ริษยาซ่อนรัก
ความเจ็บเปลี่ยนภูเขาน้ำแข็งให้เป็นภูเขาไฟ เธอจึงถือคติว่าเจ็บแล้วต้องจำ และหากถูกกระทำซ้ำๆต้องเอาคืน!

ไฟใดจะร้อนเท่าไฟในอก
ความริษยาคือเปลวไฟที่จะเผาไหม้ทุกอย่างให้เป็นจุณ
แล้วอำนาจใดเล่าที่จะยับยั้งอานุภาพแห่งไฟร้ายได้
หากมิใช่...ความรัก

Tags: น้ำฟ้า,ริษยาซ่อนรัก,นิยายรัก

ตอน: บทที่ ๓ คำถามที่ค้างคาใจ

บทที่ ๓


“อะไรนะ แม่นั่นได้งานใหม่แล้วเหรอ” สาวสวยร่างระหงในชุดเดรสแขนกุดสีดำกำมะหยี่ย้อนถามทันที หลังได้รับรายงานจากผานิตผู้ช่วยของตน เวลานี้ใบหน้าสวยบึ้งตึง ดวงตาที่ตกแต่งด้วยเฉดสีทันสมัยก็แข็งกระด้าง “ทำไมมันถึงได้งานเร็วขนาดนี้ หรือจะมีเส้นสาย”

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ที่รู้เพราะนิดได้ยินเสียงคุณแพรทะเลาะกับคุณไหมแก้วแล้วพูดถึงบอกอซันก็เลยมาบอกค่ะ” ผานิตเล่าพลางลอบมองเจ้านายอย่างสังเกต “ว่าแต่ ทำไมบอกอถึงสนใจบอกอซันนักล่ะค่ะ”

เรียวปากสีสดเหยียดยิ้ม ร่างบางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาจ้องผู้ถามเขม็ง “เพราะซันดาประวัติไม่ดี ฟ้าก็ต้องระวังตัวไว้สิคะพี่นิด แล้วยิ่งรู้ว่ามาเป็นบอกอประจำสำนักพิมพ์คู่แข่งเราก็ยิ่งต้องจับตาค่ะ พี่นิดรู้เรื่องอะไรก็รีบมาบอกฟ้านะคะ ฟ้าต้องการรู้ทุกอย่างของผู้หญิงคนนั้น”

ผานิตนั่งลง วางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ พลางชะโงกหน้าเข้าไปหาบรรณาธิการสาว แล้วจึงพูดด้วยเสียงเบาจนเกือบกระซิบ “เรากระโตกกระตากไม่ได้นะคะ ถ้าคุณแพรรู้ละก็มีปัญหาแน่ คุณแพรเธอ...เอ่อ...กิ๊กๆกันกับบอกอซันค่ะ”

มุมปากของคนช่างซักกระตุกยิ้ม “หมายถึงเป็นคู่เลสเบียนกันหรือคะพี่นิด”

ผานิตพยักหน้า “ใช่ค่ะ คุณแพรงี้ติดบอกอซันแจเลยค่ะ คุณไหมแก้วจะให้แต่งงานก็ไม่แต่ง ใครๆเขาก็รู้กันทั้งสำนักพิมพ์แหละค่ะ เมื่อกี้ก็ทะเลาะกับคุณไหมแก้วไปทีนึง โวยวายหาว่าแม่บีบบอกอซันออก”

“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะคะ”

“ก็คงจริงนั่นแหละค่ะ ใครจะอยากให้ลูกสาวตัวเองมีแฟนเป็นผู้หญิงล่ะค่ะ”

ฟ้ารุ่งพยักหน้าบ้าง “นั่นสินะ แล้วพี่นิดรู้มั้ยคะว่าบอกอซันได้งานที่สำนักพิมพ์ไหน”

“รู้ค่ะ สำนักพิมพ์เลิฟไลน์บุ๊กส์ไงคะ ก่อนมาทำงานที่นี่นิดยังเคยไปสมัครเป็นฝ่ายพิสูจน์อักษรอยู่เลย”

ฟ้ารุ่งนิ่งอึ้ง นี่แสดงว่าที่นาถลดายอมฝากฝังให้เธอมาทำงานสำนักพิมพ์ลูกหว้าเพราะอยากให้ซันดาออกจากงานจะได้ย้ายไปทำงานที่เลิฟไลน์บุ๊คส์อย่างสะดวกอย่างนั้นรึ อีกคำถามผุดขึ้นมาทันควัน แล้วนาถลดารู้หรือเปล่าว่าปรัชญ์กับซันดาเคยรู้จักกันมาก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าคะบอกอ”

บรรณาธิการสาวฝืนยิ้มทั้งที่ใจกังขาอยู่ “กำลังนึกอยู่น่ะ สำนักพิมพ์เลิฟไลน์บุ๊คส์ที่อยู่ตึกเดียวกับอนันต์คอนสตรัคชั่นใช่มั้ย”

“บอกอรู้จักหรือคะ”

“รู้จักสิ ก็เพื่อนของคุณแม่ฟ้าเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมอยู่ที่อนันต์คอนสตรัคชั่น” ฟ้ารุ่งอ้างก่อนจะตัดบท “ขอบคุณพี่นิดที่ให้ข้อมูลนะคะ”

“ยินดีมากๆค่ะ” ผานิตยิ้มแฉ่ง ลุกขึ้นจากที่นั่ง “พี่ไปทำงานต่อแล้วนะคะ”

“ค่ะ” ฟ้ารุ่งมองตามร่างท้วมของผู้ช่วยที่หันหลังเดินออกจากห้องไป ขณะที่มือก็กดโทรศัพท์โทร.ออก”พี่บอมว่างคุยไหมคะ”

ปลายสายตอบรับอย่างยินดี บรรณาธิการสาวจึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “ฟ้าจะโทร.มาขอบคุณพี่บอมที่ช่วยเป็นธุระจนซันดาโดนเด้งออกจากสำนักพิมพ์น่ะค่ะ”

“แสดงว่าตอนนี้น้องฟ้าได้งานแทนผู้หญิงคนนั้นแล้วสิ” ปลายสายย้อนถาม

“ใช่ค่ะ ฟ้าได้ทำงานแทนมันแล้ว ถ้าพี่บอมไม่ช่วยปั่นกระทู้โจมตีมันละก็งานนี้คงไม่สำเร็จ ทางสำนักพิมพ์ห่วงชื่อเสียงมาก โชคก็เลยเข้าข้างเรา เย็นนี้ให้ฟ้าเลี้ยงขอบคุณพี่บอมนะคะ ส่วนที่คุณอาอรรณพช่วยฝากฝังฟ้ากับคุณไหมแก้ว ฟ้าจะไปขอบคุณท่านด้วยตัวเองที่บริษัท”

“ถ้าอยากขอบคุณนัก น้องฟ้ามาให้พี่เลี้ยงดีกว่าครับ ให้ผู้หญิงเลี้ยงคงเสียเชิงชายแย่”

ฟ้ารุ่งฟังแล้วหัวเราะเบาๆ “ได้เลยค่ะ โปรแกรมเมอร์ตัวพ่ออย่างพี่บอมเนี่ย ฟ้ากินเยอะยังไงก็ไม่มีวันจนอยู่แล้ว”

“วันนี้เลี้ยงชั่วคราวไปก่อน แต่ก็มีแอบหวังที่จะมีวันที่...”

ปลายสายพูดยังไม่จบ ฟ้ารุ่งก็แทรกขึ้นว่า “ไว้เจอกันตอนเย็นที่....นะคะ ฟ้าขอเคลียร์งานก่อน”

พูดจบหญิงสาวก็กดปิดโทรศัพท์โดยไม่รอฟังอีกฝ่ายพูดต่อ

ร่างระหงเอนไปพิงพนักเก้าอี้ พลางทอดสายตาออกไปนอกกระจกสีทึมอย่างครุ่นคิด ‘วงจรชีวิตของเราเข้ามาใกล้กันแล้วนะซันดา มาดูกันว่าฉันกับเธอใครมันจะแน่กว่ากัน’

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“พรุ่งนี้ผมจะเรียกประชุม คุณลองไปอ่านเรื่องย่อนิยายที่นักเขียนส่งมาพิจารณาแล้วเลือกเรื่องเจ๋งๆมาด้วยนะ การประชุมพรุ่งนี้จะมีการตลาดเข้าประชุมด้วย เราจะหารือกันว่าจะผลักดันผลงานยังไงให้เป็นที่สนใจ” ปรัชญ์สั่งหลังจากนักเขียนทั้งสองกลับไปแล้ว แต่เขากับบรรณาธิการคนใหม่ยังคงนั่งอยู่ร้านเดิมต่อ

“ค่ะ” ซันดารับคำสั้นๆไม่ถามหรือต่อคำใดๆ สำหรับเธอแล้วการเว้นระยะห่างกับเขาคือสิ่งที่ควรทำมากที่สุด รองจากการทำงานตามคำสั่ง

“เดี๋ยวผมจะเข้าบริษัทคุณพ่อ” เขาหมายถึงบริษัทอนันต์คอนสตรัคชั่นซึ่งตนเองเป็นกรรมการผู้จัดการอยู่นั่นเอง

“ค่ะ”

คำตอบของซันดาทำให้คู่สนทนาต้องขมวดคิ้ว “นี่คุณพูดยาวๆไม่เป็นหรือไง ทำไมจะต้องทำท่าเหมือนผมเป็นไส้เดือนกิ้งกือแบบนั้นด้วย”

ผู้ถูกถามไหวไหล่ “นี่ฉันทำให้คุณคิดแบบนั้นรึ ฉันคิดว่าตัวเองพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุดแล้วนะ”

“เนี่ยนะปกติ”

“ก็ใช่นะสิ ถ้าทำได้เหมือนใจอยาก ฉันจะขอแยกออกมาทำงานคนเดียว ทำงานในที่ที่ไม่มีคุณ ไม่ต้องข้องเกี่ยว ไม่ต้องพูดจากัน” ซันดาบอกหน้าตาย

“ซัน” น้ำเสียงของเขาเหนื่อยล้า “ผมขอโทษ”

หญิงสาวมองหน้าเขาตรงๆ ปากเรียวถูกเม้มเอาไว้เล็กน้อย พร้อมกับที่เธอยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้างอย่างกร่างๆ “ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือ”

“ปากคุณบอกว่าไม่ถือ แล้วใจคุณล่ะซัน” เขาจดจ้องรอคำตอบ

ซันดากระตุกมุมปากซ้ายน้อยๆ เธออึดอัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่เธอจะก้าวผ่านมันไปให้ได้ เพื่อให้เขาได้เห็นว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลย “ใจฉันก็รู้สึกเหมือนที่บอกแหละ”

“แล้วทำไมคุณถึงตั้งป้อมอคติกับผมล่ะ คุณโกรธเรื่องฟ้ารุ่งใช่ไหม เรามาพูดกันตรงๆเถอะยังไงเราก็ต้องร่วมงานกันไปอีกนาน”

“ฉันไม่อยากพูดเรื่องเก่าๆ สำหรับฉันอดีตมันตายไปนานแล้ว ถือว่าหายกันทุกเรื่องไม่ว่าจะเคยเกิดอะไรขึ้น”

“แต่ว่า...” สายตาเขายังคงจ้องอย่างมีความหวัง ตรงข้ามกับสายตาของซันดาที่มองเลยเขาไปยังผนังทางด้านหลัง

“เอาล่ะ ไหนว่าคุณจะไปอนันต์คอนสตรัคชั่นไม่ใช่เหรอ ตามสบายนะ ฉันเข้าสำนักพิมพ์ก่อน” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง แล้วขยับลุกขึ้นยืนในทันที

“เดี๋ยวสิ เรายังคุยกันไม่จบเลยนะซัน” เขาลุกตามบ้าง ทำท่าเหมือนจะก้าวเข้าไปหา

ซันดาถอยหนี ยกมือท่าปางห้ามญาติ “เราคุยกันจบแล้ว และเราจะไม่คุยเรื่องนี้กันอีก ขอให้คุณทำตัวเป็นเจ้านายที่ดี อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนเรื่องงาน”

พูดจบร่างบางก็หมุนตัวเดินฉับๆออกจากร้านไป ปล่อยให้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังมองตามด้วยสายตาละห้อย

เขารู้ว่าเขาผิด แต่จะแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่อย่างไรดี เขาไม่อยากให้ทุกอย่างยังคลุมเครือแบบนี้ เขาอยากใกล้ชิดกับซันดาได้อย่างสบายใจกว่าที่เป็นอยู่ แต่มันคงยากเพราะเธอคิดสวนทางกับเขาอยู่ตลอดเวลา


++++++++++++++++++++++++++++++++++


หลังออกมาจากร้านกาแฟ ปรัชญ์ก็เข้าไปที่อนันต์คอนสตรัคชั่นตามคำสั่งบิดาทันที

ร่างสูงทรุดตัวลงตรงข้ามพี่ชายที่นั่งทำงานอยู่อย่างขะมักเขม้น ทำให้อีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นมามอง “ไปพบคุณอามาแล้วใช่มั้ยปรัชญ์”

“ใช่ นอกจากคุยงานกันแล้ว พ่อก็ยังบ่นเรื่องที่ผมไปช่วยงานสำนักพิมพ์ เฮ้อ! ช่างไม่เข้าใจกันบ้างเล้ย” เล่าพลางปรัชญ์ก็ทำหน้าเอือมๆ

“แล้วจะให้ท่านเข้าใจอะไรล่ะ นายทำเหมือนเล่นขายของ เป็นถึงกรรมการผู้จัดการบริษัทของพ่อแต่ดันไปช่วยเป็นบอกอให้บริษัทของแม่อีก ฉันยังไม่เห็นมีใครเขาทำกันสักที” แดนตรัยบ่นอย่างขำๆไม่จริงจังนัก

“โธ่! พี่แดน ชีวิตมันไม่เหมือนแปลนบ้านนะพี่ ที่จะต้องให้มันเป็นไปตามแบบเป๊ะๆ ชีวิตลิขิตเอง เราก็ต้องทำตามใจบ้างสิ” คนถูกบ่นยังคงเถียงฉอดๆ

จริงๆปรัชญ์มาปรึกษาเขาตั้งแต่ก่อนเปิดสำนักพิมพ์แล้ว ว่าเขากับแม่อยากมีสำนักพิมพ์ที่พิมพ์นวนิยายขาย ซึ่งเขาเองก็ทักท้วงว่า ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการอนันต์คอนสตรัคชั่นนี่ก็งานเยอะพออยู่แล้ว ปรัชญ์ไม่น่าจะทำงานสองที่ไหว แต่ฝ่ายน้องชายก็ให้เหตุผลว่า งานที่สำนักพิมพ์นั้นเขาไม่ต้องเข้าไปทุกวันก็ได้เพราะมารดาเป็นหลักอยู่ และที่สำคัญเขามีเหตุผลในการเปิดสำนักพิมพ์

“อืม ดีจริงๆ เปิดสำนักพิมพ์เพราะอยากใกล้ชิดกับแฟนเก่า” แดนตรัยประชด

แทนที่ปรัชญ์จะสำนึกเขากลับหัวเราะออกมาเบาๆ “ก็ไม่เชิง ผมอยากขอโทษเขา อยากรู้ว่าอยู่ดีๆทำไมเขาถึงหายไป แต่พยายามรื้อฟื้นยังไงเขาก็ไม่ยอมพูดถึงเรื่องเก่าๆ”

“แล้วแฟนเก่านายคือคุณซันน่ะรึ” พี่ชายถามอย่างแปลกใจ เขาเห็นมีหญิงสาวเข้ามาในชีวิตของปรัชญ์มากมาย แต่ละคนสวยเฉียบกรีดกรายแตกต่างจากซันดามากนัก

ซันดาเป็นผู้หญิงผมสั้น แต่งตัวเรียบๆติดเซอร์ บุคลิกที่เห็นดูเป็นคนห้าวๆ ถึงเธอจะหน้าตาน่ารักดูดี แต่ไม่ได้สวยเลิศเลอเหมือนคนอื่นๆที่ปรัชญ์เคยพามาแนะนำ จึงไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะผูกใจน้องชายของเขาได้นานขนาดนี้

“ครับ คนนี้แหละ” ปรัชญ์ตอบพลางวางข้อศอกลงบนโต๊ะทำงานแล้วโน้มตัวเองเอาคางวางไว้บนสองมือที่ประสานกันไว้ “พี่ว่าโอเคไหม”

“มันเกี่ยวอะไรกับฉันวะปรัชญ์” คราวนี้พี่ชายหัวเราะบ้าง น้องชายดูสับสน ไม่มั่นใจในตัวเองเหมือนที่ผ่านๆมาเลย “นายเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย กับคุณซันนี่ดูนายจะจริงจังแปลกๆ คราวตั้งสำนักพิมพ์ก็ทีนึงละ ถึงขนาดไปขอร้องอาดาให้มาช่วยเป็นนอมินี มันอะไรของนายหนักหนาเนี่ย”

ปรัชญ์ถอนใจยาว ยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรง มองหน้าพี่ชายนิ่ง “ ผมรู้จักซันตั้งแต่เรียนมหา’ลัยที่เชียงใหม่ เราชอบอะไรคล้ายๆกัน ผมชอบซันเพราะเธอเป็นคนน่ารัก มีน้ำใจ พยายามอยู่เป็นปีเธอถึงยอมคบกับผม แรกๆที่คบก็ไม่ได้อะไรมาก ผมยังติดเพื่อน ชอบเที่ยว และมีผู้หญิงเข้ามาตามปกติ ในขณะที่ซันตั้งใจเรียน นอกจากเรื่องรถแข่งที่เธอสนใจ ก็เป็นคนที่ชอบเข้าห้องสมุด อ่านหนังสือ จะว่าเป็นเด็กเนิร์ดก็ไม่ใช่ ตอนนั้นเธอเป็นสาวหวาน ผมยาว ใส่แว่นตา”

แดนตรัยมองน้องชายอย่างสำรวจ ก่อนจะถามว่า “ก็ลงตัวดี น่าคิดนะว่าทำไมถึงเลิกกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะฟ้ารุ่งอย่างที่นายคิดก็ได้”

ปรัชญ์หน้าม่อย “เนี่ยแหละที่ผมคาใจอยู่ คนเราจะหายไปเฉยๆโดยไม่มีอะไรได้ยังไง ถ้าเขามีปัญหาครอบครัวก็ไม่น่าจะถึงกับตัดขาดกับผม”

“แล้วทำไมนายไม่ไปตามเขาที่บ้าน เปิดอกคุยกันไปเลย”

“มันคงบังเอิญที่เขาย้ายบ้านด้วยแหละ ผมไปขอตำรวจที่เป็นพี่ชายของเพื่อนเช็คที่อยู่ทะเบียนราษฎร์ให้ แต่พอไปถึงก็คว้าน้ำเหลว คนแถวนั้นบอกว่าเธอย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว”

แดนตรัยพยักหน้า “เข้าใจละ หลังจากนั้นนายก็ไปเรียนต่อเมืองนอก โดยเลือกเรียนสาขาที่เกี่ยวกับหนังสือเพราะรู้ว่าคุณซันชอบ”

“ใช่ ผมคิดว่าสักวันหนึ่งเราต้องได้พบกันเพราะหนังสือเป็นสื่อ แล้วมันก็จริง ไม่นานผมได้ข่าวว่าเธอเป็นนักเขียนชื่อดัง ผมก็เริ่มคุยเรื่องทำสำนักพิมพ์กับแม่ตั้งแต่ตอนนั้น”

“แต่นายก็ไม่ได้เลิกเจ้าชู้นี่ปรัชญ์ ฉันเห็นฟ้ารุ่งเทียวไล้เทียวขื่ออยู่”

“พี่ก็รู้ว่าผมรู้จักฟ้าก็เพราะคุณอรรณพผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของเราแนะนำ พอไปเรียนเมืองนอกด้วยกันก็เลยสนิทสนม”

“ฉันว่าคุณฟ้าอะไรนี่เหมาะกับแกมากกว่าคุณซันอีกนะ” แดนตรัยหยั่งเชิงแล้วจับตาดูท่าทางของน้องชาย

“คำว่าเหมาะสมใช้กับความรักไม่ได้หรอก ความเหมาะสมมันเป็นแค่สิ่งที่เราอุปโลกน์ แต่ความรักมันอยู่ที่ใจ” น้ำเสียงของปรัชญ์จริงจัง

“นายก็เลยลงทุนวางแผนให้อาดาดึงคุณซันมาทำงานด้วย”

“ครับ เดือนที่แล้วสำนักพิมพ์ลูกหว้าของอาไหมถูกโจมตีหลายทาง ตอนนั้นท่านเครียดมากถึงได้มาปรึกษาคุณแม่ จังหวะเดียวกับคุณอรรณพมาฝากฝังเรื่องฟ้า คุณแม่ก็เลยให้ฟ้าไปช่วยแทน เพราะช่วงนั้นซันเขาลาพักร้อน”

“จากนั้นอาดาก็ดึงตัวคุณซันมาทำงานกับเราแทน ฉันเข้าใจถูกมั้ย” พี่ชายถามยิ้มๆ

ปรัชญ์พยักหน้า

“แต่ดูคุณซันเขาไม่เหมือนเดิมแล้วนะ บางที...ก็เหมือนทอมเกินไป คนสมัยนี้ดูยากนะปรัชญ์ พอสังคมยอมรับเพศที่สามก็มีคนเปิดตัวกันเยอะ เพราะคบเพศเดียวกันแล้วจะเข้าใจกันมากกว่าต่างเพศ”

อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ “ให้กำลังใจกันน่าดูเลยนะพี่ชาย”

แดนตรัยยักไหล่ยิ้มๆ “ฉันว่าจริงๆนายก็รู้ว่างานนี้ยากมาก”

“รู้ แต่ผมจะพยายาม” ปรัชญ์ยืนยันด้วยสายตาแน่วแน่

พี่ชายฟังแล้วจึงตบบ่าน้องชายเบาๆ “พี่เป็นกำลังใจให้นะไอ้เสือ”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ฟ้ารุ่งเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดรถของร้านอาหารหรูไม่ไกลจากบ้านของเธอนัก หลังจากนั้นหญิงสาวจึงหยิบกระเป๋าถือเดินเข้าไปในร้านซึ่งตกแต่งสไตล์เรโทรอย่างเก๋ไก๋ ที่แห่งนี้เป็นจุดนัดพบระหว่างเธอกับอธิป แต่เมื่อเข้าไปในร้านแล้ว หญิงสาวกลับต้องแปลกใจ เมื่อโต๊ะประจำซึ่งเธอโทร.มาจองเอาไว้ตั้งแต่บ่ายมีชายหนุ่มผมยาว ร่างสูงโปร่ง นั่งเล่นโน้ตบุ๊คอยู่อย่างไม่สนใจใคร

เห็นดังนั้นฟ้ารุ่งจึงรีบเรียกพนักงานมาสอบถาม “น้องคะ พี่จองโต๊ะที่อยู่มุมซ้ายนอกระเบียงเอาไว้ ทำไมถึงไม่เคลียร์โต๊ะให้พี่”

สาวน้อยวัยรุ่นมองตามด้วยสีหน้าตื่นๆก่อนตอบอ่อนน้อม “ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ไม่มีใครแจ้งเลยว่ามีคนจองโต๊ะนั้นเอาไว้”

“อ้าว ก็พี่โทร.จองเองตั้งแต่บ่าย ทางร้านก็บอกว่าว่าง เอางี้ น้องไปบอกคุณคนนั้นด้วยว่าโต๊ะที่เขานั่งอยู่มีคนจองเอาไว้แล้ว”

“เอ่อ หนูไม่กล้าค่ะ หนูหาโต๊ะอื่นแทนให้ได้ไหมคะ” พนักงานสาวทำตัวลีบ

“ทำไมล่ะ” ฟ้ารุ่งชักจะหงุดหงิด มันเป็นความผิดของร้าน ร้านก็ควรจะรับผิดชอบสิ

“ก็คนที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะนั้นคือคุณเอเธ็นส์ลูกชายเจ้าของร้านน่ะสิคะ”

“แต่ทางร้านเป็นคนผิดก็ต้องรับผิดชอบสิ ฉันโทร.มาจองแล้ว เธอต้องให้นายคนนั้นย้ายโต๊ะเดี๋ยวนี้” บรรณาธิการสาวเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวตามอารมณ์ที่ชักจะอุณหภูมิสูงขึ้นทุกทีๆ

“คือ หนู เอ่อ...”

“ไม่กล้าไม่เป็นไร” ฟ้ารุ่งบอกยิ้มๆ แล้วจึงหันขวับไปยังเป้าหมาย ก่อนเดินลิ่วๆเข้าไปด้วยท่าทางเอาเรื่อง และบอกกับชายหนุ่มผู้ครอบครองโต๊ะด้วยน้ำเสียงฉุนๆ “ขอโทษนะคะ ดิฉันโทร.มาจองโต๊ะนี้เอาไว้แล้ว กรุณาย้ายไปนั่งโต๊ะอื่นด้วยค่ะ อย่าคิดว่าเป็นลูกชายเจ้าของร้านแล้วจะมีอภิสิทธิ์ยกเลิกการจองของใครก็ได้ การกระทำแบบนั้นมันไร้สปิริต”

ฐิติเงยหน้าขึ้นมองแขกไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาว่างเปล่า เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงระหงในชุดเดรสเปิดไหล่ขาวผ่อง ยามนี้เธอส่งสายตาตำหนิติเตียนมายังเขาอย่างเด่นชัด แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะตอบโต้ใดๆ แวบเดียวเขาก็ก้มลงพิมพ์ข้อความลงในโน้ตบุ๊คต่อราวกับฟ้ารุ่งไม่มีตัวตน หญิงสาวจึงเริ่มฉุนกึก พูดซ้ำเสียงหนัก“นี่คุณ ได้ยินมั้ย ฉันจองโต๊ะนี้แล้ว ไปนั่งที่อื่น”

กระนั้นชายหนุ่มก็ยังทำหูทวนลม ขณะที่ความโกรธของหญิงสาวกำลังใกล้ทะลุจุดเดือดเต็มที่แล้ว เธอยืนกอดอกมองเขาซึ่งทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ครู่ใหญ่จึงก้าวฉับๆเข้าไปลากเก้าอี้ออกมานั่งหน้าตาเฉย “โอเค ถ้าคุณไม่ไปฉันก็จะนั่งตรงนี้แหละ”

ได้ผล คราวนี้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขม็ง “ก่อนที่ผมจะมานั่งตรงนี้ได้ถามพนักงานแล้ว ทุกคนก็บอกว่าโต๊ะว่าง ผมถึงได้มานั่ง จริงๆผมจะลุกให้ก็ได้ถ้าคุณพูดจาดีๆ แต่ตอนนี้เสียใจด้วย ผมตัดสินใจแล้วว่าจะนั่งตรงนี้”

ฟ้ารุ่งแสร้งหัวเราะ “อ้อ! พูดได้ด้วยแฮะ ฉันขอยืนยันอีกครั้งนะว่าฉันได้โทร.มาจองเอาไว้จริงๆ แต่คุณจะไม่ไปก็ได้นะ ฉันก็จะนั่งกินข้าวอยู่โต๊ะนี้แหละ”

ฐิติขมวดคิ้ว ถอนใจแรงๆ “เฮ้อ! ผมเหนื่อยใจจริงๆ ผู้หญิงสมัยนี้ชอบใช้มุกฝืดๆจีบผู้ชาย ผมไม่สนใจคุณหรอกนะ ผมไม่ชอบผู้หญิงแก่กว่า”

“นี่นาย...” ฟ้ารุ่งโมโหจนแทบจะกรีดร้องออกมา แต่หญิงสาวกลับต้องชะงักเมื่อมือของใครคนหนึ่งจับท่อนแขนของเธอเอาไว้ และเมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าอธิปนั่นเองที่กำลังยืนอยู่ด้านหลัง โดยมีพนักงานเสิร์ฟของร้านยืนเรียงแถวหน้ากระดานเป็นแบ็คกราวน์อยู่

“ใจเย็นๆครับน้องฟ้า พนักงานเขาจองผิดโต๊ะ คุณระพีเจ้าของร้านก็เลยสั่งจัดโต๊ะวีไอพีกลางสวนดอกไม้ให้เราเป็นการขอโทษ” เขาบอกพลางชี้ไปยังสวนน้ำตกที่มีโต๊ะสีขาวตั้งอยู่ชุดหนึ่ง

“ต้องขอโทษจริงๆค่ะ พอดีวันนี้มีงานจัดเลี้ยง ทางร้านก็เลยวุ่นวายจนเขียนข้อมูลการจองผิดโต๊ะ พอคุณระพีทราบก็เลยสั่งให้เราเชิญคุณทั้งสองไปนั่งที่มุมน้ำตก ซึ่งปกติเราจะไม่จัดให้ลูกค้า เพราะเป็นมุมส่วนตัวเจ้าของร้านเพื่อเป็นการแสดงความขอโทษค่ะ” พนักงานสาวเล่าก่อนยกมือไหว้ปะหลกๆ

ฟ้ารุ่งจึงค่อยผ่อนอารมณ์ลง แต่ไม่วายตวัดสายตาไปยังฐิติแล้วเอ่ยดังๆว่า “ขอแนะนำนะ ถ้าขี้ลืมกันขนาดนี้ ต่อไปถ้าลูกค้าโทร.มาจองก็ควรจะมีการเช็คให้ถี่ถ้วน จะได้ไม่เสียลูกค้าประจำ เพราะความไม่มีน้ำใจ และปากที่ไม่มีหูรูดของลูกชายเจ้าของร้าน”

“ครับ คุณลูกค้ามารยาทงาม ถ้าตกลงกันได้แล้วก็เชิญที่โต๊ะคุณได้ละ ผมจะทำงาน” ฐิติเอ่ยพลางผายมือไปยังทางเดิน

ฟ้ารุ่งตวัดสายตามองคู่กรณีแล้วเบ้ปาก “ฟ้าไม่มีอารมณ์กินข้าวที่นี่แล้วค่ะพี่บอม เราไปร้านอื่นกันดีกว่า ร้านอาหารมีเยอะแยะ”

โดยไม่รอฟังคำตอบจากหนุ่มรุ่นพี่ กล่าวจบหญิงสาวก็เดินฉับๆออกจากร้านไปอย่างไม่สนใจคำทักท้วงของสาวเสิร์ฟทั้งสามเลยแม้แต่น้อย


{ จบตอน }



ณฤดี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ย. 2558, 22:03:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2558, 22:03:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1031





<< บทที่ ๒ อดีตที่ตายไปแล้ว   บทที่ ๔ รอยแค้นบนความทรงจำ >>
Zephyr 19 พ.ย. 2558, 23:35:20 น.
หมั่นไส้นางจริง ทำตัวได้ เฮ้อ.....


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account