ริษยาซ่อนรัก
ความเจ็บเปลี่ยนภูเขาน้ำแข็งให้เป็นภูเขาไฟ เธอจึงถือคติว่าเจ็บแล้วต้องจำ และหากถูกกระทำซ้ำๆต้องเอาคืน!

ไฟใดจะร้อนเท่าไฟในอก
ความริษยาคือเปลวไฟที่จะเผาไหม้ทุกอย่างให้เป็นจุณ
แล้วอำนาจใดเล่าที่จะยับยั้งอานุภาพแห่งไฟร้ายได้
หากมิใช่...ความรัก

Tags: น้ำฟ้า,ริษยาซ่อนรัก,นิยายรัก

ตอน: บทที่ ๑ ทางเดินที่เปลี่ยนสาย


นิยายเรื่องนี้มีบทนำด้วยนะคะ บอกเผื่อไว้สำหรับท่านที่ยังไม่ทันได้อ่าน^^




บทที่ ๑


หลังเสร็จสิ้นพิธีลอยอังคารประมุขของบ้านจันทรานนท์แล้ว จักรภพจึงพาภรรยาและลูกชายกลับเชียงใหม่ ชีวิตของซันดาจึงกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติอีกครั้ง จะมีที่แตกต่างจากเดิมก็คือ ในวันนี้ไม่มีคุณย่าอีกแล้ว บ้านหลังใหญ่จึงเต็มไปด้วยความเงียบเหงา เพราะมีเพียงเธอและอาสาวที่ต่างคนต่างอยู่ ซันดาดูออกว่าจิดาภาไม่ใคร่เอ็นดูหลานอย่างเธอเท่าใดนัก และหลายครั้งที่ผู้เป็นอาแสดงออกว่าไม่ชอบรยา ซันดาเดาว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องมรดก เนื่องจากคุณย่าเป็นเจ้าของที่ดินย่านธุรกิจหลายสิบไร่ ซึ่งขณะนี้ที่ดินดังกล่าวได้แบ่งให้เอกชนเช่าอยู่ในราคาแพงลิบลิ่ว จิดาภาจึงสามารถทำตัวไฮโซลอยไปลอยมาโดยไม่ต้องทำงานใดๆ ต่างกับผู้เป็นหลานสาวซึ่งเลือกทำงานตามสายงานที่ถนัด หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยซันดาก็ใช้เวลาว่างโดยการเป็นนักเขียนนวนิยาย เธอเป็นนักเขียนอยู่ 3 ปีก็เบนเข็มมาเป็นบรรณาธิการโดยการชักนำของแพรวารุ่นน้องคนสนิท และเป็นลูกสาวเจ้าของสำนักพิมพ์ที่เธอทำงานอยู่นั่นเอง

เช้าแรกของการเริ่มต้นทำงาน ซันดาออกจากบ้านด้วยใจที่พยายามปรับให้สดใสที่สุด แต่เมื่อมาถึงสำนักพิมพ์เธอกลับรู้สึกถึงความผิดปกติ เหตุเพราะระหว่างที่ซันดาเดินเข้ามานั้น เหล่าพนักงานคนอื่นๆต่างก็ลอบมองเธอด้วยสายตาที่แปลกออกไป บ้างก็จับสังเกต บ้างก็หันไปซุบซิบกัน ครั้นพอเธอถามตรงๆ ต่างก็ปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันว่า...เปล่า ก่อนจะยิ้มแหยๆแล้วเดินเลี่ยงไปราวกับกลัวที่จะต้องตอบ

ขณะที่ใจครุ่นคิดหาคำตอบ หญิงสาวก็เดินมาถึงหน้าห้องทำงานของตน กระจกสีทึมตรงช่องบานประตูส่องสะท้อนให้เห็นหญิงสาวผมสั้น ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีสด กางเกงขาเดฟสีดำ สวมรองเท้าหุ้มส้นเตี้ยๆ เธอก็แต่งตัวเหมือนๆกับทุกวัน แล้วสายตาที่ทุกคนมองมามันคืออะไร

เมื่อคิดไม่ตก ซันดาจึงถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะใช้มือเรียวผลักบานประตูให้เปิดกว้างออก แล้วก้าวเข้าไปในห้องทำงานอย่างช้าๆ จากนั้นคิ้วโก่งได้รูปจึงขมวดมุ่นเมื่อเห็นสภาพห้องทำงานของตนที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
‘นี่มันอะไรกัน’ บรรณาธิการสาวเปรยกับตนเองเบาๆ ด้วยความสงสัย

ร่างบางก้าวเข้าไปยืนชิดโต๊ะทำงานแล้วก้มลงมองเอกสารที่วางอยู่อย่างพินิจ

มันเป็นเอกสารชุดเดียวกับของเธอนั่นแหละ แต่มีแฟ้มแปลกๆวางทับอยู่ รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องเขียน และแจกันใบใหม่ จำได้ว่าวันสุดท้ายก่อนลาพักร้อน โต๊ะของเธอไม่ได้มีเอกสารและสิ่งของแปลกปลอมเหล่านี้แม้แต่ชิ้นเดียว แล้วมันเกิดอะไร...

ขณะครุ่นคิดก็มีคนถือวิสาสะผลักบานประตูเข้ามาในห้องโดยไม่มีการเคาะเตือน ซันดาเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าผู้มาใหม่คือ ไหมแก้ว สาวใหญ่วัย 47 ปี ผู้เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ลูกหว้าที่เธอทำงานอยู่ เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาสวยเด่น รูปร่างโปร่งบางในชุดสีแดงเพลิงที่ซันดารู้จักดี

“อ้าว! ซัน น้าไม่รู้ว่าเธออยู่ในห้อง เลยไม่ได้เคาะประตู ขอโทษทีนะ” ผู้สูงวัยที่สุดในนั้นเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน

ซันดายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณน้า ไม่ทราบว่าเกิดอะไรกับห้องทำงานของซันคะ ทำไมมีข้าวของแปลกๆโผล่ขึ้นมาเองได้”

ถามพลางเธอก็เหลือบมองสาวชุดแดงอย่างหวาดระแวง การได้พบกันอีกครั้งคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซันดารู้ซึ้งถึงจิตใจของอีกฝ่ายดี ‘คนเคยรู้จัก’คนนี้ไม่ได้มีเจตนาดีกับเธอแน่ เพียงแค่เหลือบตาไปมองเธอก็เห็นรอยเยาะที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่สวยของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน กาลเวลาไม่สามารถเปลี่ยนใจเธอได้เลยจริงๆ “ฟ้ารุ่ง”

“เอาละ น้าจะสรุปให้เข้าใจง่ายๆนะ” ไหมแก้วระบายยิ้มขณะเดินเข้ามาใกล้คู่สนทนา “ซันมัวลาพักร้อนกลับต่างจังหวัด คงยังไม่รู้ว่าตัวเองทำงานผิดพลาด แล้วทำให้สำนักพิมพ์เสียหายมากแค่ไหน”

ซันดาตกใจในสิ่งที่ได้ยิน นี่เธอทำงานพลาดขนาดนั้นเลยหรือ เป็นไปไม่ได้ “นิยายที่ซันดูแลอยู่มีปัญหาหรือคะ”
คนตอบพยักหน้า “ใช่ นิยายที่ซันเป็นบอกอเล่มถูกร้องเรียนว่าพล็อตซ้ำกับซีรีส์เกาหลี อีกเล่มมีการลอกงานจากเล่มอื่นมาใส่เป็นจุดๆ ตอนนี้ชื่อเสียงของสำนักพิมพ์เราป่นปี้หมดละ”

ดวงตากลมโตเบิกค้าง ซันดาชะงักไปพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ซันขอโทษค่ะคุณน้า ซันไม่คิดว่า...”

“เอาล่ะๆ ซันเป็นพี่คนสนิทของยายแพรลูกสาวน้า น้าจะไม่เอาเรื่อง แต่น้าจะเซ็นเช็คให้ซันล่วงหน้า 3 เดือน เพื่อสำรองใช้ในการหางานที่ใหม่” น้ำเสียงเรียบๆของไหมแก้วนั้นสะเทือนถึงหัวใจของซันดา

‘เธอกำลังถูกไล่ออก’

ไม่น่าเชื่อเลยว่างานจะผิดพลาดขนาดนั้น นักเขียนทั้งสองคนที่เธอเป็นบรรณาธิการไม่ใช่นักเขียนไก่กา คนหนึ่งออกงานมาแล้วหลายเล่ม อีกคนเป็นนักเขียนมือรางวัลมาแล้วหลายรายการ

“คุณน้าจะไล่ซันออกหรือคะ ซันขอโอกาส...”

ไหมแก้วโบกมือ “อย่าเลย ระหว่างที่ซันไม่อยู่เนี่ย น้าได้หนูฟ้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์จนทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว น้าไม่ได้จะให้ซันรับผิดชอบอะไร ดังนั้นซันไม่ติดค้างอะไรกับสำนักพิมพ์ ไม่ต้องกังวล”

ระหว่างที่ไหมแก้วแนะนำกลายๆ สาวสวยที่ยืนเงียบอยู่นานก็เหยียดยิ้ม

“น้าลืมแนะนำบอกอฟ้า หรือหนูฟ้ารุ่ง ที่จะมาเป็นบอกอแทนซัน” ไหมแก้วพูดต่อ

ซันดาใจหายวาบ ฝืนหันไปมองผู้ที่มาเสียบแทนเธอด้วยสีหน้ากระด้าง ไม่เอ่ยปากทักทาย

“ฟ้ารุ่ง กุลประภัทตร์ ค่ะคุณซัน ฟ้าเพิ่งกลับจากอังกฤษ อยู่ที่โน่นก็เป็นบอกอเหมือนกัน แต่ในเมืองไทยยังไม่รู้จักเพื่อนร่วมวงการเลย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” บรรณาธิการคนใหม่แสดงท่าทีเสมือนไม่เคยรู้จักซันดาได้อย่างแนบเนียนนัก ใช่สิ...ผู้หญิงคนนี้แสดงละครเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“แสดงว่าของที่อยู่บนโต๊ะนี่ก็ของเธองั้นสิ” ซันดาถามเสียงแข็ง มองฟ้ารุ่งตาขวาง

คนถูกถามหัวเราะเบาๆ “ใช่สิ คุณไหมแก้วยกห้องนี้ให้ฉันหลายวันแล้ว”

“เดี๋ยวน้ามีประชุมผู้ประกอบการสื่อสิ่งพิมพ์ ซันก็เก็บของเลยนะ อ้อ หนูฟ้าก็อยู่อำนวยความสะดวกก่อนก็แล้วกัน เผื่อจะสอบถามอะไรเกี่ยวกับงานที่ซันเขาทำค้างไว้” ไหมแก้วทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้องไป

ซันดามองตาม เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บของมือเป็นระวิง โดยมีฟ้ารุ่งยืนกอดอกมองอยู่ด้วยแววตาอ่านยาก ครู่ใหญ่บรรณาธิการคนใหม่จึงเอ่ยขึ้นเสียงเยาะ “คงไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกครั้งในสภาพนี้สินะน้องสาว”

มือที่กำลังเก็บแฟ้มชะงัก ซันดาเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดเขม็ง สายตาแสดงคู่นั้นแสดงความสะใจเด่นชัด จึงกัดฟันตอบ“ฉันไม่สนใจ จะพบเธอหรือไม่ก็มีค่าเท่ากับศูนย์”

ฟ้ารุ่งหัวเราะอีกครั้ง พลางเดินเข้ามาพิงโต๊ะทำงานมองคู่สนทนาอย่างหยันๆ “งั้นก็ขอบใจนะ ที่สละตำแหน่งให้ สำนักพิมพ์ลูกหว้ากำลังเป็นที่จับตามองของนักอ่าน พอฉันมาเป็นบอกอก็ควรจะทำงานอย่างรัดกุม ไม่สะเพร่าอย่างเธอ”

ซันดาวางมือ กอดอกบ้าง “เธอหมายความว่ายังไงฟ้ารุ่ง”

“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ คนอย่างเธอไม่เหมาะกับที่นี่ แล้วถ้าทำงานชุ่ยๆแบบนี้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะเติบโตบนเส้นทางสายนี้ได้ ตราบใดที่ยังมีฉัน” ฟ้ารุ่งโต้เสียงเข้ม

ซันดามองคนที่เข้ามาแทนเธอด้วยแววตากร้าว แต่ก็รู้ดีว่าไร้ประโยชน์ที่เธอจะต่อล้อต่อเถียง ในเมื่อสำนักพิมพ์แห่งนี้ไม่ใช่ที่สำหรับเธออีกต่อไปแล้ว จึงก้มหน้าเก็บของใส่กล่องแล้วยกขึ้น ก้าวไปยังทิศทางของประตูโดยไม่ลา

แต่ก่อนที่เธอจะเดินผ่านกรอบประตูออกไป ฟ้ารุ่งก็เดินมาขวางเอาไว้ และมองซันดากวาดตั้งแต่หัวจรดเท้า “เธอเปลี่ยนไปมาก คงจะเป็นเพราะผลจากเหตุการณ์คราวนั้น...”

“ฉันทำทุกอย่างที่อยากทำ ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น ถอยไป!” ซันดาตอบเสียงแข็ง แววตาของเธอจ้องผู้อยู่ตรงหน้าเขม็ง อีกฝ่ายก็ยังคงมองตอบ ไม่หลบ ครู่ใหญ่ฟ้ารุ่งจึงเหยียดปากด้วยกิริยาเย้ยหยัน

อารมณ์โกรธของซันดาพุ่งขึ้นอย่างสุดขีด แต่เจ้าตัวก็พยายามข่มใจเพราะรู้ดีว่า ความโกรธของเธอจะทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจที่ก่อกวนได้สำเร็จ “เธอจะถอยมั้ยฟ้ารุ่ง ถ้าไม่ถอยฉันจะชนแหลก”

ผู้ถูกถามเบะปาก ยืนกอดอกอยู่ที่เดิมโดยไม่ยี่หระ “เธอไม่กล้าหรอก เพราะเธอก็รู้ว่าฉันกำความลับของเธออยู่ในมือ”

“งั้นก็ลองดู” ซันดาถอยหลังเร็วๆกลับไปสามก้าว เมื่อได้จังหวะก็พุ่งตัวไปข้างหน้าและชนเข้ากับร่างระหงที่ยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูงหลายนิ้วเต็มแรง

“ว้าย!” ฟ้ารุ่งร้องลั่นขณะที่ร่างของเธอล้มโครมลงไปกองกับพื้น

เสียงอันดังลั่นส่งผลให้พนักงานคนอื่นๆที่คอยเมียงมองอยู่ ต่างกรูกันออกมาดูด้วยความสนใจ เมื่อเห็นบรรณาธิการคนใหม่นั่งเค้เก้อยู่กับพื้น หญิงสาวคนหนึ่งจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นและถาม “เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าคะบอกอ”

ทว่าผู้ถูกถามมิได้สนใจ สายตาของเธอจดจ้องไปยังร่างที่กำลังหอบข้าวของเข้าไปในลิฟต์ พร้อมๆกับบอกตนเองด้วยความแค้นเคืองว่า ‘ครั้งหน้าแกจะต้องเจ็บกว่าฉัน ซันดา’



ภาพอดีตบางภาพยังแจ่มชัดในความทรงจำอยู่เสมอ…



ค่ำคืนนั้นซันดานั่งอยู่ในห้องบอลรูมของโรงแรมหรู รอบกายเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่ผู้ที่ตรึงความสนใจของเธอเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม คือ พิธีกรสาวที่กำลังประกาศผลรางวัลอยู่บนเวที เนื่องจากรางวัลที่เธอผู้นั้นกำลังจะประกาศมีซันดาเป็นหนึ่งในผู้ถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัลด้วย

“รางวัลนักเขียนหน้าใหม่ยอดเยี่ยมได้แก่...” พิธีกรสาวจงใจหยุดพูดเพื่อให้มีเสียงดนตรีอันเร้าใจแทรกขึ้น ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “เจ้าของนามปากกา รัศมิ์จันทร์ คุณซันดา จันทรานนท์ ขอเสียงปรบมือด้วยค่ะ”

เสียงประกาศจบลง เสียงปรบมือก็ดังกระหึ่มขึ้นแทนที่ ซันดาเกิดอาการหูอื้อ ตาลายขึ้นมาทันควัน เสียงฮือฮารอบกายจึงไม่มีผลใดๆต่อการรับรู้ของเธอ ไม่อยากเชื่อเลยว่าระยะเวลาเพียงแค่สองปีจะทำให้เธอประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้

เมื่อเห็นอาการช็อกของคนข้างกาย สาวสวยในชุดราตรียาวสีแดงสดจึงรีบหันไปสะกิดซันดาให้รู้สึกตัว“พี่ซัน ลุกไปรับรางวัลสิ เร็ว! เขาเรียกแล้ว”

น้ำเสียงเร่งเร้าของแพรวาปลุกให้ผู้ที่กำลังใจลอยได้สติ เธอจึงรีบลุกพรวดขึ้นยืน ก้าวฉับๆขึ้นไปรับโล่รางวัลบนเวทีด้วยรอยยิ้มแบบที่เรียกว่าแก้มแทบปริ

งานนี้เป็นงานประกาศผลรางวัลจากนิตยสาร “นิวสไตล์” ซึ่งจะมีการมอบรางวัลให้แก่บุคคลสาขาอาชีพต่างๆที่ได้รับการโหวตว่าเป็นบุคคลยอดนิยมเป็นประจำทุกปี ในปีนี้ซันดาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลังจากเธอเข้าสู่วงการนวนิยายได้เพียงสองปี เธอจึงตื่นเต้นกับความสำเร็จที่ได้รับในเวลาอันรวดเร็วนี้เป็นพิเศษ

ร่างบางเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าเวทีเคียงคู่ท่านผู้หญิงรพีผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการหนังสือมานาน เธอหันไปยกมือไหว้ท่านอย่างอ่อนน้อมและยื่นมือออกไปรับโล่ด้วยท่าทีสุภาพ จังหวะนั้นท่านผู้หญิงเอียงหน้าเข้ามากระซิบบอกซันดาว่า “ฉันชอบอ่านนิยายของหนูมาก”

นักเขียนสาวจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มและเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง แล้วขยับเข้าไปยืนใกล้ๆท่านเพื่อให้ช่างภาพถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

จากนั้นท่านผู้หญิงก็ได้ลงจากเวทีไปก่อน ส่วนซันดาต้องอยู่ต่อเพื่อกล่าวความในใจ เธอเดินเข้าไปหยุดใกล้ๆไมโครโฟนซึ่งตั้งอยู่กลางเวที แล้วจึงขยับเข้าไปพูดด้วยน้ำเสียงกังวานใส “นามปากการัศมิ์จันทร์ เข้าสู่วงการหนังสือมาเป็นเวลาสองปี ซึ่งเป็นสองปีแห่งความสุข ดิฉันได้ทำงานที่ตัวเองรัก และสิ่งที่เป็นเครื่องวัดความสำเร็จของดิฉัน คือ นักอ่าน ส่วนรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ยอดนิยมนั้นก็เป็นอีกความภูมิใจหนึ่งของดิฉันเช่นเดียวกัน ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มอบโอกาสในครั้งนี้ค่ะ”

กล่าวจบซันดาก็ถอยห่างจากไมโครโฟนทำท่าจะก้าวลงจากเวที ทว่าพิธีกรสาวกลับรั้งเธอไว้ด้วยการถามต่อ “หลายๆท่านคงอยากทราบว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณซันดาเริ่มต้นเขียนนิยาย พอจะเล่าได้ไหมคะ”

ผู้ถูกสัมภาษณ์ปรายตาไปยังพิธีกรแวบหนึ่งก่อนตอบฉาดฉาน “เล่าได้ค่ะ สั้นๆ แรงบันดาลใจของดิฉันมาจากผู้ชายคนหนึ่ง...”

พิธีกรสาวร้อง ว้าว! ด้วยท่าทางน่ารัก “โรแมนติกจัง”

ซันดาตัดบทการสนทนาด้วยการหันไปยิ้มแล้วโบกมือให้ผู้ชมด้านล่างก่อนจะหมุนตัวเดินลงเวทีด้วยท่าทางมั่นใจ เธอจะรู้สึกฮึดขึ้นมาเสมอ ยามที่ได้เอ่ยถึงผู้ชายคนนี้...ผู้ชายที่เธอไม่เคยลืม



เสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้น ทำให้ภวังค์ของซันดาพังครืน เธอละสายตาจากโล่รางวัลที่ตั้งอยู่บนตู้โชว์แล้วเอี้ยวตัวไปคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหู

“สวัสดีค่ะ นั่นบอกอกซันดาใช่ไหม”ปลายสายเอ่ยถามขึ้นก่อน

เจ้าตัวเลิกคิ้วนิดหนึ่งตามความเคยชิน “ใช่ค่ะ”

“ฉันชื่อนาถลดาเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เลิฟไลน์บุ๊คส์ ฉันทราบว่าหนูเพิ่งลาออกจากสำนักพิมพ์ลูกหว้าก็เลยอยากชวนให้มาร่วมงานกับเรา”

หลังฟังจนจบประโยค คิ้วคู่สวยของซันดาก็ขยับเข้าหากันจนชิด อยู่ดีๆก็มีคนโทร.มาเสนองานให้เธอ หลังจากที่เธอเพิ่งถูกไล่ออกจากสำนักพิมพ์เดิมได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง แถมคนที่โทร.มาเป็นถึงเจ้าของสำนักพิมพ์เสียอีก นี่ดวงเธอดีขนาดนั้นเลยหรือ…

“ทำไมถึงเงียบไป ตกลงไหม” ปลายสายเร่งเร้า

ซันดานิ่งไปอึดใจก่อนตัดสินใจถามตรงๆ “ทำไมคุณนาถลดาถึงอยากได้ดิฉันไปร่วมงานด้วยล่ะค่ะ”

“ฉันอยากได้คนที่เข้าใจทั้งนักเขียนและบอกอจะได้ทำงานอย่างราบรื่น ฉันคิดว่าหนูเหมาะสมที่สุด ถ้าหนูสนใจมาช่วยดูแลสำนักพิมพ์เปิดใหม่อย่างเลิฟไลน์บุ๊คส์ ฉันก็ยินดีที่จะให้เงินเดือนหนูมากกว่าเดิมหมื่นนึง”

‘มากกว่าเดิมหนึ่งหมื่นบาท’ หญิงสาวทวนคำในใจ

เธอจะไม่ตกงาน แถมยังได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกเป็นหมื่น แล้วจะรออะไรอีกล่ะซันดา

“ถ้าหนูสนใจ พรุ่งนี้เราพบกันที่สำนักพิมพ์ตอนเก้าโมงเช้านะ ฉันให้เวลาหนูตัดสินใจคืนหนึ่ง”

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณนาถลดา” ซันดาพยายามบังคับเสียงไม่ให้แสดงความตื่นเต้นออกไปมากนัก ทั้งๆที่ในใจเต้นโครมคราม

ปลายสายวางไปแล้ว แต่ซันดายังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาตัวเดิมด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม ผู้หญิงที่โทร.มาจะใช่คุณนาถลดาตัวจริงหรือเปล่านะ ถ้าไม่ใช่ ใครกันที่โทร.มาหลอกเธอ แล้วถ้าใช่ล่ะ เธอต้องเตรียมตัวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไรบ้าง

‘โอกาสดีๆกำลังเข้ามาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเธอจะต้องสู้อย่างไม่ถอยแม้เพียงก้าวเดียว’ ซันดาบอกกับตนเองเบาๆ


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สำนักพิมพ์เลิฟไลน์บุ๊คส์เป็นสำนักพิมพ์ที่ตั้งอยู่บนอาคารพาณิชย์สูง 7 ชั้น 9 คูหาโดยใช้พื้นที่คูหาสุดท้ายด้านซ้ายมือสุดของตัวอาคารเป็นสำนักงาน ส่วนอีก 8 คูหานั้นเป็นพื้นที่ของบริษัทอนันต์คอนสตรัคชั่นซึ่งประเมินจากสายตาแล้ว ซันดาคิดว่าสองบริษัทนี้น่าจะมีเจ้าของเดียวกันหรือไม่ก็คงเป็นญาติๆกันจึงมาตั้งบริษัทที่มีลักษณะงานต่างกันอยู่บนอาคารพาณิชย์หลังเดียวกันได้

เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้ม กางเกงยีนขายาวสีดำยืนด้อมๆมองๆอยู่หน้าอาคารพักใหญ่ รปภ.วัยกลางคนจึงเข้ามาสอบถามและแนะนำให้ซันดาขึ้นไปยังชั้น7 เธอจึงเอ่ยขอบคุณแล้วขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นดังกล่าวเพื่อแจ้งกับเลขาฯหน้าห้องว่ามาพบนาถลดา ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะรู้หน้าที่ดีอยู่แล้ว จึงเปิดประตูให้เธอเข้าไปในห้องซึ่งมีกระจกสีทึมโดยไม่ซักถามอะไรเลย

หลังแทรกตัวผ่านกรอบประตูเข้าไป ซันดาจึงพบว่า เธอถูกพาเข้ามาในห้องประชุมสีครีมขนาดกลาง หญิงสาวรีบกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว

ภายในห้องมีคนนั่งอยู่ราวๆสิบคน แต่ละคนมองมาที่เธอเป็นจุดเดียว แต่ซันดาก็ไม่เกิดอาการประหม่าแต่อย่างใด เธอเดินตามเลขาฯเข้าไปแนะนำตัวกับนาถลดาซึ่งนั่งเป็นประธานอยู่ อีกฝ่ายรับไหว้แล้วจึงโอบไหล่พาเธอไปแนะนำตัวกับฝ่ายต่างๆของสำนักพิมพ์บ้าง โดยเริ่มจากผู้ที่นั่งอยู่ไกลสุดก่อน จนมาถึงผู้ที่ทำให้หญิงสาวต้องชะงักงันแค่เพียงได้ยินคำแนะนำว่า “นี่ปรัชญ์ เป็นบรรณาธิการบริหาร”

ใจของเธอเต้นตึกตัก อธิษฐานว่าขออย่าให้เป็นปรัชญ์คนเดียวกับที่เธอเคยรู้จักเลย เพราะหากเป็นเช่นนั้นการทำงานของเธอคงจะไม่ราบรื่นเป็นแน่

พลันนั้นซันดาจึงรีบละสายตาจากผู้ช่วยบรรณาธิการสาวสวยมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านในสุดของห้อง ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้างเธอเลยสักนิด เธอจำเขาได้ดี ชายหนุ่มผู้มีดวงตาเรียวใต้คิ้วเข้มเหมาะเจาะกับจมูกโด่งเป็นสัน เหนือริมฝีปากบางคล้ายปากสตรี ระยะเวลาสิบกว่าปีมิได้ทำให้ปรัชญ์เปลี่ยนแปลงไปมากนัก รูปร่างของเขายังคงสูงโปร่ง ไหล่หนาดูผึ่งผาย แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด คือ สายตาของเขา ปรัชญ์เคยมีแววตาขี้เล่นและรอยยิ้มสดใสเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ดูโดดเด่นกว่าหนุ่มคนอื่นๆรอบตัว ทว่าวันนี้แววตาที่มองสบมานิ่งสนิท มีเพียงเรียวปากที่ระบายยิ้มน้อยๆดูเป็นมิตร ตรงกันข้ามกับซันดาที่เม้มปากตนเองแน่น แววตาของเธอแข็งกร้าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“สวัสดีครับ คุณซันดา”

ประโยคแรกของปรัชญ์ดึงสติของหญิงสาวให้กลับมาสู่ปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว เธอจึงรีบกลบเกลื่อนอาการพลางเอ่ยตอบอย่างรักษามารยาท “เอ่อ สวัสดีคุณปรัชญ์ ยินดีที่ได้รู้จัก”

เขายังคงยิ้มจางๆ “ยินดีครับ”

“เอาล่ะ คราวนี้ถึงตาบอกอซันดาแนะนำตัวเองบ้างแล้ว” นาถลดาสั่ง

ซันดาหันไปตอบว่า ค่ะ เบาๆ ก่อนทำตาม “ฉันชื่อซันดา ชื่อเล่นซัน อดีตบอกอประจำสำนักพิมพ์ลูกหว้าค่ะ”

แนะนำตัวเสร็จเธอก็จำต้องนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ระหว่างนาถลดาและปรัชญ์ตามคำเชิญ เธอรู้สึกว่าฝ่ายหลังยังจ้องเธออยู่ตลอด จนเธอนั่งลงแล้วนาถลดาพูดต่อนั่นแหละ เขาถึงละสายตาไปมองผู้พูด

“ที่ฉันเรียกประชุมทุกฝ่ายในวันนี้ก็เพื่อจะวางแผนงาน ตอนนี้เราได้บอกอซันมาช่วยบอกอเต้ โดยทั้งสองคนจะต้องทำงานขึ้นตรงคุณปรัชญ์ ทุกคนถือเป็นทีมเดียวกัน ช่วยกันสร้างผลงานออกมานะ” นาถลดาอธิบาย

แม้จะรู้ดีว่าโดยสายงานแล้วเธอเป็นลูกน้องของปรัชญ์ แต่ซันดาก็ยิ่งรู้สึกกังวลเมื่อได้ยินประโยคท้ายๆของเจ้าของสำนักพิมพ์ ซึ่งดูจะให้เครดิตชายหนุ่มอย่างเต็มที่ ในเมื่อเธอตัดสินใจมาทำงานที่นี่แล้วก็คงต้องยอมทำงานใต้อาณัติเขาโดยดุษณีสินะ หรืออีกทางหนึ่งก็คือตัดใจลาออกทั้งๆที่ยังไม่เริ่มงาน เธอคงต้องหางานใหม่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเธอต้องชักหน้าไม่ถึงหลังอย่างแน่นอน เพราะเพิ่งมอบเงินเก็บทั้งหมดที่มีให้พ่อกับแม่ไป คิดมาถึงตรงนี้ซันดาก็ต้องข่มใจ เตือนตัวเองว่า เธอจะต้องทำงานอย่างมืออาชีพ ข่มความรู้สึกเอาไว้ในใจให้ได้

“แล้วรินล่ะค่ะคุณดา รินเป็นผู้ช่วยของพี่เต้แล้วต้องมาช่วยคุณซันด้วยหรือเปล่า” นาริน สาวสวยในชุดสุดเปรี้ยวเอ่ยถาม ประเมินจากสีหน้าของเธอแล้วคงจะไม่พอใจถ้าหากได้งานเพิ่ม

นาถลดาหันมองผู้ถาม และจ้องนิ่งก่อนตอบ “ไม่ต้อง ฉันจะให้เก๋กับวิชเป็นผู้ช่วยของบอกอซันเอง”

คนฟังสะดุดใจที่เจ้านายดูจะปรานีซันดามากเป็นพิเศษ เข้าใจอยู่หรอกว่าอยากได้ตัวอีกฝ่าย แต่ความสนิทสนมที่เกิดขึ้นรวดเร็วก็ดูขัดกับความไว้ตัวของนาถลดานัก ดูเหมือนเจ้านายจะถูกชะตากับซันดาเป็นพิเศษ แล้วพี่เต้ของเธอล่ะ...

“เก๋กับวิชเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานยังไม่มีความชำนาญ ให้รินเป็นผู้ช่วยคุณซันไปก่อนก็ได้นะครับคุณดา ยังไงๆคุณซันก็ต้องทดลองงานตั้งสามเดือน ถ้าไม่มีมืออาชีพช่วยอาจจะไม่ผ่านโปร” พงษ์พจน์เอ่ยอย่างมีน้ำใจ ค้านกับสายตาที่มองซันดาอย่างหมิ่นๆ และน้ำเสียงที่ดูกดอีกฝ่ายให้ดูด้อยกว่า

“ไม่ต้องห่วงคนอื่น” เจ้าของบริษัทตอบเสียงเข้ม “ทำหน้าที่ของพวกเธอต่อไป ส่วนบอกอซันน่ะ ฉันจะให้คุณปรัชญ์ช่วยดูแลเอง มันเป็นหน้าที่ของเขา”

“ได้ครับ” ปรัชญ์รับคำเบาๆ

ซันดาปรายหางตาดูปฏิกิริยาคนพูดแวบหนึ่ง พบว่าท่าทางของปรัชญ์ดูไม่ทุกข์ร้อน ใบหน้าของเขาไม่ยินดียินร้าย ทั้งๆที่เขาก็น่าจะเดาอนาคตได้ดี ว่าการทำงานจะมีปัญหาอย่างไร

“ดีแล้ว ฉันตั้งเป้าเอาไว้ว่าปีนี้เราจะต้องมีนักเขียนในสังกัดเพิ่มขึ้น ผลิตหนังสือออกสู่ตลาดได้มากยิ่งขึ้น และสำนักพิมพ์ของเราจะต้องมั่นคงขึ้น ฉันเชื่อว่าทุกคนทำได้ ถ้าเราตั้งใจและสามัคคี” นาถลดาบอกอย่างมาดมั่น แล้วจึงหันไปสั่งงานกับปรัชญ์ก่อนลุกขึ้นยืน “ปรัชญ์ช่วยแนะนำงานให้บอกอคนใหม่ด้วยนะ ตามที่เราคุยกันเอาไว้นั่นแหละ แล้วพอเลิกประชุมก็เรียกเก๋กับวิชเข้ามาแนะนำให้บอกอซันรู้จักด้วย”

“ครับ” ชายหนุ่มยังคงรับคำสั้นๆตามเคย นี่คงเป็นอีกความเปลี่ยนแปลงหนึ่งของปรัชญ์สินะ เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนนิ่งแบบนี้

“โอเค งั้นปิดประชุมได้”หลังนาถลดากล่าวปิด หลายคนในที่นั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ทยอยกันเดินออกไปห้อง มีเพียงซันดาที่ยังนั่งเฉย

จู่ๆเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวปรัชญ์พาบอกอซันไปห้องทำงานด้วยนะ”

“ครับ” เขาตอบรับพร้อมกับยิ้มจางๆ


จบตอน....



ณฤดี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 พ.ย. 2558, 05:40:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 พ.ย. 2558, 05:40:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1229





<< บทนำ   บทที่ ๒ อดีตที่ตายไปแล้ว >>
Zephyr 19 พ.ย. 2558, 21:59:30 น.
โอ้ะๆๆๆๆ รำลึกอดีตกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account