ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๖ นายหญิงแห่งโรงน้ำชาจิวเจีย

ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๖ นายหญิงแห่งโรงน้ำชาจิวเจีย

เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่แม่ทัพต่งจินไทพร้อมด้วยขุนพลคนสนิทเดินทางไปยังแคว้นอี้ป่าย สายข่าวเพิ่งรายงานมาไม่กี่วันก่อนว่ากำลังเสริมไปรวมกับทัพหลังโดยปลอดภัย มีการปะทะกันหนึ่งหน ก่อนจะพักรบชั่วคราว ฝ่ายศัตรูถอยร่นไปตั้งหลักในดินแดนของตน ดูเค้าลางแล้วคาดว่าจะเป็นศึกที่ยืดเยื้อพอประมาณ ชาวเจียงเฉียงส่วนใหญ่มิได้หวั่นวิตกกับเรื่องนี้มากนัก เพราะต่างก็เชื่อในความสามารถของแม่ทัพผู้เกรียงไกร รวมถึงผู้ถูกทิ้งไว้ในเมืองหลวงด้วย

เซียวซั่วเย่า ขุนพลแห่งหน่วยเสื้อคลุมดำ และทหารในสังกัดจำนวนหนึ่งได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้แยกตัวออกจากทัพหลักเพื่อทำภารกิจในเมืองหลวง เนื้อหางานของแต่ละคนแตกต่างกันไป ในส่วนของซั่วเย่านั้นเป็นการจับตาดูพฤติกรรมของเศรษฐีใหญ่แห่งเมืองหลวง

ซั่วเย่าไม่จำเป็นต้องติดตามเศรษฐีหลี่ตลอดเวลา เพราะมีลูกน้องมือดีคอยทำหน้าที่นี้ให้ เขาแค่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลัง และแสดงบทพ่อค้าให้แนบเนียนเท่านั้น ภารกิจที่ค่อนข้างง่ายแต่ใช้เวลานี้ เป็นเหมือนรางวัลให้คนที่ตรากตรำในสนามรบได้มีโอกาสพักผ่อน

นอกจากเที่ยวเล่นทำตัวเป็นคุณชายผู้มีอันจะกินแล้ว ซั่วเย่ายังเดินเข้าออกร้านรวงต่างๆ สรรหาสินค้าส่งไปยังพ่อค้าตัวจริง เพื่อให้นำไปขายต่อในเมืองอื่น ไม่ทันไรก็ได้กำไรมหาศาล จนพวกลูกน้องเริ่มหยอกว่าน่าจะลาออกจากราชการมาเอาดีทางค้าขาย

ชายหนุ่มยิ้มรับโดยไม่ว่ากระไร เขาแค่อยากทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง เรื่องอนาคตนั้นไม่เคยคิดถึง พวกขุนพลสกุลอู๋เลยพร้อมใจกันตั้งฉายาให้ว่า ‘ไอ้บ้าภารกิจ’ ซั่วเย่าฟังแล้วไม่โกรธ เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่ทัพต่งกับขุนพลทั้งหลายรู้นิสัยดีเขาจึงมอบภารกิจพิเศษให้ นั่นคือ ‘ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ภารกิจ’

สรุปแล้วทุกคนต้องการให้เขาพักผ่อน หาความสุขใส่ตัวและทำตามใจตัวเองบ้าง ซั่วเย่าเข้าใจความหวังดีจึงพยายามมองหาความสุขให้ชีวิต เริ่มจากลองคิดสิ่งที่อยากทำดูก่อน

ชายหนุ่มเข้าไปในร้านน้ำชาแห่งหนึ่งเพื่อนั่งคิด เขาสั่งของไปอย่างส่งๆ แล้วก็ได้ชาดีมีกลิ่นหอมกับขนมอบใส่ถั่ว รสขนมหวานมันกำลังดี และกรอบหอมจนต้องขอสั่งเพิ่ม

“ขออภัยขอรับคุณชาย ขนมนี่เป็นบริการพิเศษ ให้คนละชิ้นเท่านั้น”

“มันชื่อว่าอะไรหรือ”

“คุกกี้ขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์ให้ข้อมูลเพิ่มด้วยว่าวันนี้ถือว่ามีลาภปาก เพราะนานๆ ทีนายหญิงจะทำคุกกี้สักหน พอได้ยินชื่อ ซั่วเย่าก็จำได้ว่าเป็นขนมชนิดใหม่ มีขายเฉพาะในเมืองหลวง ตอนนี้เปิดขายประมาณสามร้าน แต่ที่อร่อยที่สุดคือของโรงน้ำชาจิวเจียซึ่งเป็นต้นตำรับ

“พอทราบไหมว่าโรงน้ำชาจิวเจียอยู่ที่ไหน”

เสี่ยวเอ้อร์ทำหน้าพิลึก เขาคิดว่าซั่วเย่าล้อเล่น แต่พอเห็นทำหน้าจริงจัง ก็เลยคิดไปเองว่าคงอ่านป้ายร้านไม่ออก

“ที่นี่แหละขอรับ โรงน้ำชาจิวเจีย มีชื่อนี้แค่แห่งเดียวเท่านั้นในเมืองหลวง”

ซั่วเย่ายิ้มเก้อๆ เมื่อพบว่าตัวเองถามอะไรไม่เข้าเรื่องจนต้องขายหน้า ชายหนุ่มจิบน้ำชาต่อจนหมดกา เสร็จแล้วก็จ่ายเงินออกไปจากร้าน

คนส่วนใหญ่ถ้าลองได้ขายหน้า คงไม่คิดจะมาเป็นลูกค้าอีกอย่างน้อยสักระยะหนึ่ง แต่ซั่วเย่ากลับไม่รู้สึกอย่างนั้น เขาชอบบรรยากาศของร้าน ชอบกลิ่นหอมของชา และการตกแต่งที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยทุกวัน ที่ผนังด้านหนึ่งของร้านจะมีบทกลอนเขียนอยู่ และจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นระยะ ที่สะดุดตาคือของกวีหญิงผู้มีนามว่าชิงชิง กลอนบทแรกของนางเป็นกลอนรัก


‘ริมเตียงแสงจันทร์กระจ่าง

กลิ่นดอกท้อขจรหวาน

เงยหน้ามองนภา ใจตัดอาลัย’


ความหมายของกลอนบทนี้คือ นางกำลังเฝ้าคิดถึงความรักเมื่อครั้งอดีต แต่ไม่คิดคร่ำครวญ นางเชิดหน้าอย่างหยิ่งทระนง และพร้อมจะตัดใจอย่างเด็ดขาด อ่านแล้วทำให้คิดว่าคงเป็นสตรีที่ใจแข็งพอดู

หลังจากนั้นอีกสี่ห้าวันก็มีบทใหม่มาแปะ คราวนี้เป็นกลอนชมธรรมชาติ เนื้อหาเอ่ยถึงไร่องุ่นในเจียนเจี๋ยว่าสวยงามเพียงไร แต่ปิดท้ายกลับกลายเป็นกลอนตลก


‘รอนแรมถึงเจียนเจี๋ย

ทิวเขาโอบล้อมไร่ งามละลานตา

ลมโชยลับ อาทิตย์อัสดงงาม

พลบค่ำกินองุ่น หวานล้ำลืมกลืน

ผลมันติดคอ เกือบได้เฝ้ายมบาล’


จากเดิมที่เคยคิดว่าชิงชิงเป็นคนแข็ง ซั่วเย่ากลับได้พบอารมณ์ขัน เขาเฝ้าคอยบทกลอนของสตรีผู้มีนามว่าชิงชิงโดยไม่รู้ตัว ยิ่งได้ทราบว่านายหญิงแห่งโรงน้ำชานี้เป็นคนเขียนขึ้น เขาก็ยิ่งประหลาดใจ

ซั่วเย่าเข้าใจผิดไปไกลว่านายหญิงแห่งโรงน้ำชาจิวเจียเป็นสตรีวัยกลางคนที่น่าเคารพ เขาอยากสนทนาด้วยถึงขั้นเปรยกับเสี่ยวเอ้อร์ว่าอยากพบ

“ถ้าเป็นนายหญิงชิงชิงคนสวยก็ยากหน่อยนะขอรับ นางไปธุระต่างแดน ไม่ทราบว่าจะกลับมาเมื่อไร” อาซานบอกปัด เพราะมีหลายคนแวะมาที่ร้านเนื่องจากอยากพบนายหญิงคนงาม

“ข้ามิได้หมายถึงชิงชิงคนนั้น แต่เป็นชิงชิงที่เขียนกลอน”

ซั่วเย่ามานั่งจิบชาบ่อยๆ แม้ไม่ได้คุยกับใคร ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่รับรู้อะไรเลย นิสัยของหน่วยข่าวมันแผลงฤทธิ์ ก็เลยชอบฟังคนโน้นคนนี้คุยกันโดยไม่รู้ตัว

“อ้าว! คุณชายมาออกบ่อย ไม่เคยเจอนายหญิงเลยหรือขอรับ” อาซานถามอย่างแปลกใจ

“ไม่เลย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขอสนทนากับฮูหยินสักครั้ง เจ้าช่วยถามได้หรือไม่ว่าสะดวกจะสนทนากับผู้น้อยหรือเปล่า”

อาซานหลุดขำทันทีที่ได้ยิน

“ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ นายหญิงของข้ายังไม่ได้แต่งงาน และมีอายุอ่อนกว่าท่านหลายปี”

ซั่วเย่ารู้สึกฉงนเป็นเท่าตัวเมื่อได้ฟังเช่นนั้น แต่ก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิม

“นายหญิงมาร้านไม่เป็นเวลา ถ้าคุณชายอยากเจอ ก็คงต้องหวังพึ่งดวงแล้วขอรับ” อาซานบอกตามตรง

ช่วงก่อนเจ้มาที่ร้านบ่อย แต่พักหลังต้องเว้นระยะห่างบ้าง เพราะยาที่เต้กุนให้มาเหลือน้อยเต็มที

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะมาบ่อยๆ ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มกล่าว แล้วจ่ายเงินให้เป็นสองเท่าของค่าน้ำชา เพื่อขอบคุณอาซานที่ช่วยบอกข้อมูลให้


ซั่วเย่าไปที่โรงน้ำชาจิวเจียติดกันถึงสองวัน แต่ก็ยังไม่มีวาสนาได้พบคนที่อยากเจอ แม้แต่กลอนบทใหม่ก็ไม่มี เห็นทีช่วงนี้นายหญิงชิงชิงคงกำลังยุ่ง และเนื่องจากซั่วเย่าทิ้งงานมาหลายวันแล้ว จึงจำเป็นต้องไปหาของมาขายให้พ่อค้าตามบทบาทที่ตนกำลังแสดง แต่ก็ยังมิวายมีคนพูดถึงวีรกรรมของคนที่อยากรู้จักให้ได้ฟังอีก

“เมื่อวันก่อนมีนักเลงไปหาเรื่องที่โรงน้ำชาจิวเจีย” พ่อค้าคนหนึ่งว่า

“แล้วอย่างไร อาละวาดตีกันร้านพังรึ”

“เปล่าเลย มีคุณชายที่เป็นวรยุทธ์คนหนึ่งมาช่วยสั่งสอนอันธพาล”

ซั่วเย่านิ่งไปเพราะนี่เป็นเรื่องของตัวเอง วันก่อนเขาไปที่โรงน้ำชา แล้วเจอพวกมันมาสร้างความวุ่นวายพอดี จึงสั่งสอนไปเล็กน้อย

“ก็ดีแล้วนี่ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้น”

“เรื่องตื่นเต้นน่ะมันหลังจากนั้น” คนเริ่มเรื่องว่า

เขาเริ่มเล่าอย่าออกรสว่านักเลงพวกนี้เป็นคนของกลุ่มเฝิงซึ่งคุมย่านนั้น ตกเย็นก็เลยพาพวกมาเพิ่ม แต่นายหญิงของโรงน้ำชาจิวเจียจัดการล้มพวกมันได้หมดด้วยไม้ท่อนเดียว

“อย่าหลอกให้ขำหน่อยเลย ข้าเคยเจอนางนะ สตรีร่างแบบบางตัวเล็กนิดเดียวจะไปทำอะไรได้”

“ข้าพูดจริงๆ นะ น้องชายข้าเห็นกับตาเลย”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมร้านถึงยังอยู่รอดปลอดภัยเล่า พวกร้านค้าที่มีเรื่องกับกลุ่มเฝิงไม่เคยได้อยู่เป็นสุขสักราย”

ซั่วเย่านึกตามก็เห็นว่าจริง เมื่อวานเขายังไปดื่มน้ำชาตามปกติ ไม่เห็นว่าร้านมีปัญหาแต่อย่างใด

“เรื่องยุติได้ก็เพราะนายหญิงชิงชิงน่ะสิ นางบุกไปหากลุ่มเฝิงถึงถิ่น แล้วขอเจรจากับหัวหน้ากลุ่ม”

“ไม่ไหวมั้ง ถ้าเป็นแม่นางชิงชิงคนสวยก็ว่าไปอย่าง แต่แม่นางชิงชิงหน้าจืดนี่ เห็นทีหัวหน้าเฝิงจะไม่ชายตาแล”

“ข้าก็คิดแบบนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าหัวหน้าเฝิงถูกใจแม่นางชิงชิงหน้าจืดมาก ถึงขนาดประกาศว่านางเป็นเหมือนน้องสาว ต่อไปใครมีเรื่องกับโรงน้ำชาจิวเจีย ก็เหมือนมีเรื่องกับกลุ่มเฝิงด้วย”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน!” คนฟังทำหน้าไม่เชื่อ

“คงจะถูกใจฝีมือน่ะ ก่อนบุกถึงตัวหัวหน้าเฝิง นางจัดการพวกลูกน้องไปหลายคน”

สาเหตุที่เป็นที่ถูกใจหัวหน้าเฝิง เพราะความกล้าหาญและฉลาดพูด นางยืนยันหนักแน่นว่าไม่คิดทำร้ายใครก่อน รวมถึงยินดีจ่ายค่าคุ้มครองอย่างที่ผ่านมา เพียงแต่หนนี้มีเรื่องกัน เพราะคนของหัวหน้าเฝิงทำตัวรุ่มร่ามกับคนในร้าน ตนจึงมาเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจและอยากจะขอขมาที่ใช้กำลัง

หญิงสาวเตรียมของขวัญมาพร้อมสรรพ ท่าทีก็อ่อนน้อมต่างกับผู้หญิงเลือดร้อนที่เห็นก่อนหน้า หัวหน้าเฝิงสัมผัสได้ว่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา ถ้าตั้งตนเป็นศัตรู ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งคงย่อยยับ จึงรับของขอขมาไว้ รวมถึงแสดงน้ำใจกลับ ด้วยคิดว่าต่อไปต้องได้พึ่งพากันแน่

“เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน” ซั่วเย่าเอ่ยแทรกอย่างสนใจ เขาทำงานด้านสืบข่าว มีหรือจะไม่รู้ว่าข่าวลือมักเกินจริง

“ข้ากล้ารับประกัน น้องชายข้าเห็นกับตา”

“น้องชายเจ้าเชื่อได้ที่ไหน เห็นเอาแต่เล่นเหลวไหลไปวันๆ” คนที่รู้จักกันว่า

ยิ่งฟัง ซั่วเย่าก็ยิ่งอยากรู้จักสตรีนางนี้ จากเดิมที่คิดว่าคงไม่แวะไปโรงน้ำชาแล้ว ก็สั่งให้คนขับรถม้าย้อนกลับเข้าเมือง

รถม้าแล่นไปด้วยความเร็วพอประมาณ แต่สักพักหนึ่งก็หยุดแล้วจอดสนิท ซั่วเย่าจึงเปิดช่องหน้าต่างมาถามคนขับว่าเกิดอะไรขึ้น

“ด้านหน้ามีรถม้าจอดขวางอยู่ขอรับ ไม่ทราบว่าเสียหรือเปล่า”

“ลองไปถามดูที” ชายหนุ่มเอ่ยพลางจับอาวุธที่ซ่อนไว้ตามความเคยชิน

สักพักหนึ่ง คนขับก็กลับมาเล่าว่า รถม้าคันหน้าบังเอิญเจอศพแม่สุนัขกลางถนน ข้างกันมีลูกของมันอยู่ด้วยตัวหนึ่ง คุณหนูที่โดยสารมาก็เลยสั่งให้ฝังศพแม่มัน แล้วเอาลูกไปเลี้ยง แต่ว่าลูกสุนัขขัดขืน ก็เลยต้องไล่จับกันชุลมุน

“จับได้แล้ว!” เสียงกู่ร้องอย่างยินดีของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น

ซั่วเย่าชะโงกไปดู ก็เห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นสตรีหน้าตาธรรมดา ที่ทำให้รู้สึกประทับใจคือรอยยิ้มบนใบหน้านาง หญิงสาวกอดลูกสุนัขเอาไว้โดยไม่ห่วงว่าชุดที่สวมอยู่จะเปรอะเปื้อน

“ข้าขอโทษด้วยที่ขวางทาง จะรีบไปเดี๋ยวนี้แล้ว!” หญิงสาวตะโกนบอก เมื่อเห็นซั่วเย่าโผล่หน้าออกมา

“เป็นคุณหนูที่แปลกดีนะขอรับ” คนขับรถของซั่วเย่าเปรย เกิดมาเขาเพิ่งเคยเห็นคนฝังศพสุนัขข้างถนนก็วันนี้

“นั่นสิ” ชายหนุ่มเห็นด้วย

อึดใจรถม้าก็ขยับ ซั่วเย่ากลับมานั่งประจำตำแหน่งเดิม โดยในใจยังมีรอยยิ้มของคนไม่รู้จักประทับอยู่


เนื่องจากเสียเวลาจอดอยู่กลางถนนพักหนึ่ง ซั่วเย่าจึงกลับเข้าเมืองไม่ทันเวลาร้านน้ำชาปิด ชายหนุ่มออกจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาอีก หนนี้ความพยายามของเขาสัมฤทธิผล อาซานตรงดิ่งมาหาทันที แล้วบอกว่าวันนี้นายหญิงมาที่ร้าน

ซั่วเย่าชะเง้อมองหาทันที แต่ก็พบเพียงลูกจ้างที่คุ้นหน้า

“นางอยู่ที่ไหนหรือ”

“หลังร้านขอรับ”

ตอบไม่ทันขาดคำ เด็กหญิงวัยสิบขวบก็เดินร้องไห้ออกมาจากหลังร้าน ถ้าซั่วเย่าจำไม่ผิด ดูเหมือนเด็กคนนี้จะมีชื่อว่าอาจู เป็นน้องเล็กของคนทุกคนในร้าน

“เกิดอะไรขึ้น” อาผิงซึ่งเป็นพี่สาวถลามาถาม

“ข้ากับนายหญิงกำลังจะจับเจ้ามับมับอาบน้ำ มันเลยกัดข้า” เด็กหญิงฟ้อง

“เอ๊ะ! มันไม่ได้ชื่อเจ้ามับพับหรอกรึ” อาซานทบทวนชื่อสัตว์เลี้ยงที่เพิ่งได้มาเมื่อวาน

“ฟินฟับต่างหาก” อาหลันเถียง

“จะชื่ออะไรก็ช่างเถอะ รีบไปช่วยนายหญิงเร็ว ข้ากลัวเจ้าสัตว์ร้ายนั่นจะทำอันตรายนายหญิง” เด็กหญิงสะอื้นไปพลางดึงชายเสื้อพี่ชายไปพลาง

พวกพี่ๆ รู้ดีว่าน้องสาวตกใจจนเกินเหตุจึงไม่ยอมขยับ เข้าไปหลังร้านตอนนี้มีแต่จะถูกนายหญิงเอ็ด ก็เลยไม่สนใจทำตามคำขอ ตรงกันข้ามกับซั่วเย่าที่เข้าใจผิดอย่างจัง ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วอาสาว่าจะไปช่วยนายหญิงของอาจูเอง

“นำทางข้าไปสิ”

“ห้ามคน...” อาผิงทำท่าจะเตือน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อน้องชายเอามือจุปาก

“ปล่อยไปเถอะ คุณชายคนนี้อยากเจอนางหญิงมาก ให้พบสักหนจะเป็นไร”

“ถ้านายหญิงโกรธขึ้นมา รับผิดชอบเอาเองก็แล้วกัน” อาผิงขู่กลับ ผลคือน้องชายตัวดียักไหล่

“อาจูเป็นคนพาไปนี่ ไม่ใช่ข้าสักหน่อย ถ้านายหญิงจะโกรธก็ต้องโกรธนาง”

“เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ” อาผิงเอ็ดน้อง ก่อนจะไล่ให้ไปทำงาน


บริเวณลานซักล้างด้านหลังขณะนี้กำลังเกิดเหตุชุลมุนพอสมควร สาเหตุเกิดจากลูกสุนัขสีน้ำตาลดำสุดดื้อกลัวน้ำขึ้นมาไม่ยอมให้อาบแต่โดยดี มันดิ้นหนีสุดแรงเกิด แล้วกระโดดออกจากอ่างไปกลิ้งคลุกดินคลุกทรายกับพื้น เท่านั้นยังไม่พอ มันยังสลัดน้ำใส่เสียเต็มหน้าคนที่พยายามทำให้ตัวมันสะอาด

“หยุดเดี๋ยวนี้นะมัฟฟิน!” เจ้เรียกเจ้าตัวแสบที่อุตส่าห์ช่วยมาจากข้างถนน

มันหันมามองหน่อยหนึ่งแต่ไม่หยุด มัฟฟินโกยสี่ขา วิ่งมุดนั่นมุดนี่ให้เจ้ไล่ตะครุบ เจ้ร่ำร่ำจะหยิบอะไรมาขว้าง แต่มันแกล้งตายเสียก่อน

“เยาะเย้ยกันใช่ไหม ได้เลย ข้าจะจับเจ้ามาอาบน้ำเสียให้เข็ด!”

ประกาศแล้ว เจ้ก็ใช้เคล็ดวิชาของมือสังหารกระโดดตะครุบ เจ้ามัฟฟินถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว มันสะดุ้งจนหงายหลัง เจ้จึงฉวยโอกาสนี้คว้าตัวมันไว้

“เสร็จฉันละ...เตรียมตัวตายได้เลย” เจ้หัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย

เธอจับลูกสุนัขกลับมาแช่น้ำในอ่างอีกครั้ง แล้วฟอกสบู่ทำความสะอาดตัวให้ใหม่ เจ้จับมันฟอกสบู่อีกหน แล้วล้างตัวใหม่จนเอี่ยมอ่อง เจ้ามัฟฟินคล้ายจะยอมจำนน เจ้เลยประมาท ลืมไปว่ามันมีไม้เด็ด เผลอปล่อยมือจากมันเพียงอึดใจ เจ้ามัฟฟินก็สลัดน้ำใส่เต็มหน้า เจ้กำลังอ้าปากอยู่ เลยกินเข้าไปหลายหยด

“มัฟฟิน!” เจ้ตะโกนอย่างโมโห เพราะอย่างนี้แหละ เธอถึงเกลียดเด็กเกลียดสัตว์

เจ้รีบเอาผ้ามาห่อตัวมันไว้ ก่อนที่มันจะหนีไปได้อีก คราวนี้มัดแน่นเป็นมัมมี่ ไม่มีโอกาสให้ดิ้นหนีเลย

“หึๆๆ...แกตายยย!” เจ้ทำเสียงแหบพร่าข่มขวัญลูกสุนัข แล้วลงมือขยำขยี้เช็ดขนให้มัน

ใครได้ยินแต่เสียง คงคิดว่างานนี้มีฆาตกรรมเกิดขึ้น แต่ในความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น เจ้โมโหมันมากก็จริง แต่ก็ยังเบามือ

งานนี้เจ้ามัฟฟินไม่ต่อต้าน แต่ทำท่าเคลิ้มเหมือนว่าชอบ เจ้มันเขี้ยวก็เลยแกล้งมัน

“สังหารจุดตาย ขยี้พุง นี่แน่ะๆ!”

มัฟฟินเป็นหมาบ้าจี้ จึงเอาฝ่าเท้าขึ้นมาตบๆ แล้วพยายามงับนิ้วเจ้สู้

“อย่าหวังเลยเจ้าลูกสุนัข คมเขี้ยวเจ้าไม่ระคายข้าหรอก”

ถึงจะบอกว่าเกลียดเด็กเกลียดสัตว์ แต่การกระทำของเจ้ออกจะตรงข้ามอยู่มาก เพราะเธอเล่นกับมันเพลินจนไม่ทันสังเกตว่ามีคนยืนดูอยู่พักใหญ่แล้ว


ซั่วเย่ามาถึงลานซักล้างตอนที่เจ้กำลังไล่ตะครุบตัวมัฟฟินพอดี

“สัตว์ร้ายที่เจ้าว่าอยู่ไหน”

“นั่นไง เจ้าตัวนั้น” อาจูชี้ให้ดู

ขุนพลหน่วยเสื้อคลุมดำถึงกับพูดอะไรไม่ออก เมื่อเห็นลูกสุนัขตัวจ้อย เจ้าตัวเล็กนี่กัดเข้าหรือเปล่าเขายังสงสัย พอหันไปมองมืออาจู ก็พบว่าแทบไม่มีรอยแดงอยู่เลย ท่าทางคงตกใจไปเอง

“ท่านรีบไปช่วยนายหญิงข้าเร็วๆ สิ”

“แม่หนู ข้าว่าเจ้าสัตว์ร้ายนี่ทำอะไรนายหญิงของเจ้าไม่ได้หรอก” พูดยังไม่ทันขาดคำ หญิงสาวก็ตะครุบตัวมันไว้ได้

“เห็นไหมว่านายหญิงเจ้าเก่งออก” ซั่วเย่าชี้ให้ดูด้วยรอยยิ้ม

ทีแรกเขาจำนางไม่ได้ แต่พอเป็นท่าจับลูกสุนัขแล้วชูขึ้นมา ก็นึกออกทันทีว่าเป็นคนเดียวกันกับคุณหนูเมื่อวาน

อาจูปรบมืออย่างชอบใจ แล้วตะโกนลั่น

“นายหญิงเก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ!”

เจ้ได้ยินเสียงอาจู จึงตะโกนให้ไปเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่มาให้ เพราะมัฟฟินทำเธอเปียกไปทั้งตัว อาจูวิ่งปรู๊ดไปทันที ทิ้งแขกประจำให้อยู่กับนายหญิงสองคน

ซั่วเย่าตั้งใจจะกระแอมบอกให้หญิงสาวรู้ตัว แต่มองเพลินจนเผลอลืมไป แม่นางชิงชิงผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ แม้แต่อาการอาบน้ำสุนัขก็ทำให้ประทับใจได้

“อาจู ผ้าเช็ดหน้ายังไม่ได้อีกหรือ” เจ้ถามทั้งที่ไม่เงยหน้า

ตอนนี้ขนเจ้ามัฟฟินหมาดแล้ว แต่ยังไม่แห้งสนิท เธอเลยเอามันไปไว้บนโต๊ะก่อน แล้วเดินไปล้างหน้าล้างตา เจ้ไม่ใช้แขนเสื้อเช็ด เพราะไม่อยากให้สิ่งสกปรกไปอุดตันรูขุมขน

ไม่มีเสียงตอบรับของอาจู แต่มีผ้าเช็ดหน้ายื่นมาให้แทน เจ้รับไปเช็ดเสร็จแล้วค่อยหันกลับมา

“นพ!” หญิงสาวอุทานเสียงดังลั่น คราวนี้เธอไม่ได้วิ่งหนี เพราะแขนขาไม่ยอมขยับ

ซั่วเย่ามองคนที่ตกใจจนหน้าซีดด้วยความสงสัย เขาจำได้ในวินาทีต่อมาว่าเคยพบนางมาก่อน นางคือผู้หญิงที่ล้มลงไปในแอ่งน้ำวันนั้น ตอนนั้นนางก็อุทานคำนี้ออกมา

‘หรือจะเป็นชื่อ?’

“ขออภัยด้วยที่ทำให้ตกใจ แต่ข้าไม่ใช่คนที่แม่นางรู้จัก” เอ่ยจบเขาก็ทบทวนการออกเสียงของชื่อนั้น “ข้าไม่ใช่นพ”

คำปฏิเสธเรียกสติเจ้คืนมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าเขาเอ่ยอย่างชัดเจนอย่างนี้ ก็คงไม่ใช่จริงๆ เจ้ไม่จำเป็นต้องหนี ไม่จำเป็นต้องกลัวอีกต่อไป

“ข้า...ขอโทษ” เจ้เอ่ยเสียงเครืออย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

ในความโล่งอกนั้นมีความผิดหวังปนอยู่มหาศาล ลึกแล้วๆ เจ้อยากพบนพอีกครั้ง อยากเห็นกับตาว่าเขาสบายดี ถ้ารู้ว่าต้องตายแล้วหลงมาอยู่อีกโลก ก่อนจากกัน เธอคงกอดเขาให้แน่น มองเขาให้เต็มตา ไม่ด่วนตัดรอนผลักไสเหมือนอย่างที่ทำไป

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่าแม่นาง”

ชายหนุ่มแสดงความเป็นห่วง เมื่อดวงตาของนางคลอไปด้วยหยาดน้ำ หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ในท้ายที่สุด น้ำตาก็ไหลเอ่อ

ซั่วเย่าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้แค่อยากปกป้องสตรีตรงหน้า อยากทำทุกทางให้หยาดน้ำบนใบหน้านางแห้งไป กว่าจะรู้ตัว ชายหนุ่มก็เผลอยื่นมือไปซับน้ำตาให้

เจ้ชะงักไปเมื่อได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยน เธอถามเขาด้วยสายตาว่าเหตุใดจึงมีน้ำใจต่อตน ซั่วเย่าเข้าใจความหมาย แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงเอ่ยแก้เก้อ

“ข้า...จะเอาน้ำมาให้ล้างตา”

เขารู้ว่าเธอไม่ได้น้ำตาคลอเพราะฝุ่นผง แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นเข้าใจผิดเพื่อให้สบายใจ ความอ่อนโยนของเขาทำลายเกราะป้องกันในใจเจ้จนพังทลาย เธอเหนื่อยกับการวิ่งหนีหัวใจตัวเองเต็มทน ไม่อยากฝืนทำเป็นเข้มแข็งอีกต่อไป

เจ้โผเข้าไปในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ซบหน้าลงบนอกกว้าง แล้วเริ่มร้องไห้อย่างอัดอั้น

“คิดถึงมาตลอดเลย คิดถึงแทบขาดใจ”

หญิงสาวเอ่ยภาษาเจียงเฉียงออกมาเพียงเท่านี้ ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงสะอื้นผสมคำพูดภาษาที่ซั่วเย่าไม่รู้จัก ชายหนุ่มทำอะไรแทบไม่ถูก เมื่อเห็นร่างบอบบางในอ้อมแขนกำลังสะอื้นไห้ ซั่วเยาก็ทำตามสัญชาตญาณทันที เขากอดตอบนาง พร้อมกับปลอบด้วยคำว่า ‘ไม่เป็นไร’

-โปรดติดตามตอนต่อไป-



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ย. 2558, 00:39:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ย. 2558, 00:39:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1224





<< ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๕ อดีตฝังใจ   ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๗ เผชิญอดีต(พบกันในเล่ม3นะคะ) >>
mottanoy 2 พ.ย. 2558, 02:26:41 น.
เพี้ยงให้เจ๊สมหวังซักที่เต๊อะ


Zephyr 24 พ.ย. 2558, 20:28:58 น.
อุ้บบบบบบบบบ
ไปกอดเขาเลยรึ???
เขาก็กอดตอบอีกนะ หุหุ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account