมองมือเล็ก ๆ ของตนที่อยู่ในอุ้งมือใหญ่แข็งแรงของอัศวิน พลันความอบอุ่นก็แผ่ขยายเข้าสู้หัวใจ เพิ่มแรงสูบฉีดจนเธอสะท้านหวั่นไหว รู้สึกปลอดภัยภายใต้การปกป้องจากมือผู้ชายคนนี้ เธอคิดอย่างมีความสุข ขณะที่สวมรองเท้า ยื่นมือไปจับกับมืออัศวินที่ยื่นรอไว้แล้วอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปด้วยกันพร้อมกับรอยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขใจของทั้งสองคน
<><>><><><><>><><>><>><><><><><><><><><>
คุณ lamyong พี่วินสัญญาว่าจะทำตัวดี ๆ แล้วค่า อิอิ
เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 พ.ย. 2558, 09:14:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 พ.ย. 2558, 09:14:26 น.
จำนวนการเข้าชม : 1264
<< ตอนที่ 8-1 | ตอนที่ 9 >> |
lamyong 4 พ.ย. 2558, 14:05:30 น.
หนูแพรเสร็จพี่วินซะแล้ววววววววววว
หนูแพรเสร็จพี่วินซะแล้ววววววววววว
Zephyr 7 พ.ย. 2558, 22:49:05 น.
บร้ะ หลงเชื่อซะแล้ว
บร้ะ หลงเชื่อซะแล้ว