^วันอยากเขียน^
รวมเรื่องสั้น ฉบับลิขิตราค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จับเรื่องสั้นมารวมกันไปเลยดีกว่า
Tags: เรื่องสั้น ลิขิตรา
ตอน: ในความสัมพันธ์ 1
มีคนบอกว่า เมื่อใดที่ใครสักคนหมดศรัทธากับความรัก เฒ่าจันทราจะผูกด้ายแดงที่ขาดวิ่น เพื่อนำศรัทธานั้นคืนมาอีกครั้ง
เพราะโลกหมุนด้วยความรัก และคงอยู่ด้วยศรัทธา
...จงออกไปใช้ชีวิต..
พิมพ์ตะวันเก็บโทรศัพท์เครื่องเล็กใส่กระเป๋า คลี่ยิ้มบาง ๆ ให้กับท้องฟ้ากว้างที่เริ่มมัวหม่นด้วยเมฆฝนที่เคลื่อนตัวเข้ามา ลมพัดแรงพาไอเย็นชื้นจาง ๆ ลอยมาโอบร่างบางที่ห่อตัวเบา ๆอย่างคนขี้หนาว เธอรีบก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปในตัวอาคารสูง ฝ่าฝูงเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งเลิกเรียนลงมาจาสถาบันกวดวิชาด้านบนเข้าไปด้านในอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของคาเฟ่เล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่เปิดเป็นพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับการทำงานหรือการประชุม
เพียงเธอผลักประตูกระจกเข้าไปภายใน คนตัวสูงที่ยืนเกาะเคาท์เตอร์กาแฟอยู่ที่มุมห้องด้านหลังก็คลี่ยิ้มให้กึ่งทักทาย พิมพ์ตะวันนิ่งไปครู่ ก่อนคลี่ยิ้มตอบ แล้วเดินไปที่หน้าตู้เค้กซึ่งติดรายการอาหารไว้ให้เลือก
คนตัวสูงกลับเดินมาหลังเคาท์เตอร์แทนที่จะเป็นพนักงานในชุดฟอร์มของทางร้าน พิมพ์ตะวันเลิกคิ้วมองอย่างงุนงงเมื่อเขายิ้มทักแล้วเอ่ยถาม
"มางานอีเวนท์หรือเปล่าครับ"
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ ส่ายหน้า "ไม่ใช่ค่ะ..."
"อ่อ...ครับ ถ้ามาทานอาหาร วันนี้ต้องรอนานหน่อยนะครับ เพราะเรามีจัดงาน" เขาเอ่ยต่อ พิมพ์ตะวันถอนใจเบา ๆ ก่อนก้มลงมองรายการอาหารอย่างนึกเสียดาย
เธอมีเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนจะเริ่มเรียนตามตาราง และขี้เกียจเกินกว่าจะเดินออกไปหาข้าวกลางวันที่อื่น หญิงสาวจึงพยักหน้ารับ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งจึงพบว่าผู้ชายคนนั้นเดินออกไปแล้ว เป็นพนักงานสาวผมแดงในชุดฟอร์มสีดำที่เข้ามายืนแทนที่
"ถ้าเป็นบราวนี่แล้วอุ่นร้อน จะนานไหมคะ" เธอเอ่ยถามพนักงานสาว
"ไม่ค่ะ..."
"อย่างนั้นขอเป็นคาราเมลมัคคิอาโต้ร้อน แล้วก็กรีนทีบลอนดี้แล้วกันค่ะ" เธอเลือกหาขนมที่พออยู่ท้องแทน
พนักงานสาวเอ่ยทวนรายการอาหาร และราคา ก่อนจะยื่นบัตรอินเตอร์เน็ทไร้สายให้พร้อมป้ายหมายเลขโต๊ะเพื่อเสิร์ฟอาหาร
พิมพ์ตะวันหมุนตัวเดินมามองหาโต๊ะที่ว่าง เธอเลือกโต๊ะที่อยู่เกือบติดมุมร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว เธอเงยหน้ามองโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าซึ่งกั้นเป็นห้องอเนกประสงค์ในร้าน ป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดแจ้งรายละเอียดของงานทำให้เธอรู้ว่าคงมีงานประชุมบางอย่างด้านใน
ผู้ชายตัวสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวดูสะดุดตา พิมพ์ตะวันไม่ได้ตั้งใจ แต่ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้น สายตาเธอก็วนไปหาเขาเสมอ
หญิงสาวเหยียดริมฝีปาก นึกขันตัวเองในใจ ดูเหมือนเธอจะทิ้งร้างความรักมานานไปจึงเผลอสะดุดตาใครได้ง่ายเพียงนี้
เธอเปิดโปรแกรมสนทนา กดส่งข้อความหาเพื่อนรักที่คงอยู่ระหว่างเดินทาง
'ถึงไหนแล้ว'
'อยู่บนรถ' เพื่อนสาวพิมพ์ตอบมาแทบทันที
'รีบมาเลย...แถวนี้มีงานดี' เธอเผลอหัวเราะกับตัวเองเมื่อพิมพ์ข้อความ
'อยู่ไหนนี่'
'คาเฟ่ใต้ตึกนี่ล่ะ'
'อ่อ...ไปเร็วจัง' อีกชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเรียน แต่พิมพ์ตะวันไม่ชอบความเร่งรีบในการเดินทาง และรู้ดีว่าเขตนี้การจราจรค่อนข้างติดขัด เธอจึงมานั่งรอก่อนถึงเวลาเรียนแทบทุกอาทิตย์
'ไม่รีบมาจะเจองานดีเหรอ' เธอพิมพ์ตอบ แม้รู้ดีว่าเพื่อนรักไม่ใคร่จะสนใจงานดีของเธอนัก 'รีบ ๆ มาเลย'
'จะชวนเราไปส่องเหรอ'
'อืม...นั่งคนเดียว ไม่รู้จะกรี๊ดกับใคร' เธอยิ้มหวานกับหน้าจอแท็บเล็ทเมื่อนึกถึงเพื่อนรัก
พนักงานสาวเดินเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟและถาดขนม เธออมยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยขอบคุณ ก่อนส่งป้ายเลขโต๊ะคืนให้
หญิงสาวยกโทรศัพท์ขึ้นเก็บภาพอาหารเผื่อเขียนวิจารณ์ลงในอินเตอร์เน็ทเป็นงานอดิเรกหนึ่งที่เธอใช้แก้ความเบื่อหน่ายตั้งแต่เลิกรากับคนรัก เมื่อวางใครบางคนลง เธอก็มีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้น
รอยยิ้มหวานระบายอยู่บนใบหน้า เธอหยิบช้อนมาตักกรีนทีบลอนดีในจานชิม แล้วกระพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่ชอบใจนัก
รสหวานซ่านอยู่ในปากเย็นชืดจนชวนให้อารมณ์เสีย พิมพ์ตะวันวางช้อนแล้วยกจานบราวนี่เดินไปที่เคาท์เตอร์ทันที
"ขอโทษนะคะ รบกวนอุ่นบลอนดี้ได้ไหมคะ"
พนักงานสาวมองหน้าเธอก่อนจะคลี่ยิ้ม เอ่ยขอโทษเบา ๆ แล้วรับจานขนมไป
คนตัวสูงที่อยู่สุดปลายเคาท์เตอร์เดินตรงมาหาเธออย่างรวดเร็ว "มีอะไรหรือเปล่าครับ"
"ค่ะ...กรีนทีบลอนดี้เย็นมากเลยรบกวนให้อุ่นก่อนน่ะค่ะ" เธอไม่แน่ใจว่าการเสิร์ฟบราวนี่และบลอนดี้ในร้านทั่วไปควรจะต้องอุ่นร้อนก่อนหรือไม่ แต่การกินขนมประเภทนี้ในขณะที่เย็นชืดก็ทำร้ายสุนทรียภาพในการกินอย่างร้ายแรง
"ต้องขอโทษด้วยนะครับ เดี๋ยวให้พนักงานอุ่นไปเสิร์ฟให้ใหม่นะครับ" เขาโคลงศีรษะเบา ๆ
พิมพ์ตะวันพยักหน้ารับ เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ หยิบสมุดวาดเขียนออกมาวาดแบบอัญมณีตามที่เรียนเมื่ออาทิตย์ก่อนลงไปอย่างตั้งใจ เพียงไม่นานบลอนดี้ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ
ใกล้เวลาเริ่มเรียนเต็มที แต่เพื่อนรักก็ยังไม่มา พิมพ์ตะวันถอนใจหนัก ๆ กดโทรศัพท์หาเพื่อนอย่างรวดเร็ว
"อยู่ไหนจ๊ะ"
"รถติดน่ะ ปิ่นขึ้นไปก่อนเลย"
"โอเค...เจอกันที่ห้องเรียนนะ" เธอบอกก่อนจะตัดสายไป แล้วเก็บของใส่กระเป๋า
ร่างบางก้าวออกจากร้านมาที่ลิฟต์ ตรงนั้นมีร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่ก่อนแล้ว
ผู้ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดแบบลำลองดูกระฉับกระเฉงและสุภาพอย่างลงตัว เขาหันมามองเมื่อเธอเดินเข้าไป
พิมพ์ตะวันเอียงคอมองเลยบอกชั้นที่หน้าลิฟต์นิ่ง ก่อนหันไปมองกระจกด้านหลังลอบมองเงาที่สะท้อนภาพคนตัวสูงที่เหลือบมองเธออยู่เป็นระยะ เขาหันมามองเธอสองครั้ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยคำถาม
"ทำงานอยู่ที่นี่เหรอครับ"
"เปล่าค่ะ" เธอหันมาตอบ "มาเรียนวาดรูปน่ะค่ะ"
"อ้อ...ที่สตูดิโอข้างบน"
"ค่ะ..." เธอนิ่งไปครู่ ก่อนอธิบายต่อเมื่อคนตรงหน้าเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ ใบหน้าเธอคงเลยวัยที่จะมาเรียนวาดเขียนเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยไปนานแล้ว "จิวเวอรี่ดีไซน์น่ะค่ะ"
"เอ๊ะ...เขามีสอนด้วยเหรอครับ"
"ค่ะ...เป็นแนวดีไซน์เบื้องต้นน่ะค่ะ" เธอเดินตามเขาเข้าไปในลิฟต์ กดชั้นที่ตั้งของสตูดิโอ
หลังนิ่งอยู่ครู่ พิมพ์ตะวันก็เอ่ยถามอย่างสนใจ "ที่คาเฟ่มีสัมมนาอะไรกันหรือคะ"
"อ๋อ...เรื่องเทรดดิ้งน่ะครับ พวกหุ้น ฟอเรคซ์น่ะครับ"
พิมพ์ตะวันเบิกตาโตมองอย่างสนใจ เธอเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่กำลังเรียนรู้ ใบหน้าหวานจึงปรากฏร่องรอยของความเสียดาย
"โอว...น่าสนใจจังค่ะ"
ประตูลิฟต์เปิดออกในชั้นที่ตั้งของสตูดิโอพอดี พิมพ์ตะวันโคลงศีรษะเบา ๆ กึ่งลาก่อนเดินออกมา ขณะที่อีกฝ่ายเอ่ยคำ
"สวัสดีครับ"
"ลาก่อนค่ะ" เธอเงยหน้าคลี่ยิ้มบอก แล้วรีบสาวเท้าเร็ว ๆ ไปที่สตูดิโอ เผลอยิ้มบาง ๆ เมื่อเดินเข้ามาภายใน
"สวัสดีค่ะ..." เสียงเอ่ยทักจากเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอทำให้เธอเงยหน้ามอง ยิ้มรับแล้วโคลงศีรษะเบา ๆ กึ่งทักทาย
"สวัสดีค่ะ"
"ทานอะไรมาหรือยังคะ" เธอเอ่ยถาม ยกซองขนมในมือขึ้นกึ่งชักชวน
พิมพ์ตะวันหัวเราะ "เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ วันนี้ข้างล่างมีอาหารตา ปิ่นอิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจเลยค่ะ"
"โอ๊ะ...ที่ไหนคะ"
"คาเฟ่ข้างล่างเลยค่ะ งานดีเพียบ" เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ
เจ้าหน้าที่สาวทำตาโต น้อยครั้งที่พิมพ์ตะวันจะใช้คำว่างานดี "แหม...คุณปิ่นพูดอย่างนึ้ เดี๋ยวพี่ลงไปหาอะไรกินบ้างดีกว่า"
"จัดด่วนค่ะพี่ ลงไปสเกตช์ภาพก็คุ้มแล้ว" เธอรู้ดีว่าเข้าหน้าที่สาวมีงานอดิเรกด้านการวาดภาพเหมือนบุคคล
ช่วงเวลาเกือบสองอาทิตย์ทำให้พิมพ์ตะวันเกือบลืมผู้ชายเสื้อขาวไปแล้ว หญิงสาวง่วนอยู่กับงานวิจัยและเรื่องหัวใจที่ยังค้างคา
มีคนบอกว่าการรักหรือเลิกราไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นการตัดสินของคนคนหนึ่ง เธอเกือบเชื่ออย่างนั้น หากไม่มีคำว่าผูกพัน
หญิงสาวยกมือขึ้นกดที่กลางหว่างคิ้วอย่างอ่อนล้า เธอมองหน้าจอแท็บเล็ทนิ่งนาน ก่อนตัดสินใจกด unfriend
การตัดใครสักคนที่เคยมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันออกจากชีวิตเป็นเรื่องสุดท้ายที่พิมพ์ตะวันคิดจะทำ แต่วันนี้เธอจำเป็นต้องทำให้ทุกอย่างชัดเจน เมื่ออีกฝ่ายไม่เคยรับรู้ถึงความปรารถนาดีที่เธอมีให้เขาอยู่เสมอมา เธอก็จำเป็นต้องปล่อยมือจากเขาแล้วเดินไปข้างหน้า
เธอเปิดโปรแกรมสนทนาที่ใช้จนคุ้นชิน หน้าจอสนทนากับใครบางคนถูกเว้นว่าง ไม่มีคำตอบใดมาหลายอาทิตย์นับจากวันที่เธอพิมพ์ข้อความ 'เราเลิกกันเถอะนะคะ...พอเท่านี้เถอะนะ' พิมพ์ตะวันนิ่งมองเพียงครู่ก็เลื่อนนิ้วลบทุกเรื่องราว
"เจ็บชะมัด..." เธอยิ้มขื่น ๆ กับตัวเอง
หญิงสาวนั่งนิ่ง ปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงโดยไม่สนใจโลกรอบตัว นานเท่าไรไม่รู้ ก่อนที่คนตัวสูงจะเดินเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟในมือ
"มีคนนั่งไหมครับ" เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสว่างไสวแบบที่เธอใช้เป็นหนึ่งในนิยามของ 'งานดี'
พิมพ์ตะวันเงยหน้ามอง กระพริบตาปริบ ๆ อย่างประหลาดใจ ลอบกวาดสายตามองรอบตัวเพียงผ่านก็รู้ว่ามีโต๊ะที่ว่างอยู่อีกไม่น้อย แต่ผู้ชายคนนี้จงใจเดินมานั่งร่วมโต๊ะกับเธอ การปฏิเสธ 'งานดี' อย่างไร้เยื่อใยก็ดูจะโหดร้ายไปกับหัวใจที่ยังมีรอยแผล เธอจึงส่ายหน้าช้า ๆ ปล่อยให้เขาดึงเก้าอี้นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
"วันนี้มีเรียนหรือครับ"
"ค่ะ..." เธอตอบเสียงเรียบ ก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาคั่นกลางอยู่ชั่วขณะ
"ผมมารบกวนหรือเปล่าครับ"
หญิงสาวเอียงคอมองหน้าเขา ท่าทีเกรงอกเกรงใจอย่างสุภาพนั้นถูกทอนลงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง บอกชัดว่าเขาเพียงถามตามมารยาท เธอจึงเอ่ยตอบตามที่เขาคาดหวัง "ไม่หรอกค่ะ...คุณมาที่นี่บ่อยหรือคะ"
"ผมเป็นหุ้นส่วนที่นี่ครับ" เขาตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนยื่นนามบัตรให้เธอ "ไปป์ครับ..."
พิมพ์ตะวันรับนามบัตรมา ตวัดสายตามองโลโก้ร้านที่ปรากฏบนนั้น แล้วคลี่ยิ้ม "ปิ่นค่ะ...คุณคงไม่ได้มาขายเมมเบอร์หรืออะไรใช่ไหมคะ"
เขาหัวเราะ "ผมกำลังคิดจะทำระบบเมมเบอร์อยู่พอดี แต่ตอนนี้ยังไม่มีให้ขายครับ"
เธออมยิ้ม เงียบไปเพียงครู่ เขาก็เอ่ยคำถาม "คุณปิ่นทำงานด้านจิวเวอรี่เหรอครับ"
หญิงสาวส่ายหน้า "เปล่าค่ะ..." เธอตอบเรียบ ๆ เมื่อเขามองอย่างรอคำอธิบายจึงเอ่ยต่อ "แค่สนใจน่ะค่ะ อยากลองหัดดีไซน์ดู"
"คุณดูติสท์" เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
"ขึ้นกับว่าคุณนิยามคำนั้นยังไงค่ะ..." เธออมยิ้ม ก่อนเอ่ยต่อ "ถ้าปิ่นบอกว่างานประจำปิ่นเป็นหมอ คุณยังจะคิดว่าปิ่นติสท์อยู่ไหมคะ"
เขาเลิกคิ้วมองเธออย่างประหลาดใจ "คุณปิ่นเป็นหมอเหรอครับ"
"ค่ะ..." เธอยักคิ้วเบา ๆ "ยังอยู่ในโซคอลความติสท์ของคุณอยู่ไหมคะ"
"ครับ...ผมว่ายิ่งติสท์ใหญ่เลย"
"โซคอลความติสท์ของผมน่าจะเป็นความเป็นตัวของตัวเองที่มีความขัดแย้งและมีเสน่ห์ในตัวเองน่ะครับ" เขาอธิบายนิยามความติสท์ในแบบฉบับของตัวเอง รอยยิ้มกว้างขวางดูเปิดเผย แต่มีความดึงดูดบางอย่าง โดยเฉพาะเมื่อดวงตาคู่นั้นมองเธออย่างพิจารณาโดยไม่ปิดบัง
พิมพ์ตะวันไหวไหล่เบา ๆ เข้าใจดีถึงความขัดแย้งที่เขาพูดถึง เมื่อเธออยู่ในชุดเสื้อกล้ามเข้ารูปสีขาวที่คลุมทับด้วยผ้าคลุมไหล่วาดลายสีสดเข้ากับกางเกงขาพองรัดข้อเท้าสีเขียววาดลายแบบบาหลี และทรงผมที่เกล้าม้วนขึ้นไปทิ้งปลายรุ่ยลงมาปรกข้างแก้มบางส่วนเหน็บด้วยดินสอไม้สีเขียวห้อยกระพรวนลูกเล็กส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง ดูอย่างไรก็ยากจะเชื่อว่าเธอเป็นแพทย์หญิงที่กำลังศีกษาต่อในโรงพยาบาลชั้นนำที่เก่าแก่แห่งหนึ่งในประเทศ
ความจริง นี่ไม่ใช่สไตล์ปกติของเธอ แต่ความเจ็บปวดจาง ๆ ที่ค้างอยู่ในใจทำให้เธออยากใช้ชีวิตในแบบที่แตกต่าง ทดลองในสิ่งใหม่ ๆ และเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองและโลกให้มากขึ้น
"เป็นคำนิยามที่ดีนะคะ" เธอเอ่ยชมอย่างเรียบง่าย ก่อนที่หน้าจอแท็บเล็ตจะบอกเวลาใกล้เข้าเรียนเต็มที
"ใกล้เวลาเรียนแล้ว ปิ่นคงต้องขอตัวก่อน" เธอเก็บของใส่กระเป๋าผ้าที่หน้าตาคล้ายย่ามสีน้ำตาลแดง ก่อนหันมาบอก "ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ..."
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ..."
ร่างบางรีบเดินออกไปจากร้าน เธอไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท แต่คงเพราะใส่ใจกับโลกน้อยไป เมื่อชายหนุ่มหันกลับมามองที่โต๊ะจึงได้เห็นว่านามบัตรของเขายังถูกวางไว้อย่างสงบ
อติยะหยิบนามบัตรบนโต๊ะมามองนิ่งอยู่นาน ก่อนจะถอนใจเบา ๆ
___
ขอบคุณ งานดี แรงบันดาลใจสำหรับการเขียนเรื่องสั้นแบบไม่ดราม่าอีกครั้ง
ไอซ์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเขียนงานหนักและเศร้าบ่อยขึ้น อาจเพราะพื้นอารมณ์และความคิด การกลับมาเขียนงานหวานแบบงดดราม่าจึงเป็นเรื่องที่ไอซ์ค่อนข้างตื่นเต้นจนแอบแบ่งครึ่งมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังก่อน
หวังว่าจะชอบพิมพ์ตะวันนะคะ
ด้วยรัก
#จงออกไปใช้ชีวิต
ลิขิตรา
เพราะโลกหมุนด้วยความรัก และคงอยู่ด้วยศรัทธา
...จงออกไปใช้ชีวิต..
พิมพ์ตะวันเก็บโทรศัพท์เครื่องเล็กใส่กระเป๋า คลี่ยิ้มบาง ๆ ให้กับท้องฟ้ากว้างที่เริ่มมัวหม่นด้วยเมฆฝนที่เคลื่อนตัวเข้ามา ลมพัดแรงพาไอเย็นชื้นจาง ๆ ลอยมาโอบร่างบางที่ห่อตัวเบา ๆอย่างคนขี้หนาว เธอรีบก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปในตัวอาคารสูง ฝ่าฝูงเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งเลิกเรียนลงมาจาสถาบันกวดวิชาด้านบนเข้าไปด้านในอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของคาเฟ่เล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่เปิดเป็นพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับการทำงานหรือการประชุม
เพียงเธอผลักประตูกระจกเข้าไปภายใน คนตัวสูงที่ยืนเกาะเคาท์เตอร์กาแฟอยู่ที่มุมห้องด้านหลังก็คลี่ยิ้มให้กึ่งทักทาย พิมพ์ตะวันนิ่งไปครู่ ก่อนคลี่ยิ้มตอบ แล้วเดินไปที่หน้าตู้เค้กซึ่งติดรายการอาหารไว้ให้เลือก
คนตัวสูงกลับเดินมาหลังเคาท์เตอร์แทนที่จะเป็นพนักงานในชุดฟอร์มของทางร้าน พิมพ์ตะวันเลิกคิ้วมองอย่างงุนงงเมื่อเขายิ้มทักแล้วเอ่ยถาม
"มางานอีเวนท์หรือเปล่าครับ"
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ ส่ายหน้า "ไม่ใช่ค่ะ..."
"อ่อ...ครับ ถ้ามาทานอาหาร วันนี้ต้องรอนานหน่อยนะครับ เพราะเรามีจัดงาน" เขาเอ่ยต่อ พิมพ์ตะวันถอนใจเบา ๆ ก่อนก้มลงมองรายการอาหารอย่างนึกเสียดาย
เธอมีเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนจะเริ่มเรียนตามตาราง และขี้เกียจเกินกว่าจะเดินออกไปหาข้าวกลางวันที่อื่น หญิงสาวจึงพยักหน้ารับ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งจึงพบว่าผู้ชายคนนั้นเดินออกไปแล้ว เป็นพนักงานสาวผมแดงในชุดฟอร์มสีดำที่เข้ามายืนแทนที่
"ถ้าเป็นบราวนี่แล้วอุ่นร้อน จะนานไหมคะ" เธอเอ่ยถามพนักงานสาว
"ไม่ค่ะ..."
"อย่างนั้นขอเป็นคาราเมลมัคคิอาโต้ร้อน แล้วก็กรีนทีบลอนดี้แล้วกันค่ะ" เธอเลือกหาขนมที่พออยู่ท้องแทน
พนักงานสาวเอ่ยทวนรายการอาหาร และราคา ก่อนจะยื่นบัตรอินเตอร์เน็ทไร้สายให้พร้อมป้ายหมายเลขโต๊ะเพื่อเสิร์ฟอาหาร
พิมพ์ตะวันหมุนตัวเดินมามองหาโต๊ะที่ว่าง เธอเลือกโต๊ะที่อยู่เกือบติดมุมร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว เธอเงยหน้ามองโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าซึ่งกั้นเป็นห้องอเนกประสงค์ในร้าน ป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดแจ้งรายละเอียดของงานทำให้เธอรู้ว่าคงมีงานประชุมบางอย่างด้านใน
ผู้ชายตัวสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวดูสะดุดตา พิมพ์ตะวันไม่ได้ตั้งใจ แต่ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้น สายตาเธอก็วนไปหาเขาเสมอ
หญิงสาวเหยียดริมฝีปาก นึกขันตัวเองในใจ ดูเหมือนเธอจะทิ้งร้างความรักมานานไปจึงเผลอสะดุดตาใครได้ง่ายเพียงนี้
เธอเปิดโปรแกรมสนทนา กดส่งข้อความหาเพื่อนรักที่คงอยู่ระหว่างเดินทาง
'ถึงไหนแล้ว'
'อยู่บนรถ' เพื่อนสาวพิมพ์ตอบมาแทบทันที
'รีบมาเลย...แถวนี้มีงานดี' เธอเผลอหัวเราะกับตัวเองเมื่อพิมพ์ข้อความ
'อยู่ไหนนี่'
'คาเฟ่ใต้ตึกนี่ล่ะ'
'อ่อ...ไปเร็วจัง' อีกชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเรียน แต่พิมพ์ตะวันไม่ชอบความเร่งรีบในการเดินทาง และรู้ดีว่าเขตนี้การจราจรค่อนข้างติดขัด เธอจึงมานั่งรอก่อนถึงเวลาเรียนแทบทุกอาทิตย์
'ไม่รีบมาจะเจองานดีเหรอ' เธอพิมพ์ตอบ แม้รู้ดีว่าเพื่อนรักไม่ใคร่จะสนใจงานดีของเธอนัก 'รีบ ๆ มาเลย'
'จะชวนเราไปส่องเหรอ'
'อืม...นั่งคนเดียว ไม่รู้จะกรี๊ดกับใคร' เธอยิ้มหวานกับหน้าจอแท็บเล็ทเมื่อนึกถึงเพื่อนรัก
พนักงานสาวเดินเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟและถาดขนม เธออมยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยขอบคุณ ก่อนส่งป้ายเลขโต๊ะคืนให้
หญิงสาวยกโทรศัพท์ขึ้นเก็บภาพอาหารเผื่อเขียนวิจารณ์ลงในอินเตอร์เน็ทเป็นงานอดิเรกหนึ่งที่เธอใช้แก้ความเบื่อหน่ายตั้งแต่เลิกรากับคนรัก เมื่อวางใครบางคนลง เธอก็มีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้น
รอยยิ้มหวานระบายอยู่บนใบหน้า เธอหยิบช้อนมาตักกรีนทีบลอนดีในจานชิม แล้วกระพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่ชอบใจนัก
รสหวานซ่านอยู่ในปากเย็นชืดจนชวนให้อารมณ์เสีย พิมพ์ตะวันวางช้อนแล้วยกจานบราวนี่เดินไปที่เคาท์เตอร์ทันที
"ขอโทษนะคะ รบกวนอุ่นบลอนดี้ได้ไหมคะ"
พนักงานสาวมองหน้าเธอก่อนจะคลี่ยิ้ม เอ่ยขอโทษเบา ๆ แล้วรับจานขนมไป
คนตัวสูงที่อยู่สุดปลายเคาท์เตอร์เดินตรงมาหาเธออย่างรวดเร็ว "มีอะไรหรือเปล่าครับ"
"ค่ะ...กรีนทีบลอนดี้เย็นมากเลยรบกวนให้อุ่นก่อนน่ะค่ะ" เธอไม่แน่ใจว่าการเสิร์ฟบราวนี่และบลอนดี้ในร้านทั่วไปควรจะต้องอุ่นร้อนก่อนหรือไม่ แต่การกินขนมประเภทนี้ในขณะที่เย็นชืดก็ทำร้ายสุนทรียภาพในการกินอย่างร้ายแรง
"ต้องขอโทษด้วยนะครับ เดี๋ยวให้พนักงานอุ่นไปเสิร์ฟให้ใหม่นะครับ" เขาโคลงศีรษะเบา ๆ
พิมพ์ตะวันพยักหน้ารับ เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ หยิบสมุดวาดเขียนออกมาวาดแบบอัญมณีตามที่เรียนเมื่ออาทิตย์ก่อนลงไปอย่างตั้งใจ เพียงไม่นานบลอนดี้ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ
ใกล้เวลาเริ่มเรียนเต็มที แต่เพื่อนรักก็ยังไม่มา พิมพ์ตะวันถอนใจหนัก ๆ กดโทรศัพท์หาเพื่อนอย่างรวดเร็ว
"อยู่ไหนจ๊ะ"
"รถติดน่ะ ปิ่นขึ้นไปก่อนเลย"
"โอเค...เจอกันที่ห้องเรียนนะ" เธอบอกก่อนจะตัดสายไป แล้วเก็บของใส่กระเป๋า
ร่างบางก้าวออกจากร้านมาที่ลิฟต์ ตรงนั้นมีร่างสูงของใครบางคนยืนอยู่ก่อนแล้ว
ผู้ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดแบบลำลองดูกระฉับกระเฉงและสุภาพอย่างลงตัว เขาหันมามองเมื่อเธอเดินเข้าไป
พิมพ์ตะวันเอียงคอมองเลยบอกชั้นที่หน้าลิฟต์นิ่ง ก่อนหันไปมองกระจกด้านหลังลอบมองเงาที่สะท้อนภาพคนตัวสูงที่เหลือบมองเธออยู่เป็นระยะ เขาหันมามองเธอสองครั้ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยคำถาม
"ทำงานอยู่ที่นี่เหรอครับ"
"เปล่าค่ะ" เธอหันมาตอบ "มาเรียนวาดรูปน่ะค่ะ"
"อ้อ...ที่สตูดิโอข้างบน"
"ค่ะ..." เธอนิ่งไปครู่ ก่อนอธิบายต่อเมื่อคนตรงหน้าเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ ใบหน้าเธอคงเลยวัยที่จะมาเรียนวาดเขียนเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยไปนานแล้ว "จิวเวอรี่ดีไซน์น่ะค่ะ"
"เอ๊ะ...เขามีสอนด้วยเหรอครับ"
"ค่ะ...เป็นแนวดีไซน์เบื้องต้นน่ะค่ะ" เธอเดินตามเขาเข้าไปในลิฟต์ กดชั้นที่ตั้งของสตูดิโอ
หลังนิ่งอยู่ครู่ พิมพ์ตะวันก็เอ่ยถามอย่างสนใจ "ที่คาเฟ่มีสัมมนาอะไรกันหรือคะ"
"อ๋อ...เรื่องเทรดดิ้งน่ะครับ พวกหุ้น ฟอเรคซ์น่ะครับ"
พิมพ์ตะวันเบิกตาโตมองอย่างสนใจ เธอเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่กำลังเรียนรู้ ใบหน้าหวานจึงปรากฏร่องรอยของความเสียดาย
"โอว...น่าสนใจจังค่ะ"
ประตูลิฟต์เปิดออกในชั้นที่ตั้งของสตูดิโอพอดี พิมพ์ตะวันโคลงศีรษะเบา ๆ กึ่งลาก่อนเดินออกมา ขณะที่อีกฝ่ายเอ่ยคำ
"สวัสดีครับ"
"ลาก่อนค่ะ" เธอเงยหน้าคลี่ยิ้มบอก แล้วรีบสาวเท้าเร็ว ๆ ไปที่สตูดิโอ เผลอยิ้มบาง ๆ เมื่อเดินเข้ามาภายใน
"สวัสดีค่ะ..." เสียงเอ่ยทักจากเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอทำให้เธอเงยหน้ามอง ยิ้มรับแล้วโคลงศีรษะเบา ๆ กึ่งทักทาย
"สวัสดีค่ะ"
"ทานอะไรมาหรือยังคะ" เธอเอ่ยถาม ยกซองขนมในมือขึ้นกึ่งชักชวน
พิมพ์ตะวันหัวเราะ "เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ วันนี้ข้างล่างมีอาหารตา ปิ่นอิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจเลยค่ะ"
"โอ๊ะ...ที่ไหนคะ"
"คาเฟ่ข้างล่างเลยค่ะ งานดีเพียบ" เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ
เจ้าหน้าที่สาวทำตาโต น้อยครั้งที่พิมพ์ตะวันจะใช้คำว่างานดี "แหม...คุณปิ่นพูดอย่างนึ้ เดี๋ยวพี่ลงไปหาอะไรกินบ้างดีกว่า"
"จัดด่วนค่ะพี่ ลงไปสเกตช์ภาพก็คุ้มแล้ว" เธอรู้ดีว่าเข้าหน้าที่สาวมีงานอดิเรกด้านการวาดภาพเหมือนบุคคล
ช่วงเวลาเกือบสองอาทิตย์ทำให้พิมพ์ตะวันเกือบลืมผู้ชายเสื้อขาวไปแล้ว หญิงสาวง่วนอยู่กับงานวิจัยและเรื่องหัวใจที่ยังค้างคา
มีคนบอกว่าการรักหรือเลิกราไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นการตัดสินของคนคนหนึ่ง เธอเกือบเชื่ออย่างนั้น หากไม่มีคำว่าผูกพัน
หญิงสาวยกมือขึ้นกดที่กลางหว่างคิ้วอย่างอ่อนล้า เธอมองหน้าจอแท็บเล็ทนิ่งนาน ก่อนตัดสินใจกด unfriend
การตัดใครสักคนที่เคยมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันออกจากชีวิตเป็นเรื่องสุดท้ายที่พิมพ์ตะวันคิดจะทำ แต่วันนี้เธอจำเป็นต้องทำให้ทุกอย่างชัดเจน เมื่ออีกฝ่ายไม่เคยรับรู้ถึงความปรารถนาดีที่เธอมีให้เขาอยู่เสมอมา เธอก็จำเป็นต้องปล่อยมือจากเขาแล้วเดินไปข้างหน้า
เธอเปิดโปรแกรมสนทนาที่ใช้จนคุ้นชิน หน้าจอสนทนากับใครบางคนถูกเว้นว่าง ไม่มีคำตอบใดมาหลายอาทิตย์นับจากวันที่เธอพิมพ์ข้อความ 'เราเลิกกันเถอะนะคะ...พอเท่านี้เถอะนะ' พิมพ์ตะวันนิ่งมองเพียงครู่ก็เลื่อนนิ้วลบทุกเรื่องราว
"เจ็บชะมัด..." เธอยิ้มขื่น ๆ กับตัวเอง
หญิงสาวนั่งนิ่ง ปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงโดยไม่สนใจโลกรอบตัว นานเท่าไรไม่รู้ ก่อนที่คนตัวสูงจะเดินเข้ามาพร้อมแก้วกาแฟในมือ
"มีคนนั่งไหมครับ" เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสว่างไสวแบบที่เธอใช้เป็นหนึ่งในนิยามของ 'งานดี'
พิมพ์ตะวันเงยหน้ามอง กระพริบตาปริบ ๆ อย่างประหลาดใจ ลอบกวาดสายตามองรอบตัวเพียงผ่านก็รู้ว่ามีโต๊ะที่ว่างอยู่อีกไม่น้อย แต่ผู้ชายคนนี้จงใจเดินมานั่งร่วมโต๊ะกับเธอ การปฏิเสธ 'งานดี' อย่างไร้เยื่อใยก็ดูจะโหดร้ายไปกับหัวใจที่ยังมีรอยแผล เธอจึงส่ายหน้าช้า ๆ ปล่อยให้เขาดึงเก้าอี้นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
"วันนี้มีเรียนหรือครับ"
"ค่ะ..." เธอตอบเสียงเรียบ ก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาคั่นกลางอยู่ชั่วขณะ
"ผมมารบกวนหรือเปล่าครับ"
หญิงสาวเอียงคอมองหน้าเขา ท่าทีเกรงอกเกรงใจอย่างสุภาพนั้นถูกทอนลงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง บอกชัดว่าเขาเพียงถามตามมารยาท เธอจึงเอ่ยตอบตามที่เขาคาดหวัง "ไม่หรอกค่ะ...คุณมาที่นี่บ่อยหรือคะ"
"ผมเป็นหุ้นส่วนที่นี่ครับ" เขาตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนยื่นนามบัตรให้เธอ "ไปป์ครับ..."
พิมพ์ตะวันรับนามบัตรมา ตวัดสายตามองโลโก้ร้านที่ปรากฏบนนั้น แล้วคลี่ยิ้ม "ปิ่นค่ะ...คุณคงไม่ได้มาขายเมมเบอร์หรืออะไรใช่ไหมคะ"
เขาหัวเราะ "ผมกำลังคิดจะทำระบบเมมเบอร์อยู่พอดี แต่ตอนนี้ยังไม่มีให้ขายครับ"
เธออมยิ้ม เงียบไปเพียงครู่ เขาก็เอ่ยคำถาม "คุณปิ่นทำงานด้านจิวเวอรี่เหรอครับ"
หญิงสาวส่ายหน้า "เปล่าค่ะ..." เธอตอบเรียบ ๆ เมื่อเขามองอย่างรอคำอธิบายจึงเอ่ยต่อ "แค่สนใจน่ะค่ะ อยากลองหัดดีไซน์ดู"
"คุณดูติสท์" เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
"ขึ้นกับว่าคุณนิยามคำนั้นยังไงค่ะ..." เธออมยิ้ม ก่อนเอ่ยต่อ "ถ้าปิ่นบอกว่างานประจำปิ่นเป็นหมอ คุณยังจะคิดว่าปิ่นติสท์อยู่ไหมคะ"
เขาเลิกคิ้วมองเธออย่างประหลาดใจ "คุณปิ่นเป็นหมอเหรอครับ"
"ค่ะ..." เธอยักคิ้วเบา ๆ "ยังอยู่ในโซคอลความติสท์ของคุณอยู่ไหมคะ"
"ครับ...ผมว่ายิ่งติสท์ใหญ่เลย"
"โซคอลความติสท์ของผมน่าจะเป็นความเป็นตัวของตัวเองที่มีความขัดแย้งและมีเสน่ห์ในตัวเองน่ะครับ" เขาอธิบายนิยามความติสท์ในแบบฉบับของตัวเอง รอยยิ้มกว้างขวางดูเปิดเผย แต่มีความดึงดูดบางอย่าง โดยเฉพาะเมื่อดวงตาคู่นั้นมองเธออย่างพิจารณาโดยไม่ปิดบัง
พิมพ์ตะวันไหวไหล่เบา ๆ เข้าใจดีถึงความขัดแย้งที่เขาพูดถึง เมื่อเธออยู่ในชุดเสื้อกล้ามเข้ารูปสีขาวที่คลุมทับด้วยผ้าคลุมไหล่วาดลายสีสดเข้ากับกางเกงขาพองรัดข้อเท้าสีเขียววาดลายแบบบาหลี และทรงผมที่เกล้าม้วนขึ้นไปทิ้งปลายรุ่ยลงมาปรกข้างแก้มบางส่วนเหน็บด้วยดินสอไม้สีเขียวห้อยกระพรวนลูกเล็กส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง ดูอย่างไรก็ยากจะเชื่อว่าเธอเป็นแพทย์หญิงที่กำลังศีกษาต่อในโรงพยาบาลชั้นนำที่เก่าแก่แห่งหนึ่งในประเทศ
ความจริง นี่ไม่ใช่สไตล์ปกติของเธอ แต่ความเจ็บปวดจาง ๆ ที่ค้างอยู่ในใจทำให้เธออยากใช้ชีวิตในแบบที่แตกต่าง ทดลองในสิ่งใหม่ ๆ และเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองและโลกให้มากขึ้น
"เป็นคำนิยามที่ดีนะคะ" เธอเอ่ยชมอย่างเรียบง่าย ก่อนที่หน้าจอแท็บเล็ตจะบอกเวลาใกล้เข้าเรียนเต็มที
"ใกล้เวลาเรียนแล้ว ปิ่นคงต้องขอตัวก่อน" เธอเก็บของใส่กระเป๋าผ้าที่หน้าตาคล้ายย่ามสีน้ำตาลแดง ก่อนหันมาบอก "ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ..."
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ..."
ร่างบางรีบเดินออกไปจากร้าน เธอไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท แต่คงเพราะใส่ใจกับโลกน้อยไป เมื่อชายหนุ่มหันกลับมามองที่โต๊ะจึงได้เห็นว่านามบัตรของเขายังถูกวางไว้อย่างสงบ
อติยะหยิบนามบัตรบนโต๊ะมามองนิ่งอยู่นาน ก่อนจะถอนใจเบา ๆ
___
ขอบคุณ งานดี แรงบันดาลใจสำหรับการเขียนเรื่องสั้นแบบไม่ดราม่าอีกครั้ง
ไอซ์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเขียนงานหนักและเศร้าบ่อยขึ้น อาจเพราะพื้นอารมณ์และความคิด การกลับมาเขียนงานหวานแบบงดดราม่าจึงเป็นเรื่องที่ไอซ์ค่อนข้างตื่นเต้นจนแอบแบ่งครึ่งมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังก่อน
หวังว่าจะชอบพิมพ์ตะวันนะคะ
ด้วยรัก
#จงออกไปใช้ชีวิต
ลิขิตรา
ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2559, 22:12:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 มิ.ย. 2559, 16:10:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 1058
<< -ปลาไหลฮัสกี้(1)- | ในความสัมพันธ์ 2 >> |
คิมหันตุ์ 21 มิ.ย. 2559, 23:48:19 น.
มาลงชื่ออ่านครึ่งแรกของงานหวานค่ะ เปิดครึ่งมาก็ทิ้งนามบัตรทิ้งซะแล้ววววว
มาลงชื่ออ่านครึ่งแรกของงานหวานค่ะ เปิดครึ่งมาก็ทิ้งนามบัตรทิ้งซะแล้ววววว
นักอ่านเหนียวหนึบ 22 มิ.ย. 2559, 10:54:40 น.
งืมมมมม นี่หวานแล้ววววว 5555 บางทีคนเราก็หลงลืมคิดถึงคนรอบข้าง หรืออะไรบางอย่างไป คงต้องจู่โจม เอ้ย โจมตี เอ้ย จับจูบ เอ้ยยยยยย ไปดีกว่า 5555
งืมมมมม นี่หวานแล้ววววว 5555 บางทีคนเราก็หลงลืมคิดถึงคนรอบข้าง หรืออะไรบางอย่างไป คงต้องจู่โจม เอ้ย โจมตี เอ้ย จับจูบ เอ้ยยยยยย ไปดีกว่า 5555
kraten 23 มิ.ย. 2559, 00:02:58 น.
ชอบอติยะค่ะ แฮ่ๆ...
ชอบอติยะค่ะ แฮ่ๆ...
konhin 24 มิ.ย. 2559, 05:55:16 น.
คนที่มาระหว่างอกหัก จะกลายเป็นรักจริงๆได้งั้นหรือ?
คนที่มาระหว่างอกหัก จะกลายเป็นรักจริงๆได้งั้นหรือ?