หัวใจบ่มรัก (เริ่มต้นอัพให้อ่านใหม่อีกรอบ)
เริ่มต้นลงให้อ่านใหม่อีกรอบนะคะ แต่อัพแค่ 70% เด้อค่า
เด็กกะโปโล’ คือคำจำกัดความของ วรรณวลี ในสายตาของหนุ่มหล่อพี่ชายข้างบ้านอย่าง พศวัต และ ‘ตาแก่’ ที่กล้าพูดว่าเธอเป็นเด็กกะโปโล คอยดูเถอะเด็กกะโปโลคนนี้จะทำให้ตาแก่ปากร้ายมาสยบแทบเท้าให้ได้
ในอดีตเขาเคยปฏิเสธการหมั้นหมายกับ วรรณวลี ตามความต้องการของผู้ใหญ่เพราะคิดว่าเธอยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องพวกนี้ แต่ในวันนี้เด็กสาวในอดีตกลับมาพร้อมการเป็นหญิงสาวที่สวยสะพรั่ง เสน่ห์ยั่วยวนใจเขาอย่างร้ายกาจ และนั่นมันทำให้เขาอยากจะทำให้ความต้องการของผู้ใหญ่ในอดีตให้เป็นจริง …เขาต้องทำมันให้สำเร็จ ก็ผู้หญิงคนนี้เกือบจะถูกหมายปองให้เป็นของเขาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วนี่ และตอนนี้ก็ได้เวลาเอาจริง!!!
“ยะ…หยุดนะ” ห้ามเสียงสั่นพร้อมทั้งดิ้นขัดขืนและพยายามดึงตัวเองกลับ แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล ยิ่งดิ้นชายหนุ่มก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นไปอีก “หือ…อย่าหยุดเหรอได้…จัดไป”
“กรี๊ดดด! หยุดดด! ไม่ใช่อย่าหยุด ไอ้พี่พตบ้า” วรรณวลีตวาดแว้ดมือไม้ทั้งผลักไสทุบตีคนบ้ารัวไม่เลือกที่และไม่มียั้ง หลบได้ก็หลบแต่ถ้าหลบไม่ได้ไม่ก็ต้องโดนจนช้ำกันไปบ้างล่ะ
“พอแล้ว พอแล้ว พี่ยอมแล้ว ไม่ทำอะไรเราแล้ว” พศวัตห้ามเสียงกลั้วหัวเราะ พร้อมทั้งหลบซ้ายหลบขวายกแขนรับกำปั้นน้อยๆ ที่รัวเข้าใส่อย่างรู้สึกสนุกมากกว่าเจ็บตัว
“สัญญานะ” ถามอย่างระแวง
“ครับ…” เพียงเท่านั้นมือบางก็ผลักอกกว้างแรงๆ เป็นการส่งท้าย ก่อนจะขยับตัวกลับมานั่งที่เบาะของตัวเองพร้อมทั้งรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย อย่างน้อยก็ป้องกันไม่ให้เขากระชากเธอเข้าไปหาอีก ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงและแดงก่ำ
“งั้นก็รีบๆ กลับบ้านสิคะ ฉัน…ว้าย!” วรรณวลีร้องเสียงหลง รีบยกมือปิดปากที่โดนพศวัตอาศัยโอกาสเพียงแค่เสี้ยวนาทีขโมยจูบไปอีกครั้งเอาไว้ ส่วนอีกข้างยกขึ้นชี้หน้าคนฉวยโอกาสที่นั่งหัวเราะยักคิ้วหลิ่วตาอย่างยียวนอย่างโมโหระคนอายจนตัวสั่น
“เอาสิเรียกแบบนั้นอีกสิ ฉันๆ คุณๆ เนี่ย พ่อจะจูบให้หนำใจเลย”
***********************************************
เรื่องนี้เป็นรูปเล่มแล้วนะคะ
นักอ่านคนไหนสนใจสามารถติดต่อได้ที่ kesmani1@hotmail.com หรือที่แฟนเพจ รดามณี ไหมขวัญ
ราคาปก 320 บาท ลดเหลือ 299 บาท ค่าจัดส่ง 20 บาท
***แถมสมุดโน๊ตภาพหน้าปกนิยาย***
E-book :https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMTgyNTMyIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NDoiNjU3OCI7fQ
เด็กกะโปโล’ คือคำจำกัดความของ วรรณวลี ในสายตาของหนุ่มหล่อพี่ชายข้างบ้านอย่าง พศวัต และ ‘ตาแก่’ ที่กล้าพูดว่าเธอเป็นเด็กกะโปโล คอยดูเถอะเด็กกะโปโลคนนี้จะทำให้ตาแก่ปากร้ายมาสยบแทบเท้าให้ได้
ในอดีตเขาเคยปฏิเสธการหมั้นหมายกับ วรรณวลี ตามความต้องการของผู้ใหญ่เพราะคิดว่าเธอยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องพวกนี้ แต่ในวันนี้เด็กสาวในอดีตกลับมาพร้อมการเป็นหญิงสาวที่สวยสะพรั่ง เสน่ห์ยั่วยวนใจเขาอย่างร้ายกาจ และนั่นมันทำให้เขาอยากจะทำให้ความต้องการของผู้ใหญ่ในอดีตให้เป็นจริง …เขาต้องทำมันให้สำเร็จ ก็ผู้หญิงคนนี้เกือบจะถูกหมายปองให้เป็นของเขาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วนี่ และตอนนี้ก็ได้เวลาเอาจริง!!!
“ยะ…หยุดนะ” ห้ามเสียงสั่นพร้อมทั้งดิ้นขัดขืนและพยายามดึงตัวเองกลับ แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล ยิ่งดิ้นชายหนุ่มก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นไปอีก “หือ…อย่าหยุดเหรอได้…จัดไป”
“กรี๊ดดด! หยุดดด! ไม่ใช่อย่าหยุด ไอ้พี่พตบ้า” วรรณวลีตวาดแว้ดมือไม้ทั้งผลักไสทุบตีคนบ้ารัวไม่เลือกที่และไม่มียั้ง หลบได้ก็หลบแต่ถ้าหลบไม่ได้ไม่ก็ต้องโดนจนช้ำกันไปบ้างล่ะ
“พอแล้ว พอแล้ว พี่ยอมแล้ว ไม่ทำอะไรเราแล้ว” พศวัตห้ามเสียงกลั้วหัวเราะ พร้อมทั้งหลบซ้ายหลบขวายกแขนรับกำปั้นน้อยๆ ที่รัวเข้าใส่อย่างรู้สึกสนุกมากกว่าเจ็บตัว
“สัญญานะ” ถามอย่างระแวง
“ครับ…” เพียงเท่านั้นมือบางก็ผลักอกกว้างแรงๆ เป็นการส่งท้าย ก่อนจะขยับตัวกลับมานั่งที่เบาะของตัวเองพร้อมทั้งรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย อย่างน้อยก็ป้องกันไม่ให้เขากระชากเธอเข้าไปหาอีก ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงและแดงก่ำ
“งั้นก็รีบๆ กลับบ้านสิคะ ฉัน…ว้าย!” วรรณวลีร้องเสียงหลง รีบยกมือปิดปากที่โดนพศวัตอาศัยโอกาสเพียงแค่เสี้ยวนาทีขโมยจูบไปอีกครั้งเอาไว้ ส่วนอีกข้างยกขึ้นชี้หน้าคนฉวยโอกาสที่นั่งหัวเราะยักคิ้วหลิ่วตาอย่างยียวนอย่างโมโหระคนอายจนตัวสั่น
“เอาสิเรียกแบบนั้นอีกสิ ฉันๆ คุณๆ เนี่ย พ่อจะจูบให้หนำใจเลย”
***********************************************
เรื่องนี้เป็นรูปเล่มแล้วนะคะ
นักอ่านคนไหนสนใจสามารถติดต่อได้ที่ kesmani1@hotmail.com หรือที่แฟนเพจ รดามณี ไหมขวัญ
ราคาปก 320 บาท ลดเหลือ 299 บาท ค่าจัดส่ง 20 บาท
***แถมสมุดโน๊ตภาพหน้าปกนิยาย***
E-book :https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMTgyNTMyIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NDoiNjU3OCI7fQ
Tags: หัวใจบ่มรัก,เกศมณีลรดามณี,ไหมขวัญ,มายา,นิยายรัก,โรแมนติก,ทำมือ,รักต่างวัย,กินเด็ก
ตอน: ตอนที่ 2 ฉันไม่ใช่เด็กกะโปโลแล้วนะ 100%
ตอนที่ 2
ฉันไม่ใช่เด็กกะโปโลแล้วนะ
“ได้ยินแว่วๆ ว่ามีใครพูดถึงกำลังนินทาอะไรผมหรือเปล่าครับ”
เสียงถามนุ่มทุ้มที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ทุกคนที่นั่งคุยกันหันไปร่างสูงของคนมาใหม่เป็นตาเดียว และในจังหวะนั้นเองทำให้สายตาของคนมาใหม่อย่างพศวัตสบเข้ากับสายตาของสาวสวยคนหนึ่ง ที่เขาแสนจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเธอคนนี้เหมือนใครกันนะ คิ้วเข้มทั้งสองขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิดหากแต่เท้าก็ยังคงก้าวเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ขณะที่ตาก็ยังจับจ้องดวงหน้าสวยไม่วาง จนกระทั่งหญิงสาวเปิดยิ้มให้เพียงเท่านั้นพศวัตถึงกับชะงักยืนนิ่งขึง
“ยัยเปรี้ยว…”
ชายหนุ่มครางเสียงแผ่วอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าสาวสวยตรงหน้าคือวรรณวลี แต่ภาพเด็กกะโปโลในชุดมัธยมปลายเมื่อหลายปีก่อนซ้อนทับกับภาพสาวสวยในชุดทันสมัยในวันนี้ บวกกับคำทักทายที่ตอบกลับมามันทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้เลย
“สวัสดีค่ะพี่พต”
“สวัสดีครับ”
ตอบออกไปราวกับคนไม่รู้สึกตัว เพราะสายตานั้นถูกตรึงเอาไว้ด้วยวงหน้าสวยที่มีดวงตากลมโตทอประกายสดใส จมูกเล็กโด่งรั้นที่คุ้นตา แก้มนวลที่แดงระเรื่อ และริมฝีปากแดงอิ่มน่าสัมผัสจนยากจะห้ามใจไม่ให้เผลอไผล แม้เมื่อหลายปีก่อนหญิงสาวมีเค้าว่าจะสวย แต่พศวัตก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงและสวยได้มากมายขนาดนี้ ผู้หญิงนี่แม่มดชัดๆ ชายหนุ่มคิดก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงทักจากคนเป็นพ่อดังขึ้น
“อ้าวๆ ยืนจ้องอยู่นั่นแหละจ้องมากระวังน้องเขาหายละลายไปกับอากาศนะ…แล้วนี่เพิ่งหาทางกลับบ้านเจอเหรอเราน่ะ สงสัยธุระจะยุ่งมากถึงได้ใช้เวลาจัดการนานหลายชั่วโมงเชียว”
ได้ทีนายอนิวัตติ์ก็ทั้งเอ่ยล้อเลียนและเหน็บแนมชุดใหญ่ ก็มันน่าไหมล่ะ รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ายังไงก็ทัน แต่สุดท้ายเป็นไงมาอีหรอบเดิมจนได้
“โธ่พ่อ! มันปลีกตัวไม่ได้จริงๆ ผมต้องขอโทษคุณน้าทั้งสองคนด้วยนะครับที่อุตส่าห์รับปากแต่สุดท้ายก็ไปไม่ได้ แล้วก็เอ่อ…พี่ขอโทษเราด้วยแล้วกันนะเปรี้ยวที่ไม่ได้ไปรับ โตขึ้นมากจำแทบไม่ได้”
ตอนท้ายชายหนุ่มหันมาพูดกับวรรณวลีเสียงแผ่วอย่างรู้สึกผิดระคนเขินอาย ด้านวรรณวลีเองที่แม้จะทั้งโกรธและน้อยใจพี่ชายข้างบ้านแต่ก็พยายามเก็บอาการ จึงทำเพียงพยักพร้อมกับส่งยิ้มนิดๆ ไปให้
“ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ…คุณพ่อคุณแม่คะเปรี้ยวรู้สึกเหนียวตัวจังเลยขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ เสร็จแล้วจะได้มาช่วยเป็นลูกมือคุณแม่ทำกับข้าวเย็นนี้”
“ไม่นอนพักสักนิดล่ะลูก นั่งเครื่องมาตั้งหลายชั่วโมงไม่เหนื่อยหรือไง”
นายอายุธเอ่ยถามพลางลูบผมที่แต่ก่อนยาวตรงดำขลับ หากตอนนี้กลับย้อมสีทองและดัดเล็กน้อยตามแฟชั่นของลูกสาวอย่างเป็นห่วง
“พอกลับถึงบ้านความเหนื่อยความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะค่ะ เปรี้ยวขอตัวเลยแล้วกันนะคะ”
หญิงสาวบอกพลางส่งยิ้มให้กับทุกคนไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ หากแต่สายตานั้นจะจ้องใบหน้าคมเข้มที่ในสายตาของวรรณวลีดูเหมือนชายหนุ่มจะคงความหล่อเหลาเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลงนานว่าใครเพื่อนเล็กน้อย ก่อนจะลุกแล้วเดินขึ้นห้องไป โดยมีสายทั้งสี่คู่มองตามแผ่นหลังบอบบางไปด้วยความรู้สึกที่ต่างกันไป
“ไงเห็นน้องแล้วเป็นไง ไม่ใช่เด็กกะโปโลอย่างที่ปรามาสเอาไว้แล้วใช่ไหมล่ะ”
นายอนิวัตติ์ถามพลางตบไหล่กว้างของลูกชายที่ยังไม่ละสายตาจากร่างบอบบางของวรรณวลีแรงๆ นั่นทำให้พศวัตถึงกับสะดุ้งหันมายิ้มแหยๆ ก่อนจะรีบหาคำพูดมากลบเกลื่อนอย่างกลัวโดนจับได้
“ตัวโตแต่ก็ใช่ว่านิสัยจะโตด้วยนี่ครับ”
“ไอ้พต!”
นายอนิวัตติ์เรียกลูกชายเสียงดุ ผิดกับพ่อแม่ของหญิงสาวที่ต่างพากันอมยิ้มและหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างไม่ถือสา แต่ถึงอย่างนั้นพศวัตก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่ควรพูด
“เอ่อ…ผมขอโทษนะครับ ที่ผมเผลอปากไปหน่อย ผมแค่คิด แต่ไม่ได้ว่าเปรี้ยวจะเป็นอย่างที่ผมพูดนะครับ”
ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างขอลุแก่โทษ แม้จะเห็นได้ว่าสีหน้าของผู้สูงวัยทั้งสองนั้นยังคงยิ้มแย้มสดใส ไม่ได้มีร่องรอยของความขัดข้องใจกับคำพูดของเขาก็ตามที
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ มันอาจจะเป็นอย่างที่พตว่ามาก็ได้ ยังไงเวลาทำงานด้วยกันถ้าน้องทำตัวงอแงเป็นเด็กไม่รู้จักโต พตก็ช่วยอบรมสั่งสอนน้องให้น้าด้วยแล้วกันนะจ๊ะ”
ได้ทีนางอมลวรรณก็พูดฝากฝังลูกสาวเสียเลย ซึ่งก็ทำเอาคนมาทีหลังและยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยอย่างพศวัตถึงทำหน้างงๆ มองคนนั้นทีคนนี้ทีก่อนจะมาจบลงที่คนเป็นพ่อ
“มะ…หมายความว่าไงครับ”
“ก็หมายความว่าพ่อจะให้หนูเปรี้ยวไปทำงานกับแกไงล่ะ”
คนเป็นพ่อบอกยิ้มๆ ซึ่งก็แน่นอนว่าสีหน้าต่างจากคนฟังมากมาย
“ห๊า! ทำงานกับผม”
พศวัตอุทานเสียงหลง เบิกตากว้างมองผู้สูงวัยทั้งสามอย่างตกใจ และเมื่อตั้งสติได้ก็รีบหันไปยิ้มแห้งๆ ก้มศีรษะเป็นการขอโทษให้กับสองสามีภรรยาทันที อย่างรู้ว่าตัวเองเสียมารยาทอีกแล้ว ที่ไปทำท่าทีราวกับรังเกียจรังงอนที่ลูกสาวของพวกท่านจะไปทำงานกับเขา ทั้งที่ใจจริงแล้วไม่ได้รังเกียจอะไรเลย หากแต่มันกะทันหันจนเขาตั้งตัวไม่ติดต่างหาก
“ติดปัญหาอะไรหรือเปล่าพต ถ้าไม่สะดวกน้าก็จะไม่รบกวนล่ะนะ เดี๋ยวจะไปฝากให้ยัยเปรี้ยวทำงานที่บริษัทของเพื่อนคนอื่นดูก็ได้ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว”
นายอายุธบอกด้วยรอยยิ้ม ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกได้ว่าไม่ได้มีความขัดข้องหมองใจหากอีกฝ่ายจะไม่รับบุตรสาวไปทำงานด้วย ทำให้พศวัตรีบแก้ไขความเข้าใจผิดเป็นพัลวัน
“มะ…ไม่มีปัญหาครับ ผมแค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ…ผมกลัวแต่ว่าเปรี้ยวต่างหากที่จะไม่อยากทำงานกับผม”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเพราะก่อนที่พตจะมาเปรี้ยวเขารับปากแล้ว และตอนนี้พตเองก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน เอาเป็นว่าตกลงตามนี้แล้วกันนะ ยังไงลุงก็ขอฝากสอนงานยัยเปรี้ยวสักเดือนสองเดือนจะให้ทำตำแหน่งไหนอะไรยังไงน้าก็ไม่ขัดข้องแล้วแต่พตจะพิจารณาเห็นชอบ น้าให้สิทธิ์เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจว่าคนกันเอง”
“ได้ครับ”
ชายหนุ่มรับคำเสียงหนักแน่น
“น้าขอบใจนะ ถ้าได้คนเก่งๆ อย่างพตช่วยดูแลและสอนงาน น้าก็โล่งใจได้มากโขเลยล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”
“ผมจะพยายามสอนเต็มที่แล้วกันนะครับ”
“ดีจ้ะ ยังไงเย็นนี้ทั้งสองคนก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันที่นี่เลยแล้วกันนะ นานแล้วที่เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างนี้”
“ก็ดีเหมือนกันนะครับ ทั้งที่บ้านเราก็ใกล้กันแค่นี้เอง แต่ผมกลับไม่ได้ทานอาหารฝีมือคุณน้านามานแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งๆ กับงานจนหาเวลาไม่ได้ คุณน้าเชิญทีไรเป็นต้องได้ปฏิเสธทุกที”
“งั้นต่อไปก็รีบเคลียร์งานและแวะมาทานบ่อยๆ นะจ๊ะ ว่าแต่วันนี้ต้องการเพิ่มเมนูไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าจ๊ะ”
สองพ่อลูกมองหน้าคล้ายกับปรึกษากันทางสายตาเล็กน้อย ก่อนต่างคนต่างยิ้มและหันมาส่ายศีรษะ
“ไม่มีหรอกครับ เพราะฝีมือการทำอาหารของคุณน้าวรรณขั้นเทพทำอะไรก็อร่อยเหาะทุกอย่างอยู่แล้ว”
“แหม…ปากหวานจริงๆ นะเรา เอาเป็นว่าตอนนี้หนุ่มๆ นั่งคุยกันไปก่อนนะ แม่ครัวฝีมือขั้นเทพขอตัวไปแสดงฝีมือก่อน และถ้ายัยเปรี้ยวลงมาบอกให้ตามเข้าครัวไปเลยนะคะ”
เอ่ยจบนางอมลวรรณก็ลุกขึ้นเดินเข้าครัวอย่างอารมณ์ดีที่สุดในรอบหลายปี ปล่อยให้หนุ่มต่างวัยได้นั่งพุดคุยกันตามประสาผู้ชาย
และตอนนี้นี่เองที่สามหนุ่มต่างวัยได้อยู่กันตามลำพัง การคุยกันประสาผู้ชายก็เริ่มต้นขึ้น โดยนายอนิวัตติ์ก็ยกเอาเรื่องธุระของพศวัต ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มไปรับวรรณวลีที่สนามบินพร้อมทุกคนไม่ทันขึ้นมาล้อเล่นล้อเลียนกันอย่างสนุกปาก โดยไม่รู้ว่าเจ้าของร่างบางในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินลงบันไดมาทันพอจะได้ยินบางช่วงบางตอนของการสนทนาเข้าทำให้หญิงสาวได้ทราบถึงเหตุผลที่พศวัตไม่ไปรับเธอที่สนามบิน ว่ามันเกิดจากผู้หญิงที่ชื่อฟ้านี่เอง ด้วยความฉุนและน้อยใจ จากที่ตอนแรกคิดว่าจะเดินเข้าไปหาคนเป็นพ่อก่อน ก็เกิดเปลี่ยนใจเดินเลี้ยวเข้าห้องครัวเลยทันที
หลังจากบรรยากาศการรับประทานอาหารมื้อเย็นที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของทุกคน ที่ได้มาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งเหมือนเมื่อหลายปีก่อนผ่านพ้นไป สองพ่อลูกอย่างพศวัตและนายอนิวัตติ์ก็นั่งพูดคุยกับเจ้าบ้านอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าดึกแล้วจึงขอตัวกลับ โดยมีวรรณวลีเป็นคนเดินไปส่ง
“เรื่องงานจะเริ่มวันไหนก็บอกพี่เขาได้นะ”
นายอนิวัตติ์หยุดยืนตรงซุ้มประตูที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตของบ้านการันยภาสกับบ้านกิตติวราหันมาพูดกับวรรณวลีด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ทำให้ดวงตากลมโตเหลือบไปมองร่างสูงของพศวัตเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มพร้อมกับตอบผู้สูงวัยสั้นๆ ว่า
“ค่ะ”
“เอ่อ…พ่อเข้าบ้านไปก่อนแล้วกันนะครับ ผมขอคุยกับเปรี้ยวต่ออีกนิดหน่อยแล้วผมจะตามไป”
พศวัตที่ยืนเงียบไม่มีคนสนใจ แทบจะกลายเป็นอากาศธาตุไปแล้วเอ่ยขึ้น นายอธิวัตติ์เลิกคิ้วมองลูกชายของตัวเองและวรรณวลีเล็กน้อย ก่อนจะกดยิ้มพร้อมกับพยักหน้า
“งั้นลุงขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ”
“ราตรีสวัสดิ์นะคะคุณลุง”
ผู้สูงวัยพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านซุ้มประตูเข้าบ้านของตัวเอง ทิ้งให้หนุ่มสาวได้คุยกันตามลำพัง
“คุณบอกว่าจะคุยกับฉันนี่เรื่องงานหรือเปล่าคะ คุณคงไม่อยากให้ฉันไปทำงานด้วยอย่างที่รับปากคุณลุงและพ่อกับแม่ไว้ใช่ไหมคะ”
ทันทีที่ร่างสูงของนายอนิวัตติ์เดินลับสายตาไป วรรณวลีก็เปิดฉากชิงพูดขึ้นก่อน และการแทนตัวที่แสนจะห่างเหินของวรรณวลีก็ทำให้พศวัตถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ‘คุณกับฉัน’ อย่างนั้นเหรอ พศวัตครางในใจอย่างรู้สึกเจ็บแปลกๆ ในอก “เปรี้ยวโกรธพี่”
ชายหนุ่มสันนิษฐาน และคิดว่าสาเหตุคงเกิดมาจากที่เขาไม่ไปส่งเธอในวันเดินทางไปเรียนต่อ แถมไม่ไปรับในวันที่เธอเดินทางกลับมา แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันมีเหตุและผล ที่ตัวเขาเองก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิด
อย่างวันที่วรรณวลีจะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศวันนั้นเขาอุตส่าห์เคลียร์งานและออกจากบริษัทเร็วกว่าทุกวัน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังช้ากว่าที่คิดเอาไว้ไปเกือบครึ่งชั่วโมง ดังนั้นด้วยความที่กลัวไม่ทันเขาจึงค่อนข้างร้อนรน และความร้อนรนนั้นเอง ทำให้การขับรถของเขาค่อนข้างเร็วและขาดความระมัดระวัง ในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุไปเสยเอาท้ายรถเก๋งของคุณป้าขี้โวยวายคนหนึ่งเข้าจนได้
จากเหตุการณ์นั้นทำให้เขาเสียเวลากับการพูดคุยตกลงกับคุณป้ามหาภัยและโทร.เรียกประกันไปค่อนข้างนาน ก่อนจะเรียกแท็กซี่ตรงไปที่สนามบินทันที แต่ใครจะคิดว่ามันจะซวยซ้ำซวยซ้อนต่อเนื่องอย่างนี้ แท็กซี่คันที่เขาโดยสารเกิดยางแตก หลังจากที่ขึ้นมานั่งและวิ่งพ้นไฟแดงมาได้แค่สามไฟแดงเท่านั้น แม้จะอารมณ์เสียกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เขาก็ต้องลงและเรียกแท็กซี่คันใหม่ แต่ไม่น่าเชื่อว่ารถแท็กซี่ที่เคยเห็นวิ่งกันให้วุ่นบนท้องถนนและว่างเกือบทุกคัน มาตอนนี้มันหายากยิ่งกว่าเพชร มีน้อยแถมทุกคันไม่ว่างเลย เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งใจร้อนเวลาก็เหมือนจะยิ่งเดินเร็ว สุดท้ายแม้เขาจะสามารถหาแท็กซี่ไปที่สนามบินได้แต่ด้วยสภาพการจราจรบนท้องถนนที่รถเยอะติดไฟแดงทุกแยกที่มีสัญญาณไฟจราจร ไอ้ที่จะไฟเขียววิ่งผ่านฉลุยไม่มี และบวกกับเวลาที่เสียไปเพราะเหตุการณ์ต่างๆ ในที่สุดก็ไปส่งวรรณวลีไม่ทัน แถมโทรศัพท์มือถือที่พกมาแค่เครื่องเดียวก็แบตเตอร์รี่อ่อน เพียงแค่โทร.เรียกประกันพูดกันเกือบจะไม่รู้เรื่องก็ดับสนิท ทำให้เขาไม่สามารถติดต่อใครได้
ส่วนวันนี้เป็นวันที่วรรณวลีเดินทางกลับและเขาคิดเอาไว้ว่าจะเป็นการแก้ตัว แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อรถของอชิรญาหรือฟ้าผู้หญิงที่เขาควงอยู่เกิดยางแตกและได้โทร.ขอความช่วยเหลือจากเขา และเขาก็จำใจไปโดยก่อนไปก็วางแผนในการใช้เวลาเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับอีกแล้วเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดและวางแผนเอาไว้ จากที่คิดเอาไว้ว่าไปถึงจะส่งหญิงสาวขึ้นแท็กซี่จากนั้นเขาก็จะตรงไปที่สนามบิน อชิรญาก็ขอร้องให้เขาพาเธอไปทานข้าวก่อน โดยเธออ้างว่าหิวมากเพราะยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลย ดูเวลาแล้วถ้าทานอาหารที่ร้านใกล้ๆแถวนั้นแล้วส่งเธอขึ้นแท็กซี่กลับบ้านคงทัน คิดไว้อย่างนั้นแต่พออชิรญาทานอาหารไปได้พักหนึ่งก็เกิดอาการปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ตอนแรกเขากะจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาลแต่หญิงสาวกลับให้พาไปที่คลินิกใกล้ๆ เพราะปวดมาก
กว่าอชิรญาจะตรวจและรับยามาทานก็เสียเวลาไปพอสมควร คราวนี้ความคิดที่จะส่งเธอขึ้นแท็กซี่ก็เป็นอันต้องพับไป เพราะเขาคงไม่ใจร้ายขนาดที่จะให้คนป่วยกลับบ้านตามลำพังทั้งอย่างนั้น ในที่สุดเขาก็จำต้องขับรถพาหญิงสาวไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง ซึ่งบ้านของเธอก็อยู่คนละทิศละทางกับสนามบินเสียด้วยถึงรถจะไม่ค่อยติดมากเท่าไหร่สุดท้ายเขาก็ไปไม่ทันรับวรรณวลีอยู่ดี
“ฉันไม่มีเหตุผลหรือเรื่องอะไรที่จะต้องโกรธคุณนี่คะ”
วรรณวลียกแขนขึ้นกอดอกเชิดหน้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบพร้อมกับเบือนสายตาที่ไม่ได้นิ่งเหมือนกับน้ำเสียงหนีไปทางอื่น
“ถ้าไม่โกรธทำไมต้องแทนตัวซะห่างเหิน ‘คุณกับฉัน’ มันไม่เข้ากับเราสองคนเลยนะ”
“ฉันคิดว่ามันเป็นสรรพนามที่เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะค่ะ”
วรรณวลีสวนกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดดัก เมื่อพศวัตยังคงทำท่าจะคุยเรื่องการใช้สรรพนามที่ใช้เรียกกันระหว่างเธอกับเขา
“คุณบอกว่าจะคุยกับฉัน มันคงไม่ใช่เรื่องนี้หรอกใช่ไหม”
“ไม่ใช่”
“เรื่องงาน”
คราวนี้พศวัตพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังคงไม่เคลียร์เรื่องที่หญิงสาวเปลี่ยนจากที่ในอดีตเคยเรียกเขาว่า ‘พี่’ มาตอนนี้เป็น ‘คุณ’ ที่ฟังดูแสนจะห่างเหินไปเสียแล้ว
“งั้นก็รีบว่ามาสิคะ ฉันจะได้รีบกลับไปพักผ่อนเสียที”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ป้องปากหาวอย่างไม่ได้เสแสร้งหรือแกล้งเร่งให้ชายหนุ่มคุยธุระให้เสร็จ หากแต่ตอนนี้เธอรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ เพราะตั้งแต่เดินทางมาถึงยังไม่ได้หลับสักงีบ
“พี่ก็แค่อยากถามเราเฉยๆ ว่าคิดยังไงถึงอยากไปทำงานกับพี่”
ถึงวรรณวลีจะเรียกแทนตัวเขากับเธอซะห่างเหิน แต่พศวัตก็เลือกที่จะไม่บ้าจี้ตามเขายังคงเรียกแทนตัวเองว่า ‘พี่’ เหมือนแต่ก่อน
“ถามอย่างนี้หมายความว่าคุณไม่อยากให้ฉันไปทำงานด้วยใช่ไหมคะ”
“พี่พูดอย่างนั้นเมื่อไหร่กัน”
“ถึงไม่พูดแต่สีหน้าของคุณมันบ่งบอกตลอดเวลาว่ารู้สึกอย่างนั้น ฉันไม่ใช่เด็กอมมือนะถึงจะไม่รู้…แต่ก็เอาเถอะยังไงฉันก็คงยังไม่ไปทำงานอาทิตย์นี้หรอกนะคะ ถ้าคุณมีปัญหาไม่อยากให้ฉันไปทำงานด้วยก็ไปคุยกับคุณลุงและพ่อแม่ของฉันเอาเองแล้วกันนะคะ”
บอกพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร หากแต่ข้างในเธอรู้สึกน้อยใจมากเลยทีเดียวที่สังเกตเห็นว่าไม่ว่าตอนอยู่ที่โต๊ะอาหารหรือตอนที่นั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น เวลาที่พ่อแม่ของเธอหรือพ่อของเขาเองก็ตามที่เอ่ยถึงเรื่องที่เธอจะไปทำงานกับเขา พศวัตจะต้องมีสีหน้าแปลกๆ เหมือนกำลังพยายามเก็บอาการเก็บความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ และไอ้ความรู้สึกนั้นก็คงไม่พ้นความอึดอัดหรือลำบากใจเป็นแน่แท้
“มันไม่ใช่อย่างที่เราพูดมาเสียหน่อย พี่แค่กำลังคิดว่าจะให้เราไปช่วยงานตำแหน่งไหนดีถึงจะเหมาะกับคุณสมบัติของเราต่างหากเล่า เพราะเอาตามจริงตำแหน่งที่ว่างในบริษัทของพี่มันไม่มีตำแหน่งไหนเหมาะกับคุณสมบัติของเราเลยนะ คือคุณสมบัติของเราน่ะมันสูงเกินตำแหน่งงานน่ะ”
พศวัตแก้ตัวเท่าที่คิดว่าฟังดูเข้าท่าและมีเหตุผลที่สุด ทั้งที่จริงแล้วเขาจะให้เธอมาเป็นผู้ช่วยก็ย่อมได้ แต่เวลานี้วรรณวลีเป็นสาวเต็มตัวและสวยผุดผาดจนเขาเองก็ยังรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ จึงกังวลว่าจะหักห้ามใจและปฏิบัติกับหญิงสาวได้อย่างเช่นวันวานหรือเปล่า
“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เพราะนั่นมันคือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันเลือกที่จะไปหาประสบการณ์จากบริษัทอื่นก็เพราะต้องการเป็นแค่พนักงานธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นไม่ต้องการสิทธิพิเศษที่เดินเหินไปไหนหรือทำอะไรก็มีแต่คนมาเอาใจ ทำอะไรก็ไม่ผิด ฉะนั้นถึงตำแหน่งที่คุณว่าว่างมันจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุดในบริษัทฉันก็เต็มใจจะทำไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ก็ดีเหมือนกันนะคะฉันจะได้เรียนรู้และสัมผัสกับงานและคนในหลายๆ ระดับด้วย”
ฟังหญิงสาวร่ายมาเสียยาวจบ พศวัตก็กดยิ้มมุมปากพร้อมกับหัวเราะหึๆ ในลำคอ ก้าวเท้าเข้าชิดหญิงสาวอีกก้าว พร้อมกับยื่นใบหน้าหล่อเหลาที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาที่มีแววซุกซนขี้เล่นเข้าไปจนเกือบจะชิดใบหน้าสวยได้รูปของวรรณวลีที่ผงะและถอยหลังอย่างตกใจ
“ที่พูดมาน่ะแน่ใจนะว่าจะทำจริงๆ”
“นะ…แน่สิ คนอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ไม่เหมือน…ช่างเถอะ คุณมีธุระจะพูดกับฉันแค่นี้ใช่ไหมคะ ฉันจะได้ขอตัวไปนอนเสียที”
“เดี๋ยวสิ พี่รู้นะว่าเราน่ะยังโกรธพี่เรื่องเมื่อหลายปีก่อนและเรื่องวันนี้อยู่ พี่ขอโทษที่ผิดคำพูดแล้วผิดคำพูดอีก แต่ทั้งสองครั้งพี่อธิบายได้นะ”
แม้จะไม่พูดออกมาตรงๆ และปฏิเสธว่าไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองเขา แต่จากคำพูดเมื่อครู่ทำให้พศวัตรู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกไปเอง อีกทั้งสิ่งที่เขาพูดออกมาก็รู้สึกผิดจริงๆ และเต็มใจจะอธิบายให้หญิงสาวได้รับรู้
แต่ดูเหมือนวรรณวลีจะไม่คิดอย่างนั้นเธอไม่อยากจะได้ยินคำแก้ตัวจากเขาแค่รู้ว่าวันนี้เขาไปรับเธอไม่ได้เพราะมีธุระกับผู้หญิงอีกคนที่คงจะสำคัญกว่าเด็กกะโปโลอย่างเธอ เธอก็ไม่อยากจะรับฟังอะไรทั้งนั้น
“ไม่จำเป็น คุณจะไปไหนมันก็สิทธิ์ของคุณไม่เกี่ยวกับฉันเสียหน่อย ดึกแล้วฉันขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”
เอ่ยจบร่างบอบบางก็หมุนตัวจะเดินเข้าบ้าน แต่ก็ทำได้เท่านั้นเพราะมือใหญ่ของพศวัตมารั้งแขนเรียวเล็กของเธอเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิเปรี้ยว”
วรรณวลีชะงัก ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมามองแขนของตัวเองที่โดนชายหนุ่มจับและรั้งเอาไว้ แล้วรีบบิดสะบัดให้มันหลุดออกจากการเกาะกุมนั้นทันที เธอไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรมากมายแต่รู้สึกคล้ายกับว่ามีกระแสไฟวิ่งผ่าน
“มีอะไรคะ”
เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบคล้ายกับไม่รู้สึกอะไรทั้งที่จริงแล้วใจเต้นตึกตัก พร้อมกับถอยหลังพยายามรักษาระยะห่างจากชายหนุ่มเล็กน้อย
ถึงอย่างนั้นพศวัตก็ไม่ยี่หระยังเดินยิ้มเข้าไปจับไหล่บางทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะขัดขืน
“คุณจะทำอะไร ปล่อย…”
คำพูดต่อจากนั้นไม่สามารถหลุดออกมาจากลำคอของหญิงสาวได้ เมื่อพศวัตโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากมนอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือร่างบอบบางได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจและคาดไม่ถึง
“ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะยัยเด็กกะโปโล”
เอ่ยจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินผละออกไปจนข้ามไปอยู่ในอาณาเขตของบ้านตัวเอง พศวัตก็เอี้ยวตัวกลับมามองอีกครั้ง เมื่อยังเห็นหญิงสาวยังอยู่ท่าเดิมจึงตะโกนล้อเสียงกลั้วหัวเราะ
“เอ้า ยืนนิ่งเลยไปนอนได้แล้วยัยเด็กกะโปโล”
“ฉันไม่ใช่เด็กซะหน่อยตาแก่บ้า!”
หลังจากสติสตังที่กระเจิดกระเจิงกลับเข้าที่เข้าทาง วรรณวลีก็ตะโกนโต้ตอบเสียงดังอย่างไม่พอใจระคนอาย ก่อนจะหมุนตัวเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าบ้าน พยายามไม่ใส่ใจเสียงหัวเราะชอบใจของอีกฝ่ายที่ดังไล่หลังมา
“ตาแก่บ้าเอ๊ย! มาหาว่าเราเป็นเด็กกะโปโล คอยดูแล้วกันจะทำให้ถอนคำพูดนี้ให้ได้ ระวังตัวให้ดีเถอะไอ้พี่พต!”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มีรูปเล่มพร้อมส่งนะคะ
ราคา 299 (จากราคาปก 320 บาท)
ค่าส่ง 20 บาท
(แถมสมุดโน๊ตภาพหน้าปกนิยาย จนกว่าของจะหมด)
สนใจสั่งซื้อได้ที่ แฟนเพจ รดามณี ไหมขวัญ หรือที่ kesmani1@hotmail.com
E-book : https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMTgyNTMyIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NDoiNjU3OCI7fQ
ฉันไม่ใช่เด็กกะโปโลแล้วนะ
“ได้ยินแว่วๆ ว่ามีใครพูดถึงกำลังนินทาอะไรผมหรือเปล่าครับ”
เสียงถามนุ่มทุ้มที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ทุกคนที่นั่งคุยกันหันไปร่างสูงของคนมาใหม่เป็นตาเดียว และในจังหวะนั้นเองทำให้สายตาของคนมาใหม่อย่างพศวัตสบเข้ากับสายตาของสาวสวยคนหนึ่ง ที่เขาแสนจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเธอคนนี้เหมือนใครกันนะ คิ้วเข้มทั้งสองขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิดหากแต่เท้าก็ยังคงก้าวเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ขณะที่ตาก็ยังจับจ้องดวงหน้าสวยไม่วาง จนกระทั่งหญิงสาวเปิดยิ้มให้เพียงเท่านั้นพศวัตถึงกับชะงักยืนนิ่งขึง
“ยัยเปรี้ยว…”
ชายหนุ่มครางเสียงแผ่วอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าสาวสวยตรงหน้าคือวรรณวลี แต่ภาพเด็กกะโปโลในชุดมัธยมปลายเมื่อหลายปีก่อนซ้อนทับกับภาพสาวสวยในชุดทันสมัยในวันนี้ บวกกับคำทักทายที่ตอบกลับมามันทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้เลย
“สวัสดีค่ะพี่พต”
“สวัสดีครับ”
ตอบออกไปราวกับคนไม่รู้สึกตัว เพราะสายตานั้นถูกตรึงเอาไว้ด้วยวงหน้าสวยที่มีดวงตากลมโตทอประกายสดใส จมูกเล็กโด่งรั้นที่คุ้นตา แก้มนวลที่แดงระเรื่อ และริมฝีปากแดงอิ่มน่าสัมผัสจนยากจะห้ามใจไม่ให้เผลอไผล แม้เมื่อหลายปีก่อนหญิงสาวมีเค้าว่าจะสวย แต่พศวัตก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงและสวยได้มากมายขนาดนี้ ผู้หญิงนี่แม่มดชัดๆ ชายหนุ่มคิดก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงทักจากคนเป็นพ่อดังขึ้น
“อ้าวๆ ยืนจ้องอยู่นั่นแหละจ้องมากระวังน้องเขาหายละลายไปกับอากาศนะ…แล้วนี่เพิ่งหาทางกลับบ้านเจอเหรอเราน่ะ สงสัยธุระจะยุ่งมากถึงได้ใช้เวลาจัดการนานหลายชั่วโมงเชียว”
ได้ทีนายอนิวัตติ์ก็ทั้งเอ่ยล้อเลียนและเหน็บแนมชุดใหญ่ ก็มันน่าไหมล่ะ รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ายังไงก็ทัน แต่สุดท้ายเป็นไงมาอีหรอบเดิมจนได้
“โธ่พ่อ! มันปลีกตัวไม่ได้จริงๆ ผมต้องขอโทษคุณน้าทั้งสองคนด้วยนะครับที่อุตส่าห์รับปากแต่สุดท้ายก็ไปไม่ได้ แล้วก็เอ่อ…พี่ขอโทษเราด้วยแล้วกันนะเปรี้ยวที่ไม่ได้ไปรับ โตขึ้นมากจำแทบไม่ได้”
ตอนท้ายชายหนุ่มหันมาพูดกับวรรณวลีเสียงแผ่วอย่างรู้สึกผิดระคนเขินอาย ด้านวรรณวลีเองที่แม้จะทั้งโกรธและน้อยใจพี่ชายข้างบ้านแต่ก็พยายามเก็บอาการ จึงทำเพียงพยักพร้อมกับส่งยิ้มนิดๆ ไปให้
“ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ…คุณพ่อคุณแม่คะเปรี้ยวรู้สึกเหนียวตัวจังเลยขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ เสร็จแล้วจะได้มาช่วยเป็นลูกมือคุณแม่ทำกับข้าวเย็นนี้”
“ไม่นอนพักสักนิดล่ะลูก นั่งเครื่องมาตั้งหลายชั่วโมงไม่เหนื่อยหรือไง”
นายอายุธเอ่ยถามพลางลูบผมที่แต่ก่อนยาวตรงดำขลับ หากตอนนี้กลับย้อมสีทองและดัดเล็กน้อยตามแฟชั่นของลูกสาวอย่างเป็นห่วง
“พอกลับถึงบ้านความเหนื่อยความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะค่ะ เปรี้ยวขอตัวเลยแล้วกันนะคะ”
หญิงสาวบอกพลางส่งยิ้มให้กับทุกคนไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ หากแต่สายตานั้นจะจ้องใบหน้าคมเข้มที่ในสายตาของวรรณวลีดูเหมือนชายหนุ่มจะคงความหล่อเหลาเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลงนานว่าใครเพื่อนเล็กน้อย ก่อนจะลุกแล้วเดินขึ้นห้องไป โดยมีสายทั้งสี่คู่มองตามแผ่นหลังบอบบางไปด้วยความรู้สึกที่ต่างกันไป
“ไงเห็นน้องแล้วเป็นไง ไม่ใช่เด็กกะโปโลอย่างที่ปรามาสเอาไว้แล้วใช่ไหมล่ะ”
นายอนิวัตติ์ถามพลางตบไหล่กว้างของลูกชายที่ยังไม่ละสายตาจากร่างบอบบางของวรรณวลีแรงๆ นั่นทำให้พศวัตถึงกับสะดุ้งหันมายิ้มแหยๆ ก่อนจะรีบหาคำพูดมากลบเกลื่อนอย่างกลัวโดนจับได้
“ตัวโตแต่ก็ใช่ว่านิสัยจะโตด้วยนี่ครับ”
“ไอ้พต!”
นายอนิวัตติ์เรียกลูกชายเสียงดุ ผิดกับพ่อแม่ของหญิงสาวที่ต่างพากันอมยิ้มและหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างไม่ถือสา แต่ถึงอย่างนั้นพศวัตก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่ควรพูด
“เอ่อ…ผมขอโทษนะครับ ที่ผมเผลอปากไปหน่อย ผมแค่คิด แต่ไม่ได้ว่าเปรี้ยวจะเป็นอย่างที่ผมพูดนะครับ”
ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างขอลุแก่โทษ แม้จะเห็นได้ว่าสีหน้าของผู้สูงวัยทั้งสองนั้นยังคงยิ้มแย้มสดใส ไม่ได้มีร่องรอยของความขัดข้องใจกับคำพูดของเขาก็ตามที
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ มันอาจจะเป็นอย่างที่พตว่ามาก็ได้ ยังไงเวลาทำงานด้วยกันถ้าน้องทำตัวงอแงเป็นเด็กไม่รู้จักโต พตก็ช่วยอบรมสั่งสอนน้องให้น้าด้วยแล้วกันนะจ๊ะ”
ได้ทีนางอมลวรรณก็พูดฝากฝังลูกสาวเสียเลย ซึ่งก็ทำเอาคนมาทีหลังและยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยอย่างพศวัตถึงทำหน้างงๆ มองคนนั้นทีคนนี้ทีก่อนจะมาจบลงที่คนเป็นพ่อ
“มะ…หมายความว่าไงครับ”
“ก็หมายความว่าพ่อจะให้หนูเปรี้ยวไปทำงานกับแกไงล่ะ”
คนเป็นพ่อบอกยิ้มๆ ซึ่งก็แน่นอนว่าสีหน้าต่างจากคนฟังมากมาย
“ห๊า! ทำงานกับผม”
พศวัตอุทานเสียงหลง เบิกตากว้างมองผู้สูงวัยทั้งสามอย่างตกใจ และเมื่อตั้งสติได้ก็รีบหันไปยิ้มแห้งๆ ก้มศีรษะเป็นการขอโทษให้กับสองสามีภรรยาทันที อย่างรู้ว่าตัวเองเสียมารยาทอีกแล้ว ที่ไปทำท่าทีราวกับรังเกียจรังงอนที่ลูกสาวของพวกท่านจะไปทำงานกับเขา ทั้งที่ใจจริงแล้วไม่ได้รังเกียจอะไรเลย หากแต่มันกะทันหันจนเขาตั้งตัวไม่ติดต่างหาก
“ติดปัญหาอะไรหรือเปล่าพต ถ้าไม่สะดวกน้าก็จะไม่รบกวนล่ะนะ เดี๋ยวจะไปฝากให้ยัยเปรี้ยวทำงานที่บริษัทของเพื่อนคนอื่นดูก็ได้ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว”
นายอายุธบอกด้วยรอยยิ้ม ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกได้ว่าไม่ได้มีความขัดข้องหมองใจหากอีกฝ่ายจะไม่รับบุตรสาวไปทำงานด้วย ทำให้พศวัตรีบแก้ไขความเข้าใจผิดเป็นพัลวัน
“มะ…ไม่มีปัญหาครับ ผมแค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ…ผมกลัวแต่ว่าเปรี้ยวต่างหากที่จะไม่อยากทำงานกับผม”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเพราะก่อนที่พตจะมาเปรี้ยวเขารับปากแล้ว และตอนนี้พตเองก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน เอาเป็นว่าตกลงตามนี้แล้วกันนะ ยังไงลุงก็ขอฝากสอนงานยัยเปรี้ยวสักเดือนสองเดือนจะให้ทำตำแหน่งไหนอะไรยังไงน้าก็ไม่ขัดข้องแล้วแต่พตจะพิจารณาเห็นชอบ น้าให้สิทธิ์เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจว่าคนกันเอง”
“ได้ครับ”
ชายหนุ่มรับคำเสียงหนักแน่น
“น้าขอบใจนะ ถ้าได้คนเก่งๆ อย่างพตช่วยดูแลและสอนงาน น้าก็โล่งใจได้มากโขเลยล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”
“ผมจะพยายามสอนเต็มที่แล้วกันนะครับ”
“ดีจ้ะ ยังไงเย็นนี้ทั้งสองคนก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันที่นี่เลยแล้วกันนะ นานแล้วที่เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างนี้”
“ก็ดีเหมือนกันนะครับ ทั้งที่บ้านเราก็ใกล้กันแค่นี้เอง แต่ผมกลับไม่ได้ทานอาหารฝีมือคุณน้านามานแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งๆ กับงานจนหาเวลาไม่ได้ คุณน้าเชิญทีไรเป็นต้องได้ปฏิเสธทุกที”
“งั้นต่อไปก็รีบเคลียร์งานและแวะมาทานบ่อยๆ นะจ๊ะ ว่าแต่วันนี้ต้องการเพิ่มเมนูไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าจ๊ะ”
สองพ่อลูกมองหน้าคล้ายกับปรึกษากันทางสายตาเล็กน้อย ก่อนต่างคนต่างยิ้มและหันมาส่ายศีรษะ
“ไม่มีหรอกครับ เพราะฝีมือการทำอาหารของคุณน้าวรรณขั้นเทพทำอะไรก็อร่อยเหาะทุกอย่างอยู่แล้ว”
“แหม…ปากหวานจริงๆ นะเรา เอาเป็นว่าตอนนี้หนุ่มๆ นั่งคุยกันไปก่อนนะ แม่ครัวฝีมือขั้นเทพขอตัวไปแสดงฝีมือก่อน และถ้ายัยเปรี้ยวลงมาบอกให้ตามเข้าครัวไปเลยนะคะ”
เอ่ยจบนางอมลวรรณก็ลุกขึ้นเดินเข้าครัวอย่างอารมณ์ดีที่สุดในรอบหลายปี ปล่อยให้หนุ่มต่างวัยได้นั่งพุดคุยกันตามประสาผู้ชาย
และตอนนี้นี่เองที่สามหนุ่มต่างวัยได้อยู่กันตามลำพัง การคุยกันประสาผู้ชายก็เริ่มต้นขึ้น โดยนายอนิวัตติ์ก็ยกเอาเรื่องธุระของพศวัต ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มไปรับวรรณวลีที่สนามบินพร้อมทุกคนไม่ทันขึ้นมาล้อเล่นล้อเลียนกันอย่างสนุกปาก โดยไม่รู้ว่าเจ้าของร่างบางในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินลงบันไดมาทันพอจะได้ยินบางช่วงบางตอนของการสนทนาเข้าทำให้หญิงสาวได้ทราบถึงเหตุผลที่พศวัตไม่ไปรับเธอที่สนามบิน ว่ามันเกิดจากผู้หญิงที่ชื่อฟ้านี่เอง ด้วยความฉุนและน้อยใจ จากที่ตอนแรกคิดว่าจะเดินเข้าไปหาคนเป็นพ่อก่อน ก็เกิดเปลี่ยนใจเดินเลี้ยวเข้าห้องครัวเลยทันที
หลังจากบรรยากาศการรับประทานอาหารมื้อเย็นที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของทุกคน ที่ได้มาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งเหมือนเมื่อหลายปีก่อนผ่านพ้นไป สองพ่อลูกอย่างพศวัตและนายอนิวัตติ์ก็นั่งพูดคุยกับเจ้าบ้านอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าดึกแล้วจึงขอตัวกลับ โดยมีวรรณวลีเป็นคนเดินไปส่ง
“เรื่องงานจะเริ่มวันไหนก็บอกพี่เขาได้นะ”
นายอนิวัตติ์หยุดยืนตรงซุ้มประตูที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตของบ้านการันยภาสกับบ้านกิตติวราหันมาพูดกับวรรณวลีด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ทำให้ดวงตากลมโตเหลือบไปมองร่างสูงของพศวัตเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มพร้อมกับตอบผู้สูงวัยสั้นๆ ว่า
“ค่ะ”
“เอ่อ…พ่อเข้าบ้านไปก่อนแล้วกันนะครับ ผมขอคุยกับเปรี้ยวต่ออีกนิดหน่อยแล้วผมจะตามไป”
พศวัตที่ยืนเงียบไม่มีคนสนใจ แทบจะกลายเป็นอากาศธาตุไปแล้วเอ่ยขึ้น นายอธิวัตติ์เลิกคิ้วมองลูกชายของตัวเองและวรรณวลีเล็กน้อย ก่อนจะกดยิ้มพร้อมกับพยักหน้า
“งั้นลุงขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ”
“ราตรีสวัสดิ์นะคะคุณลุง”
ผู้สูงวัยพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านซุ้มประตูเข้าบ้านของตัวเอง ทิ้งให้หนุ่มสาวได้คุยกันตามลำพัง
“คุณบอกว่าจะคุยกับฉันนี่เรื่องงานหรือเปล่าคะ คุณคงไม่อยากให้ฉันไปทำงานด้วยอย่างที่รับปากคุณลุงและพ่อกับแม่ไว้ใช่ไหมคะ”
ทันทีที่ร่างสูงของนายอนิวัตติ์เดินลับสายตาไป วรรณวลีก็เปิดฉากชิงพูดขึ้นก่อน และการแทนตัวที่แสนจะห่างเหินของวรรณวลีก็ทำให้พศวัตถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ‘คุณกับฉัน’ อย่างนั้นเหรอ พศวัตครางในใจอย่างรู้สึกเจ็บแปลกๆ ในอก “เปรี้ยวโกรธพี่”
ชายหนุ่มสันนิษฐาน และคิดว่าสาเหตุคงเกิดมาจากที่เขาไม่ไปส่งเธอในวันเดินทางไปเรียนต่อ แถมไม่ไปรับในวันที่เธอเดินทางกลับมา แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันมีเหตุและผล ที่ตัวเขาเองก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิด
อย่างวันที่วรรณวลีจะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศวันนั้นเขาอุตส่าห์เคลียร์งานและออกจากบริษัทเร็วกว่าทุกวัน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังช้ากว่าที่คิดเอาไว้ไปเกือบครึ่งชั่วโมง ดังนั้นด้วยความที่กลัวไม่ทันเขาจึงค่อนข้างร้อนรน และความร้อนรนนั้นเอง ทำให้การขับรถของเขาค่อนข้างเร็วและขาดความระมัดระวัง ในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุไปเสยเอาท้ายรถเก๋งของคุณป้าขี้โวยวายคนหนึ่งเข้าจนได้
จากเหตุการณ์นั้นทำให้เขาเสียเวลากับการพูดคุยตกลงกับคุณป้ามหาภัยและโทร.เรียกประกันไปค่อนข้างนาน ก่อนจะเรียกแท็กซี่ตรงไปที่สนามบินทันที แต่ใครจะคิดว่ามันจะซวยซ้ำซวยซ้อนต่อเนื่องอย่างนี้ แท็กซี่คันที่เขาโดยสารเกิดยางแตก หลังจากที่ขึ้นมานั่งและวิ่งพ้นไฟแดงมาได้แค่สามไฟแดงเท่านั้น แม้จะอารมณ์เสียกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เขาก็ต้องลงและเรียกแท็กซี่คันใหม่ แต่ไม่น่าเชื่อว่ารถแท็กซี่ที่เคยเห็นวิ่งกันให้วุ่นบนท้องถนนและว่างเกือบทุกคัน มาตอนนี้มันหายากยิ่งกว่าเพชร มีน้อยแถมทุกคันไม่ว่างเลย เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งใจร้อนเวลาก็เหมือนจะยิ่งเดินเร็ว สุดท้ายแม้เขาจะสามารถหาแท็กซี่ไปที่สนามบินได้แต่ด้วยสภาพการจราจรบนท้องถนนที่รถเยอะติดไฟแดงทุกแยกที่มีสัญญาณไฟจราจร ไอ้ที่จะไฟเขียววิ่งผ่านฉลุยไม่มี และบวกกับเวลาที่เสียไปเพราะเหตุการณ์ต่างๆ ในที่สุดก็ไปส่งวรรณวลีไม่ทัน แถมโทรศัพท์มือถือที่พกมาแค่เครื่องเดียวก็แบตเตอร์รี่อ่อน เพียงแค่โทร.เรียกประกันพูดกันเกือบจะไม่รู้เรื่องก็ดับสนิท ทำให้เขาไม่สามารถติดต่อใครได้
ส่วนวันนี้เป็นวันที่วรรณวลีเดินทางกลับและเขาคิดเอาไว้ว่าจะเป็นการแก้ตัว แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อรถของอชิรญาหรือฟ้าผู้หญิงที่เขาควงอยู่เกิดยางแตกและได้โทร.ขอความช่วยเหลือจากเขา และเขาก็จำใจไปโดยก่อนไปก็วางแผนในการใช้เวลาเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับอีกแล้วเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดและวางแผนเอาไว้ จากที่คิดเอาไว้ว่าไปถึงจะส่งหญิงสาวขึ้นแท็กซี่จากนั้นเขาก็จะตรงไปที่สนามบิน อชิรญาก็ขอร้องให้เขาพาเธอไปทานข้าวก่อน โดยเธออ้างว่าหิวมากเพราะยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลย ดูเวลาแล้วถ้าทานอาหารที่ร้านใกล้ๆแถวนั้นแล้วส่งเธอขึ้นแท็กซี่กลับบ้านคงทัน คิดไว้อย่างนั้นแต่พออชิรญาทานอาหารไปได้พักหนึ่งก็เกิดอาการปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ตอนแรกเขากะจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาลแต่หญิงสาวกลับให้พาไปที่คลินิกใกล้ๆ เพราะปวดมาก
กว่าอชิรญาจะตรวจและรับยามาทานก็เสียเวลาไปพอสมควร คราวนี้ความคิดที่จะส่งเธอขึ้นแท็กซี่ก็เป็นอันต้องพับไป เพราะเขาคงไม่ใจร้ายขนาดที่จะให้คนป่วยกลับบ้านตามลำพังทั้งอย่างนั้น ในที่สุดเขาก็จำต้องขับรถพาหญิงสาวไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง ซึ่งบ้านของเธอก็อยู่คนละทิศละทางกับสนามบินเสียด้วยถึงรถจะไม่ค่อยติดมากเท่าไหร่สุดท้ายเขาก็ไปไม่ทันรับวรรณวลีอยู่ดี
“ฉันไม่มีเหตุผลหรือเรื่องอะไรที่จะต้องโกรธคุณนี่คะ”
วรรณวลียกแขนขึ้นกอดอกเชิดหน้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบพร้อมกับเบือนสายตาที่ไม่ได้นิ่งเหมือนกับน้ำเสียงหนีไปทางอื่น
“ถ้าไม่โกรธทำไมต้องแทนตัวซะห่างเหิน ‘คุณกับฉัน’ มันไม่เข้ากับเราสองคนเลยนะ”
“ฉันคิดว่ามันเป็นสรรพนามที่เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะค่ะ”
วรรณวลีสวนกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดดัก เมื่อพศวัตยังคงทำท่าจะคุยเรื่องการใช้สรรพนามที่ใช้เรียกกันระหว่างเธอกับเขา
“คุณบอกว่าจะคุยกับฉัน มันคงไม่ใช่เรื่องนี้หรอกใช่ไหม”
“ไม่ใช่”
“เรื่องงาน”
คราวนี้พศวัตพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังคงไม่เคลียร์เรื่องที่หญิงสาวเปลี่ยนจากที่ในอดีตเคยเรียกเขาว่า ‘พี่’ มาตอนนี้เป็น ‘คุณ’ ที่ฟังดูแสนจะห่างเหินไปเสียแล้ว
“งั้นก็รีบว่ามาสิคะ ฉันจะได้รีบกลับไปพักผ่อนเสียที”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ป้องปากหาวอย่างไม่ได้เสแสร้งหรือแกล้งเร่งให้ชายหนุ่มคุยธุระให้เสร็จ หากแต่ตอนนี้เธอรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ เพราะตั้งแต่เดินทางมาถึงยังไม่ได้หลับสักงีบ
“พี่ก็แค่อยากถามเราเฉยๆ ว่าคิดยังไงถึงอยากไปทำงานกับพี่”
ถึงวรรณวลีจะเรียกแทนตัวเขากับเธอซะห่างเหิน แต่พศวัตก็เลือกที่จะไม่บ้าจี้ตามเขายังคงเรียกแทนตัวเองว่า ‘พี่’ เหมือนแต่ก่อน
“ถามอย่างนี้หมายความว่าคุณไม่อยากให้ฉันไปทำงานด้วยใช่ไหมคะ”
“พี่พูดอย่างนั้นเมื่อไหร่กัน”
“ถึงไม่พูดแต่สีหน้าของคุณมันบ่งบอกตลอดเวลาว่ารู้สึกอย่างนั้น ฉันไม่ใช่เด็กอมมือนะถึงจะไม่รู้…แต่ก็เอาเถอะยังไงฉันก็คงยังไม่ไปทำงานอาทิตย์นี้หรอกนะคะ ถ้าคุณมีปัญหาไม่อยากให้ฉันไปทำงานด้วยก็ไปคุยกับคุณลุงและพ่อแม่ของฉันเอาเองแล้วกันนะคะ”
บอกพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร หากแต่ข้างในเธอรู้สึกน้อยใจมากเลยทีเดียวที่สังเกตเห็นว่าไม่ว่าตอนอยู่ที่โต๊ะอาหารหรือตอนที่นั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น เวลาที่พ่อแม่ของเธอหรือพ่อของเขาเองก็ตามที่เอ่ยถึงเรื่องที่เธอจะไปทำงานกับเขา พศวัตจะต้องมีสีหน้าแปลกๆ เหมือนกำลังพยายามเก็บอาการเก็บความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ และไอ้ความรู้สึกนั้นก็คงไม่พ้นความอึดอัดหรือลำบากใจเป็นแน่แท้
“มันไม่ใช่อย่างที่เราพูดมาเสียหน่อย พี่แค่กำลังคิดว่าจะให้เราไปช่วยงานตำแหน่งไหนดีถึงจะเหมาะกับคุณสมบัติของเราต่างหากเล่า เพราะเอาตามจริงตำแหน่งที่ว่างในบริษัทของพี่มันไม่มีตำแหน่งไหนเหมาะกับคุณสมบัติของเราเลยนะ คือคุณสมบัติของเราน่ะมันสูงเกินตำแหน่งงานน่ะ”
พศวัตแก้ตัวเท่าที่คิดว่าฟังดูเข้าท่าและมีเหตุผลที่สุด ทั้งที่จริงแล้วเขาจะให้เธอมาเป็นผู้ช่วยก็ย่อมได้ แต่เวลานี้วรรณวลีเป็นสาวเต็มตัวและสวยผุดผาดจนเขาเองก็ยังรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ จึงกังวลว่าจะหักห้ามใจและปฏิบัติกับหญิงสาวได้อย่างเช่นวันวานหรือเปล่า
“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เพราะนั่นมันคือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันเลือกที่จะไปหาประสบการณ์จากบริษัทอื่นก็เพราะต้องการเป็นแค่พนักงานธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นไม่ต้องการสิทธิพิเศษที่เดินเหินไปไหนหรือทำอะไรก็มีแต่คนมาเอาใจ ทำอะไรก็ไม่ผิด ฉะนั้นถึงตำแหน่งที่คุณว่าว่างมันจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุดในบริษัทฉันก็เต็มใจจะทำไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ก็ดีเหมือนกันนะคะฉันจะได้เรียนรู้และสัมผัสกับงานและคนในหลายๆ ระดับด้วย”
ฟังหญิงสาวร่ายมาเสียยาวจบ พศวัตก็กดยิ้มมุมปากพร้อมกับหัวเราะหึๆ ในลำคอ ก้าวเท้าเข้าชิดหญิงสาวอีกก้าว พร้อมกับยื่นใบหน้าหล่อเหลาที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาที่มีแววซุกซนขี้เล่นเข้าไปจนเกือบจะชิดใบหน้าสวยได้รูปของวรรณวลีที่ผงะและถอยหลังอย่างตกใจ
“ที่พูดมาน่ะแน่ใจนะว่าจะทำจริงๆ”
“นะ…แน่สิ คนอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ไม่เหมือน…ช่างเถอะ คุณมีธุระจะพูดกับฉันแค่นี้ใช่ไหมคะ ฉันจะได้ขอตัวไปนอนเสียที”
“เดี๋ยวสิ พี่รู้นะว่าเราน่ะยังโกรธพี่เรื่องเมื่อหลายปีก่อนและเรื่องวันนี้อยู่ พี่ขอโทษที่ผิดคำพูดแล้วผิดคำพูดอีก แต่ทั้งสองครั้งพี่อธิบายได้นะ”
แม้จะไม่พูดออกมาตรงๆ และปฏิเสธว่าไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองเขา แต่จากคำพูดเมื่อครู่ทำให้พศวัตรู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกไปเอง อีกทั้งสิ่งที่เขาพูดออกมาก็รู้สึกผิดจริงๆ และเต็มใจจะอธิบายให้หญิงสาวได้รับรู้
แต่ดูเหมือนวรรณวลีจะไม่คิดอย่างนั้นเธอไม่อยากจะได้ยินคำแก้ตัวจากเขาแค่รู้ว่าวันนี้เขาไปรับเธอไม่ได้เพราะมีธุระกับผู้หญิงอีกคนที่คงจะสำคัญกว่าเด็กกะโปโลอย่างเธอ เธอก็ไม่อยากจะรับฟังอะไรทั้งนั้น
“ไม่จำเป็น คุณจะไปไหนมันก็สิทธิ์ของคุณไม่เกี่ยวกับฉันเสียหน่อย ดึกแล้วฉันขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”
เอ่ยจบร่างบอบบางก็หมุนตัวจะเดินเข้าบ้าน แต่ก็ทำได้เท่านั้นเพราะมือใหญ่ของพศวัตมารั้งแขนเรียวเล็กของเธอเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิเปรี้ยว”
วรรณวลีชะงัก ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมามองแขนของตัวเองที่โดนชายหนุ่มจับและรั้งเอาไว้ แล้วรีบบิดสะบัดให้มันหลุดออกจากการเกาะกุมนั้นทันที เธอไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรมากมายแต่รู้สึกคล้ายกับว่ามีกระแสไฟวิ่งผ่าน
“มีอะไรคะ”
เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบคล้ายกับไม่รู้สึกอะไรทั้งที่จริงแล้วใจเต้นตึกตัก พร้อมกับถอยหลังพยายามรักษาระยะห่างจากชายหนุ่มเล็กน้อย
ถึงอย่างนั้นพศวัตก็ไม่ยี่หระยังเดินยิ้มเข้าไปจับไหล่บางทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะขัดขืน
“คุณจะทำอะไร ปล่อย…”
คำพูดต่อจากนั้นไม่สามารถหลุดออกมาจากลำคอของหญิงสาวได้ เมื่อพศวัตโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากมนอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือร่างบอบบางได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจและคาดไม่ถึง
“ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะยัยเด็กกะโปโล”
เอ่ยจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินผละออกไปจนข้ามไปอยู่ในอาณาเขตของบ้านตัวเอง พศวัตก็เอี้ยวตัวกลับมามองอีกครั้ง เมื่อยังเห็นหญิงสาวยังอยู่ท่าเดิมจึงตะโกนล้อเสียงกลั้วหัวเราะ
“เอ้า ยืนนิ่งเลยไปนอนได้แล้วยัยเด็กกะโปโล”
“ฉันไม่ใช่เด็กซะหน่อยตาแก่บ้า!”
หลังจากสติสตังที่กระเจิดกระเจิงกลับเข้าที่เข้าทาง วรรณวลีก็ตะโกนโต้ตอบเสียงดังอย่างไม่พอใจระคนอาย ก่อนจะหมุนตัวเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าบ้าน พยายามไม่ใส่ใจเสียงหัวเราะชอบใจของอีกฝ่ายที่ดังไล่หลังมา
“ตาแก่บ้าเอ๊ย! มาหาว่าเราเป็นเด็กกะโปโล คอยดูแล้วกันจะทำให้ถอนคำพูดนี้ให้ได้ ระวังตัวให้ดีเถอะไอ้พี่พต!”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มีรูปเล่มพร้อมส่งนะคะ
ราคา 299 (จากราคาปก 320 บาท)
ค่าส่ง 20 บาท
(แถมสมุดโน๊ตภาพหน้าปกนิยาย จนกว่าของจะหมด)
สนใจสั่งซื้อได้ที่ แฟนเพจ รดามณี ไหมขวัญ หรือที่ kesmani1@hotmail.com
E-book : https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMTgyNTMyIjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NDoiNjU3OCI7fQ
![](/images/icons/871.jpg)
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ต.ค. 2558, 11:09:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2558, 11:09:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 1545
<< ตอนที่ 1 ซ้ำรอย 100% | ตอนที่ 3 ออกอาการ 100% >> |