ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๓๒ .. ต่างคน ต่างรู้



รวิรุจน์ใช้ความเร็วในการขับรถเกินกว่ากฎหมายกำหนด จนเข็มไมล์ชี้ไปแตะที่ตัวเลข ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในบางจังหวะของการขับขี่

แถมเมื่อเห็นว่า หากสามารถเหยียบคันเร่ง แล้วเบี่ยงเลนซ้ายป่ายเลนขวาไปได้ เขาก็ต้องทำ เนื่องจากไม่อยากผิดนัดสัญญากับน้องสาวคนเดียวของตน ว่าจะแวะไปหาทันทีที่ว่างในวันหยุดสุดสัปดาห์

ผู้บริหารฝ่ายการตลาดของบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ คิดไว้แต่แรกเพียงว่า จะออกจากบ้านในวันเสาร์สายหน่อย การจราจรขาออกคงไม่ถึงกับคับคั่งเท่าใดนัก

ซึ่งเขาคิดผิด!

"จะติดกันไปไหนนักหนาเนี่ย ..."

รวิรุจน์บ่นอุบกับยวดยานแน่นขนัด ระหว่างชะลอความเร็วเมื่อเห็นสัญญาณไฟจราจรสีเหลืองข้างหน้า ลืมว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในคนมีนัดเช่นกัน

บ่ายกว่าแล้วเขาเพิ่งจะขับรถพ้นเขตเมืองหลวง อีกไม่ไกลก็จะถึงหมู่บ้าน 'ตระการจิต' แต่ดูแววจากรถราที่ขาล่องร่วมทาง อาจต้องใช้เวลาเกินกว่าชั่วโมงแน่

ชายหนุ่มถอนหายใจคลายความหงุดหงิด พยายามเข้าใจสภาพแวดล้อมรอบด้านบนท้องถนน สายตาเหลือบมองสัญญาณไฟเตรียมพร้อมทุกนาที หากมันส่งสัญญาณให้เคลื่อนไปข้างหน้าได้

โทรศัพท์มือถือเครื่องบางที่รวิรุจน์วางไว้บนเบาะผู้โดยสารด้านข้าง ส่งเสียงเตือนว่ามีบางคนติดต่อเข้ามาและรอการตอบรับจากเขา

อาการสั่นสะเทือนจนเหมือนมันดิ้นไปบนเบาะนั่ง ทำให้ชายหนุ่มชำเลืองมองนิดหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปคว้ามันมาถือไว้ เพราะเขาต้องเหยียบคันเร่งรถยนต์ออกตัวในนาทีนี้แล้ว

ปลายสายยังคงพยายามติดต่อไม่ลดละ กระทั่งรวิรุจน์เห็นว่าสามารถขับรถและรับสายได้ จึงพลิกหน้าจอขึ้นดูและยิ้มได้ทันทีที่เห็นชื่อเพื่อนสาวปรากฏบนนั้น

"ว่าไง ... อัญ"

"รับช้านะรุจน์ ... อยู่กับสาวหรือไงจ๊ะ"

รวิรุจน์ถึงกับหัวเราะเบาๆกับคำพูดล้อเลียนของช่ออัญชัน นี่ถ้าไม่เพราะความดีความชอบของเธอ ที่บอกเรื่องสำคัญให้เขาได้รู้ ชายหนุ่มคงต้องยอมเสียมารยาทตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนคนนี้ โทษฐานจี้ใจดำเข้าอย่างจัง

"กำลังจะไปรับสาวต่างหาก"

"ห๊า ... ว่าไงนะ นี่รุจน์กับคุณพุด? ... อะไรจะไวปานนั้นเพื่อนฉัน"

น้ำเสียงตกใจเปรยอย่างไม่คาดคิด แต่รวิรุจน์จำต้องเอ่ยขัดขึ้นทั้งที่ใจของเขา อยากให้สิ่งที่ช่ออัญชันบอกนั้นเป็นเรื่องจริง

"อัญ ... ถ้ายังแซวกันไม่เลิก และไม่บอกว่ามีอะไร เราจะวางสายแล้ว ยิ่งรีบๆอยู่"

"ขับรถอยู่เหรอ? ... ขอโทษที เราลงมาพบลูกค้าแทนพ่อน่ะ กำลังกลับพอดี เลยว่าจะไปหา ... อยากคุยด้วย อืม ... แต่ถ้าวันนี้ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร"

รวิรุจน์ได้ยินเพื่อนคนสนิทขอโทษ กอปรกับความผิดหวังเจือในถ้อยคำ ความเป็นห่วงทำให้เขายอมชะลอรถอีกครั้ง แล้วประคองรถมาจอดเลียบฟุตปาธเลยปากทางเข้าวัดแห่งหนึ่ง

"ก็ไม่เชิงไม่สะดวก เรามีนัดไปรับน้องสาวตัดไหมน่ะ ..."

"ตัดไหม ? น้องสาว ? ... ที่ว่าเป็นลูกสาวผู้หญิงคนนั้นกับคุณพ่อน่ะเหรอ"

คำถามทวนคำ ทวนความรับรู้ที่มีบางส่วนนั้น ส่งผลต่ออารมณ์ของชายหนุ่มให้กระเพื่อม หลังจากที่คิดว่ามันสงบสุข อยู่ดีมาได้เกือบครบสัปดาห์

แต่ท่าทางช่ออัญชันคงรับรู้ได้ถึงความเงียบชั่วอึดใจ มันก็เป็นคำตอบแก่หญิงสาวแล้วว่า เพื่อนสนิทของเธอ ยังฝังใจเจ็บไม่จืดจาง

"เออนี่ ... เราบอกหรือยังว่า ตอนนี้เราอยู่แถวนครชัยศรี"

คำพูดเปลี่ยนเรื่องราวกับไม่เคยพาดพิงถึงใครของช่ออัญชัน เรียกรอยยิ้มจางๆคืนสู่ในหน้าที่ยังหลงเหลือความขุ่นเคืองได้ง่ายดาย ... ไม่เสียแรงที่คบกันมาเนิ่นนาน จนรู้จักรู้ใจของกันและกันเหมือนรู้จักตัวเอง

"อ้าว ... พอดีเลย ..."

รวิรุจน์ร้องกับคำบอกกล่าวนั้น เขาหยุดคิดเสี้ยววินาที ก่อนจะออกปากชักชวนช่ออัญชัน ... ไหนๆก็มาจนถึงที่นี่แล้ว จะเสียเวลาย้อนไปย้อนมาทำไมกัน

"อัญรู้จักหมู่บ้าน 'ตระการจิต' ไหม ... เราจะไปที่นั่น ไม่ไกลจากถนนสายหลัก ถ้าอัญพ้นแยกนครชัยศรีมาแล้ว"

"อ๋อ ... รู้จักสิ ... "

ชายหนุ่มออกจะแปลกใจเล็กน้อยกับคำตอบของเพื่อนสาว แต่ก็ไม่ทันได้ซักไซ้ไล่เลียงในทันที เอาไว้พบหน้าแล้วค่อยถาม ก็ไม่ได้ถือว่าช้าเกินการแต่อย่างใด

"งั้น ใครไปถึงก่อน ก็รอที่ทางเข้าหมู่บ้านนะ ..."

รวิรุจน์นัดแนะช่ออัญชันอย่างฉับไว แต่ก็ได้รับการตอบรับอย่างเห็นดีด้วยทุกประการ ก่อนที่ต่างคนซึ่งต่างที่มา จะมุ่งหน้าไปยังจุดหมายแห่งเดียวกัน

โดยหนุ่มสาวเพื่อนรักไม่อาจทราบเลยว่า จะมีบางอย่างเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแทบไม่ทันตั้งตัว





จะมีใครเข้าใจความรู้สึกของเมฆพัดในยามนี้ นับตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในเขตพื้นที่จำกัดการต้อนรับเฉพาะบุคคล และคนๆนั้นดูท่าจะไม่ใช่เป็นที่แน่นอนแล้ว

กระทั่งได้พบกับ มัตติก์ กาญจนรักษ์ ... '่ว่าที่คู่หมาย' ของเภตรา

เมฆพัดจำได้แต่เพียงว่า คล้ายรอบตัวหมุนคว้าง เมื่อชายหนุ่มหุ่นสะโอดสะองเอ่ยแนะชื่อที่เขารู้จักเป็นอย่างดี ... ชื่อที่สามารถทำให้โครงการวิจัยขับเคลื่อนและดำเนินต่อไปได้

หนุ่มนักวิจัยในโครงการอนุรักษ์พันธุ์ไม้พะยูง พยุงตัวเองให้เดินมาจนถึงรถยนต์สีครามหม่นของน้องสาวแทบไม่รอด

เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เมฆพัดรู้สึกอับจนหนทาง และมองไม่ออกเลยว่า เขามีอะไรพอจะหาญสู้คนที่ 'แม่ยาย' สนับสนุนอยู่ข้างหลังได้

ทำไมเขาไม่นึกเอะใจแต่แรก ... ไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่า 'คุณมัตติก์' ที่ได้ยินจากปากองก์อัมพุท และน้องสาวพร้อมจะเชียร์ให้เพื่อนรัก ตอนที่ยัง
ไม่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับพี่ชาย จะเป็นคนเดียวกันกับบุตรชายของคนที่เป็นทั้งอาจารย์ และหัวหน้าทีมของเขาเอง

เขาควรจะทำอย่างไรดี กับอนาคตที่ดูจะไร้หนทางไปถึง ... อนาคตร่วมกันกับคนที่เป็นรักแรก

หากแต่เพราะรักนั่นเอง ที่ทำได้แค่เฝ้ามอง ก่อนตัดเยื่อใยเพื่ออนาคตของเธอเอง

อนาคตที่กำลังถูกปูทางอย่างงดงาม ... เช่นวันนี้

เมฆพัดขับรถออกจากบ้านของเภตราอย่างคนสติไม่อยู่กับตัว ชายหนุ่มมาหยุดรถหลังจากแล่นเลยป้อมยามหน้าหมู่บ้านไปไม่ไกล

ดวงหน้าคร้ามเข้มครึ้มไรหนวด ซบซุกกับพวงมาลัยอย่างหมดเรี่ยวแรง คิดอะไรไม่ออกเลยว่าควรจะทำอย่างไร หรือไปทางไหนดี

ชายหนุ่มอึดอัดเสียดแน่นคับอกไปหมด กระบอกตาและลมหายใจผ่าวร้อนดังจะเป็นไข้ ศีระษะปวดร้าวเหมือนรอเวลาปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ต้องใช้สองมือเกร็งกำพวงมาลัยรถยนต์แน่น

ความเครียดและเสียใจกำลังกระหน่ำให้ผู้ชายตัวโตคนหนี่ง ... อ่อนแอ

กว่า ๕ นาทีที่เมฆพัดซบหน้านิ่ง ราวกับคิดอะไรได้เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองกระจกส่องหลัง และได้พบกับเงาสะท้อนนัยน์ตาแดงก่ำ อย่างคนผ่านการร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ซึ่งพอจะบ่งบอกได้ว่า เวลานี้ตนเองเจ็บช้ำแค่ไหน

บ้าน ... คือแหล่งพักพิงหลบภัย ที่ดีที่สุดเสมอ

อย่างน้อย เมฆพัดก็ยังมีแม่ มีน้องสาว ... เขาไม่อยากโดดเดี่ยวเพียงลำพัง อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

"เภา ... ไม่รักพี่แล้วจริงๆใช่ไหม"

ชายหนุ่มถามเสียงเบา แต่คนที่จะตอบเขาได้ ... คงไม่มีทางได้ยิน และยืนยันความรู้สึกนี้อีกแล้ว

ความปวดหน่วงทวีลึกจนคิดว่า ถ้ามันเกิดเป็นรอยร้าวที่หัวใจ ป่านนี้หัวใจของเขาก็เจียนแตกยับเข้าไปทุกที

ทว่า เสี้ยววินาทีที่กำลังหดหู่ทดท้อ อะไรบางอย่างก็วาบขึ้นมาในหัวโดยไม่รู้ตัว

เขาลืมอะไรไปหรือเปล่า ... ข้อมูลที่เกี่ยวกับนายมัตติก์ กาญจนรักษ์

ข้อมูลที่เจ้าตัวไม่เคยสนใจ เพราะคิดว่า ... ใครจะเป็นอย่างไร ก็เป็นชีวิตของคนๆนั้น

นึกถึงตรงนี้แล้ว วี่แววอย่างคนอกหักรักช้ำก็ปลาสนาการในมันใด

เมฆพัดไม่อยากขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของใคร ... แต่ถ้าการกระทำนั้น จะช่วยให้เขาไม่ต้องแยกจากเภรา ต่อให้ต้องลากไส้ใครต่อใคร เขาก็จะทำ






ช่ออัญชันเหลือบมองกระจกส่องหลังแวบหนึ่ง ก่อนจะชำเลืองไปทางซ้าย ใจจดจ่อกับการเลี้ยวรถไปสู่ถนนสามเลนอีกฟาก ซึ่งมีรถแล่นฉิวผ่านไปด้วยความเร็วเกินกำหนดแน่นอน มันเร็วมากเสียจนอดคิดไม่ได้ว่า

'จะรีบไปไหนกันนักหนา ... เดี๋ยวเถอะ'

ทันใดนั้นหญิงสาวก็ได้ยินเสียงเหยียบเบรกห้ามล้อดังสนั่น ตามด้วยเสียงปะทะกันอย่างรุนแรง ซึ่งเธอมั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ว่า คงเป็นรถยนต์คันใดคันหนึ่งที่เพิ่งขับผ่านหน้าเธอเมื่อครู่

"นั่นไง ..."

ช่ออัญชันอุทานคล้ายกับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มาปรากฏต่อหน้าต่อตาไม่ผิดไปจากที่คิดแม้แต่น้อย

แต่เนื่องจากมี 'หมู่บ้านตระการจิต' เป็นจุดหมายปลายทาง เธอจึงไม่ได้ต้องการจะติดตามผล นอกจากแอบหวังว่า ใครก็ตามที่ขับรถยนต์คันนั้นคงจะปลอดภัย

ช่ออัญชันขับรถจวนใกล้จะถึงทางเข้าหมู่บ้านที่หมาย เสียงเพลงจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หญิงสาวรู้ได้โดยไม่ต้องเดาหรือดูหน้าจอ ก็ทราบว่าคนที่ติดต่อเข้ามาคือใคร

"ถึงแล้วเหรอรุจน์"

"อัญ ... เราคงไปช้าหน่อยนะ เมื่อกี้เราเห็นรถคันหนึ่งเหมือนของคุณพุด ประสบอุบัติเหตุอยู่ข้างทาง กำลังจะเลี้ยวกลับไปดูหน่อย"

"ว่าไงนะ ... คุณพุดหรือรุจน์"

ผู้รับข่าวสารอุทานตกใจ และมันไม่ได้น้อยไปกว่าน้ำเสียงของคนปลายสายที่รีบแจ้งแล้วรีบวาง นั่นเองที่ทำให้เธอหวนทบทวนถึงเจ้าของชื่อ 'คุณพุด' แล้วก็นึกได้ว่า เธอคนนี้ที่เพื่อนสนิทให้ความสำคัญกว่าผู้หญิงคนไหน

และพอช่ออัญชันจดจำ ผู้หญิงที่เพื่อนมีใจให้ได้ เงาซ้อนของใครอีกคนก็แทรกเข้ามา

เธอเป็นน้องสาวของคุณพัดนี่!

คันเบรกถูกเหยียบแทบจะในวินาทีนั้น ความเป็นห่วงพุ่งขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ... ทางบ้านของเมฆพัดจะมีใครรู้เรื่องหรือยังว่า คนในครอบครัวกำลังเผชิญชะตากรรมเช่นไร

แต่ว่า ... เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่า รอการติดต่อจากรวิรุจน์อีกที






ปารตีเดินทางมาถึงหมู่บ้าน 'ตระการจิต' ของเธอ หลังกลับจากการประชุมหุ้นส่วนและคู่ค้าในช่วงเช้า ที่เธอจำเป็นต้องไปร่วมงาน ซึ่งงานที่ว่านี้ คืองานที่สาวใหญ่วัยงาม มอบหมายให้วิชชุ์วิธูดูแลรับรองแขกคนสำคัญ ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นก่อนหน้า

ความคิดที่จะค่อยๆวางมือ และถอนตัวมาอยู่เบื้องหลังกับครอบครัว คือความปรารถนาสูงสุดของเธอ

ความเชื่อใจและไว้ใจที่มีต่อบุตรชายคนโตของสามี ผ่านการพิสูจน์ความจริงใจมานับสิบปี ... ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขายอมลาออกจากอาชีพทรงเกียรติ มาเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คอยช่วยเหลืองานของเธอ ตามคำขอร้องของพฤหัส

และวิชชุ์วิธูก็ทำได้เป็นอย่างดี เกินกว่าคำว่า น่าพอใจไปมากโข

พอเธอนึกถึงวิชชุ์วิธู ก็อดนึกเป็นห่วงชายหนุ่มรุ่นน้อง ที่พ่วงสถานะลูกเลี้ยงอีกตำแหน่ง เพราะปัญหาของเธอและพฤหัสหรือเปล่า ที่ทำให้เขาคร่ำเคร่งอยู่แต่กับงาน จนไม่ยอมมองผู้หญิงคนไหนเลย

กระทั่ง วันนั้นที่ชายทะเล ... หญิงสาวคนหนึ่งกลับอยู่ในสายตาของลูกเลี้ยงหนุ่มแบบไม่คลาดสายตา

ปารตีถึงกับยิ้มออกมาได้ เมื่อพฤหัสแอบบอกอะไรบางอย่างให้ฟัง ซึ่งพอสังเกตก็เห็นจริงตามนั้น

ระหว่างที่กำลังจะเลี้ยวรถเข้าหมู่บ้านสาวใหญ่ก็เหลือบมาเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งลงจากรถแล้วเดินไปกลับราวกับมีเรื่องเดือดร้อนกังวลบางอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะชะลอรถจอดข้างทางไว้ก่อน

"คุณคะ ... มีอะไรหรือเปล่าคะ"

ปารตีเห็นว่านี่ก็ห่างอาณาเขตหมู่บ้านของเธอไม่ไกล และอีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ที่สำคัญดูคุ้นตาเหมือนกับเคยรู้จักมาก่อน

คนเดินกลับไปกลับมาหันหลังอยู่ขณะที่เสียงอบอุ่นอ่อนโยนเอ่ยถาม ช่ออัญชันหันมาทันทีแล้วก็ต้องชะงักงัน สีหน้าประหลาดใจไม่ปิดบัง

"คุณรตี ... สวัสดีค่ะ"

"อ้าว ... คุณอัญ สวัสดีค่ะ ไม่คิดว่าจะเป็นคุณอัญ มาทำอะไรแถวนี้คะเนี่ย"

เจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ทักทายถามไถ่เมื่อเห็นชัดแล้วว่า หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าคือ บุตรสาวของคู่ค้าธุรกิจรายใหญ่ในภาคอีสาน

"อัญมารอเพื่อนค่ะ ... นัดพบกันหน้าหมู่บ้าน ไม่คิดว่าจะได้พบคุณรตีเหมือนกันค่ะ คิดว่าอยู่ประชุมที่กรุงเทพฯเสียอีก"

"เป็นห่วงลูกสาวน่ะค่ะ ... พอดีเกิดเรื่องกับแกเมื่ออาทิตย์ก่อน เลยไม่อยากทิ้งงานไปนานๆ"

ปารตีอธิบายยิ้มแย้มดูสดใสทุกครั้งยามพูดถึงตรีวธู โดยไม่ทันเห็นแววตาแสดงความสงสัยของช่ออัญชัน

"ลูกสาวหรือคะคุณรตี"

คำตอบของคำถามมีเพียงรอยยิ้มรับ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของช่ออัญชันจะดังขึ้นอีกครั้ง และส่งสัญญาณกับปารตีว่าขอเวลานอกสักครู่

"รุจน์ ... ว่าไง ใช่คุณพุดแน่เหรอ"

แม้เสียงสนทนาจะไม่ได้ดังมาก แต่คนที่อยู่ในระยะใกล้กันเช่นปารตี ก็ได้ยินชื่อบุคคลที่ถูกกล่าวถึงชัดเจน

รุจน์! ... คุณพุด!





องก์อัมพุทเดินมาส่งวิชชุ์วิธูที่รถ หลังจากชายหนุ่มใช้เวลาล่ำลาละอองชลเสียนาน จนคิดว่าอดีตอาจารย์ของเธอ อาจจะได้รับคำชวนกินข้าวเย็นอีกครั้ง

“หนูพุดแน่ใจนะ ... ว่าจะไม่ให้พี่มารับพรุ่งนี้”

“ค่ะ ...”

แม้จะปฏิเสธแต่น้ำเสียงก็ไม่ได้หนักแน่นเท่าที่ควร เพราะฟังเหมือนติดจะสั่นๆ จนต้องเสริมคำพูดให้จริงจังกว่าเดิม

“พุดเกรงใจ ... อีกอย่างถ้าพุดกลับพร้อมพี่วิชชุ์ แล้ววันทำงานล่ะคะ”

“นั่นสิ พี่ก็ลืมคิดไป ... ว่าถ้าเป็นแบบนั้น พี่จะได้ขอคุณอา ขับรถรับส่งหนูพุดซะเลย”

คนพูดไม่พูดเปล่า ก้มหน้าเล็กน้อยจ้องมองคนขี้เกรงใจ ซึ่งแหงนเงยฟังเขาอย่างไม่เชื่อหูว่า อดีตบรรณารักษ์ห้องสมุดผู้เงียบขรึมที่เคยรู้จัก จะเป็นนักสร้างโอกาสแกมกรุ้มกริ่มแบบนี้

สายตาสองคู่ผสานกันชั่วอึดใจ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือขององก์อัมพุทก็ดังขึ้น และเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า ไม่น่าพกมันติดตัวมาด้วยเลย

หญิงสาวทันได้เห็นอาการถอนหายใจน้อยๆ ของวิชชุ์วิธู จึงอดยิ้มกับกิริยาราวเสียดายบางอย่างของเขาไม่ได้ แต่เพราะอุปกรณ์สื่อสารยังทำหน้าที่เตือนว่า มีคนรอเธออยู่ เธอเลยมองเขาเป็นเชิงขอตัว ถอยห่างออกมานิดหน่อยแล้วหันหลังให้เพื่อรับโทรศัพท์

รวิรุจน์ ... คือชื่อที่สั่นไหวตามจังหวะเสียงเพลงบนหน้าจอ แม้องก์อัมพุทจะแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ปล่อยให้ปลายสายรอนาน

“สวัสดีค่ะ ... คุณรุจน์”

วิชชุ์วิธูที่กำลังถือกุญแจรถเตรียมกดสวิทช์ปลดล็อก ชำเลืองมองไปยังแผ่นหลังขององก์อัมพุททันที ชื่อนั้นสะดุดหูและสะกิดความรู้สึกบางเบาที่อยู่ก้นบึ้ง ให้ผุดขึ้นมาอย่างไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น ได้

หึง !

ชายหนุ่มควบคุมอารมณ์ของตน ไม่ให้อีกฝ่ายทันสังเกต ... แต่เธอคงไม่มีทางเห็นอยู่ดี เพราะดูเหมือนว่า จะตั้งอกตั้งใจฟังคู่สนทนา เหมือนกับลืมว่า ยังมีเขาอยู่ตรงนี้ทั้งคน

“อะไรนะคะคุณรุจน์ ... เป็นไปไม่ได้ ...”

ความผิดปกติขององก์อัมพุท ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่วิชชุ์วิธูได้ยิน หรือท่าทางที่หันมาหาในตอนนี้ ทำลายความคิดไร้สาระของเขาหมดสิ้น

เมื่อเห็นถนัดชัดเจนว่า ดวงตาคู่สวยมีหยาดน้ำเอ่อคลอหน่วย สัญชาตญาณแห่งการปกป้องก็สยายปีก เหมือนที่เขาอ้าแขนก้าวเข้าไปรับร่างที่จู่ๆก็อ่อนแรงกะทันหัน ไม่ให้ร่วงลงไปกองกับพื้น

“หนูพุด ... เกิดอะไรขึ้น”

วิชชุ์วิธูประคององก์อัมพุทไว้ในวงแขน ไต่ถามที่มาที่ไปถึงอาการสิ้นไร้เรี่ยวแรง ที่เกิดขึ้นหลังจากสนทนากับปลายสายไปไม่กี่คำ

“พี่วิชชุ์ ...”

เรือนร่างบอบบางระทดระทวย คล้ายคนใกล้เป็นลมเพราะรับรู้เรื่องสะเทือนใจจนเกินจะทานไหว น้ำตาที่เริ่มหยดเหยาะลงมาเม็ดสองเม็ด ยิ่งทำให้เขาอดรนทนไมได้ชิงเครื่องมือสื่อสารมาถือไว้เสียเอง

วิชชุ์วิธูก้มมองหน้าจอ การสนทนาถูกตัดสัญญาณไปแล้ว เขาจึงรอให้องก์อัมพุทเล่าสิ่งที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้

“พี่วิชชุ์ ... พาพุดไปโรงพยาบาลที ...”

“ไปทำไม ... มีใครเป็นอะไรหรือหนูพุด”

แล้วคำวิงวอนอย่างคนเสียขวัญแต่ยังพอคุยกันรู้เรื่อง ก็ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านริมฝีปากแห้งผาก ใบหน้าของหญิงสาวอดีตนักเรียนคนพิเศษซีดเซียวผิดจากเมื่อครู่นี้ หน้ามือเป็นหลังมือ

“พี่พัดค่ะ ... คุณรุจน์ โทร.มาบอกเรื่องพี่พัด ... พี่วิชชุ์คะ ช่วยพาพุดไปโรงพยาบาลที ...”

เสียงหวานแว่วหากแผ่วระโหย เพราะข่าวคราวไม่สู้ดีบางอย่าง โดยเฉพาะที่หมายซึ่งถูกขอร้องให้พาไปอย่างปัจจุบันทันด่วน

ทำให้ชายหนุ่มคิดว่า ไม่ว่าคนรู้จักของเขาจะบอกอะไรให้หญิงสาวฟัง มันกำลังกัดกินพลังใจของเธอให้ถดถอยลงไม่มากก็น้อย

มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับพี่ชายขององก์อัมพุทอย่างนั้นหรือ ?












*************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และขอขอบคุณสำหรับไลค์กำลังใจฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ย. 2558, 19:55:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ย. 2558, 19:55:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1147





<< บทที่ ๓๑ .. ความเข้าใจ เชื่อใจ และไว้ใจ   บทที่ ๓๓ .. ลงเรือลำเดียวกัน >>
ปอยอะนะ 13 พ.ย. 2558, 10:00:10 น.
อย่าเป็นไรนะพระเอกของเค้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account