เล่ห์รักพรางแค้น วางแผงแล้ว สนพ ทัช
ใครจะไปคิดว่าการทำภารกิจให้ปู่ กลับกลายเป็นถูกโชคชะตากลั่นแกล้งให้เขาถูกสลัดลงจากคาน ยัยซื่อบื้อนั่นน่ะหรือคือไก่วัดที่ทำให้เขากลายเป็นสมภาร
Tags: ความรัก ความหลัง
ตอน: ตอนที่ 5 ครึ่งหลัง
“มานั่งตรงนี้ เดี๋ยวไปชนอะไรเข้าเปล่าๆ”
“น่าจะไม่มีใครมาแล้วล่ะค่ะ คงต้องรอถึงเช้า รปภ เพิ่งถูกพักงานไปเพราะแอบขนเหล็กไปขาย ตอนนี้ก็เลยไม่มีใครมาดูแลรอบๆ บริเวณนี้ นอกจากคนงาน แต่ป่านนี้คงหลับกันหมดแล้ว”
ภาวัตหาที่นั่งให้ตัวเองบ้าง “ถ้างั้นก็รอจนเช้า ทำอะไรไม่ได้ก็หลับเอาแรงแล้วกัน” เขาสรุปง่ายๆ เราคงไม่โชคร้ายจนตรงนี้ถล่มลงมาอีกหรอก “หยุดเลยนะ ถ้าจะยกมือไหว้ขอโทษฉันอีกแล้ว วันนี้ฟังจนเบื่อ เปลี่ยนเป็นดีใจที่ไม่ได้มาติดอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วกัน”
“มันไม่น่าดีใจนี่คะ”
เธอลดมือลงแล้วพูดตามที่คิด ภาวัตขมวดคิ้วใส่ แม้แสงไฟเพียงน้อยนิดก็ยังพอเห็นได้ว่าคำพูดของเธอฟังแล้วขัดหูไม่น้อย
“โอ๊ะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ ที่บอกว่าไม่น่าดีใจก็เพราะทำให้คุณวัตเดือดร้อน แต่ถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีคุณวัตอยู่ด้วยก็ดีเหมือนกันเพราะลินกลัว...” เรียวปากบางเม้มปิด ยื่นมือมาแตะแขนของภาวัตไว้ “เอ่อ...ผี ถ้าต้องอยู่มืดๆ คนเดียวในนี้ลินคงตายก่อนที่ใครจะมาพบแน่ๆ”
“โตแล้วน่ะเธอนะ ไม่ใช่เด็กๆ จะมากลัวสิ่งที่มองไม่เห็น” ถึงจะดุกลับ แต่ก็ยอมให้เด็กกลัวผีแตะแขนไว้เพื่อความอุ่นใจ “หนาวหรือกอดอกแบบนั้น มานั่งใกล้ๆ กันมา ไม่กอดหรอก ไม่ต้องทำหน้าเหมือนฉันเป็นผีแบบนั้น”
ไม่มีทีท่าว่าร่างเล็กจะขยับมา มือหนาคว้าผ้าใบคลุมรถมาห่มให้คนตัวสั่น
“ห่มไว้ เธอไม่ได้แพ้ฝุ่นใช่ไหม”
“ชาวสวนจะมาแพ้ฝุ่นได้ยังไงล่ะคะ ว่าแต่คุณวัตเถอะค่ะ แพ้หรือเปล่า ให้ผ้าห่มลินมาแล้วคุณวัตไม่หนาวหรือไง” ผ้าใบอีกฝั่งยื่นมาใกล้ๆ “ห่มด้วยกันนะคะ”
ร่างหนาเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้ รับความปรารถนาดีไว้ “มีใครบอกไหมว่าเธอ...พูดมาก”
“ขอโทษค่ะ”
“พูดต่อไปสิ ฉันไม่ได้รำคาญอะไร ก็...เพลินดี ปกติเวลาฉันอยู่กับผู้หญิงไม่ค่อยได้พูด แต่... ช่างเถอะ ปกติแล้วที่นี่เริ่มงานกันกี่โมง”
มาลินก้มหน้าหาวก่อนจะตอบเสียงเพลียๆ “7 โมงครึ่งค่ะ คงมีใครสักคนมาช่วยเราสองคนตอนนั้น”
“ง่วงก็นอนลงมาได้นะ ตอนนี้เราเท่ากัน ไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้อง”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ลินเกรงใจ”
ขอโทษ เกรงใจ ซื้อมันทั้งสองคำเสียดีไหม รอบตัวเงียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี หากมีเสียงโครมอีกทีงานนี้เราสองคนอาจได้นอนดูดาวแบบเปิดโล่งไร้หลังคา ร่างเล็กเอนมา แขนยาวค่อยๆ รั้งให้เธอนอนลงหนุนตักแล้วห่มผ้าใบให้ เขามีลูกสาวเพิ่มมาอีกคนหรือไง
“มาลิน...”
เธอหลับไปแล้วจริงๆ เรียวปากหนาเผยอยิ้มละไม ให้ดูอย่างไรก็ดูเหมือนอยู่คนละโลกสำหรับเราสองคน มันอาจเป็นคืนแรกที่เขาอยู่สองต่อสองกับผู้หญิงแล้วไม่ได้ทำอะไรนอกจากมองจนหลับตาลงบ้าง ทว่าคำถามที่สงสัยยังวนเวียนในสมองไม่คลาย ปู่ไม่ได้วางแผนอะไรไว้จริงๆ หรือ ช่างประไร ไม่ทำตามก็สิ้นเรื่อง
ภาวัตสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังเค้าเคลียอยู่ที่ท้อง แต่มันส่งผลต่อส่วนอื่นในร่างกายไปด้วย พอก้มลงมองก็เห็นใบหน้าของคนหลับใหลกำลังส่ายไปมาอย่างกันฝันร้าย เขาก้มหน้าลงมาใกล้แก้มนวล ไม่ได้ยินเสียงอะไร ทว่ายังทำแบบนั้นต่อไป มือหนาจับคางมนไว้ไม่ให้ขยับ ถอนใจหวิวๆ รู้สึกเหมือนถูกแกล้ง
“เด็กบ้า แล้วฉันจะหลับลงได้ไหมล่ะฮึ” ภาวัตบ่นพึมพยายามหลับตาลง แต่มันยากเหลือเกิน
นาฬิกาข้อมือบอกว่าตี 3 แล้ว เขามองผ่านช่องเหล็กดัดไปยังไม่มีใครผ่านมาสักคน เสียงถอนใจแผ่วเบา สติที่กระเจิดกระเจิงเริ่มกลับเข้าที่เข้าทาง แต่ถ้ามาลินทำแบบเมื่อครู่อีกรอบ เขาเหวี่ยงเธอออกไปจากตักแน่ๆ ให้ตายเถอะยัยเด็กบ้า ขนาดไม่รู้ตัวว่าทำอะไรยังทำเขาสติแตกได้ขนาดนี้
เสียงโหวกเหวกดังมา ภาวัตลืมตาตื่นมองหาที่มาของเสียง พอขยับจะลุกก็นึกขึ้นมาได้ว่ามาลินนอนทับต้นขาอยู่ มือหนาเขย่าไหล่บางเบาๆ รายนั้นก็ลืมตามองหน้าเขาแล้วตกใจสะดุ้งโหยงยันแขนไปนั่งมองมาตาแป๋วประหนึ่งเขาเป็นพวกหื่นกาม ชายหนุ่มถอนใจส่ายหน้า เสียทั้งขึ้นทั้งล่องเลยเขานี่ เสียงตะโกนใกล้เข้ามา พอยันขาจะยืนอาการชาก็มากันพร้อมรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต
“หนูลิน อยู่ในนี้หรือเปล่า ให้เสียงหน่อย”
สองหนุ่มสาวมองกันด้วยความดีใจ ถึงจะยังไม่สว่าง แต่การได้ออกไปจากที่นี่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ย่อมเป็นข่าวดีที่สุด
“เสียงลุงหมายค่ะ”
มาลินลุกขึ้น แต่พอนึกได้ก็ส่งมือให้ภาวัต พอเขาไม่จับก็ช่วยพยุงให้มาตรงเหล็กดัดด้วยกัน คนงาน 4 คนกำลังตะโกนเรียกเป็นระยะ เจ้าถิ่นป้องปากตะโกนเสียงดังลั่น
“พวกเราอยู่ในนี้ค่ะ ช่วยพาเราสองคนออกไปที”
ลุงหมายวิ่งมาหายิ้มดีใจเจอตัวเสียที พอรู้ว่ามาลินไม่อยู่ในห้อง พัชนีก็รีบโทรหาเขา มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าอะไรทำให้มาลินจากไปอย่างง่ายๆ โดยที่ไม่มีโอกาสได้ลาใคร คราวก่อนก็เกือบไป
“ขอบคุณนะคะลุงหมาย นึกว่าจะต้องอยู่ไปถึงเช้าจริงๆ เสียแล้ว” มาลินยิ้มร่า
ลุงหมายมองผ่านหลานเจ้านายไปก็เห็นภาวัตอยู่ในห้องนั้นด้วย คนงานช่วยกันงัดเหล็กดัดออก แทนการกรุยทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง มาลินถูกอุ้มให้มานั่งตรงวงกบแล้วไต่บันไดลงไป
“เป็นยังไง มายังไงถึงมาอยู่ในนี้ด้วยกันได้ล่ะหนูลิน”
สองหนุ่มสาวสบตากันเหมือนกับมีความลับในสายตาของคนแก่ มาลินยิ้มจืด ไม่เพียงแต่ภาวัตหรอกที่เดือดร้อน ตอนนี้ลามมาถึงลุงที่รักและคนงานแล้ว
“เรื่องมันยาวค่ะ ว่าแต่ลุงหมายขยันจังนะคะ”
“ใครว่าละครับ คุณพัชบอกว่าหนูลินหายไปต่างหากล่ะ ทุกทีจะลงมาช่วยทำของใส่บาตร พอไปที่ห้องไม่เห็นก็เลยโทรตามลุงให้ช่วยหาน่ะสิ”
ภาวัตฟังอยู่เงียบๆ แต่ไม่วายถูกมองมาอย่างกับเขาทำอะไรผิดจากลุงคนงาน
“ดีนะครับเนี่ยที่ไม่เป็นอะไรไป เสาหัก เหล็กยุบจนหลังคาร่วงอย่างที่คุณบอกไว้จริงๆ ด้วย”
ถึงบ้านพอดีภาวัตเลยไม่ต้องตอบอะไร พัชนีเข้ามากอดลูกสาวไว้แถมยังตาแดงๆ เหมือนร้องไห้ เข้าใจว่าหายไปแบบนี้ต้องห่วงเป็นธรรมดา แต่ว่าถึงขนาดร้องไห้เชียวหรือ เขาคงน่ากลัวมากจริงๆ ร่างสูงเดินกลับมาที่ห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รู้สึกเพลีย แต่ไม่ง่วง จึงเดินลงมาจากข้างล่าง
ลมพัดกำลังเย็นสบาย กลิ่นหอมจางๆ ของบางอย่างที่ภาวัตยังไม่รู้คำตอบช่างสดชื่นเมื่อผสมกับกลิ่นอาหารหอมๆ มีเสียงคุยสลับหัวเราะดังมาจากด้านหลังบ้าน เขาเดินตามไปเมื่อไม่รู้จะทำอะไร มาลินอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกำลังจัดดอกไม้เป็นช่อ สวนคุณพัชนีสีหน้าดีขึ้นแล้ว อาหารในหม้อถูกตักใส่ถุงแล้วนำมาวางใส่ถาด ตามมาด้วยข้าวสุกควันลอยจางๆ ในโถ
“ใส่บาตรด้วยกันไหมคะ”
ภาวัตยิ้มพลางยกมือไหว้ผู้มากวัยกว่าเมื่อถูกจับได้แล้วว่ามาแอบมองอยู่
“เชิญค่ะ” มาลินชวนอีกคนน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจ ถือถาดเดินนำไป
ภาวัตเดินตามสองแม่ลูกไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ภาพที่ชินตา แต่ว่าคุ้นเคยเหมือนได้กลับไปสมัยวัยรุ่นที่แม่ปลุกให้ตื่นขึ้นมาใส่บาตร ปลายทางเป็นศาลาเล็กๆ ริมทาง พระสงฆ์อุ้มบาตรออกเดินรับบิณฑบาตพอดี
พัชนีถอดรองเท้า มาลินหันมาแล้วทำเหมือนกับแม่ ภาวัตทำตามแล้วนั่งลงคุกเข่ากับพื้น อาหารและดอกไม้ถวายให้พระแล้วพนมมือรับพร เสียงสวดมนต์ช่างห่างไกลชีวิตของเขาจนรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้ามาสู่โลกเดิมๆ ที่เคยลืมไปว่ามีมาก่อนที่แสงสีจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
พระเดินผ่านไป ทั้งหมดลุกขึ้นมา ผู้ชายเพียงคนเดียวรับถาดมาถือให้แล้วเดินตามพัชนีไป ใครบางคนเดินช้าลงมาเคียงกัน
“คุณวัตยิ้มอะไรหรือคะ”
ภาวัตชะงักมองมาลิน เพิ่งรู้ตัวว่ายิ้มออกมาจากความคิดของตัวเอง
“ทุกทีตื่นไม่เคยทัน มาตอนนี้เพราะไม่ได้นอนเลยได้ใส่บาตรน่ะสิ บ้านของเธอนี่มีอะไรน่าสนใจเหมือนกันนะ ยกเว้นมีแต่ผู้หญิง ถ้ามีอะไรขึ้นมาคงลำบาก”
“ยังมีตาของลินอีกคนไงคะ”
แต่ก็ป่วยอยู่ตอนนี้ ภาวัตคิดไม่พูดออกมา คนแก่กับผู้หญิงที่ไม่ได้เข้มแข็งพอสำหรับสู้ปัญหา มาลินคงรู้แม้เขาไม่บอก ถึงได้พยายามทำให้ตัวเองเป็นต้นไม้ใหญ่ให้แม่พักพิงอยู่นี่ไง
“แย่แล้ว!”
พัชนีหันมามองภาวัตสีหน้าตื่นตกใจ มาลินมองตามก็เข้าใจได้ทันที ตากลับมาได้ยังไง หายดีแล้วหรือ
“ยัยลินพาคุณวัตไปบนบ้านก่อน ไม่งั้นมีเรื่องแต่เช้าอีกแน่ๆ”
มาลินกำลังจะพาหลาน ‘เพื่อนรัก’ ของตาขึ้นบ้านแต่ถูกคว้าแขนไว้ พอหยุดดังใจก็ปล่อยทันที การหนีไม่ใช่วิธีของเขาสักที
“อย่าดีกว่าครับ คงเจอกันอีกหลายหน เจอกันตอนนี้หรือเมื่อไหร่ก็เหมือนกัน เผื่อจะชิน”
คงยาก...เมื่อเห็นอยู่ทนโท่ว่าพอร่มธรรมลงจากรถของคนงานที่โทรให้ไปรับก็เดินดุ่มๆ มาหา ถ้าวิ่งได้คงกระโจนเข้าใส่ภาวัตไปแล้ว
“ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ฮึยัยพัช ก็รู้อยู่ว่าพ่อเกลียดปู่ของมัน”
“แหม ถ้าบอกว่าคิดถึงผมจะแย่ คงตัวปลอม” ภาวัตยิ้มหน้าบาน พอเห็นร่มธรรมถลึงตาใสก็ยกมือห้าม “โอ๊ะๆ อย่าพึ่งโมโหครับ เมื่อวานกว่าจะกลับก็ดึกแล้วผมเลยมาค้างที่นี่ คุณน่าจะเบาใจที่อย่างน้อยมีผู้ชายอยู่ในบ้าน เวลามีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้”
ร่มธรรมชะงักไปเสี้ยววินาทีเพราะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วถึงได้กลับมา แล้วยังมีธุระสำคัญต้องจัดการด้วย แต่ทำไมสมหมายไม่บอกเรื่องของเจ้านี่ให้เขารู้ก่อน
“ไอ้หลงตัวเอง เหมือนปู่ของแกไม่มีผิด เดี๋ยวกลับไปเลยนะ แล้วไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก”
มาลินขยับมายืนบังเจ้านายไว้ ไม่เห็นหน้าสักประเดี๋ยวคงใจเย็นลง พัชนีค่อยหายใจหายคอโล่งอก ถ้าเถียงกลับได้คงไม่เป็นลมล้มคว่ำแน่ แต่ถ้าปล่อยให้เถียงกันแบบนี้มีหวังเส้นเลือดในสมองแตกแทน
“รีบกลับมาทำไมล่ะคะพ่อ หายดีแล้วหรือคะ”
“วันนี้ต้องจ่ายเงินเดือนคนงาน”
“แต่ธนาคาร...”
ร่มธรรมส่ายหน้าไม่ให้พูด แค่นี้เขาก็ดูย่ำแต่ต่อหน้าหลานของทีปต์มากเกินไปแล้ว อย่าให้รู้ไปมากกว่านี้เลยดีกว่า
“อีกเดี๋ยวชานนท์จะมา พ่อคงต้องยืมเงินอีกก้อน ถ้าขายที่ได้คงเคลียร์หนี้กันหมด”
ภาวัตขยับมายืนเคียงมาลิน คำพูดที่ได้ยินเมื่อวานเหมือนจะเป็นจริงขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน ผู้ชายคนนั้นบอกว่ายังไม่ถึงเวลา แต่วันนี้ถึงเวลาแล้วงั้นสิ ไม่อยากคิดในแง่ร้ายเลยให้ตายเถอะ งานนี้ต้องกำจัดคู่แข็งให้ได้เสียก่อน
“ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้นและไม่เป็นหนี้ใครครับ”
สายตาของพัชนีกับมาลินจับจ้องภาวัตด้วยความสนใจหากมีวิธีที่ดีกว่ายืมเงินชานนท์ แต่ร่มธรรมกลับมองคนรุ่นหลานหัวจรดเท้า ขนาดทีปต์เขายังไม่ยอมรับความช่วยเหลือ แล้วเจ้านี่เป็นหลาน คำตอบจะต่างกันไปได้ยังไง
แล้วจะมา up ต่อนะคะ
อัมราน_บรรพตี
“น่าจะไม่มีใครมาแล้วล่ะค่ะ คงต้องรอถึงเช้า รปภ เพิ่งถูกพักงานไปเพราะแอบขนเหล็กไปขาย ตอนนี้ก็เลยไม่มีใครมาดูแลรอบๆ บริเวณนี้ นอกจากคนงาน แต่ป่านนี้คงหลับกันหมดแล้ว”
ภาวัตหาที่นั่งให้ตัวเองบ้าง “ถ้างั้นก็รอจนเช้า ทำอะไรไม่ได้ก็หลับเอาแรงแล้วกัน” เขาสรุปง่ายๆ เราคงไม่โชคร้ายจนตรงนี้ถล่มลงมาอีกหรอก “หยุดเลยนะ ถ้าจะยกมือไหว้ขอโทษฉันอีกแล้ว วันนี้ฟังจนเบื่อ เปลี่ยนเป็นดีใจที่ไม่ได้มาติดอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วกัน”
“มันไม่น่าดีใจนี่คะ”
เธอลดมือลงแล้วพูดตามที่คิด ภาวัตขมวดคิ้วใส่ แม้แสงไฟเพียงน้อยนิดก็ยังพอเห็นได้ว่าคำพูดของเธอฟังแล้วขัดหูไม่น้อย
“โอ๊ะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ ที่บอกว่าไม่น่าดีใจก็เพราะทำให้คุณวัตเดือดร้อน แต่ถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีคุณวัตอยู่ด้วยก็ดีเหมือนกันเพราะลินกลัว...” เรียวปากบางเม้มปิด ยื่นมือมาแตะแขนของภาวัตไว้ “เอ่อ...ผี ถ้าต้องอยู่มืดๆ คนเดียวในนี้ลินคงตายก่อนที่ใครจะมาพบแน่ๆ”
“โตแล้วน่ะเธอนะ ไม่ใช่เด็กๆ จะมากลัวสิ่งที่มองไม่เห็น” ถึงจะดุกลับ แต่ก็ยอมให้เด็กกลัวผีแตะแขนไว้เพื่อความอุ่นใจ “หนาวหรือกอดอกแบบนั้น มานั่งใกล้ๆ กันมา ไม่กอดหรอก ไม่ต้องทำหน้าเหมือนฉันเป็นผีแบบนั้น”
ไม่มีทีท่าว่าร่างเล็กจะขยับมา มือหนาคว้าผ้าใบคลุมรถมาห่มให้คนตัวสั่น
“ห่มไว้ เธอไม่ได้แพ้ฝุ่นใช่ไหม”
“ชาวสวนจะมาแพ้ฝุ่นได้ยังไงล่ะคะ ว่าแต่คุณวัตเถอะค่ะ แพ้หรือเปล่า ให้ผ้าห่มลินมาแล้วคุณวัตไม่หนาวหรือไง” ผ้าใบอีกฝั่งยื่นมาใกล้ๆ “ห่มด้วยกันนะคะ”
ร่างหนาเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้ รับความปรารถนาดีไว้ “มีใครบอกไหมว่าเธอ...พูดมาก”
“ขอโทษค่ะ”
“พูดต่อไปสิ ฉันไม่ได้รำคาญอะไร ก็...เพลินดี ปกติเวลาฉันอยู่กับผู้หญิงไม่ค่อยได้พูด แต่... ช่างเถอะ ปกติแล้วที่นี่เริ่มงานกันกี่โมง”
มาลินก้มหน้าหาวก่อนจะตอบเสียงเพลียๆ “7 โมงครึ่งค่ะ คงมีใครสักคนมาช่วยเราสองคนตอนนั้น”
“ง่วงก็นอนลงมาได้นะ ตอนนี้เราเท่ากัน ไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้อง”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ลินเกรงใจ”
ขอโทษ เกรงใจ ซื้อมันทั้งสองคำเสียดีไหม รอบตัวเงียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี หากมีเสียงโครมอีกทีงานนี้เราสองคนอาจได้นอนดูดาวแบบเปิดโล่งไร้หลังคา ร่างเล็กเอนมา แขนยาวค่อยๆ รั้งให้เธอนอนลงหนุนตักแล้วห่มผ้าใบให้ เขามีลูกสาวเพิ่มมาอีกคนหรือไง
“มาลิน...”
เธอหลับไปแล้วจริงๆ เรียวปากหนาเผยอยิ้มละไม ให้ดูอย่างไรก็ดูเหมือนอยู่คนละโลกสำหรับเราสองคน มันอาจเป็นคืนแรกที่เขาอยู่สองต่อสองกับผู้หญิงแล้วไม่ได้ทำอะไรนอกจากมองจนหลับตาลงบ้าง ทว่าคำถามที่สงสัยยังวนเวียนในสมองไม่คลาย ปู่ไม่ได้วางแผนอะไรไว้จริงๆ หรือ ช่างประไร ไม่ทำตามก็สิ้นเรื่อง
ภาวัตสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังเค้าเคลียอยู่ที่ท้อง แต่มันส่งผลต่อส่วนอื่นในร่างกายไปด้วย พอก้มลงมองก็เห็นใบหน้าของคนหลับใหลกำลังส่ายไปมาอย่างกันฝันร้าย เขาก้มหน้าลงมาใกล้แก้มนวล ไม่ได้ยินเสียงอะไร ทว่ายังทำแบบนั้นต่อไป มือหนาจับคางมนไว้ไม่ให้ขยับ ถอนใจหวิวๆ รู้สึกเหมือนถูกแกล้ง
“เด็กบ้า แล้วฉันจะหลับลงได้ไหมล่ะฮึ” ภาวัตบ่นพึมพยายามหลับตาลง แต่มันยากเหลือเกิน
นาฬิกาข้อมือบอกว่าตี 3 แล้ว เขามองผ่านช่องเหล็กดัดไปยังไม่มีใครผ่านมาสักคน เสียงถอนใจแผ่วเบา สติที่กระเจิดกระเจิงเริ่มกลับเข้าที่เข้าทาง แต่ถ้ามาลินทำแบบเมื่อครู่อีกรอบ เขาเหวี่ยงเธอออกไปจากตักแน่ๆ ให้ตายเถอะยัยเด็กบ้า ขนาดไม่รู้ตัวว่าทำอะไรยังทำเขาสติแตกได้ขนาดนี้
เสียงโหวกเหวกดังมา ภาวัตลืมตาตื่นมองหาที่มาของเสียง พอขยับจะลุกก็นึกขึ้นมาได้ว่ามาลินนอนทับต้นขาอยู่ มือหนาเขย่าไหล่บางเบาๆ รายนั้นก็ลืมตามองหน้าเขาแล้วตกใจสะดุ้งโหยงยันแขนไปนั่งมองมาตาแป๋วประหนึ่งเขาเป็นพวกหื่นกาม ชายหนุ่มถอนใจส่ายหน้า เสียทั้งขึ้นทั้งล่องเลยเขานี่ เสียงตะโกนใกล้เข้ามา พอยันขาจะยืนอาการชาก็มากันพร้อมรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต
“หนูลิน อยู่ในนี้หรือเปล่า ให้เสียงหน่อย”
สองหนุ่มสาวมองกันด้วยความดีใจ ถึงจะยังไม่สว่าง แต่การได้ออกไปจากที่นี่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ย่อมเป็นข่าวดีที่สุด
“เสียงลุงหมายค่ะ”
มาลินลุกขึ้น แต่พอนึกได้ก็ส่งมือให้ภาวัต พอเขาไม่จับก็ช่วยพยุงให้มาตรงเหล็กดัดด้วยกัน คนงาน 4 คนกำลังตะโกนเรียกเป็นระยะ เจ้าถิ่นป้องปากตะโกนเสียงดังลั่น
“พวกเราอยู่ในนี้ค่ะ ช่วยพาเราสองคนออกไปที”
ลุงหมายวิ่งมาหายิ้มดีใจเจอตัวเสียที พอรู้ว่ามาลินไม่อยู่ในห้อง พัชนีก็รีบโทรหาเขา มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าอะไรทำให้มาลินจากไปอย่างง่ายๆ โดยที่ไม่มีโอกาสได้ลาใคร คราวก่อนก็เกือบไป
“ขอบคุณนะคะลุงหมาย นึกว่าจะต้องอยู่ไปถึงเช้าจริงๆ เสียแล้ว” มาลินยิ้มร่า
ลุงหมายมองผ่านหลานเจ้านายไปก็เห็นภาวัตอยู่ในห้องนั้นด้วย คนงานช่วยกันงัดเหล็กดัดออก แทนการกรุยทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง มาลินถูกอุ้มให้มานั่งตรงวงกบแล้วไต่บันไดลงไป
“เป็นยังไง มายังไงถึงมาอยู่ในนี้ด้วยกันได้ล่ะหนูลิน”
สองหนุ่มสาวสบตากันเหมือนกับมีความลับในสายตาของคนแก่ มาลินยิ้มจืด ไม่เพียงแต่ภาวัตหรอกที่เดือดร้อน ตอนนี้ลามมาถึงลุงที่รักและคนงานแล้ว
“เรื่องมันยาวค่ะ ว่าแต่ลุงหมายขยันจังนะคะ”
“ใครว่าละครับ คุณพัชบอกว่าหนูลินหายไปต่างหากล่ะ ทุกทีจะลงมาช่วยทำของใส่บาตร พอไปที่ห้องไม่เห็นก็เลยโทรตามลุงให้ช่วยหาน่ะสิ”
ภาวัตฟังอยู่เงียบๆ แต่ไม่วายถูกมองมาอย่างกับเขาทำอะไรผิดจากลุงคนงาน
“ดีนะครับเนี่ยที่ไม่เป็นอะไรไป เสาหัก เหล็กยุบจนหลังคาร่วงอย่างที่คุณบอกไว้จริงๆ ด้วย”
ถึงบ้านพอดีภาวัตเลยไม่ต้องตอบอะไร พัชนีเข้ามากอดลูกสาวไว้แถมยังตาแดงๆ เหมือนร้องไห้ เข้าใจว่าหายไปแบบนี้ต้องห่วงเป็นธรรมดา แต่ว่าถึงขนาดร้องไห้เชียวหรือ เขาคงน่ากลัวมากจริงๆ ร่างสูงเดินกลับมาที่ห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รู้สึกเพลีย แต่ไม่ง่วง จึงเดินลงมาจากข้างล่าง
ลมพัดกำลังเย็นสบาย กลิ่นหอมจางๆ ของบางอย่างที่ภาวัตยังไม่รู้คำตอบช่างสดชื่นเมื่อผสมกับกลิ่นอาหารหอมๆ มีเสียงคุยสลับหัวเราะดังมาจากด้านหลังบ้าน เขาเดินตามไปเมื่อไม่รู้จะทำอะไร มาลินอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกำลังจัดดอกไม้เป็นช่อ สวนคุณพัชนีสีหน้าดีขึ้นแล้ว อาหารในหม้อถูกตักใส่ถุงแล้วนำมาวางใส่ถาด ตามมาด้วยข้าวสุกควันลอยจางๆ ในโถ
“ใส่บาตรด้วยกันไหมคะ”
ภาวัตยิ้มพลางยกมือไหว้ผู้มากวัยกว่าเมื่อถูกจับได้แล้วว่ามาแอบมองอยู่
“เชิญค่ะ” มาลินชวนอีกคนน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจ ถือถาดเดินนำไป
ภาวัตเดินตามสองแม่ลูกไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ภาพที่ชินตา แต่ว่าคุ้นเคยเหมือนได้กลับไปสมัยวัยรุ่นที่แม่ปลุกให้ตื่นขึ้นมาใส่บาตร ปลายทางเป็นศาลาเล็กๆ ริมทาง พระสงฆ์อุ้มบาตรออกเดินรับบิณฑบาตพอดี
พัชนีถอดรองเท้า มาลินหันมาแล้วทำเหมือนกับแม่ ภาวัตทำตามแล้วนั่งลงคุกเข่ากับพื้น อาหารและดอกไม้ถวายให้พระแล้วพนมมือรับพร เสียงสวดมนต์ช่างห่างไกลชีวิตของเขาจนรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้ามาสู่โลกเดิมๆ ที่เคยลืมไปว่ามีมาก่อนที่แสงสีจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
พระเดินผ่านไป ทั้งหมดลุกขึ้นมา ผู้ชายเพียงคนเดียวรับถาดมาถือให้แล้วเดินตามพัชนีไป ใครบางคนเดินช้าลงมาเคียงกัน
“คุณวัตยิ้มอะไรหรือคะ”
ภาวัตชะงักมองมาลิน เพิ่งรู้ตัวว่ายิ้มออกมาจากความคิดของตัวเอง
“ทุกทีตื่นไม่เคยทัน มาตอนนี้เพราะไม่ได้นอนเลยได้ใส่บาตรน่ะสิ บ้านของเธอนี่มีอะไรน่าสนใจเหมือนกันนะ ยกเว้นมีแต่ผู้หญิง ถ้ามีอะไรขึ้นมาคงลำบาก”
“ยังมีตาของลินอีกคนไงคะ”
แต่ก็ป่วยอยู่ตอนนี้ ภาวัตคิดไม่พูดออกมา คนแก่กับผู้หญิงที่ไม่ได้เข้มแข็งพอสำหรับสู้ปัญหา มาลินคงรู้แม้เขาไม่บอก ถึงได้พยายามทำให้ตัวเองเป็นต้นไม้ใหญ่ให้แม่พักพิงอยู่นี่ไง
“แย่แล้ว!”
พัชนีหันมามองภาวัตสีหน้าตื่นตกใจ มาลินมองตามก็เข้าใจได้ทันที ตากลับมาได้ยังไง หายดีแล้วหรือ
“ยัยลินพาคุณวัตไปบนบ้านก่อน ไม่งั้นมีเรื่องแต่เช้าอีกแน่ๆ”
มาลินกำลังจะพาหลาน ‘เพื่อนรัก’ ของตาขึ้นบ้านแต่ถูกคว้าแขนไว้ พอหยุดดังใจก็ปล่อยทันที การหนีไม่ใช่วิธีของเขาสักที
“อย่าดีกว่าครับ คงเจอกันอีกหลายหน เจอกันตอนนี้หรือเมื่อไหร่ก็เหมือนกัน เผื่อจะชิน”
คงยาก...เมื่อเห็นอยู่ทนโท่ว่าพอร่มธรรมลงจากรถของคนงานที่โทรให้ไปรับก็เดินดุ่มๆ มาหา ถ้าวิ่งได้คงกระโจนเข้าใส่ภาวัตไปแล้ว
“ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ฮึยัยพัช ก็รู้อยู่ว่าพ่อเกลียดปู่ของมัน”
“แหม ถ้าบอกว่าคิดถึงผมจะแย่ คงตัวปลอม” ภาวัตยิ้มหน้าบาน พอเห็นร่มธรรมถลึงตาใสก็ยกมือห้าม “โอ๊ะๆ อย่าพึ่งโมโหครับ เมื่อวานกว่าจะกลับก็ดึกแล้วผมเลยมาค้างที่นี่ คุณน่าจะเบาใจที่อย่างน้อยมีผู้ชายอยู่ในบ้าน เวลามีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้”
ร่มธรรมชะงักไปเสี้ยววินาทีเพราะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วถึงได้กลับมา แล้วยังมีธุระสำคัญต้องจัดการด้วย แต่ทำไมสมหมายไม่บอกเรื่องของเจ้านี่ให้เขารู้ก่อน
“ไอ้หลงตัวเอง เหมือนปู่ของแกไม่มีผิด เดี๋ยวกลับไปเลยนะ แล้วไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก”
มาลินขยับมายืนบังเจ้านายไว้ ไม่เห็นหน้าสักประเดี๋ยวคงใจเย็นลง พัชนีค่อยหายใจหายคอโล่งอก ถ้าเถียงกลับได้คงไม่เป็นลมล้มคว่ำแน่ แต่ถ้าปล่อยให้เถียงกันแบบนี้มีหวังเส้นเลือดในสมองแตกแทน
“รีบกลับมาทำไมล่ะคะพ่อ หายดีแล้วหรือคะ”
“วันนี้ต้องจ่ายเงินเดือนคนงาน”
“แต่ธนาคาร...”
ร่มธรรมส่ายหน้าไม่ให้พูด แค่นี้เขาก็ดูย่ำแต่ต่อหน้าหลานของทีปต์มากเกินไปแล้ว อย่าให้รู้ไปมากกว่านี้เลยดีกว่า
“อีกเดี๋ยวชานนท์จะมา พ่อคงต้องยืมเงินอีกก้อน ถ้าขายที่ได้คงเคลียร์หนี้กันหมด”
ภาวัตขยับมายืนเคียงมาลิน คำพูดที่ได้ยินเมื่อวานเหมือนจะเป็นจริงขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน ผู้ชายคนนั้นบอกว่ายังไม่ถึงเวลา แต่วันนี้ถึงเวลาแล้วงั้นสิ ไม่อยากคิดในแง่ร้ายเลยให้ตายเถอะ งานนี้ต้องกำจัดคู่แข็งให้ได้เสียก่อน
“ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้นและไม่เป็นหนี้ใครครับ”
สายตาของพัชนีกับมาลินจับจ้องภาวัตด้วยความสนใจหากมีวิธีที่ดีกว่ายืมเงินชานนท์ แต่ร่มธรรมกลับมองคนรุ่นหลานหัวจรดเท้า ขนาดทีปต์เขายังไม่ยอมรับความช่วยเหลือ แล้วเจ้านี่เป็นหลาน คำตอบจะต่างกันไปได้ยังไง
แล้วจะมา up ต่อนะคะ
อัมราน_บรรพตี

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ธ.ค. 2558, 09:25:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ธ.ค. 2558, 09:26:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 1188
<< ตอนที่ 5 ครึ่งแรก | ตอนที่ 6 ครึ่งแรก >> |

konhin 1 ธ.ค. 2558, 17:46:17 น.
พระเอกเข้ามาได้จังหว่ะขัดขาคนเลยนะเนี่ย ชานนท์จะทำอะไรไม่รู้แหล่ะ แต่แผนที่ว่าชัวร์คงชวดก็คราวเนี้ย
พระเอกเข้ามาได้จังหว่ะขัดขาคนเลยนะเนี่ย ชานนท์จะทำอะไรไม่รู้แหล่ะ แต่แผนที่ว่าชัวร์คงชวดก็คราวเนี้ย