แก้วซ่อนลาย
ลายรักจะโชนแสง...ดับรอยแค้นในหัวใจ
Tags: #ทีมบุ้ง #ทีมจ้า #ทีมกลิ่นแก้ว #สืบสวนสอบสวน #โรม๊านซ์ #ดราม่า #ผี

ตอน: บทที่ ๑



“ขอเสียงปรบมือดังๆ ให้กับการแสดงโชว์จากเครื่องสำอางจิเวลรี่ เพราะผู้หญิงเปล่งประกายได้เหมือนเพชรอีกครั้งด้วยค่ะ”


เสียงปรบมือดังกระหึ่มตามคำเรียกร้อง พิธีกรสาวประจำงานยิ้มหวานให้บรรดาไทยมุงหยดย้อย ก่อนเอ่ยประโยคต่อไปผ่านไมโครโฟนในมือ


“เดี๋ยวเราจะมาร่วมพูดคุยกับคุณแสงฉานผู้ก่อตั้งแบรนด์จิเวลรี่เกี่ยวกับที่มาที่ไปของเซตเครื่องสำอางชุดใหม่ เรียนเชิญคุณแสงฉานขึ้นบนเวทีด้วยค่ะ”


เสียงประกาศชื่อจากพิธีกรสาว เรียกให้เจ้าของเรือนร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่ตรงโซฟาสีแดงเลือดหมูหน้าเวทีลุกขึ้นยืน ทันทีที่แสงฉานปรากฏตัว เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นเซ็งแซ่ หลายเสียงถึงกับถามว่าตัวเองไปอยู่ที่ไหนมาถึงเพิ่งเคยเห็นหน้าแสงฉาน ทำไมอีกฝ่ายถึงหลุดจากหัวข้อ ‘นักธุรกิจหล่อบอกต่อด้วย’ ในโลกออนไลน์ไปได้


จริงๆ แสงฉานนั้นดูดีมากอยู่แล้ว ด้วยรูปลักษณ์หน้าตา ใบหน้าเนียนใส ริมฝีปากบางแดงโดยไม่ได้แต้มสี บวกกับรูปร่างค่อนข้างสูงผิวขาวจัดอย่างสุขภาพดี เมื่ออยู่ในชุดเสื้อคอโปโลทำปกตั้งสีแดงตัดสีผิว กางเกงยีนสีดำ เข้ากับรองเท้าหนังสีดำขัดมันปลาบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ยิ่งเสริมให้แสงฉานโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน ร่างสูงก้าวเดินขึ้นบันไดเตี้ยข้างเวทีไปยืนเคียงข้างพิธีกรสาว ซึ่งทำหน้าที่ของตนได้ดีแม้จะร้างเวทีไปนาน แสงฉานส่งยิ้มบาดใจให้อีกฝ่ายเล็กน้อยตอนรับไมโครโฟนมาถือไว้แล้วยืนรอคำถามของพิธีกรสาวด้วยท่วงท่าผ่อนคลายและเป็นกันเอง


จากหางตา...แสงฉานเห็นตุลธร เลขาฯคนสนิทที่เดินตามหลังมา แต่ไม่ได้ตามขึ้นเวทีมาด้วยเดินไปหาจิตต์เอื้อ การปรากฏตัวของอีกฝ่ายสร้างความแปลกใจให้ชายหนุ่มไม่น้อย อาจเพราะจิตต์เอื้อบอกเขาว่างานยุ่งจนต้องขอให้เขาฉายเดี่ยว ทั้งนี้นอกจากจิตต์เอื้อจะมีศักดิ์เป็นญาติสนิทเพียงหนึ่งเดียวของชายหนุ่มแล้ว อีกฝ่ายยังเป็นหนึ่งในผู้บริหารของพิทักษ์กรุ๊ป ดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารในขณะที่แสงฉานขึ้นแท่นผู้บริหารสูงสุด ตอนนี้จิตต์เอื้อกำลังคุยงานกับทีมออร์แกไนเซอร์อยู่ด้านข้างเวที พอตุลธรก้าวเข้าไปหา สาวใหญ่วัยสี่สิบปลายแต่ยังสวยยังสาวอยู่มาก ก็หยุดการสนทนาหันมาทักทายคนก้าวมาหา ก่อนชี้ชวนกันหันเหความสนใจมาทางเขา นั่นแหละแสงฉานถึงได้ละสายตากลับมายังหน้าเวทีอีกครั้ง


“งานเรียบร้อยดีไหมต้น” จิตต์เอื้อเอ่ยถามทันทีที่ตุลธรก้าวเข้ามายืนข้างๆ สาวใหญ่เขยิบที่ว่างข้างเวทีให้เลขาฯคนสนิทแสงฉานยืนข้างๆ ไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นนายอีกฝ่ายเป็นลูกน้อง ต้องไว้ยศศักดิ์กันให้เห็นว่าต่างชั้น


“ทุกอย่างเรียบร้อยครับคุณเล็ก” ตุลธรตอบเรียบๆ กวาดตามองผู้คนรอบตัว ทั้งที่กำลังเดินขึ้นบันไดเลื่อนและที่ยืนเกาะกลุ่มชะโงกคอมองลงมาอย่างสนอกสนใจ งานเดินแบบจากบรรดานางแบบสาววัยสดใสจบลงด้วยดี มีเสียงฮือฮาไม่น้อย เมื่อหนึ่งในนั้นเป็นนักแสดงสาววัยรุ่นที่กำลังมีผลงานผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ถ้าเป็นงานอื่นคงจบลงแค่นั้น ที่เหลือคือการกระหน่ำขายของจากเจ้าของสินค้า จะลดแลกแจกแถมยังไงก็ว่ากันไป


แต่สำหรับจิเวลรี่แล้วไม่ใช่ ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้า การดึงดูดความสนใจผู้คนไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบงาน ถือเป็นหัวใจสำคัญของฝ่ายการตลาดจิเวลรี่ ฉะนั้น แทนที่การเดินแบบจบลงผู้คนจะแตกกระสานซ่านเซ็นแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน กลับยิ่งเบียดเสียดกันเข้ามาแน่นขึ้น เพราะรู้ว่าใกล้เวลาที่ ‘เจนสินี’ นักแสดงสาวสวย นางเอกละครชื่อดังกำลังจะปรากฏตัวในฐานะพรีเซนเตอร์และแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเครื่องสำอางจิเวลรี่


“และนี่ก็คือโฉมหน้าของผู้ที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนเปล่งประกายได้เหมือนเพชร เพียงแค่ใช้เครื่องสำอางของจิเวลรี่ค่ะ!” เสียงพิธีกรสาวดังขึ้น ทั้งจิตต์เอื้อและตุลธรเลยหยุดการสนทนาระหว่างกันก่อน ตั้งหน้าตั้งตาจดจ่ออยู่กับเวทีที่มีแสงฉานยืนเคียงคู่พิธีกรสาว “รู้สึกว่าคุณจ้าจะเรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ได้ไม่แพ้ดาราดังเลยนะคะ”


แสงฉานยิ้มรับตามปกติ แต่แค่ตามปกติ...ยังมีเสียงร่ำร้องขอให้เขายิ้มอีกไม่ขาดปาก แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ อะไรที่ทำให้จิเวลรี่ได้ผลประโยชน์แม้ไม่ใช่ตัวตน เขาก็ยินดีทำ ดังนั้นแสงฉานจึงยิ้มกว้างมากกว่าเดิม


“แหม...ทำสาวๆ ใจละลายกันขนาดนี้ คุณจ้าพอจะบอกได้ไหมคะว่ามีสินค้าชิ้นไหนอยากแนะนำให้คุณสุภาพสตรีได้ใช้เป็นพิเศษ”


ตามสคริปต์ปกติ แสงฉานต้องร่วมพูดคุยบนเวทีอยู่ครู่ รอจนกว่าเจนสินีจะมาถึง อีกทั้งเพื่อยืนยันคุณภาพของเครื่องสำอางชุดล่าสุดที่ทางจิเวลรี่ผลิตออกมา ซึ่งต้องโหมโฆษณาเพื่อให้ติดตลาดเป็นพิเศษ


“ต้องเป็นเซ็ตล่าสุดของทางเราอยู่แล้วครับ ผู้หญิงทุกคนสามารถเป็นเจ้าหญิงได้แม้ว่าจะมาจากที่แตกต่างกัน เติบโตมาอย่างแตกต่างกัน แต่ทุกคนก็ยังสามารถเปล่งประกายได้เหมือนเพชร” แสงฉานย้ำหลักการสำคัญของแบรนด์ตัวเองด้วยรอยยิ้ม ยังผลให้ใบหน้าขาวจัดชวนมองยิ่งขึ้น เขาไม่ลืมสบตาหญิงสาวทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเวทีอย่างจงใจ “และคำว่าเจ้าหญิงก็อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือคว้า เพียงแค่คุณใช้เครื่องสำอางของจิเวลรี่ชุด Princess นี้”


มือเรียวหยิบชุดเครื่องสำอางออกมาจำแนกรายละเอียดประกอบการสนทนา โดยมีพิธีกรสาวคอยช่วยหยิบจับ และไม่ว่าเขาทำอะไร หยิบตลับแป้ง แปรงปัดหน้า หรือแม้แต่ถืออายไลเนอร์ไว้ในมือ ก็ดูเหมือนทุกคนจะตั้งใจฟังด้วยใจจดจ่อ น้ำเสียงทุ้มนุ่ม นิ้วเรียวยาวที่ลองแตะเครื่องสำอางโดยใช้พิธีกรสาวเป็นบุคคลทดลอง สะกดให้สายตาทุกคู่หยุดมอง ไม่เฉพาะแค่ ‘หญิงสาว’ลูกค้าคนสำคัญของจิเวลรี่ แต่ชายหนุ่มด้วยกัน ที่เดินผ่านไปผ่านมายังอดมองแสงฉานบนเวทีไม่ได้ เรียกได้ว่า ทุกการกระทำของชายหนุ่มล้วนมีอำนาจดึงดูดใจคนมองได้ทุกเพศทุกวัย


เหตุนี้บรรยากาศของงานจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ จากเจ้านายจอมเฮี้ยบยามอยู่กับลูกน้อง แสงฉานกลายร่างเป็นชายหนุ่มขี้เล่น ช่างเย้าแหย่ มีรอยยิ้มแต้มติดใบหน้าตลอดเวลา จนได้รับเสียงกรี๊ดตอบรับเป็นระยะ ทำเอาคนที่ยืนอยู่ข้างล่างเวทีถึงกับลูบอกอย่างโล่งใจ


“จ้าทำสำเร็จ คราวหน้าจิเวลรี่คงไม่ต้องจ้างแล้วมั้งพรีเซนเตอร์กับแบรนด์แอมบาสเดอร์ใช้จ้าแทนก็ได้ผลเหมือนกัน” จิตต์เอื้อเปรยกับคนข้างตัว น้ำเสียงชื่นชมหลานชายวัยสามสิบอย่างเปิดเผย แสงฉานคือความภาคภูมิใจของพิทักษ์บดินทร์โดยแท้


ก็จะไม่ให้ภูมิใจได้อย่างไร สำหรับนักธุรกิจสาวที่เริ่มต้นทุกอย่างแบบงูๆ ปลาๆ ทำเพียงเพื่อประคองฐานของพิทักษ์กรุ๊ปให้มั่นคงรอวันแสงฉานเข้ามาสานต่อ วันนี้…สิ่งที่เคยเป็นเพียงอากาศธาตุ มองไม่เห็นแม้ความสำเร็จข้างหน้า กลับกลายเป็นสิ่งที่แค่เอื้อมมือคว้าก็สัมผัสถึง ตอนนี้แบรนด์เครื่องสำอางโดยฝีมือคนไทยทำอย่าง ‘จิเวลรี่’ กำลังขยายสาขาออกไปกว่าร้อยสาขาทั่วประเทศ และกำลังบุกเบิกเคาน์เตอร์แบรนด์ในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการต้อนรับเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังมาถึง แสงฉานพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเขาสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองโดยไม่ต้องให้หล่อนคอยประคองไว้อย่างเช่นในข่าวลือ


“คุณเล็กครับ คุณเจนสินีมาแล้วครับ” หนึ่งในทีมงานจากทีมออร์แกไนเซอร์เข้ามารายงานจิตต์เอื้อก่อน เพราะรู้ลำดับความสำคัญของอีกฝ่ายดี ทว่ายังไม่ทันได้โต้ตอบอะไรกันมากกว่าพยักหน้ารับรู้ นางเอกสาวแบรนด์แอมบาสเดอร์ตัวจริงซึ่งกำลังจะหมดสัญญากับทางจิเวลรี่ในวันพรุ่งนี้ก็ก้าวเข้ามาทักทาย ร่างโปร่งระหงแต่งหน้าเข้มจัด สวมชุดเดรสยาวสีแดงเพลิงที่ทางทีมงานเตรียมไว้ให้ เรียกสายตาผู้คนรอบตัวได้ชะงัดนัก


“สวัสดีค่ะน้าเล็ก ดีใจที่เราได้พบกันอีกนะคะ” นางเอกสาวยกมือไหว้จิตต์เอื้อ ทีท่านั้นเหมือนให้ความเคารพ แต่แววตากลับท้าทายคนสูงวัยกว่าอยู่ในที สาวใหญ่แปรสายตานั้นออก สะอึกอึ้งไปนิด แต่ยังพยายามเก็บสีหน้าเอาไว้ด้วยการยิ้มแย้มตอบกลับ


“ไหว้พระเถอะจ้ะหนูจ๋า วันนี้ก็ฝากจิเวลรี่ไว้เหมือนเคยนะจ๊ะ”


นางเอกสาวรับคำ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หล่อนได้รับสัญญาณให้เตรียมตัวขึ้นเวที เจนสินีถูกผู้จัดการส่วนตัวดึงไปดูแลความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย อยู่ในมุมที่คนดูบางส่วนสามารถมองเห็นได้ชัดๆ ว่าหล่อนใช้ผลิตภัณฑ์ของจิเวลรี่จริงๆ


ขณะเดียวกันเสียงพิธีกรสาวบนเวทีเริ่มหน้าที่ต่อไปของตัวเองอย่างแข็งขัน มีการเปิดโฆษณาสินค้าชุดใหม่คั่นเวลารอนักแสดงสาว ซึ่งกระแสตอบรับของคนดูส่วนใหญ่นั้นชอบโฆษณาชุดนี้จนถึงกับยกให้เป็นหนึ่งในโฆษณาที่ดีที่สุดของปี อาจเพราะแทนที่จิเวลรี่จะชูคอนเซ็ปต์ของตัวเองอย่างเข้มข้น กลับเลือกทำโฆษณาสื่อถึงความงดงามภายในจิตใจที่มีส่วนทำให้ผู้หญิงทุกคนเปล่งประกายได้เหมือนเพชร


เรียกว่า...เครื่องสำอางเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่งในการช่วยให้ผู้หญิงทุกคนดูเจิดจรัส แต่ความดีในจิตใจต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนงดงามอย่างแท้จริง


“ดูเหมือนวันนี้ดิฉันจะถูกทำให้เปล่งประกายเป็นพิเศษด้วยฝีมือของจิเวลรี่ ถ้าสาวๆ คนไหนอยากเปล่งประกายอย่างดิฉันขอแนะนำให้ใช้เครื่องสำอางชุดนี้เลยค่ะ ของเขาดีจริงๆ ถ้าไม่เชื่อ...ดิฉันมีคนมาช่วยคอนเฟิร์มค่ะ”


พิธีกรสาวยกนิ้วให้ ทอดยิ้มอ่อนหวานส่งให้เจ้าของแบรนด์เป็นพิเศษ อาจเพราะในอดีตหล่อนกับชายหนุ่มหาใช่คนอื่นคนไกลไม่ แม้จะเคยคบหากันไม่ถึงสามเดือน เพราะความรักของแสงฉานนั้นมีอายุ ผู้หญิงทุกคนรู้กฎข้อนั้นดี แต่สิ่งหนึ่งที่พิธีกรสาวต้องยอมรับกับตัวเองว่าพึงใจจนถึงขั้นอาลัยอาวรณ์ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นแสงฉานในวันนี้หรือแสงฉานในอดีต ชายหนุ่มยังคงชัดเจนในความรู้สึกของตัวเอง เขาปฏิบัติกับผู้หญิงที่คบหาอย่างเท่าเทียม ยามคบกันเขาดีกับหล่อนอย่างที่สุด ปรนเปรอให้ทุกอย่าง ตอบสนองในทุกสิ่งที่ผู้หญิงอย่างหล่อนต้องการ ยามเลิกร้าง...ถ้าทนเป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกันได้ แสงฉานพร้อมกลายเป็นมิตรแท้ต่างเพศที่ดีที่สุด แต่ถ้าไม่...แม้แต่พื้นที่หายใจแสงฉานก็ทำให้หมดไปได้อย่างง่ายๆ


เหตุนี้เองจึงกลายเป็นความท้าทายที่หญิงสาวหลายคนอยากรู้อยากลอง ถึงขนาดยอมกลายเป็นตัวเลือกเพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสคบหานักธุรกิจหนุ่มแค่เพียงครั้ง เพราะมันคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่ทำให้แสงฉานสยบยอม เปลี่ยนเสือตัวเขื่องให้กลายเป็นลูกแมวเชื่องอยู่ภายใต้เงื้อมมือบอบบาง ทั้ง ‘อำนาจและเงิน’ ในมืออีกฝ่ายล้วนดึงดูดใจให้คนอยู่ไกลอยากเข้าใกล้ และคนอยู่ใกล้อยากเป็นมากกว่านั้น


“เอ...ชักอยากเห็นคนช่วยคอนเฟิร์มของคุณฝ้ายแล้วสิครับ” แสงฉานรับช่วงต่อทันที เอ่ยชื่อพิธีกรสาวอย่างคุ้นชิน เขาเห็นสัญญาณมือจากทีมงานบอกว่าเจนสินีพร้อมแล้ว อีกทั้งผู้คนด้านข้างเวทียังฮือฮา เบนความสนใจและหันกล้องถ่ายรูปในโทรศัพท์ไปทางอื่นกันจนหมด


“ถ้าอย่างนั้นขอเสียงปรบมือให้กับคุณจ๋า เจนสินีดังๆ ด้วยค่า!”


ร่างโปร่งระหงปรากฏตัวบนเวทีด้วยท่วงท่ามั่นใจ นางเอกสาวย่างยี่สิบห้าเต็มในปีนี้ แต่ยังสวยสง่า ดูอ่อนกว่าวัยชนิดหลายคนเดาอายุไม่ถูก เจนสินีเข้าวงการในฐานะนางแบบมาตั้งแต่อายุสิบเจ็ด รู้จักแสงฉานในงานวันเกิดของเลอมาลย์ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของอนันต์ เจ้าพ่อสื่อมวลชนผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการสื่อ และยังเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายอันดับหนึ่งอย่างไทยเดย์ ในงานเลยมีทั้งนักร้องนักแสดงตบเท้าเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง


แสงฉานเองก็มาร่วมอวยพรด้วยในฐานะนักธุรกิจหนุ่มหน้าใหม่ที่จำเป็นต้องมีเส้นสายคอยช่วย เขาติดสอยห้อยตามจิตต์เอื้อมาก็จริง แต่รัศมีความเป็นผู้นำกลับฉายแสงจนทุกคนถามไถ่กันเซ็งแซ่ว่าเขาคือใคร เจนสินีเองก็ไม่ต่างกัน หญิงสาวยอมรับว่าหลงใหลชายหนุ่มตั้งแต่แรกพบ จากนั้นก็เฝ้าติดตามคอยปรากฏตัวให้อยู่ในสายตาแสงฉานตลอดเวลา แต่นักธุรกิจหนุ่มนั้นขึ้นชื่อเรื่องการคบหา แสงฉานไม่เคยคบใครนานเกินกว่าสามเดือน แถมผู้หญิงที่ชายหนุ่มควงออกงานล้วนเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ และเจนสินีในตอนนั้นก็ห่างชั้นกับชายหนุ่มราวฟ้ากับเหว


ที่สำคัญ...ตอนนั้นหล่อนไม่ใช่คนตัวเปล่า แต่มีคนรักที่แอบคบหากันอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการ กว่าหญิงสาวจะสลัดรักครั้งเก่าทิ้งแล้วถีบตัวเองให้มีคุณค่าคู่ควรกับแสงฉานก็ใช้เวลาเกือบปีได้ เป็นเกือบปีแห่งความทุกข์ทรมานใจที่ไม่สามารถอยู่เคียงข้างแสงฉานได้ภายในทันที


ฝันเจนสินีมาเป็นจริงเมื่อละครที่หล่อนเล่นถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายในต่างประเทศ มีการทำใหม่ในเวอร์ชั่นต่างๆ จนกลายเป็นกระแสละครไทยฟีเวอร์ หญิงสาวได้รับรางวัลมากมายในฐานะนักแสดงนำ กระแสของละครทำให้เจนสินีมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย เหนืออื่นใด หล่อนได้ร่วมงานกับพิทักษ์กรุ๊ปสมใจหวัง นางเอกสาวตกลงเซ็นสัญญาเป็นภาพลักษณ์ให้กับจิเวลรี่อย่างเต็มใจ


ประจวบเหมาะกับแสงฉานเหินห่างจากนางแบบสาววัยกระเตาะที่คบหากันมาก่อนหน้า เจนสินีไม่ยอมชักช้าสารภาพความรู้สึกตัวเองออกไปทันทีที่มีโอกาส ยอมรับว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อนอย่างเต็มใจ ไม่ต่างจากแสงฉานที่ตอบตกลงโดยไม่คิดสักนิด อาจเพราะความสัมพันธ์ของนักธุรกิจหนุ่มกับหญิงสาวทุกคนไม่จีรังอยู่แล้ว แถมแสงฉานยังขึ้นชื่อเรื่องไม่เคยปฏิเสธผู้หญิงทุกคนที่เข้าหา เส้นทางรักของเจนสินีกับอีกฝ่ายจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ประกาศตัวคบหากันอย่างเปิดเผยภายใต้เงื่อนไขรักระยะสั้น ทว่าเพียงพริบตา สามเดือนแห่งการคบหากันก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก เจนสินีพยายามเหนี่ยวรั้งแสงฉานไว้ทุกวิถีทาง หล่อนค้นพบแล้วว่ามันไม่ใช่แค่ความหลงใหลอยากได้ในสิ่งที่ไกลเกินมือคว้า แต่หล่อนหลงรักแสงฉาน หลงรักช่วงระยะเวลาสามเดือนที่หล่อนมีชายหนุ่มอยู่ใกล้ และต่อให้ครอบครองได้แต่ตัวแต่ไม่ได้หัวใจ เจนสินีก็ยังยอมยกให้หัวใจตัวเองให้ แม้จะรู้ว่าปลายทางที่รออยู่คือความเจ็บปวดเสียใจก็ตาม


“แบรนด์แอมบาสเดอร์ของจิเวลรี่คนล่าสุด คุณจ๋า เจนสินี เปล่งประกายงดงามสมกับที่พวกเราเฝ้ารอคอยจริงๆ เลยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณจ๋ามีเคล็ดลับในการดูแลตัวเองยังไงบ้างคะ”


เจนสินีหยุดความคิดตัวเองลง เมื่อได้ยินเสียงพิธีกรสาวดังเรียกสติ ผู้หญิงคนนี้หล่อนจำได้...หรือจะเรียกว่าจดจำผู้หญิงทุกคนที่แสงฉานคบหาได้ทุกคนน่าจะถูกกว่า ชั่วขณะก่อนความหึงหวงจะพุ่งตรงเข้าทำร้าย แสงฉานก็เอียงคอมองมา สายตาชายหนุ่มว่างเปล่า กระนั้นกระนั้นเจนสินียังสามารถส่งยิ้มอ่อนหวานให้แสงฉานได้


“เคล็ดลับของจ๋าไม่มีอะไรมากค่ะ นอกจากดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีด้วยการออกกำลังกายและทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว จ๋ายังเลือกใช้เครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิวของสาวเอเชียอย่างจิเวลรี่...”


ปากพูดเจื้อยแจ้ว ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีเยี่ยม แต่ในใจเจนสินีกลับจมหนักอยู่กับเรื่องรักที่ใกล้จบลงประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยในสิ่งที่หล่อนทำไว้เมื่อครั้งอดีต ตอนหล่อนสลัดรักครั้งเก่าทิ้งไปก็ไม่ต่างจากการกระทำของแสงฉานในวันนี้ อาจเลวร้ายกว่าตรงที่ความรักครั้งนั้นจบลงด้วยการแตกหักชนิดมองหน้ากันไม่ติด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่หล่อนอยากรู้...สิ่งที่เจนสินีอยากถามแสงฉานตอนนี้ก็คือ ชายหนุ่มทำได้อย่างไร คบหากับคนที่หล่อนออกปากเสมอว่าชิงชังอย่างเลอมาลย์ได้อย่างไร ทำไมต้องเป็นผู้หญิงคนนั้น คนที่เข้ามาทำลายความหวังของหล่อนทุกอย่าง นี่หล่อนกำลังพ่ายแพ้ให้กับอดีตเพื่อนสนิทอย่างนั้นหรือ กำลังกลายเป็นเพียงของตั้งโชว์ไร้ค่า รอเวลาถูกเขี่ยทิ้งจากหิ้งลงมาตกแตกกระจายใช่หรือไม่


ไม่มีวัน...และไม่มีทาง...คนอย่างเจนสินีมีค่ามากกว่าการเป็นสิ่งของ หญิงสาวจะทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงชายหนุ่มคืนมา จะทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ให้เป็นจริง หล่อนไม่มีวันยอมให้เลอมาลย์ได้สมหวังกับแสงฉานเด็ดขาด!


หากตอนนี้นางเอกสาวไม่มีเวลาใคร่ครวญคิดหาแผนการ งานตรงหน้าคือสิ่งที่ทำให้หล่อนเชื่อมไปหาแสงฉานได้ หล่อนต้องยึดมันเอาไว้ให้มั่น จากนั้นค่อยคิดวางแผนว่าจะทำอย่างไรต่อไปก็ยังไม่สาย คิดได้ดังนั้นเจนสินีก็เชิดหน้าขึ้นโปรยรอยยิ้มสดใสให้แก่บรรดาแฟนคลับที่ยืนออกันอยู่ด้านหน้าเวทีจนแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้นหล่อนยังแหงนหน้าขึ้นโบกมือให้บรรดาผู้คนที่มุงดูการปรากฏตัวของหล่อนยังชั้นลอยด้านบนของห้างสรรพสินค้าอีกด้วย ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หล่อนต้องไม่สูญเสียทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน


“คืนนี้คุณจ้าว่างไหมคะ จ๋าอยากขอบคุณเป็นการส่วนตัวที่คุณจ้าเลือกจ๋าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของจิเวลรี่” เจนสินีอาศัยจังหวะที่ทุกคนมัวแต่สนใจสินค้าตัวใหม่กระซิบถาม หากแสงฉานเงียบไม่ตอบ ไม่หันมองด้วยซ้ำ นางเอกสาวเลยต้องพยายามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเครือสั่น แสดงออกให้รู้ว่าจิตใจหล่อนตอนนี้ย่ำแย่เหลือเกิน “ครั้งสุดท้ายนะคะคุณจ้า แล้วจ๋าจะยอมรับว่าเราสองคนจบกันแล้วแต่โดยดี จ๋าจะรอคุณอยู่ที่ห้องพักของเรา...นะคะ”


ได้ผล...แสงฉานยอมหันมาสบตาหล่อน ใบหน้าขาวเรียบนิ่ง ดวงตาสีนิลค่อนไปทางเฉยชา เจนสินีฝืนยิ้มรับ รอคอยคำตอบเหมือนสุนัขแสนซื่อสัตย์รอเจ้านายด้วยใจภักดิ์


“ขอโทษที่ต้องพูดอย่างนี้ แต่เรื่องระหว่างเราสองคนมันจบลงแล้ว อย่าพยายามอีกเลย” เสียงทุ้มไม่ได้กระด้างแข็ง แต่ก็เรียบเย็นจนน่าใจหาย เจนสินีเม้มปากแน่น หัวใจคล้ายถูกฉีกทึ้งแล้วเหยียบขยี้ซ้ำ


“ยังไงจ๋าก็จะรอ จะรอจนกว่าคุณจ้าจะมาพบ” นางเอกสาวย้ำหนักแน่น การพบกันครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง หล่อนอยากกลายเป็นผู้เลือกไม่ใช่ผู้ถูกเลือกแค่สักครั้งก็ยังดี “ลำดับต่อไปเราจะมีการสาธิตวิธีแต่งหน้าอย่างง่ายๆ ให้คุณสาวๆ ในช่วงเวลาเร่งด่วนอย่างตอนเช้า...”


“ไอ้พวกคนรวยหน้าเลือดเห็นแก่ตัว ฉันขอแช่งให้มันไม่เจริญ!”


“ว้าย!”


พิธีกรสาวสะดุ้งโหยง กระโดดหลบถุงพลาสติกที่ถูกปาขึ้นมาบนเวทีได้เฉียดฉิว เป็นจังหวะเดียวกับทีมช่างเทคนิกคอยคุมเครื่องเสียง หรี่เสียงเพลงลง เสียงตะโกนแผดลั่นซึ่งน่าจะเป็นคนเดียวกับเจ้าของถุงพลาสติกสีดำเลยดังโดดขึ้นมา ทุกคนบนเวทีหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ช่างแต่งหน้าสาวที่กำลังก้าวขึ้นมาบนเวทีตามคำเชิญถึงกับถอยกรูดลงจากเวทีแทบไม่ทัน ส่วนเจนสินีนั้นปราดเข้าไปยืนข้างแสงฉาน เบียดพิธีกรสาวของงานไปอีกทาง ประกาศผ่านการกระทำว่าที่ตรงนี้เป็นของหล่อน ไม่ใช่ของใคร


ในขณะเดียกันแสงฉานเริ่มกวาดตามองหาที่มาของเสียง เมื่อพบ เขาก็หันสบตากับตุลธรซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเวที ส่งสัญญาณผ่านสายตาให้อีกฝ่ายจับตามองรอบด้านให้ดี


“เดี๋ยวผมมานะครับคุณเล็ก” ตุลธรกระซิบบอกจิตต์เอื้อ แต่ดูเหมือนนักธุรกิจสาวใจจดจ่ออยู่บนเวทีและสถานการณ์รอบตัวจนไม่ได้ยินคำบอกเขา ตุลธรเลยต้องย้ำซ้ำ นั่นแหละสาวใหญ่ถึงได้สะดุ้งหันมาสั่งด้วยสีหน้าเป็นกังวล


“รีบมานะต้น เผื่อจ้ามีอะไรให้ช่วยจะได้ช่วยกันทัน”


ตุลธรรับคำหนักแน่น ก่อนผละตัวกลืนหายไปกับฝูงชนด้านหลัง เป็นเวลาเดียวกับผู้คนที่ยืนออกันอยู่ด้านหน้าเวทีเปิดทางให้เจ้าของเสียงก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากับเจ้าของสินค้าซึ่งยืนรออย่างสงบอยู่บนเวที


“ไหน...หน้าไหนมันบอกว่าเครื่องสำอางมันดีนักดีหนา จ่ายเงินเป็นพันเป็นหมื่นไม่เห็นว่ามันจะทำให้อีเพิ้งคนนี้สวยขึ้นเลย”


หญิงสาววัยไม่เกินยี่สิบ ใบหน้าค่อนข้างคล้ำ ผิวค่อนข้างเข้ม ผิดพิมพ์นิยมของสาวสมัยใหม่ จ้องตาไม่กะพริบไปยังแสงฉาน ในมือหญิงสาวถือถุงพลาสติกสีดำกำเอาไว้อีกถุง แต่ขนาดถุงค่อนข้างใหญ่กว่าที่โยนขึ้นมาบนเวทีมาก แสงฉานคะเนด้วยสายตา ในนั้นน่าจะมีเครื่องสำอางประทินผิวของจิเวลรี่อยู่ไม่น้อย และก็จริง เมื่อหญิงสาวเปิดปากถุง เทข้าวของออกมาให้ทุกคนได้เห็น แสงฉานยิ้มหยันออกมาได้นิดหนึ่ง นึกชมตัวเองที่เดาไม่ผิด ของในนั้นเป็นสินค้าของจิเวลรี่จริงๆ มีทั้งชุดเครื่องสำอางสำหรับวัยแรกรุ่น และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวภายนอกซึ่งมีสูตรและส่วนผสมเฉพาะตัว


“เอ่อ...เดี๋ยวค่ะคุณ...คุณขึ้นมาบนเวทีไม่ได้นะคะ” พิธีกรสาวร้องห้ามผ่านไมโครโฟน ตอนนี้แม้แต่แสงสปอตไลต์ก็สาดจับไปยังหญิงสาวที่กำลังยกตัวเองขึ้นมาบนเวที จนกลายเป็นจุดเด่นให้ทุกคนจับจ้องเป็นตาเดียว “รปภ. รปภ.อยู่ไหนคะ...รปภ. กรี๊ด!”


พิธีกรสาวหวีดร้องลั่น เมื่อหญิงสาวเจ้าของเรื่องเดินตรงรี่เข้ามากระชากไมโครโฟนไปจากมือหล่อนแล้วขว้างทิ้งไปอีกทาง การกระทำนั้นนอกจากจะเรียกเสียงฮือฮาแล้ว ยังทำให้ทุกคนบนเวทีแตกฮือ กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง แม้แต่แสงฉานเองยังถูกนางเอกสาวดึงให้หลบไปด้านหลังเวที ติดที่ว่าแสงฉานขืนตัวไว้ เขาอยากฟังว่าผู้หญิงคนนี้ก้าวขึ้นมาเพราะอะไร ไม่พอใจในสินค้าของจิเวลรี่หรือต้องการอะไรกันแน่


“จะต้องการอะไรล่ะคะ นอกจากทำลายคุณกับแบรนด์ของคุณ” เจนสินีพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น สองมือเกาะหลังแสงฉานไว้แน่น หลังชายหนุ่มตั้งตนเป็นกำแพงบังตัวหล่อนไว้ หญิงสาวไม่สนใจแม้กล้องจากในโทรศัพท์มือถือบางตัวจากกลุ่มคนที่มุงดูอยู่ข้างล่างและนักข่าว ‘บางคน’ จะเบนความสนใจมาทางหล่อน ดี...จับภาพกันให้เยอะๆ แหละดี ข่าวลือเรื่องหล่อนถูกแสงฉานเขี่ยทิ้งจะได้เบาลงเสียบ้าง อีกทั้งเลอมาลย์น่าจะได้เห็นภาพความใกล้ชิดนี้ ได้เห็นว่าหล่อนและแสงฉานผูกพันกันแค่ไหน


“ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อย...”


หน่วยรักษาความปลอดภัยประจำห้างก้าวขึ้นมาบนเวที ตรงเข้าไล่ต้อนหญิงสาวซึ่งยืนชี้หน้าไม่ให้ใครเข้าใกล้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากไม่มีใครแน่ใจว่าอีกฝ่ายมีอาวุธอะไรซ่อนไว้กับตัวหรือเปล่า


“ไม่! ถอยออกไปนะ ถอยออกไป๊!” หญิงสาวไล่พลางถอยหนีพลาง จนตัวเองเกือบชิดฉากหลังบนเวทีอยู่รอมร่อ หากถึงจะถอยหนีอย่างจนตรอก ทว่าเสียงหล่อนยังด่าแสงฉานชนิดแรงดีไม่มีตก


“คุณครับ...กรุณาลงจากเวทีด้วยครับ...ถ้าคุณไม่ลง เราคงต้องจัดการขั้นเด็ดขาดนะครับ”


เมื่อปรามกันดีๆ ไม่ได้ผล หน่วยรักษาความปลอดภัยเลยตั้งท่าจะเข้ามาหิ้วปีกหญิงสาวออกไป แต่แล้วคนที่คิดว่าไร้พิษสงใดๆ และขึ้นมาเพื่อก่อกวนโดยเฉพาะ กลับดึงมีดคัตเตอร์ออกมาพร้อมจรดมันลงตรงข้อมือ ทำเอากลุ่มคนที่กำลังตั้งท่าเข้ากลุ้มรุมแตกฮือ ถอยห่างออกมามองหน้ากันว่าจะเอาอย่างไรดี


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!” จิตต์เอื้อดึงแขนทีมออร์แกไนเซอร์รายหนึ่งไว้ หล่อนถูกทีมงานกันไว้ไม่ให้ขึ้นไปบนเวทีเลยต้องชะเง้อคอมองขึ้นไปด้วยใจไม่เป็นสุข คนถูกดึงไว้ตั้งท่าจะตอบ ก็พอดีกับมีเสียงตะโกนลงมาจากชั้นลอยด้านบนห้างสรรพสินค้า บอกถึงชนิดอาวุธที่หญิงสาวตัวก่อเรื่องถือไว้


“มีดๆๆ ผู้หญิงคนนั้นมีมีด”


“มีด? ตายจริง แจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้เลยนะ แจ้งเดี๋ยวนี้เลย” จิตต์เอื้อออกคำสั่งเร็วรี่ เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มคุมไม่อยู่และมีทีท่าว่าจะบานปลายออกไป “แล้วใครก็ได้ไปตามจ้าลงมาที ไม่ๆ ฉันไปตามเอง”


ไม่มีใครรั้งจิตต์เอื้อไว้ได้ทัน ทุกอย่างดูฉุกละหุกวุ่นวายไปหมด ผู้จัดการนางแบบสาวที่หายไปซื้อเครื่องดื่มมาให้เด็กในปกครอง พอได้ยินว่าเจนสินนียังอยู่บนเวที อีกทั้งหญิงสาวตัวก่อเรื่องมีมีดอยู่ในมือก็รีบฝ่าฝูงชนกระโจนขึ้นเวทีตามจิตต์เอื้อไปติดๆ


“ถอยออกไปนะ...ถอยออกไป! อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา”


ยิ่งมีคนมองหญิงสาวยิ่งตีโพยตีพายส่งเสียงร้องดัง แสงฉานกอดอกยืนมองอย่างชั่งใจอยู่ครู่ก็กวักมือเรียกทีมงานใกล้ตัวเข้ามาสั่ง


“ขอไมค์ตัวเล็กสำหรับติดอกเสื้อให้ผมด้วย”


คำร้องขอของชายหนุ่มทำเอาทั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยทั้งทีมงานที่ยืนล้อมอยู่ใจหายใจคว่ำ นั่นเพราะก่อนร่วมงานกัน ทีมงานทุกคนถูกเตือนกันถ้วนหน้าถึงของนิสัยนักธุรกิจหนุ่มซึ่งไม่มีใครดักเดาใจได้ถูก ยามดีอีกฝ่ายนั้นดีใจหาย แต่ยามร้ายแสงฉานก็ยิ่งกว่านรกส่งมาเกิด


“คุณจ้าครับ เดี๋ยวทางนี้พวกเรา...”


“จะจัดการเองเหรอ เท่าที่เห็น...แค่ไล่ลงจากเวทียังทำไม่ได้เลยนะ” แสงฉานย้อนเยาะ กวาดสายตามองทีมงานทุกคนด้วยสีหน้าเฉยเมย ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และเพราะไม่รู้...เลยทำให้แต่ละคนยิ่งกระสับกระส่าย “ผมต้องการไมค์ติดอกเสื้อเดี๋ยวนี้”


เมื่อไม่มีใครขยับ ชายหนุ่มเลยย้ำคำเดิมด้วยน้ำเสียงงวดขึ้น คนถูกสั่งลอบมองกันชั่วอึดใจ ก่อนหนึ่งในทีมงานจะรีบก้าวลงจากเวทีไปทำตาม ไม่ถึงนาทีแสงฉานก็มีไมค์ตัวเล็กซ่อนไว้ตรงสาบเสื้อเชิ้ต เขาทดสอบความพร้อมเล็กน้อย ขณะเสียงตะโกนด่าทอจิเวลรี่และเจ้าของสินค้ายังดังเสียดหู


“คุณจ้าจะทำอะไรคะ เอาไมค์มาทำไม”


ไม่ใช่แค่เจนสินีที่อยากรู้ คนอื่นๆ ก็อยากรู้เช่นกัน แม้แต่พิธีกรสาวซึ่งเขยิบเข้ามายืนใกล้ๆ ยังส่งสายตาถาม และน่าแปลก...แต่ละคนนั้นแทบไม่เหลืออาการสั่นกลัวให้เห็น อาจเพราะแสงฉานแสดงออกว่าไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด เขายังคงเยือกเย็นท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวาย และความเข้มแข็งของชายหนุ่มนี่เองที่ส่งอิทธิพลมาถึงคนใกล้ตัว อาการสงบนิ่งของชายหนุ่มเหมือนป้อมปราการ คอยปกป้องคุ้มครองภัยให้คนอยู่ข้างหลังรู้สึกปลอดภัยและเชื่อมั่น มันทรงพลังเหมือนเกราะแกร่งที่ไม่มีวันถูกทำลายลงได้ง่ายๆ


“ทำ...ในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำยังไงล่ะ”


ริมฝีปากบางปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ดวงตาสีน้ำผึ้งเข้มจัดราวกับเจอของเล่นถูกใจ รอยยิ้มของนักธุรกิจหนุ่มทำเอาคนไม่คุ้นชินถึงกับขนลุกซู่ ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างสยดสยอง แม้แต่เจนสินีเองก็เพิ่งเคยเห็นมุมนี้ของแสงฉานเป็นครั้งแรกเช่นกัน


“ไอ้สารเลว ไอ้ชาติชั่ว แกไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แกตายเมื่อไหร่ ฉันก็ตายตาหลับเมื่อนั้น”


แสงฉานไม่สนใจคำต่อว่าต่อขานของ ‘ตัวก่อเรื่อง’ ที่เขาสนใจคือสัญญาณจากตุลธร แต่จนแล้วจนรอดคนที่หายไปกับฝูงชนก็ยังไม่กลับมา มีแต่คนที่เขาไม่อยากเห็นหน้าอยู่บนเวทีเต็มไปหมด โดยเฉพาะจิตต์เอื้อซึ่งเพิ่งมาถึง นักธุรกิจสาวคว้าแขนเขาไว้ ออกแรงบีบให้หันมองและเมื่อแสงฉานยอมสบตา หล่อนก็สั่งเสียงเข้มทันทีว่า


“จ้าลงไปกับน้า ข้างบนนี้ปล่อยให้ทีมงานจัดการไป”


“ลงไปตอนนี้ก็ไม่สนุกสิครับน้าเล็ก” แสงฉานสวนทันควัน ดึงมือที่จับแขนเขาออก สาวใหญ่ชะงักงันก่อนนิ่งอั้นไปอึดใจใหญ่ เมื่อคนอ่อนวัยกว่ายกยิ้มส่งให้ ยิ้ม...ที่เหมือนกับงามเคื้อพี่สาวหล่อนในวันที่อีกฝ่ายลาจากโลกนี้ไปไม่มีผิด


ยิ้ม...ที่แสดงถึงความมั่นอกมั่นใจและรู้เท่าทันทุกสิ่งบนโลกใบนี้!


“จ๋ามากับพี่”


ผู้จัดการเจนสินีซึ่งเพิ่งแทรกตัวฝ่าฝูงชนเข้ามาได้รีบดึงแขนนางเอกสาวให้ถอยห่างออกมา การกระทำของหล่อนนั้นตกอยู่ในสายตาสอดรู้ของผู้คนรอบตัวที่จับจ้องอย่างสนใจใคร่รู้ แน่ล่ะ...เรื่องราวความรักของนางเอกสาวอันดับหนึ่งกับแสงฉานนั้นเป็นที่จับตามองว่าจะรุ่งหรือร่วงหลังครบสามเดือนแห่งการคบหา แต่ไม่ว่าจะลงเอยแบบไหน ในฐานะฝ่ายหญิง เด็กในสังกัดหล่อนย่อมเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่ดี ที่จริง...หล่อนเคยปรามเจนสินีแล้วว่าอย่าเล่นกับไฟ ต้นสังกัดเองก็ดูไม่ค่อยชอบใจนักที่อีกฝ่ายเปิดตัวคบแสงฉานโดยไม่ห่วงฉายาคริสตัลแห่งวงการบันเทิง แต่เจนสินียังคงเป็นเจนสินีอยู่วันยังค่ำ อีกฝ่ายมีความฝัน มีความทะเยอทะยานเปี่ยมพ้นอยู่ในอกจนยากที่ใครจะฉุดรั้งเอาไว้ได้ ผู้จัดการส่วนตัวอย่างหล่อนจึงเป็นแค่ ‘คนอื่น’ ทำได้แค่ทำใจ ได้แต่หวังว่าเมื่อถึงทุกอย่างไม่เป็นดังหวังเจนสินีจะรับได้ เพราะไม่มีใครจะสมหวังดั่งใจไปทุกอย่าง แม้แต่นางเอกสาวก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน


แต่นี่ไม่ใช่เวลามาใส่ใจเรื่องนั้น ตอนนี้หน้าที่ที่ผู้จัดการส่วนตัวอย่างหล่อนต้องทำ คือดึงเจนสินีให้ลงจากเวทีให้ได้ ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง


“แต่คุณจ้า...” เจนสินียังพะวักพะวงห่วงคนบนเวที มือบางบีบมือแสงฉานไว้แน่น รั้งรอให้อีกฝ่ายต้องหันมอง นางเอกสาวไม่สนสายตาจิตต์เอื้อที่มองมา ไม่สนเสียงอื้ออึงซุบซิบนินทาจากเหล่าทีมงานรายล้อมรอบตัว


“ลงไปก่อนเถอะ อยู่บนนี้จะทำให้ผมยิ่งห่วงเปล่าๆ” น้ำเสียงแสงฉานอ่อนลง เมื่อสบตานางเอกสาว เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเจนสินีมาตั้งแต่แรกนั่นเป็นเรื่องจริง แต่จะให้ทำเย็นชาทั้งที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าห่วงใยเขาเหลือเกิน แสงฉานก็ทำไม่ลง เรียกว่าความรู้สึกดีๆ นั้นมีอยู่ เพียงแต่มันไม่ใช่ความรักอย่างชายหญิงเท่านั้นเอง


“แต่จ๋าห่วงคุณจ้า”


“ไม่เป็นไร” แสงฉานบีบมือบางเบาๆ ก่อนปลดมันออกแล้วส่งต่อให้ผู้จัดการส่วนตัวของหญิงสาวซึ่งยืนถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีกพร้อมฝากฝัง “ฝากดูแลเจนสินีด้วยนะครับ ยังไงผมต้องกลับลงไปเจอคุณตามนัดแน่ๆ”


ประโยคสุดท้ายของนักธุรกิจหนุ่มทำเจนสินียิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ แสงฉานเลือกแล้ว...เลือกที่จะมาหาหล่อนแล้ว


“ถ้าอย่างนั้นระวังตัวด้วยนะคะคุณจ้า”


แสงฉานพยักหน้ารับ แววตาฉายแสงแห่งความมั่นใจเต็มเปี่ยม ขณะเดียวกันเสียงหวีดร้องจากฝูงชนก็ดังขึ้นอีกระลอก ผู้จัดการของเจนสินีอาศัยจังหวะนั้นฉุดนางเอกสาวลงจากเวที แสงฉานเองก็ใช้โอกาสนี้แทรกตัวไปด้านหน้าโดยจิตต์เอื้อห้ามไว้ไม่ทัน


“เดี๋ยวก่อนสิจ้า!”


สาวใหญ่เบียดตัวตาม แต่กลับต้องชะงัก เมื่อจู่ๆ ได้กลิ่นหอมของดอกแก้ว กลิ่นนั้นหอมอวลตลบอยู่ในอากาศก่อนจางหาย แล้วค่อยส่งกลิ่นโชยฉุนขึ้นมาใหม่ คราวนี้รุนแรงกว่าเดิมจนจิตต์เอื้อต้องยกมือขึ้นปิดจมูก สาวใหญ่รับรู้ถึงความผิดปกติด้วยสัญชาติญาณ อากาศรอบตัวคล้ายถูกกดให้ต่ำลงจนแค่หายใจยังอึดอัด และนั่นทำให้ความกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจจนร่างโปร่งสั่นสะท้านต้องรีบตะโกนเรียกแสงฉานเอาไว้


“จ้า!”


พรึ่บ!


ทุกอย่างตรงหน้าจิตต์เอื้อวูบดับ หลงเหลือไว้แต่เพียงความมืดมิดกับกลิ่นหอมอวลของดอกแก้ว เสียงพูดคุยจอแจเงียบลง ทีมงานรอบตัวอันตรธานหายไป ทุกอย่างเงียบงันจนนักธุรกิจสาวได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดัง ทันใดนั้นแสงไฟสว่างก็สาดเข้าใส่จนสาวใหญ่ต้องยกมือขึ้นบังความเจิดจ้านั้นไว้


วูบหนึ่ง...หญิงสาวที่ยืนเผชิญหน้ากับแสงฉาน ในมือถือมีดคัตเตอร์กวัดแกว่งไปมาพร่าเลือนดุจละอองฝ้าบนกระจกบานใส ก่อนความหม่นมัวที่คล้ายภาพยนตร์ในม้วนฟิล์มเก่าซีดจะค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น...ชัดขึ้น ตอนนี้ข้างหน้าจิตต์เอื้อมีเพียงแสงฉานยืนตระหง่านกับร่างเล็กบางที่ค่อยๆ แปรสภาพไปเป็นบุคคลที่นักธุรกิจสาวคุ้นตา แม้ใบหน้านั้นจะมีเส้นผมบางส่วนรุ่ยร่ายปรกลงมา แต่จิตต์เอื้อก็ยังจำผู้เป็นเจ้าของร่างนั้นได้แม่นยำ ร่างบอบบางยังคงสวมใส่เสื้อผ้าฝ้ายแขนกระบอกเช่นเดิม เพียงแต่ในอดีตมันขาวสะอาดไม่ได้ขาดรุ่งริ่งไม่ต่างจากเศษผ้าขี้ริ้วเช่นนี้ ซิ่นสีแดงครั่งไร้ลวดลายที่อีกฝ่ายสวมอยู่ก็แทบไม่ต่างกัน มันถูกฉีกเป็นริ้วยาวจนเห็นปลีน่องบวมเป่งมีเลือดไหลหยดย้อยลงมา จิตต์เอื้อหลับตาลงทันทีก่อนลืมตาขึ้นมาใหม่ อยากหลอกตัวเองว่านี่คือฝัน...แต่คนที่หล่อนคิดว่าไปผุดไปเกิดแล้วนั้นกลับยังเด่นชัดในสายตา!


ทว่าสิ่งเดียวที่ดูเหมือนยังคงสภาพไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คือช่อดอกไม้สีขาวสะอาด มันถูกเสียบแน่นอยู่ตรงปลายมวยผมด้านหลังของวิญญาณสาว ช่อดอกแก้วกลีบบางส่งกลิ่นหอมตลบยังคงงดงามน่าทะนุถนอมผิดกับร่างกายเน่าเฟะที่ขยับเข้าหาแสงฉาน จิตต์เอื้อพยายามส่งร้องเรียกหลานชาย อยากเข้าไปดึงแสงฉานให้ถอยห่างออกมา แต่ร่างกายกับไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ท้ายที่สุดหล่อนได้แต่ดิ้นรนใจแทบขาด หลังรู้ว่าสองเท้าถูกตอกตรึงให้ติดอยู่กับที่ด้วยอำนาจบางอย่างอันมิอาจขัดขืนได้


“แก้ว...อย่านะแก้ว...ไปที่ชอบๆ เถอะนะแก้ว” จิตต์เอื้อพึมพำเสียงสั่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่เนื้อตัวเย็นเฉียบ หัวใจเต้นรัวเร็วคล้ายมีใครเอากลองมาตีอยู่ใกล้ๆ ยิ่งเห็นว่ารอบตัวว่างเปล่า มีเพียงแต่หล่อนเท่านั้นยืนอยู่ลำพัง สาวใหญ่ยิ่งแทบคลั่ง ได้แต่มองเหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้าราวกับเนิ่นนานชั่วกัปชั่วกัลป์ด้วยหัวใจแทบขาดรอน


“จ้า...จ้า...”


ทั้งที่อยู่ห่างจากแสงฉานแค่นี้แต่จิตต์เอื้อกลับรู้สึกยิ่งกว่าห่างไกล หล่อนตะโกนเรียกชื่อแสงฉานซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนสติแตก ทันใดนั้นร่างเน่าเปื่อยเจียนสลายเป็นผุยผงก็หันสายตามองมาทางหล่อน แสยะยิ้มที่เห็นแต่หนอนไต่ยั้วเยี้ยส่งให้อย่างเป็นต่อ จิตต์เอื้อได้ยินเสียงครางแผ่วเบาจากลำคอแห้งผากของกลิ่นแก้ว ก่อนวิญญาณสาวจะหันกลับไปมองแสงฉาน เงื้อมีดในมือขึ้นสูงแล้วพุ่งตัวเข้าหาชายหนุ่มรวดเร็ว


“กรี๊ด!...”



TBC.



--------------------------------------

ลงแบบดิบๆ ค่า
มีข้อผิดพลาดตรงไหนชี้แนะได้เลยนะคะ ^^
ยินดีน้อมรับค่า
กวิตา.





กวิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ธ.ค. 2558, 22:57:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ธ.ค. 2558, 21:30:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 917





<< บทนำ   บทที่ ๒ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account