เล่ห์รักบงการใจ

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 5

ตอน 5
ไฟหน้าร้านอาหารกึ่งผับสว่างรับนักท่องเที่ยว ที่ผ่านไปผ่านมาและตั้งใจมาเที่ยวที่นี่ พนักงานทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงโปรยยิ้มหวานพร้อมพนมมือขึ้นไหว้รับทุกคนที่เข้ามาในร้าน ซึ่งถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพราะเป็นคำสั่งของเจ้าของร้าน ที่เน้นการบริการที่ดีและมารยาทที่งดงาม

ด้านหน้าประตูทางเข้า ผู้ชายแต่งตัวเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ดูก็รู้ว่าเป็นชายไม่แมน เพราะมีกระเป๋าแบรนด์ดังคล้องอยู่ที่แขน เดินหนีบก้นคู่มากับหญิงสาวสวยใส่ชุดรัดรูปเปิดไหล่สีแดงแซมสีดำตรงชายกระโปร่ง เข้ามาในร้าน ทั้งคู่พยักหน้าให้พนักงานที่ยกมือขึ้นไหว้เพียงนิด ฝ่ายชายก็เปิดกระเป๋าหยิบนามบัตรออกมาส่งให้ พร้อมกับบอกว่า

“ฉันมาพบคุณเจตน์ ไปบอกชื่อฉันตามนามบัตรนี่แหละ”

พนักงานสาวหลุบตามองนามบัตรที่รับมา แล้วเชิญทั้งคู่ไปนั่งรอที่ห้องรับแขก ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับร้านอาหาร ก่อนจะผละไปโทรบอกคนเป็นนาย

“บอกให้รออีกครึ่งชั่วโมง”

“ค่ะ”

พนักงานสาวรับคำสั่ง แล้วเดินกลับมาบอกทั้งคู่ ซึ่งก็ยิ้มรับอย่างไม่เป็นไร แต่พอหญิงสาวเดินออกไปจากห้อง ฝ่ายชายก็บึ้งตึงบ่นเป็นหมีกินผึ้งออกมาทันที

“นี่ถ้าไม่เห็นว่ารวย มีเส้นมีสายแล้วละก็ อีวีวี่ไม่มานั่งรอง้อให้เสียเวลาหรอก”

“เขาอาจจะมีธุระอยู่ก็ได้นะเจ๊” เกลลาวรรณพูดขึ้นลอยๆ เพราะสนใจร้านที่บ่งบอกฐานะเจ้าของว่าร่ำรวยแค่ไหน และเปรยออกมาอีกว่า “ร้านเขาสวยและดูมีคลาสมากเลยเจ๊”

วีวี่ตวัดสายตามามองเพียงนิด ก็บอกว่า “ก็แน่ซิยะ เขาเป็นถึงไอโซร่ำรวยมหาศาล จะให้ดูกระจอกๆได้ไง อีกอย่างเจ๊ได้ข่าวมาว่าร้านนี่ยังมีหุ้นส่วนที่รวยมากๆอีกสองคนด้วย เห็นแล้วรู้แล้ว ก็อย่าลืมว่าจะต้องทำยังไงให้เขาสนใจละ”

“เจ๊แน่ใจเหรอว่า เขาสนใจเกลจริงๆ”

“โง่จริง ถ้าไม่สน เขาจะบอกให้มาพบเหรอ หยิบกระจกมาส่งหน้าส่องตัวให้พร้อมไว้แล้วกัน เจ๊รับรองว่าคราวนี้ สะพานดาวจะเป็นของหล่อนแน่นอน”
แววตาของทั้งสองเปล่งประกายด้วยความหวังและกระหยิ่มถึงวันข้างหน้าที่จะเต็มไปด้วยชื่อเสียงเงินทองที่จะมากองอยู่ตรงหน้ามากมาย
**********
เจติน์นั่งกดโทรศัพท์มือถือหาลักษณาอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง แต่สามครั้งแล้วที่เขายังติดต่อไม่ได้ ไม่มีสัญญาณ แต่ก็ยังกดซ้ำ จนกระทั่งอีกฝ่ายรับสาย เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “อยู่ที่ไหน ทำไมติดต่อได้ยากนัก”

“ลักษณ์มาพักผ่อนเกาะทางใต้นะ สัญญาณจึงไม่ค่อยดี ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ติดต่อกลับ มีอะไรหรือเปล่า”

“ของที่คุยกันวันก่อนมาแล้ว เป็นไปตามที่ต้องการทุกอย่าง แล้วจะให้ทำยังไงต่อไป”

“เริดมากเจตน์ ต้องอย่างนี้ซิ น่ารักจริงๆ” ลักษณาชมเพื่อนก่อนจะถาม “เล่าประวัติคราวๆให้ฟังหน่อยซิ”

เจติน์เล่าให้ฟังอย่างที่ได้ฟังจากวีวี่นักค้าขาอ่อน และตบท้ายด้วยประโยคของคนที่คลุกคลีอยู่กับวงการนี้ดีว่า “แต่จะซิงหรือเปล่า หรือใส่ซื่ออย่างที่เห็นนี้หรือไม่ ไม่แน่ใจนะ และเคยมีข่าวแว่วมาว่าเบื้องหลังของวีวี่ไม่ได้เป็นแม่พระอย่างที่เห็นอยู่หรอกนัก นักบุญใจบาป น่าจะเหมาะกับคำนี้มากกว่า

“เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่น่าเสียดายที่ลักษณ์ไม่ได้ดูตัวด้วยตัวเอง แต่ไม่เป็นไร เจตน์เรียกเชอร์รี่ให้มาช่วยดูให้แล้วกัน สายตาเชอร์รี่กับลักษณ์ไม่ต่างกันหรอก แต่อีกห้านาทีคอยโทรขึ้นไปหาเชอร์รี่นะ เพราะลักษณ์ขอคุยด้วยก่อน”

“มีอะไรหรือเปล่า”

“มี บางเรื่องที่อยากให้เชอร์รี่ช่วยเจตน์ด้วย แต่เดี๋ยวขอลักษณ์กล่อมเชอร์รี่ก่อน แล้วค่อยให้โทรมาบอกเจตน์”

เจติน์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย แล้วยิ้มรับคำขอบใจที่ลักษณาบอกมา ก็วางสายแล้วใช้โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานโทรไปสั่งคนของเขาให้พาสองคนนั้นขึ้นมาพบเขาได้

ขณะที่เจตน์กำลังรอคน ลักษณาที่ปลีกตัวออกมาจากร็อบ คาร์ริก สามีชั่วคราวของเธอมารับโทรศัพท์ ก็หันกลับไปมองเขาที่นั่งดื่มไวน์มองคลื่นที่ซัดหาฝั่ง โดยมีคนขับรถของลูกเลี้ยงเธอยืนดูแลอยู่ไม่ห่าง และไม่มีทีท่าว่าใครจะหันมาสนใจเธอ จึงกดโทรศัพท์หาเชอร์รี่ พอได้ยินเสียงรับสาย ก็พูดออกไปทันที

“มีเรื่องให้ช่วยหน่อย” ลักษณาบอกแล้วเล่าความต้องการของตัวเองให้เพื่อนรักได้รับรู้ “เธอโทรไปหาเจตน์ ก่อนจะไปหาเขา ไปดูเด็กคนนั้นว่าโอเคหรือเปล่า ถ้าโอเค ก็ทำตามที่ลักษณ์บอกได้เลย”

“มันไม่สกปรกเกินไปเหรอลักษณ์”
“ไม่ เพราะลักษณ์เชื่อว่าเด็กคนนั้นก็ไม่ได้สะอาด แม้จะมีประวัติที่ดี แต่เธอก็รู้ว่าทุกอย่างมันสร้างกันขึ้นมาได้ ความจริงในโลกปัจจุบันนี้มันมีน้อยลงทุกวัน อีกอย่างวิธีนี้ก็ได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ที่สำคัญลักษณ์ไม่ต้องการเป็นฝ่ายเสียเปรียบใคร หรือให้ใครมามีข้อต่อรองกับด้วยทีหลัง ยิ่งพวกค้าขาอ่อน ยิ่งไม่น่าไว้ใจ และทำไว้ตอนนี้ดีกว่าวัวหายแล้วค่อยล้อมคอกทีหลัง ซึ่งอาจจะสายเกินไปแล้ว”

“แล้วถ้าเด็กไม่ได้เป็นอย่างที่ลักษณ์คิด”

“ก็ซื้อด้วยเงิน ลักษณ์เห็นรายไหนรายนั้น ไม่เคยปฏิเสธ มีแต่ต้องการมันทั้งนั้น ให้ให้มากพอ ก็คร้านที่จะยอมแล้ว”

“แต่เงินไม่ได้ซื้อได้ทุกอย่าง”

“แต่ที่ลักษณ์เห็น เงินมันซื้อได้ทุกอย่าง”

เชอร์รี่นิ่งไป เมื่อพูดยังไงก็ไม่อาจเปลี่ยนใจลักษณาได้ “ถ้าลักษณ์แน่ใจ ก็ตกลง”

ลักษณายิ้มอย่างสมใจ แล้วบอกขอบใจเพื่อนรักออกมา “ขอบใจมากๆจ้ะ แล้วลักษณ์จะรีบกลับไปสานต่อเอง อ๋อ เดี๋ยวเจตน์โทรหาบอกเรื่องที่เราคุยกันได้เลย เขาจะช่วยทำให้ลักษณ์สมหวัง”

ลักษณาบอก จากนั้นก็ถามสารทุกข์สุขดิบของกันและกันเพียงเล็กน้อย ก็วางสายจากเพื่อน เดินยิ้มไปหาสามีชั่วคราว นั่งลงที่เก้าอี้ผ้าใบข้างๆแล้วเอนตัวซบไหล่หนา ร็อบปรายตามามอง ก่อนจะยกแขนขึ้นมาวาดไปกอดไหล่เธอไว้

“มีเรื่องน่ายินดีเหรอ”

“รู้ใจลักษณ์จริง แต่ลักษณ์ไม่บอกนะคะ อยากเก็บไว้เป็นความลับ”

หึ หึ นายร็อบหัวเราะออกมาอย่างรู้ทัน เพราะลักษณาชอบยั่วเขาแบบนี้แหละเขาจึงชอบเธอ “งั้นฉันควรจะพาเธอเข้าไปค้นในห้องใช่ไหม”

ลักษณายิ้มหวานให้ ก่อนจะยื่นมือไปหยิบแก้วไวน์ของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะ มาชนกับแก้วเขา ดื่มจนหมดแก้ว ก็ลุกขึ้นประคองกันเข้าห้องนอน
*******
ไฟในห้องทำงานของเชอร์รี่ยังไม่ดับ เธอยังนั่งครุ่นคิดถึงคำพูดที่ได้พูดกับลักษณา ที่รู้สึกว่าเห็นแก่ตัวเกินไป แต่จะให้ทำยังไง จะไม่ทำเพราะคุณธรรมในใจงั้นเหรอ เธอบิดริมฝีปากออกหยัน เมื่อคุณธรรมที่เธอคิดถึงมันเคยทำให้เธอเกือบอดตายมาแล้ว ถ้าไม่ได้ลักษณามาช่วย วันนี้เธอคงไม่ได้มาเป็นเธอ มีเงินมีทองมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายอย่างทุกวันนี้ แล้วกดโทรศัพท์หาเจติน์ ที่กำลังรอเหยื่อของลักษณาอยู่ พูดกันจนเข้าใจแล้ว เธอก็เดินออกจากห้องชั้นห้าลงบันไดมาที่ชั้นสี่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เชอร์รี่เคาะประตูห้องทำงานของเจติน์เพียงสามครั้ง เจ้าของห้องก็อนุญาตก็ให้เธอเปิดประตูเดินเข้าไปได้ เชอร์รี่เดินเข้าไป เปิดยิ้มให้เจ้าของห้อง แต่สายตาแอบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โซฟาข้างเขา เพียงมองแวบเดียว ประสบการณ์ที่คลุกคลีกับหญิงสาวมายาวนาน ทำให้เธอรู้ว่าไม่ผิดจากที่ลักษณาพูดไว้ เพราะแววตาที่ทะเยอทะยานนั้นบอกเธอ

เจติน์ลุกขึ้นไปยืนข้างเชอร์รี่ แล้วแนะนำให้วีวี่กับเกลลาวรรณที่เพิ่งเดินขึ้นมาหาเขาก่อนเพื่อนรักจะมา ให้รู้จัก และบอกทั้งสองคนว่าเธอเป็นหุ้นส่วนของเขา วีวี่กับเกลลาวรรณยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม พร้อมส่งยิ้มให้อย่างยินดี เชอร์รี่ก็ยิ้มหวานให้ทั้งสองคนเหมือนกัน แล้วหันไปมองเจติน์ที่ถามขึ้น

“น้องเขาโอเคไหม”

เชอร์รี่จึงทำทีหันมาพิจารณาหญิงสาว ซึ่งนักค้าขาอ่อนก็รีบบอกให้เกลลาวรรณลุกขึ้นโชว์ตัว หมุนซ้ายหมุนขวาและหลังให้ดู ก่อนจะเดินโพสท่าให้เห็นในความสามารถ เชอร์รี่จึงชมออกมา

“สวยและหุ่นดีขนาดนี้ ดันนิดหน่อยตำแหน่งก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน แต่เวทีประกวดปีนี้จบไปแล้ว คงต้องเก็บตัวไว้ปีหน้า ระหว่างนี้ก็เดินสายฝากเนื้อฝากตัวกับกรรมการการประกวดเวทีต่างๆไปก่อน และเข้าร่วมกิจกรรมการกุศลต่างๆให้ภรรยาท่านผู้ใหญ่เอ็นดู จะได้สนับสนุนอีกทาง”

“จริงด้วย ตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอก วีวี่ก็ไปเอาตัวมาประกวดเลย จึงยังไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรมากนัก ต้องขอบคุณมากนะฮะ ที่แนะนำ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ทั้งคุณสมบัติและรูปสมบัติน้องเขาครบแล้ว ที่เหลือเจียระไนอีกนิดหน่อย ก็กลายเป็นเพชรเม็ดงามแล้วค่ะ”

วีวี่ยิ้มปลื้ม เกลลาวรรณก็ไม่ต่างกัน และยกมือไหว้ขอบคุณเชอร์รี่ ก่อนเดินกลับมานั่งที่โซฟาข้างนักปั้นเธอ เชอร์รีกับเจติน์แอบสบตากัน ก่อนจะนั่งลงคุยกับทั้งคู่ ระหว่างนั้นเด็กเสิร์ฟในร้านก็เอาเครื่องดื่มเป็นน้ำส้มกับขนม มาเสิร์ฟให้ทั้งหมดจึงนั่งคุยกันไปดื่มกันไป จนกระทั่ง

“ว้าย ตายแล้วน้องเกลเป็นอะไรคะ”

วีวี่อุทานก่อนจะถามออกมา เมื่อจู่ๆ เกลลาวรรณก็เอนมาซบอก เขารีบดันตัวเธอออก และได้เห็นแววตาที่เยิ้มขึ้นริมฝีปากก็ยิ้มยั่ว ให้น่าสงสัย ก็หันไปมองเจติน์และเชอร์รี่ ซึ่งทั้งสองคนนิ่ง ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจหรือตกใจอะไรเลย วีวี่จึงดึงสายตากลับมามองความเปลี่ยนไปของเด็กในสังกัด

“ร้อน”

เสียงเกลลาวรรณพึมพำออกมา ขณะสายตามองหน้าวีวี่อย่างเชิญชวน และยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้า ก่อนจะยืดหน้าขึ้นไปเหมือนจะจูบ นักค้าขาอ่อนรีบดันตัวออกห่าง พลางปัดมือที่เริ่มจะอยู่ไม่เป็นสุก และเริ่มจะรู้ว่าเด็กตัวเองโดนยา “คุณสองคนทำอะไรเด็กวี่ฮะ” ถามเสียงกระด้าง หน้าตาก็จ้องอย่างเอาเรื่อง

“ไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ แค่อยากขอความร่วมมือนิดหน่อยเท่านั้นเอง” เจติน์บอกเหมือนไม่มีอะไรร้ายแรง

“นิดหน่อย หมายความว่าไง พวกคุณจะทำอะไร”

“เรื่องนั้นเราจะบอกคุณทีหลัง แต่ตอนนี้ ทำเอาหูไปนาเอาตาไร่ ได้ไหมครับ” เสียงตะล่อมคล้ายขอร้องนั้นทำให้วีวี่โกรธจนหน้าเขียวเพราะเท่ากับยอมรับว่าทำอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ

“คุณวางยาเด็กวี่เหรอ เลวมาก วี่จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”

เจติน์ยิ้มแต่ใจหยันเพราะรู้ว่าภายใต้ท่าทีทุกข์ร้อนนั้นจะดับยังไงให้หาย แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบเงินปึกหนึ่งติดมือมาวางให้ตรงหน้าพร้อมกับบอกว่า “สำหรับการอยู่เฉยๆ พอไหมครับ”

“คิดจะเอาเงินฟาดหัว เพื่อให้จบเหรอ ง่ายไปมั่ง”

“งั้น” เจติน์วางเงินให้อีกก้อน และบอกอย่างรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายดีว่ามีรสนิยมทางเพศไม่ต่างจากเขา จึงบอกว่า “แถมสวรรค์ชั้นเจ็ดให้อย่างไม่มีกำหนด พอจะรับได้ไหมครับ”

วีวี่มองหน้าเจติน์อย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ในนาทีต่อมาก็เริ่มจะเข้าใจ เมื่อมีชายหนุ่มหล่อล่ำสองคนเดินเข้ามาในห้อง คนหนึ่งนั้นเดินมายืนข้างเกลลาวรรณ อีกคนก็เดินมานั่งเบียดลงข้างๆตัวเขา ก่อนจะถอดเสื้อให้เห็นหุ่นล่ำๆ กล้ามเป็นมัดๆ จับมือเขาไปวางตรงเป้าตุงๆ แค่นั้นนักค้าขาอ่อนก็อ่อนระทวย ทุกอย่างถูกลบลืม เห็นนรกเป็นสวรรค์ หมดความสนใจในตัวเกลลาวรรณทันที พอชายหนุ่มอีกคนดึงตัวไป ก็ปล่อยมือให้อย่างไม่สนใจ เพราะตัวกำลังสั่นด้วยราคะ อยากจะซุกซบโอบกอดหนุ่มหล่อที่คลอเคลียอยู่เร็วๆ แต่ยังไม่ลืมหันมาคว้าเงิน ก่อนจะคล้องแขนหนุ่มหล่อ ลุกขึ้นพาเดินก้นบิดออกจากห้องไปทันที

“หึ หึ” เจติน์หัวเราะในลำคอพร้อมกับมองตามไอ้ไปอย่างสมเพช แล้วหันมาพยักหน้าให้ชายหนุ่มอีกคน เอาตัวเกลลาวรรณไปได้ เชอร์รี่มองตามไปอย่างไม่สบายใจ เจติน์ที่หันมาเห็นสีหน้าเธอเข้าจึงบอกว่า “ใช่ว่าเด็กจะไม่เคย”

“แต่ฉันไม่ชอบวิธีนี้ มันสกปรกเกินไป”

“แต่เป็นวิธีที่ลักษณาต้องการ”

คำพูดของเจติน์บอกให้เชอร์รี่รู้ว่า ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้ “อย่ารู้สึกผิดไปเลย บางทีพรุ่งนี้เธออาจจะรู้สึกสมเพชก็ได้ เพราะเงินมันทำได้ทุกอย่าง ไม่งั้นเด็กคนนี้ไม่พาตัวเองมาถึงขั้นนี้หรอก”

เชอร์รี่เม้มริมฝีปากเพราะคำพูดของเจติน์ทำให้เธอนึกถึงอดีตของตัวเองที่เคยเป็นมาก่อน และลุกเดินออกไปจากห้องเงียบๆ ส่วนเจติน์ก็โทรไปบอกลักษณาให้รู้ว่าแผนขั้นที่หนึ่งสำเร็จไปแล้ว
*************
หยาดน้ำค้างที่ร่วงลงมาจากฟ้าพร่างพรมลงบนทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่ใบไม้ยอดหญ้า ก่อนจะไหลมารวมตัวกันหยดลงมาบนพื้นดิน บอกเวลาว่าใกล้จะรุ่งสางเต็มทีแล้ว หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงนุ่มพลิกตัวไปมา ไม่นานก็ลืมตาขึ้น กะพริบตาให้ชินกับความมืด แล้วเอื้อมมือไปกดสวิซโคมไฟหัวเตียงให้สว่างขึ้น

อนุชลุกขึ้นนั่งดูนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงเป็นอันดับแรก เข็มของมันบอกเวลาตีห้า เธอก็ลงจากเตียง พับผ้าห่ม เก็บที่นอนให้เรียบตึงเหมือนก่อนนอน แล้วถอนหายใจออกมา เมื่อไม่อาจอาบน้ำแต่งตัว เพราะไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ จึงเดินมานั่งที่โซฟาปลายเตียง แต่ยังไม่ทันนั่ง คิ้วเรียวก็ขมวดหากันเมื่อเห็นเสื้อผ้าวางอยู่

เธอหยิบขึ้นมาดูทันที เสื้อ กางเกง กระโปร่ง และชุดชั้นใน ทุกตัวไม่ใช่ของเธอเพราะยังมีป้ายติดให้รู้ว่ายังใหม่อยู่ และไม่ต้องสงสัยว่าใครเอามาวางไว้ เพราะชุดชั้นในสีแดงบอกให้เธอรู้ว่าใครเป็นคนเอามาวาง อนุชเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำได้แค่นั้น เมื่อเขาเป็นเจ้าของบ้านที่มีสิทธิ์จะเข้าออกที่ไหนก็ได้ในบ้านตัวเอง แต่เธอเป็นแค่ผู้อาศัยที่ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย

“คนบ้า จะบ้าอำนาจเกินไปแล้ว”

เธอต่อว่าเขาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะมองเสื้อผ้าในมือ แล้วอยากจะหยิ่งไม่ใส่ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะวันนี้เธอต้องทำหน้าที่แทนพ่อ ขับรถให้เขา และยังต้องไปทำอย่างอื่นอีกมากมาย ทนใส่ไปก่อนแล้วค่อยไปขอเสื้อผ้าเธอจากป้าจิตรมาเปลี่ยนก็ได้ คิดหาทางออกให้ตัวเองเสร็จแล้ว อนุชก็เลือกกระโปรงกับเสื้อยืดสีขาวเนื้อหนาพร้อมชุดชั้นในเข้าห้องน้ำ อาบน้ำใส่เสื้อผ้าจนเรียบร้อย ก็ออกมาดูหน้าตาตัวเองในกระจก ลงครีมทาแป้งฝุ่น หวีผมนุ่มของตัวเองก่อนมัดเป็นหางม้า ก็เดินออกมาจากห้อง

“คุณนุช”
เพียงก้าวลงมายืนที่บันไดชั้นล่าง ก็มีเสียงเรียกชื่อเธอ อนุชหันไปมองคนเรียก พอเห็นว่าเป็นคุณแม่บ้าน ก็เปิดยิ้มให้ พลางก้าวเข้าไปหา

“นอนไม่หลับหรือคะ ถึงตื่นแต่เช้าขนาดนี้”

“หลับค่ะ หลับสบายด้วย แต่นุชตื่นอย่างนี้เป็นประจำอยู่แล้ว”

“เหมือนคุณคิมเลยนะคะ ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหน ก็ตื่นเช้าเป็นประจำเหมือนกัน”

สีหน้าอนุชเจื่อนไปเล็กน้อย เมื่อป้าจิตรเอ่ยถึงเจ้าของบ้านที่เธอยังเคืองอยู่ “แล้วเสื้อผ้าของนุชละคะ”

“ป้าให้เด็กซักรีดให้เสร็จแล้ว เดี๋ยวคงเอาไปไว้ให้ที่ห้อง”

“ขอบคุณค่ะ” อนุชยกมือไหว้นางจิตร ซึ่งก็ยกมือขึ้นรับไหว้ ทั้งที่มีของอยู่ในมือ อนุชจึงมองตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักและของสด นางจิตรที่เห็นสีหน้าที่สงสัย ก็บอกว่า

“อาหารเช้าของคุณคิมค่ะ ป้าเพิ่งออกไปซื้อที่ตลาดสดมา แล้วเช้านี้คุณนุชอยากทานอะไร ป้าจะทำให้”

“นุชทานง่ายค่ะ ป้าจิตรมีอะไรให้นุชทาน ก็ทานได้หมด แต่นุชขอตามไปที่ห้องครัวด้วยนะคะ” เธอบอกเพราะไม่อยากเดินออกไปไหนให้ไปเจอเจ้าของบ้าน

“ได้ค่ะ ทางนี้ค่ะ”

นางจิตรบอกแล้วออกเดินนำ อนุชจึงช่วยถือตะกร้าให้ก่อนเดินตามนางไปที่ห้องครัว ซึ่งเป็นห้องกว้างอยู่ด้านหลังติดกับคฤหาสน์ ภายในมีอุปกรณ์เครื่องครัวครบครันและทันสมัย มีโต๊ะกลางไว้วางของแถมยังมีบางอย่างที่อนุชชอบรวมอยู่ด้วย เด็กสาวสองคนที่ยืนคอยเป็นลูกมือ คนหนึ่งรีบเข้ามารับตะกร้าไปจากมืออนุช อีกคนก็เข้ามาช่วยเอาของในตะกร้าไปล้าง นางจิตรยืนมองพลางบอกอนุชว่า

“คุณคิมไม่ทานกาแฟค่ะ เช้าอย่างนี้เธอจะทานเป็นข้าวต้มหรือไม่ก็ข้าวสวย โจ๊กก็ไม่ชอบเหมือนกัน ส่วนกาแฟจะทานที่ทำงานเท่านั้น เช้านี้ป้าจึงจะทำข้าวต้มปลากระพงใส่ผักต่างๆที่เธอชอบให้ทาน”

“งั้นนุชช่วยทำผักให้ค่ะ”

นางจิตรพยักหน้าอนุญาต ขณะที่ในใจก็คิดว่าจะทำได้หรือเปล่า เพราะเด็กสาวๆสมัยนี้ไม่ฝากท้องไว้กับห้างสรรพสินค้าที่มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ก็ทานอาหารข้างทางที่มีอยู่ทั่วไป น้อยคนที่จะเข้าครัว ทำอาหารเป็นอย่างจริงจัง

อนุชหยิบแครอทที่เด็กสาวสองคนล้างใส่ตะกร้ามามาวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบมีดที่วางอยู่ใกล้กัน มาหั่นเป็นท่อนเท่าๆกัน จากนั้นก็ปอกเปลือกผ่าครึ่ง ตัดแต่งเป็นสีเหลี่ยมพื้นผ้า ก็หยิบมีดแกะสลักที่เธอชอบมาแกะเป็นรูปปลา นางจิตรกับเด็กสาว หันมามองอย่างสนใจ แค่นั้นยังไม่พอเธอยังหยิบหัวไชเท้ามาเอาเปลือกออก ตัดแต่งเป็นทรงกลมแล้วแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ เด็กสาวกับนางจิตรที่ยืนมองได้แต่ทึ่งกับฝีมือของเธอ

“เก่งมากค่ะคุณนุช เรียนมาจากไหนคะ” นางจิตรถามพลางมองหัวไชเท้าที่ถูกแกะเป็นดอกไม้อย่างสวยงามและประณีต

“แถวบ้านค่ะ เขามีโรงเรียนสอน นุชแค่พอทำได้ ไม่ได้เก่งหรอกค่ะ”

“แกะได้ขนาดนี้ เขาเรียกว่าเก่งแล้วค่ะ”

อนุชแค่เพียงยิ้มรับ แล้วหยิบแครอทมาทำเป็นรูปดอกไม้ จนได้ปริมาณที่เพียงพอ นางจิตรก็บอกให้เธอออกมาเดินเล่นข้างนอก เธอไม่อยากเดินออกมาเท่าไร เพราะกลัวจะเจอคนที่ไม่อยากเจอ แต่ก็ต้องเดินออกมาและสุดท้ายเธอก็หนีไม่พ้น เพียงเดินมาถึงสวนดอกไม้ข้างตึก เสียงคนที่ไม่อยากเจอก็ดังขึ้น

“จะไปไหน”

อนุชหน้างอลงเล็กน้อยก่อนจะปรับให้เรียบ แล้วหันไปมองหน้าคนถาม ที่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีเทาอวดไหล่กว้างกับมัดกล้ามให้ใจเธอรู้สึกแปลกๆ กับกางเกงขายาวเนื้อนิ่มสีเดียวกัน มีผ้าขนหนูพื้นเล็กคล้องอยู่ที่คอ ก็บอกให้เธอรู้ว่าเขาคงไปออกกำลังกายมา และไม่อยากพูดกับเขาจึงจะเดินหนี แต่ร่างสูงกลับขยับมายืนดักหน้าไว้ และถามซ้ำ จึงต้องตอบเพื่อให้จบๆไป

“เดินเล่น” เธอตอบโดยไม่รู้ว่าระหว่างนั้นดวงตาที่มองเธออยู่นั้นมีแววพึงพอใจบางอย่างอยู่

“พอดีหรือเปล่า”

อนุชรู้ได้ทันทีว่าเขาถามถึงเสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่ จึงมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะถาม “คุณเข้าไปในห้องดิฉันทำไม”

“ฉันเป็นเจ้าของบ้าน”

“แต่เป็นการเสียมารยาท”
“แล้วฉันทำไม่ดีตรงไหน หรือเธออยากจะแก้ผ้า งั้นก็ถอดออกมาซิ”

อนุชหน้าโกรธขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น แล้วบอกว่า “ดิฉันถอดแน่”

“แน่จริงก็ถอดตรงนี้” อนุชหน้าเหวอเมื่อเขาสวนกลับ และอึ้งไปอีก เมื่อโดนตอกมาอีกว่า “หรือจะให้ฉันถอด” คิมไม่ได้พูดอย่างเดียว เขายังดึงร่างอรชรมาชิดตัว และดึงชายเสื้อออกมาจากกระโปรง

อนุชตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น ก่อนจะได้สติตะครุบมือเขาไว้ ตรึงไว้ที่เอวโดยไม่รู้ตัวและร้องห้ามออกมา “อย่านะ”

“งั้นก็พูดดีๆ และผู้ใหญ่ให้ของต้องทำยังไง”

“ขอบคุณ”

คำพูดห้วนๆทำให้ปลายนิ้วแกร่งลูบแผ่วที่ผิวนุ่มเหนือขอบกระโปร่ง อนุชรู้สึกวาบไปทั้งหน้าท้อง และรีบพูดออกมาอย่างไม่รู้ว่ากลัวอะไร “ขอบ ขอบคุณค่ะ”

คิ้วเข้มของคิมเลิกขึ้นอย่างพอใจ แต่ยังไม่ปล่อยมือจากเอวเธอ ยังอ้อยอิ่งเหมือนจะเสียดาย แล้วก้มลงไปใกล้แก้มนุ่มหอมกลิ่นแป้งเด็ก สบตาที่หวั่นให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก ก็ยิ้มอยู่ในใจ และก่อนจะถอยห่างออกไป ก็พูดเสียงนุ่มกว่าทุกครั้งว่า

“สวย”

แก้มของอนุชร้อนผ่าวและเผลอยิ้มรับคำชม ก่อนจะรีบสลัดทิ้ง ทำหน้ามุ่ยไม่พอใจคนบ้าอำนาจ ที่เดินขึ้นไปบนตึกแล้ว “คนบ้า” เธอว่าแล้วหมดอารมณ์ชมดอกไม้ เดินกลับไปที่ตึก เพื่อเตรียมตัวไปทำหน้าที่ขับรถให้เขา
**********
นางจิตรนำเด็กสาวสองคนถืออาหารเช้า เข้ามาในห้องทานอาหาร จัดวางไว้สองที่เรียบร้อยแล้ว ร่างสูงของคิมที่อยู่ในชุดสูทสีดำก็เดินเข้ามา วางกระเป๋าเอกสารไว้ที่เก้าอี้ว่างแล้วนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะ ปรายตามองเก้าอี้ว่างข้างขวามือ แล้วตวัดไปมองประตูทางเข้า เพียงอึดใจคนที่ใจเขารอก็เดินเข้ามา สายตาจับจ้องที่เสื้อผ้าบนตัวเธอ ไม่ใช่ชุดที่เขาสั่งให้ห้องเสื้อที่รู้จักกันส่งมาให้เมื่อคืน

อนุชใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนของตัวเอง เธอเห็นสายตาที่มองมา แต่ไม่สนใจ ส่งยิ้มให้นางจิตร ก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวที่ไม่อยากนั่งเท่าไร คิมตวัดสายตามองเพียงนิดก็หรุบตาลงหยิบผ้ากันเปื้อนมาวางบนตัก ก่อนจะมองถ้วยข้าวต้มที่แปลกไปกว่าทุกวัน เพราะมีผักที่แกะสลักเป็นรูปปลาอยู่ในถ้วยด้วย แค่นั้นยังไม่พอ บนจานรองถ้วย ยังมีแครอทกับไชทาวที่ถูกแกะสลักเป็นรูปดอกไม้อย่างงดงามจับตาวางอยู่ด้วย เขาหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ อนุชที่เห็นเข้าหันไปมองนางจิตรอย่างตกใจ ไม่คิดว่านางจะนำมาวางบนจานเขา แล้วเขาจะคิดยังไง

“ฝีมือคุณนุชค่ะ” นางจิตรบอกเมื่อเห็นคุณคิมมองอย่างสนใจ

คิมไม่พูดอะไร วางไว้ที่เดิม แล้วเริ่มตักข้าวต้มกิน อนุชที่ลุ้นว่าเขาจะพูดอะไรหรือไม่ เมื่อไม่มีเสียงพูดเธอก็ค่อยๆปล่อยลมหายใจออกมา และเริ่มทานข้าวต้มจนอิ่ม ก็ขอตัวไปเตรียมรถ พอร่างอรชรพ้นออกไปจากประตูห้องอาหาร คิมก็วางช้อน ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเอกสารมาถือไว้ แต่ยังไม่เดินออกไป

“มีอะไรหรือเปล่าคะ คุณคิม” นางจิตรถามเมื่อเห็นนายหนุ่มยังมองดอกแครอทอยู่ ไม่มีเสียงตอบแล้วเดินออกจากห้องไป นางจิตรก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะชินกับนิสัยที่เห็นมานานแล้ว ก็หันไปพยักหน้าให้เด็กสาวสองคนมาช่วยตนเก็บสำรับ ไปเก็บในห้องครัว

ร่างสูงของคิมเดินมาที่หน้าตึก รถยนต์คันหรูของเขาถูกเตรียมไว้รอแล้ว เขาตวัดสายตามองหน้าคนขับที่ขมวดผมไว้ในหมวกสีดำเหมือนคราวก่อนเพียงนิดเดียว ก็เดินลงบันไดไปที่รถ ซึ่งอนุชก็รีบมาเปิดประตูรถด้านหลังให้อย่างไม่บกพร่อง กระทั่งเขาเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อย ก็ปิดประตูแล้วเดินไปเปิดประตูด้านหน้าขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย ปิดประตู คาดเข็มขัดความปลอดภัยเสร็จแล้วก็ขับรถออกไปจากคฤหาสน์หลังเบ้อเร่อ

ภายในรถนอกจากเสียงเครื่องยนต์ที่ดังแผ่วมาให้ได้ยินแสนเบาแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดๆอีก อนุชทำหน้าที่ของตัวเองไปเรื่อยๆ แต่บางครั้งก็แอบมองหน้าคมที่ก้มหน้าอ่านเอกสารสลับกับการมองถนน โดยไม่รู้ว่าบางครั้งเขาก็ตวัดสายตาไปมองเธอเหมือนกัน เพราะวันนี้ไม่มีเสียงที่ชอบขัดคำสั่งเขาดังขึ้นเหมือนวันก่อน

“จำเส้นทางได้หรือเปล่า”

เสียงถามที่จู่ๆก็ดังขึ้น ทำให้อนุชตวัดสายตาขึ้นมองหน้าคมทางกระจกด้านหน้า แล้วบอกว่า “จำได้ครับ”

แววตาของคิมไหวเพราะแปลกใจที่พอเธอมาขับรถให้เขา มักจะพูดครับกับเขาอีกแล้ว แต่ก็ไม่ถาม “งั้นไปบ้านเธอก่อน ไปเปลี่ยนชุดกับหนังสือแล้วค่อยไปส่งฉัน”

“มันคงละทาง ดิฉันไปส่งคุณก่อนก็แล้วกัน”

“แต่วันนี้ฉันไม่รีบ และมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนก็ใกล้ที่ทำงานฉัน ทำตามที่สั่งจะได้จบ”

“ทำตามที่ดิฉันบอกก็จบเหมือนกัน”

“จบตรงไหน ตรงที่เธอดื้ออยากจะอ้อมไปอ้อมมานั่นเหรอ โง่สิ้นดี”
อนุชเม้มริมฝีปากเมื่อถูกเขาว่าโง่อีกแล้ว จึงเอาคืนด้วยการเหยียบเบรก จนร่างสูงคะมำไปข้างหน้าเล็กน้อย แววตาเขานิ่งแต่เสียงนั้นเค้นจนน่ากลัว “ถ้าเกิดขึ้นอีกครั้งจะไม่มีการพูดอะไรอีก”

เธอรู้ว่าเขาขู่เรื่องคนเป็นพ่อ แต่อย่าหวังว่าเธอจะกลัวจนลนและหุบปากเธอได้สนิท “คุณก็อย่ามาว่าดิฉันโง่อีกก็แล้วกัน และรู้ไว้ด้วยว่าที่ดิฉันอยากอ้อมไปอ้อมมา เพราะกลัวว่าถ้ารับความกรุณาแล้วจะชดใช้กันไม่ไหว ไม่อยากมีหนีติดตัวโดยติดหนี้บุญคุณคน”

“อวดดี”

อนุชอยากจะเถียงออกไปอีก แต่ต้องข่มใจเพราะหน้าพ่อลอยมา แล้วขับรถไปเงียบๆ กระทั่งส่งเขาถึงที่ทำงานเรียบร้อย ก็เดินออกมาจากบริษัทเขาโดยไม่สนใจเขาจะคิดจะมองเธอยังไง และไม่รู้ว่ามีสายตาของสองคนมองทั้งคู่อยู่เช่นกัน
**********
แสงสว่างที่วาบเข้าดวงตาที่ลืมขึ้นต้องปิดลง แล้วค่อยๆกะพริบปรับรับแสงใหม่จนปรกติ ก็มองห้องที่ตัวเองนอนอยู่ ดวงไฟ ผ้าม่าน สีของห้อง การตกแต่ง ทุกอย่างไม่คุ้นเคย จึงสงสัยว่าตัวเองมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด และหยุดไว้เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำเปิดออก สายตาเบนไปมอง และได้เห็นร่างสูงของผู้ชายเดินออกมา บนตัวมีเพียงผ้าขนหนูพันไว้รอบเอวเท่านั้น

หญิงสาวกะพริบตาอย่างงงๆ แล้วก้มลงมองตัวเอง ความเปล่าเปลือยที่เห็น ทำให้รู้ได้ทันทีว่าได้เสียตัวให้กับไอ้ผู้ชายคนนี้แล้ว แค่นั้นยังไม่พอรอยแดงที่ตัวและสภาพเตียงที่ยับย่นยังกับสนามรบบอกให้รู้ว่าเมื่อคืนนี้เธอเจอความกักขฬะแค่ไหน... ความทรงจำครั้งสุดท้ายว่าเธอทำอะไรอยู่กับใครที่ไหนผุดขึ้นมา จากนั้นเธอก็จำได้ว่าต้องการใครสักคนมาดับความร้อนรุมที่เกิดขึ้นในตัว

‘ใครทำให้เธอเป็น’ ความคิดนี้ผุดขึ้นมาหรือว่านักค้าขาอ่อนเจ๊วีวี่ที่ปั้นเธอมาอีกแล้ว ไม่มีความเสียใจในแววตาเธอ นอกจากความเจ็บใจที่เสียรู้คนเท่านั้น แล้วตวัดสายตามองผู้ชายที่เดินมายืนอยู่ปลายเตียงนอน สีหน้าแววตาเธอบอกความเกลียดชัง ก่อนถามออกมา

“ที่นี่ที่ไหน”

“ผับของคุณเจติน์”

เกลลาวรรณกัดริมฝีปากจนเจ็บ เมื่อสิ่งที่คิดไว้นั้นมันถูกเกินกว่าครึ่ง แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้ตัว มันมีอะไรมากกว่าที่เธอคิดหรือเปล่า “ฉันมาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง” เธอถามเพื่อต้องการรู้ว่าตัวเองถูกกระทำยังไง

“คุณจำไม่ได้หรือครับ แต่เมื่อคืนนี้คุณสุดยอดจริงๆ” ชายหนุ่มบอกไปอีกทางแล้วยิ้มโปรยเสน่ห์พร้อมกับมองช่วงไหล่ที่เปล่าเปลื่อยอย่างเล้าโลม “ผมชักจะติดใจคุณแล้วซิ อยากจะทบทวนไหมครับ”

เกลลาวรรณหลุบตาลงปิดบังความเจ็บใจไว้ แล้วเปิดขึ้นพร้อมยิ้มหวาน “น่าสน แต่น่าจะตอบคำถามฉันก่อนที่เราจะสนุกกันนะ”

“เรื่องนั้นมีคนรอตอบอยู่แล้ว”

คำตอบที่บอกว่าจะไม่ตอบ ทำให้เกลลาวรรณโกรธกรุ่น จึงไม่คิดจะเสียเวลาให้เสียตัวอีก “งั้นก็ไสหัวไปให้พ้น เพราะค่าตัวฉันแพง ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายก็อย่ามาสะเออะเสนอความต้องการตัวเอง”

ชายหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อยที่โดนด่า แต่ก็แค่นั้น เพราะอาชีพค้าบริการอย่างเขา เคยโดนมามากกว่านี้ แค่นี้ถือว่าน้อย และเขาก็ได้กำไรกับการได้ตัวเธอฟรีๆ ก็ถือว่าหายกันไป แล้วเดินหยิบเสื้อผ้าตัวเองมาใส่ เรียบร้อยแล้วก็บอกว่า “ผมบ๊อบ หวังว่าจะได้รับใช้คุณอีก”

“ไอ้บ้า”

เกลลาวรรณด่าตามหลังร่างสูงที่เดินออกไปจากห้องอย่างเจ็บแค้น แต่แค้นใครก็ไม่เท่านักค้าขาอ่อนที่ทำกับเธอ สองมือเธอกำผ้าห่มจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา ขณะที่แววตากร้าวกระด้างขึ้นอย่างพร้อมกับทำร้ายคนที่เห็นเธอเป็นสินค้า ไม่นานเธอก็เก็บความแค้นไว้ในใจ ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าตัวเอง เดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำล้างคราบคาวที่ติดตัวแต่ค่าตัวไม่ได้ จนผ่านไปเกือบชั่วโมง เธอก็แต่งตัวด้วยชุดเดิมแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่สองขาที่ก้าวเดินต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นคน หนึ่งในความทรงจำสุดท้าย ก่อนที่เธอจะไม่รู้อะไรเลย

เจติน์ยิ้มให้หญิงสาวที่เขาจะใช้เป็นเหยื่อ เช้านี้แม้จะดูซีดไปสักนิดแต่ก็ยังสวย “เด็กของฉันบอกว่าเธอมีเรื่องจะถาม”

แววตาของเกลลาวรรณมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ เพราะภาพสุดท้ายที่เธอจำได้ ก่อนจะมานอนอยู่ในห้องนี้มีเขาอยู่ด้วย “ฉันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ก็ไม่มีอะไร แค่ทำให้หนูมีความต้องการทางอารมณ์สูงขึ้นเท่านั้นเอง”

“อะไรนะ” เกลลาวรรณเอ่ยออกมาอย่างตกใจ จากที่ไม่แน่ใจกลายเป็นแน่ใจ “นี่คุณวางยาฉันเหรอ”

“นิดหน่อย” เจติน์ยอมรับออกมาอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมาดา “แต่อย่าเรียกอย่างนั้นเลย เรียกว่าฉันหางานหาเงินหาผลประโยชน์มหาศาลให้เธอดีกว่า”

“เลวที่สุด คุณทำระยำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไง ฉันจะแจ้งตำรวจจะแฉจะประจานพวกคุณให้หมด”

“แหม มาอีหรอบเดียวกับนักปั้นเธอเลย แต่ถ้าจะแหกปากไปแฉนะรวมทั้งตัวเองด้วยหรือเปล่า” เจติน์ถามแล้วเดินไปที่โต๊ะที่มีโน๊ตบุ๊ควางอยู่ กดปุ่มสองสามปุ่ม จอทีวีก็ปรากฏภาพความสัมพันธ์ของหญิงสาวที่เล่นรักกันอย่างถึงพริกถึงขิง มิหนำซ้ำยังเห็นชัดทั้งหน้าตาและสัดส่วน เขาเอียงหน้ามองผู้หญิงในจอก่อนจะเบี่ยงตัวให้เธอได้เห็น

เกลลาวรรณหน้าซีดยิ่งกว่าคนตาย ภาพที่ปรากกฎขึ้นมันเหมือนฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็น แม้เธอจะไม่ใช่สาวที่ไม่เคยผ่านเรื่องราคะแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยมีครั้งใดที่จะมีภาพประจานตัวเองออกมา แค่นั้นยังไม่พอถ้าภาพนี้หลุดออกไป ทุกอย่างที่เธออุตสาห์ทำขึ้นมาจนมีวันนี้ต้องหายไปและอาจจะถูกจับในข้อหาหลอกลวงกองประกวดต่างๆก็ได้ ตัวเธอเซไปชนผนัง ขณะที่เจติน์ก็ยิ้มที่มุมปากอย่างสมใจ ที่จากนี้ไปหญิงสาวจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือให้เพื่อนเขาไว้ใช้งาน แล้วกดปุ่มให้ภาพหายไป ดึงแผ่นซีดีออกมาชูให้ดู

“ยังอยากจะแจ้งความอีกไหม”

“สารเลว” เกลลาวรรณว่า ก่อนจะถลาเข้าไปแย่งซีดีจากมือเจติน์ ซึ่งก็ปล่อยให้แต่โดยดี และพอเห็นหญิงสาวหักทิ้งพลางเหยียบขยี้ก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“ฉันมีแผ่นสำรองอีกแยอะ แผ่นนี้เสีย แผ่นใหม่ก็มีอีก เธอคิดว่าฉันโง่จะมีแค่แผ่นนี้แผ่นเดียวหรือไง” เกลลาวรรณมองหน้าคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เจติน์ไม่สนว่าถูกมองยังไง “สังคมมันก็เป็นแบบนี้แหละ คนดีอยู่ยากขึ้นทุกวัน และคนโง่ยอมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด แต่ตราบใดที่คนโง่ไม่อวดฉลาด ทุกอย่างก็ยังจะเป็นความลับตลอดไป”

“คุณต้องการอะไร” เกลลาวรรณทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง เพราะไม่เห็นทางที่จะหลุดไปจากน้ำมือของเขา แต่กำมือเก็บซ่อนความแค้นไว้

“ความร่วมมือ ง่ายๆ แถมสบาย แล้วเธอจะได้อย่างที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้ แต่คนที่จะเป็นนายเธอ ไม่ใช่ฉัน เพื่อนของฉันจะเป็นนายของเธอ แล้วเธอจะได้รู้ว่าเขาต้องการอะไร”

“ใคร”

“ถึงเวลาแล้วเธอจะได้พบ แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะให้เธอไปทำเรื่องเลวร้ายหรือผิดกฎหมายหรอก ฉันรับรองว่าเป็นเรื่องที่เธออาจจะชอบมากกว่าไปค้าขาอ่อนก็ได้”

“คุณทำอย่างนี้ทำไม”
“ป้องกัน ง่ายๆเหมือนกัน การทรยศหักหลัง เพราะเมื่อไรที่เธอคิดไม่ซื่อกับเพื่อนฉัน ฉันก็จะไม่ซื่อกับเธอด้วย ว่าไงตกลงหรือเปล่า”

เกลลาวรรณยังไม่ตอบ เธอครุ่นคิดหลายสิ่งหลายอย่างและอย่างแรกที่คิดได้สำหรับผู้หญิงอย่างเธอ ก็คือ “คุณบอกว่าฉันจะเงินได้ผลประโยชน์มากมายใช่ไหม งั้นคุณก็ควรเอามาวางให้ฉันเห็นก่อน บางทีถ้ามากพอฉันอาจจะตกลงก็ได้”

เจติน์ยิ้มหยันผู้หญิงหน้าเงิน ที่ช่างไม่น่ารักน่าสงสารเอาเสียเลย แต่เขาก็ไม่ใช่คนใจดีที่ไม่เห็นค่าของเงิน ที่จะจ่ายแล้วจ่ายอีก จึงบอกว่า “อย่ารีบซิ งานยังไม่เริ่มก็อย่าใจร้อน แต่เมื่อคืนนี้ฉันไม่ได้ใช้ตัวเธอฟรีๆนะ ฉันจ่ายค่าตัวเธอแล้ว ถ้าอยากได้ก็ไปขอจากนักปั้นเธอก็แล้วกัน”

“อะไรนะ หมายความว่าไง นี่แสดงว่า เจ๊วีวี่รู้เห็นเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม”

“เธออยู่กับเขา เขาอยู่กับเธอ ไม่รู้จักกันเลยหรือไง ว่าเงินมันก็สามารถซื้อได้ทุกอย่างนั่นแหละ”

“หึ หึ หึ” เกลลาวรรณหัวเราะหยันตัวเอง ที่เสียตัวไปแต่ไม่ได้เงิน เธอมองผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นไฮไซ แต่จิตใจโสโครกยิ่งกว่าคนธรรมดาเดินดินกินข้าวแกงข้างถนนเสียอีก แล้วกำมือแน่นข่มใจที่กรีดร้องด้วยความเจ็บแค้น แค้นทุกคนที่เห็นเธอเป็นสิ่งของ ที่จะทำอะไรกันก็ได้ สักวันเธอจะตอบแทนทุกคนให้สาสม และคนแรกที่เธอควรจะทำให้รู้จักเธอมากขึ้น ก็คือคนที่มีความสุขอยู่บนความทุกข์ของเธอเมื่อคืนนี้ ...เจ๊วีวี่

“งั้นคุณต้องไปเอาส่วนนั้นมาให้ฉัน ฉันถึงจะตกลง”

“ได้” เจติน์ตกลงทันทีเพราะไม่มีอะไรต้องเสียเพิ่ม แค่เปลืองน้ำลายนิดหน่อยถือว่าเล็กน้อยสำหรับเขา อีกอย่างให้คนสองคนไปกัดกันเองก็ดีเหมือนกัน “ตอนนี้เธอกลับไปได้แล้ว แล้วถึงเวลาฉันจะติดต่อไปเอง แต่จำไว้ว่าเธอเป็นลูกไก่ในกำมือฉัน จะทำอะไรก็ระวังจะถูกบีบตาย”

“ฉันจะจำไว้” เธอบอกแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบลิปสติกที่วางอยู่เขียนบนกระจก แล้วหันมาบอกคนที่ทำลายชีวิตเธอว่า “หมายเลขบัญชีของฉัน หวังว่าเย็นนี้ฉันจะได้เงินก้อนนั้น” พูดจบเธอก็เดินเชิดหน้าออกไป

เจติน์เหยียดริมฝีปากออกหยันขณะที่สายตาก็เต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลนคนที่คิดว่าตัวเองเป็นหงส์สูงส่งแต่ความจริงแล้วมีกำพืดเป็นแค่เพียงอีกา คิดว่าเขาไม่รู้หรือไง ริมฝีปากเหยียดออกหยันมากขึ้น แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า โทรไปหาเพื่อนรัก เพื่อบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อย เหลือแค่กลับมาทำแผนให้สำเร็จเท่านั้นเอง
***********



ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ธ.ค. 2558, 16:48:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ธ.ค. 2558, 16:48:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 3127





<< ตอน 4   ตอน 6 >>
Zephyr 11 ธ.ค. 2558, 19:09:33 น.
อีกฝั่งนี่เลวจริงจัง
ไม่มีดีปนเลย


แว่นใส 11 ธ.ค. 2558, 20:41:11 น.
ชั่วร้ายทั้งหมดแหละ เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง


แกะดำ 12 ธ.ค. 2558, 00:05:03 น.
ชั่วร้าย ได้ใจ จริงๆ แต่ละคน 55


ผักหวาน 13 ธ.ค. 2558, 10:44:45 น.
วงการมายา น่ากลัวจริงๆค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account