ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: สู่สมรภูมิ : บทที่ ๑ ทุ่มเถียง

สู่สมรภูมิ : บทที่ ๑ ทุ่มเถียง

ตั้งแต่ร่ำลาเพื่อนฝูงเพื่อออกเดินทาง จนบัดนี้ก็ครึ่งปีแล้วที่โบ้รอนแรมไปยังเมืองต่างๆ เพื่อตามล่าหาชายในฝัน ทว่ายอดบุรุษในแผ่นดินใช่จะมีดาษดื่น ขนาดคนโจษจันว่าหล่อเหลาราวรูปสลัก ก็ยังไม่ต้องตาเท่าบรรดาองค์ชายของเจียงเฉียง กระนั้นโบ้ก็ยังไม่ถอดใจ ยังคงเดินทางตามหาเนื้อคู่ต่อไปด้วยใจอดทน

ในการเดินทางครั้งนี้นอกจากท่องเที่ยวเพื่อทำตามความฝัน โบ้ยังมีหน้าที่คุ้มกันขบวนสินค้า และเป็นตัวแทนบิดาไปคารวะผู้อาวุโสในยุทธภพ โบ้รับผิดชอบงานในส่วนนี้ได้ดี แม้บางคราวจะก่อปัญหาโดยไม่ตั้งใจ ก็มีหยางเจี้ยนคอยช่วยเหลือ รวมถึงมีไป๋อวี้เป็นฝ่ายสนับสนุน ทำให้การเดินทางไม่ขลุกขลักนัก

คณะของโบ้เดินทางลงใต้มายังแคว้นซัวหวงเมืองขึ้นของเจียงเฉียงเพื่อส่งสินค้า จากนั้นก็ไปหนิงโจวและโจวเหลียนเพื่อหาของกลับไปขาย สองแคว้นนี้ห่างจากเจียงเฉียงไม่มาก ปัจจุบันมีการกระทบกระทั่งเรื่องดินแดนอยู่บ้าง แต่ไม่หนักหนาถึงขั้นกลายเป็นสงคราม

เมื่อพวกพ่อค้าได้ของครบตามต้องการ หยางเจี้ยนกับไป๋หลินก็แยกตัวมาขึ้นเรือ เดินทางผ่านทะเลจงโจวไปขึ้นฝั่งที่แคว้นหางเฟยเพื่อคารวะผู้อาวุโสพรรคกระเรียนทอง เสร็จแล้วก็เดินทางไปพบคนอื่นตามลำดับรายชื่อ ผู้อาวุโสส่วนใหญ่มักเอ็นดูต้อนรับอย่างลูกหลาน บ้างก็รั้งตัวให้อยู่นานๆ เพื่อแลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์กับศิษย์ในสำนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปกว่าจะเยี่ยมเยือนครบทุกท่านคงย่างเข้าฤดูหนาว

หยางเจี้ยนทราบล่วงหน้าว่าต้องเป็นอย่างนี้ จึงย้ำให้เตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวติดมาด้วย ทว่าใบไม้ยังไม่ทันเปลี่ยนสีก็มีสารจากประมุขมู่ สั่งให้ทุกคนเร่งกลับมาที่หุบเขาหิมะโดยด่วน โบ้นึกได้ว่าช่วงหลังมารดาสุขภาพไม่แข็งแรง เลยคิดเองเออเองว่าท่านแม่ล้มป่วย ลูกกตัญญูเร่งควบม้ามาแบบไม่พัก ที่ไหนได้กลับกลายเป็นอย่างอื่น

ช่วงที่โบ้ออกเดินทางมีชายหนุ่มถึงสามรายมาแสดงเจตจำนงอยากเป็นเขยสกุลมู่ มู่อี้เทาปฏิเสธทันทีเพราะมีว่าที่เขยขวัญอยู่ในใจแล้ว ผู้ที่มาสู่ขอรายแรกยอมตัดใจ ส่วนอีกสองคนระบุชัดว่าไม่ได้มาสู่ขอไป๋หลิน แต่ต้องการตัว ‘ไป๋อวี้’

อี้เทาแทบหงายหลังตึง เมื่อได้ยินว่าคหบดีแห่งหนิงโจวกับท่านชายแห่งโจวเหลียนต้องใจในตัวบุตรชาย ท่านประมุขเสียเวลาพูดคุยกับทั้งสองอยู่นาน กว่าจะทราบว่าท่านชายเข้าใจผิดว่าไป๋อวี้เป็นสตรี เมื่อรู้ความจริงชายหนุ่มก็ไม่ดื้อรั้น เขากล่าวขออภัยและกลับไปด้วยความอับอาย แต่ทางท่านคหบดียังคงยืนกรานหนักแน่น ว่าปรารถนาจะให้บุตรคนที่ห้าของประมุขมู่แต่งเข้าบ้านในฐานะภรรยาเอก

อี้เทาโกรธมากเมื่อได้ฟังคำพูดบัดสีผิดขนบ ไม่เพียงไล่ตะเพิดออกไปจากหุบเขาหิมะ ยังส่งคนตามไปสั่งสอน ขู่ให้ปิดปาก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป แล้วสกุลมู่ต้องกลายเป็นตัวตลกในยุทธภพ พรรคเทพสวรรค์ขอสาบานด้วยเกียรติว่าจะกู้ศักดิ์ศรีคืนมาด้วยเลือด เมื่อเห็นคมดาบส่องประกายแวววาว ความรักตัวกลัวตายก็เข้ามาแทนอารมณ์คลั่งรัก คหบดีบ้ากามจึงยอมขอขมาและเลิกราไปในที่สุด

จัดการคนที่มาสู่ขอเสร็จ ท่านประมุขก็หันมาจัดการลูกชายตัวดีต่อ อี้เทาถือคติไม่มีเหตุย่อมไม่มีผล จึงเรียกมาสอบถาม ไป๋อวี้เรียนบิดาตามตรงว่าที่มีคหบดีมาหลงรักเป็นความโชคร้าย แต่เรื่องท่านชายแห่งโจวเหลียนตนมีส่วนผิดอยู่นิดหน่อย

เมื่อคราวไปถึงโจวเหลียน มีคนมาท้าประลองเพราะได้ยินชื่อเสียงด้านวิทยายุทธ์ของคนพรรคเทพสวรรค์ ชายคนนี้ต้องการสู้กับไป๋อวี้ แต่หยกน้อยมีดีแค่หนีเก่ง เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงพรรคต้องมัวหมอง ก็เลยสลับตัวกับพี่สาวแล้วให้ไป๋หลินไปสู้แทน สู้เสร็จขี้เกียจเปลี่ยนชุดก็เลยเดินเล่นในเมืองทั้งแบบนั้น เลยได้พบกับท่านชายแห่งโจวเหลียน

อี้เทาตวาดลูกเสียงดังลั่นว่าทำอะไรไม่คิด เรื่องแต่งหญิงก็น่าโมโหระดับหนึ่ง แต่ที่ทำให้โกรธมากคือบุตรชายใช้แผนสกปรก เกิดเป็นชาวยุทธ์เมื่อถูกท้าประลองก็ต้องรับคำท้า ต่อให้พ่ายแพ้ก็ยังคงไว้ซึ่งเกียรติ พฤติกรรมขลาดเขลาของไป๋อวี้ สร้างความอับอายให้สกุลมู่เป็นอย่างยิ่ง อี้เทาจึงลงโทษบุตรชายด้วยการให้อดอาหารเจ็ดวัน ระหว่างนั้นต้องคุกเข่าอยู่หน้าป้ายบูชาบรรพชน ห้ามแอบหนีไปหรือเล่นลูกไม้เด็ดขาด มิฉะนั้นจะตัดพ่อตัดลูก

โบ้สงสารน้องชาย แต่พอจะช่วยพูดให้พี่ใหญ่ก็ดึงตัวออกมาด้านนอก ไป๋เจี้ยนบอกว่าท่านพ่อยังโกรธมากคงไม่ยอมฟังใคร อีกทั้งไป๋หลินยังเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด พูดไปไม่เพียงแต่ไป๋อวี้จะถูกเพิ่มโทษ ไป๋หลินอาจโดนหางเลขไปด้วย ปล่อยให้ไป๋อวี้ถูกขังไปอย่างนั้นดีแล้ว จะได้สำนึกแล้วหัดสู้คนบ้าง

“พี่ใหญ่ใจร้าย ข้าไปขอให้ท่านแม่ช่วยก็ได้” โบ้ว่า

ทุกคนต่างรู้ว่าท่านพ่อมักยอมอ่อนให้ท่านแม่เสมอ

“ท่านแม่ไปเยี่ยมท่านยายที่หรงซิ่ง อีกเป็นเดือนกว่าจะกลับ”

โบ้ทำหน้าผิดหวัง พี่ชายจึงปลอบว่าไป๋อวี้หาทางเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ปล่อยไว้อีกสักสองสามวัน รอท่านพ่อใจเย็นลงจะช่วยพูดให้

“เจ้าไปพักผ่อนเสียเถอะ เดินทางมาเหนื่อยๆ”

ไม่ทันที่โบ้จะทำตามคำสั่ง พี่ชายคนรองก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับโอบบ่าพาตัวหยางเจี้ยนมาด้วย

“พี่ใหญ่...ข้าพาคู่หมั้นพี่มาแล้ว พวกเราไปหาที่ดื่มกันเถอะ”

ไป๋หลงมักจะล้อว่าพี่ใหญ่เป็นคู่หมั้นของหยางเจี้ยน เพราะก่อนที่ทั้งสองคนจะเกิด ท่านแม่กับหวงฮูหยินได้หมั้นหมายเด็กทั้งสองคนเอาไว้ เสียดายว่าเกิดมาเป็นผู้ชายทั้งคู่ ก็เลยตั้งชื่อให้พ้องกันแทน โดยใช้คำว่า ‘เจี้ยน’ ที่หมายถึงกระบี่ เป็นชื่อพยางค์ที่สอง

“หยางเจี้ยนเพิ่งกลับมา เจ้าก็รบกวนเขาแล้ว” ไป๋เจี้ยนเอ็ดน้อง

ไป๋หลงหัวเราะอย่างไม่กลัว ก่อนจะตรงมาลากพี่ชายให้ตามมาด้วยอีกคน ไป๋เจี้ยนขืนตัวพอเป็นพิธีก่อนจะเดินตามแรงดึงไป เขาไม่ได้เจอหยางเจี้ยนมาเกือบปี ได้ร่ำสุรากันบ้างก็ไม่เลว

“เจ้าก็มาด้วยกันสิไป๋หลิน ไป๋หู่กำลังทำกับแกล้ม มีของอร่อยเยอะแยะ” ไป๋หลงชวน

อาหารฝีมือพี่สามนับว่าน่าสนใจ แต่โบ้ส่ายหน้าปฏิเสธ คนชวนเห็นดังนั้นก็ไม่คะยั้นคะยอ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยมาร่วมดื่มกับพวกเขาอยู่แล้ว

โบ้แอบกลืนน้ำลายลงคออย่างเปรี้ยวปาก เขาอยากกินของอร่อยใจจะขาด แต่ต้องทนฝืนเอาไว้เพราะปมในใจที่มีมาแต่เก่าก่อน

ในโลกนี้ไป๋หลินมีพี่ชายกับน้องชายอย่างละสามคน โบ้ไม่มีน้องแต่มีพี่ชายสามคนเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของเขากับพวกพี่ๆ ค่อนข้างแย่ สาเหตุเกิดจากที่บ้านปลูกฝังว่าลูกผู้ชายต้องทำตัวให้สมชาย ห้ามสะดีดสะดิ้งอ่อนปวกเปียก พวกพี่เลยมักจะลงมือลงไม้สั่งสอนเวลาที่โบ้แสดงจริตอย่างผู้หญิง พอโตขึ้นแยกบ้านออกมาแล้วเปิดตัวเต็มที่ว่าเป็นสาวประเภทสอง พวกพี่ก็ยิ่งเกลียด มองว่าโบ้สร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูล ไม่เพียงแต่เย็นชาใส่ยิ่งกว่าเก่า แม้แต่ตอนพ่อป่วยใกล้เสียก็ไม่ยอมแจ้งข่าว

ปมนี้หยั่งรากลึกในใจโบ้ แม้จะอยู่ในร่างของไป๋หลินซึ่งเป็นที่รักของพี่ๆ โบ้ก็ยังกังวล กลัวว่าหากพูดอะไรผิดจะถูกเกลียด จึงถอยห่างวงสุรา เวลาคุยกับพวกพี่ชายก็เก็บปากเก็บคำ พอไม่ได้เป็นตัวของตัวเองมันก็อึดอัดคับข้องใจ เป็นเหตุให้เผลอเว้นระยะห่าง ที่น่าตลกคือแทนที่ความสัมพันธ์ของไป๋หลินกับพวกพี่ชายจะแย่ลง คนอื่นกลับมองว่านางทำตัวสนิทสนมกับพี่น้องมากขึ้น เพราะแต่เดิมไป๋หลินเป็นคนพูดน้อย วันๆ เอาแต่ฝึกวิทยายุทธ์ ไม่ค่อยพบปะสังสรรค์กับใคร

โบ้กลับไปที่ห้องแล้วทิ้งตัวลงนอน หลับไปสองชั่วยามน้องชายคนเล็กก็มาเคาะประตูปลุก ไป๋ซานไม่ได้มามือเปล่า เด็กหนุ่มยกสำรับอาหารถาดใหญ่มาให้ด้วย ปกติหน้าที่นี้เป็นของสาวใช้ การที่ไป๋ซานมาเองย่อมมีเหตุ แต่โบ้ก็ไม่ใส่ใจถาม เนื่องจากความสนใจขณะนี้อยู่ที่ยำเนื้อทอดแสนอร่อย โบ้ใส่มือหยิบเข้าปากทันทีโดยไม่สนใจมารยาท

“สุดยอด! รสชาติแบบนี้ฝีมือพี่สามแน่ๆ เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียจริง”

โบ้เคี้ยวไปเอามือกุมแก้มไป เนื้อกวางภูเขาแล่บางๆ เอาไปทอดกรอบ เข้ากันได้ดีกับเครื่องยำรสจัดและผักดองหวานอมเปรี้ยวที่เสริมเข้าไปเพื่อตัดรส

ไป๋ซานยิ้มขณะมองพี่สาว เด็กหนุ่มปล่อยให้นางสำราญกับอาหารโดยไม่ขัดจังหวะ กินเสร็จแล้วจึงค่อยพูดธุระ

“พี่สี่บอกข้าได้ไหมว่าทำไมพี่ห้าถึงถูกลงโทษ”

“ท่านพ่อหงุดหงิด เพราะมีผู้ชายมาสู่ขอหยกน้อย”

ไป๋ซานหัวเราะลั่นเมื่อได้ฟัง สมัยยังเด็กพวกเพื่อนๆ มักหยอกเขาว่ามีพี่ชายคนสวย แต่ไม่คิดฝันว่าจะมีคนหาญกล้าส่งพ่อสื่อมาสู่ขอพี่ห้าจริงๆ

“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาบ้าง แต่ไม่น่าจะมีเท่านี้ใช่ไหม” เด็กฉลาดตะล่อมถามต่อ

ขณะนี้ไป๋ซานอายุเพียงสิบห้า แต่นิสัยเป็นผู้ใหญ่เกินตัว เทียบกับไป๋อวี้ที่แก่กว่าสี่ปียังดูเป็นโล้เป็นพายกว่า

“อื้ม...ท่านพ่อโกรธที่รู้ว่าหยกน้อยแต่งหญิง”

โบ้ตอบแบบไม่เข้าประเด็นสักเท่าไร ไม่ใช่ว่าจงใจเลี่ยงไม่เล่าเรื่องที่ถูกท้าสู้ แต่ท่านพ่อบ่นหยกน้อยชุดใหญ่ แล้วก็ลากยาวสารพัดเรื่องจนคนซื่อบื้อจับประเด็นไม่ได้

ไป๋ซานซักต่ออีกหลายประโยคก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน แต่ข้อมูลที่ได้มาก็พอจะบอกใบ้ได้ว่าเหตุใดพี่ห้าถึงถูกลงโทษให้อดอาหารถึงเจ็ดวัน

“จริงสิ...ป่านนี้หยกน้อยคงหิวแย่แล้ว” โบ้นึกห่วงน้องเมื่อท้องอิ่ม “ตกดึกเราแอบเอาขนมไปให้หยกน้อยกินกันดีไหม”

“ข้าได้ยินว่าท่านพ่อสั่งเปิดค่ายกลแล้ว ท่านพี่อาจจะฝ่าเข้าไปลึกๆ ได้ แต่ข้านี่แค่ชั้นสี่ก็แย่แล้ว”

สถานที่ตั้งป้ายวิญญาณบรรพชนของสกุลมู่ไม่ธรรมดา เพราะใช้เก็บเคล็ดวิชาและบันทึกสำคัญด้วย จึงมีการวางค่ายกลเอาไว้อย่างแน่นหนา นอกจากท่านพ่อกับผู้อาวุโสอีกสามท่าน เวลาค่ายกลทำงานเต็มที่ไม่มีใครเคยเข้าไปถึงชั้นในสุดได้สักคน

“ไม่ต้องห่วง เราเอาของกินไปวางไว้ที่ชั้นกลางๆ ก็พอ เดี๋ยวหยกน้อยก็ออกมาหยิบเองนั่นแหละ”

“ข้าลืมไปเลยว่าพี่ห้าเป็นสุดยอดนักหลบหนี”

พี่ห้าเป็นพวกไม่สู้คน ใครก็ว่าฝีมือเขากระจอกงอกง่อย แต่ไป๋ซานกลับนับถือพี่ชายคนนี้ เพราะไม่ว่าจะโดนขังกี่ครั้งหรือวางค่ายกลหนาแน่นเพียงใด ไป๋อวี้ก็หลบหนีออกมาได้ทุกคราว

สองพี่น้องช่วยกันสรรหาผลไม้กับอาหารที่ไม่ทิ้งเศษให้จับได้มาเตรียมเอาไว้ ทว่าพอตกดึกไป๋ซานกลับต้องไปคนเดียว เนื่องจากพี่สาวผลุนผลันลงจากหุบเขาหิมะไปก่อน เพราะได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากสหาย ไป๋ซานไม่มีโอกาสได้อ่านข้อความ จึงทราบแต่เพียงว่ามันถูกส่งมาจากองค์หญิงลี่จู



จดหมายเรียกรวมตัวที่ไห้ซิวถูกส่งถึงโบ้และเจ้ตามเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ทั้งคู่เดินทางมาถึงในเวลาใกล้เคียงกัน คนเดียวที่ไม่ได้รับจดหมายคือแว่น เพราะหน่อมเห็นในความฝันว่าเพื่อนจะเป็นฝ่ายมาหาเองโดยไม่ต้องเรียกตัว

ถ้ามองไม่เห็นอนาคตคงไม่มีใครเชื่อว่าคนอ่อนแออย่างกุ้ยฮวา จะมีเหตุให้เดินทางรอนแรมมาไกลถึงไห้ซิว แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่เชื่อว่าจะได้ออกจากบ้านก่อนกำหนด เพราะยึดถือสัญญาที่ให้ไว้กับบิดาเป็นสำคัญ กุ้ยฮวาต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านครึ่งปี แลกกับการไปเยี่ยมองค์ชายแปดที่ตำหนักมังกรน้ำ

เสนาบดีเฉินรู้ว่าองค์ชายแปดต้องโทษทั้งที่ไม่มีความผิด จึงยอมให้ทั้งสองพบกัน รวมถึงช่วยเหลือองค์ชายน้อยอย่างลับๆ ให้ได้คนดีมีฝีมือติดตามไปเจี้ยนเจี๋ย โดยไม่คำนึงถึงความบาดหมางที่สองสกุลมีต่อกัน ทำให้สนมเฉินไม่พอใจ ถึงขั้นกล่าวกับพี่ชายว่าจะต้องเสียใจ เมื่อถูกลูกงูพิษที่ครั้งหนึ่งเคยเวทนาแว้งกัด

สนมเฉินไม่อยากให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียมากไปกว่านี้ จึงส่งคนไปคอยสอดส่องดูแลความประพฤติของกุ้ยฮวา จดหมายทุกฉบับที่ถูกส่งถึงนางจะถูกเปิดอ่านก่อน รวมถึงห้ามติดต่อพบปะกับผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต

คนของสนมเฉินได้รับคำสั่งให้อยู่ที่บ้านสกุลเฉินอย่างน้อยครึ่งปี ทว่าพอเข้าฤดูร้อนสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป อาการของกุ้ยฮวากำเริบหนัก นางนอนซมลุกขึ้นจากเตียงแทบไม่ไหว หลิ่งปินมาเยือนสกุลเฉินได้จังหวะราวกับรู้ล่วงหน้า หมอเทวดาไม่ได้รักษาให้ทันทีเหมือนทุกคราว แต่บอกว่าอากาศร้อนส่งผลกับโรคของนาง จึงแนะนำให้ขึ้นเหนือไปอยู่ที่ไห้ซิวสักระยะ

สกุลเฉินไม่มีบ้านพักอยู่ทางเหนือ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่เพราะได้รับพระเมตตาให้มาพำนักในตำหนักเก่าของอดีตฮ่องเต้ ตำหนักนี้มีชื่อว่าสายลมสงบ ตั้งอยู่เชิงเขาลู่ซาน ห่างจากวัดที่หน่อมมาสวดมนต์ภาวนาเพียงสิบลี้

แว่นมาถึงตั้งแต่ปลายเดือนสี่แต่ก็ไม่ได้เจอกับหน่อม เขาถูกคุมเข้มไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนเพราะอาการป่วย ทางด้านหน่อมก็กำลังอยู่ในพิธีสำคัญเพื่อสะเดาะเคราะห์ให้แม่ทัพต่ง แว่วว่าต้องเก็บตัวอยู่ในวัดแรมเดือนห้ามติดต่อผู้ใด

แว่นเกือบจะเฉาตายเพราะความเบื่อ ดีที่ว่าหลิ่งปินยอมอยู่เป็นเพื่อน หมอเทวดาไม่เพียงแต่ช่วยรักษาอาการป่วย ยังถ่ายทอดวิชาให้มากมาย ที่ยอมสอนให้เพราะเอ็นดูส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือรำคาญคนป่วยที่ชอบบ่นว่าไม่มีอะไรทำ

ยิ่งแว่นได้เรียนรู้จากหลิ่งปินมากเท่าใด ฝีมือการแพทย์ก็ยิ่งรุดหน้า ตอนนี้เขาฝังเข็มเป็นแล้ว ต้องขอบคุณอาเปาที่ยอมเป็นอาสาสมัคร แว่นจึงได้ฝึกฝีมือกับคนจริง ถ้าได้เรียนอย่างเข้มข้นอีกสักครึ่งปี แว่นจะมีความรู้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าหมอในวังหลวง เสียดายพอเริ่มจะขยับตัวลุกขึ้นเดินได้ หลิ่งปินก็หยิบยาขวดหนึ่งมายัดใส่มือให้ เป็นสัญญาณว่าเขาเตรียมพร้อมจะจากไป

“ท่านอาจารย์อย่าเพิ่งไปเลยนะ อยู่ด้วยกันอีกสักพักเถอะ ท่านไม่อยู่แล้วใครจะให้ข้าเรียกว่าแม่จ๋า” แว่นอ้อน

“เด็กบ้านี่ อยากให้ข้าตีเจ้านักหรือไง” หลิ่งปินเอ็ด

“ขอแค่ท่านยอมอยู่ต่อ จะตีข้าจนน่วมเลยก็ได้”

กุ้ยฮวาปั้นหน้าราวกับลูกสุนัขที่รู้ว่ากำลังโดนทิ้ง หลิ่งปินมองแล้วถอนใจแต่ไม่ใจอ่อน ชายหนุ่มถอยห่างออกมาเพื่อไม่ให้ศิษย์ตัวแสบมากระโดดกอดแข้งกอดขาเหมือนอย่างที่ชอบทำ แล้วจึงค่อยสั่งเสียงเข้ม

“ผลข้างเคียงของยาคราวนี้จะทำให้ร่างกายร้อนขึ้น เพื่อต้านฤทธิ์เย็นของอากาศ ถึงไม่หนาวก็ต้องใส่เสื้อผ้าให้หนาจะได้ไม่ป่วยซ้ำซ้อน อ้อ! ถ้าไม่อยากตายก็ห้ามหนีกลับเมืองหลวงก่อนเดือนสิบ ท่องให้ขึ้นใจด้วยว่าร่างกายเจ้าไม่ถูกกับอากาศร้อน”

กล่าวจบหลิ่งปินก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่ร่ำลา แว่นมองชายหนุ่มตาละห้อย ถึงอาจารย์จะปฏิเสธว่าไม่ใช่พวกเบี่ยงเบนทางเพศ แต่เขากลับรู้สึกว่าหลิ่งปินเป็นเหมือนตัวแทนของมารดาจริงๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม รู้เพียงแต่พอเขาไปแล้วก็เหงา อารมณ์เหมือนตอนจากบ้านมาอยู่หอพักไม่มีผิด

แว่นคิดถึงเพื่อนๆ จับจิต กว่าครึ่งปีแล้วที่ไม่ได้พบกัน แม้ซีอิ๋งกับอาเปาจะเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ ก็ไม่อาจพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง

“ต้องรีบหายเร็วๆ แล้วสิ จะได้ขึ้นเขาไปหาหน่อม” แว่นบอกตัวเอง ก่อนเริ่มยืดเส้นยืดสาย ด้วยหวังให้พละกำลัง กลับคืนมาในเร็ววัน



วัดลู่ซานตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในถิ่นกันดารร้างผู้คน แต่ที่นี่กลับไม่เคยขาดปัจจัยในการดำรงชีวิต เหตุเพราะมีไทเฮาเป็นองค์อุปถัมภ์ พระนางศรัทธาในตัวนักพรตอี้ซั่ง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง แม้ระยะหลังจะไม่สามารถเสด็จมาถือศีลได้ ก็ยังส่งปัจจัยมามิได้ขาด

เพื่อตอบแทนพระเมตตาของไทเฮา ทางวัดจึงสร้างเรือนรับรองขึ้นมาหลังหนึ่งเพื่อให้พระนางได้อยู่อย่างสบายยามเสด็จมา ขณะนี้เรือนรับรองที่ว่าได้กลายเป็นที่พำนักชั่วคราวขององค์หญิงลี่จู พระนัดดาองค์โปรดของไทเฮา นางมาอยู่ที่นี่มากว่าครึ่งปีแล้ว ด้วยปรารถนาจะสะเดาะเคราะห์ให้คู่หมั้น

องค์หญิงลี่จูเฝ้าวิงวอนขอร้องให้ท่านนักพรตทำพิธีให้อยู่หลายวัน กว่านักพรตอี้ซั่งจะตอบรับ เงื่อนไขแรกของพิธีนี้คือต้องถือศีลอย่างเคร่งครัดหนึ่งร้อยห้าสิบวัน ระหว่างนั้นห้ามพบปะคนนอก องค์หญิงรับคำในทันที นางสั่งให้คนปิดเรือนรับรองเอาไว้ มีแต่นางกำนัลรับใช้และนักพรตอี้ซั่งเท่านั้นที่สามารถเข้าออกได้

เมื่อพิธีกรรมอันยาวนานเสร็จสิ้น องค์หญิงก็ให้คนเปิดประตูเรือนรับรองออก แล้วสั่งว่าหากมีสตรีหน้าตางดงามมาขอพบ ก็ให้พาเข้ามาได้ทันที ไม่ทันจะสายก็มีจอมยุทธ์หญิงหน้าตาสะสวยมาถามหาองค์หญิง นางกำนัลรับใช้จึงรีบเชิญมาที่เรือน แต่แขกที่ว่าหน้าตางามไม่ได้มีเพียงคนเดียว สองชั่วยามต่อมาท่านหญิงรุ่ยฟางก็มาขอพบด้วย นางกำนัลคนเดิมจึงนำทางมาให้อีกรอบ

“อิแว่น! มากินเร็ว อาหารที่นี่อร่อยเวอร์” โบ้โบกไม้โบกมือให้ทันทีที่เห็นเพื่อน

เขาดีใจมากไปเลยลืมตัวพูดภาษาไทย แว่นทำตาดุใส่แต่โบ้ก็ไม่ได้สังเกต ยังคงยิ้มร่าจัดแจงตักแบ่งผัดหมี่จากจานใหญ่ใส่ชามให้

แว่นนึกอยากตำหนิแต่เห็นเพื่อนยื่นอาหารมาให้พร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง ก็เผลอยิ้มตอบจนลืมดุ

“เราเพิ่งได้ข่าวว่าเจ้าป่วย เป็นอะไรมากไหม” หน่อมถาม

“โรคแพ้อากาศร้อนน่ะ ไม่มีอะไรมากมาย มาอยู่นี่แล้วก็แข็งแรงขึ้นมาก ข้าเดินขึ้นเขามาหาเจ้าเองเลยนะ” แว่นเอ่ยอย่างอวดๆ

อากาศเย็นอย่างพอเหมาะส่งผลดีกับร่างกายกุ้ยฮวาอย่างเหลือเชื่อ ตั้งแต่มาอยู่ในร่างนาง ก็มีวันนี้นี่แหละที่แว่นคิดว่าสุขภาพของตัวเองแข็งแรงเท่าคนปกติ

“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรฝืน น่าจะนั่งเกี้ยวให้คนแบกขึ้นมา”

ทางขึ้นเขาที่นี่ไม่ชันมาก ขบวนเสด็จของไทเฮาเข้ามาได้ เกี้ยวเล็กๆ ก็ไม่น่าเป็นปัญหา

“ทำแบบนั้นก็ไม่ได้ออกกำลังกายกันพอดีสิ”

“แต่ถ้าหมดแรงหรือเป็นอะไรไปกลางทางก็แย่นะ” หน่อมเตือน

“มีซีอิ๋งกับอาเปามาด้วยไม่เป็นไรหรอก”

หน่อมได้ยินแบบนั้นจึงสั่งให้นางกำนัลไปหาคนทั้งสอง ขอให้ช่วยจัดการเรื่องอาหารการกินและต้อนรับเสมือนแขก

“แล้วที่นี่ละเพคะ องค์หญิงจะให้จัดสำรับเมื่อใด”

นางกำนัลถามเช่นนี้เพราะบนโต๊ะยังมีอาหารและของกินเล่นจำนวนมาก องค์หญิงกับพระสหายยังอิ่มอยู่ อาจอยากเลื่อนเวลาเสวยออกไป

“เที่ยงตรง สี่ที่”

“สี่ที่?” นางกำนัลทำหน้าประหลาดใจ

“ยังเหลือแขกอีกคน อีกไม่เกินสองชั่วยามคงมาถึง เจ้าอย่าลืมไปรอรับนางด้วย” หน่อมอธิบาย

ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามความฝัน เจ้ต้องขึ้นเขามาโดยที่ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า

“เพคะ” นางกำนัลค้อมกายให้ ก่อนออกไปทำตามคำสั่ง

โบ้รู้จากหน่อมอยู่แล้วว่าเจ้กำลังตามมาจึงไม่ถามว่าคนที่สี่เป็นใคร ส่วนแว่นก็พอเดาออก เลยมุ่งความสนใจไปที่เรื่องอื่น

“วันนี้ที่มาครบองค์ประชุมไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม”

“อืม...เกี่ยวกับเรื่องความฝันของเรา”

“ฉันจะถูกแทงตายหรือมีตัวประหลาดอะไรโผล่มาอีกล่ะ”

แว่นเห็นใจหน่อมไม่น้อย เป็นองค์หญิงต้องใช้ชีวิตในกรงทองก็น่าอึดอัดแล้ว ยังมีฝันบอกเหตุบ้าๆ ตามมาหลอกหลอนอีก

“เปล่า...ไม่ใช่เธอ แต่เป็น...” หน่อมหยุดคำพูดเอาไว้เพียงเท่านี้ เขาไม่อยากเอ่ยมันออกมาด้วยกลัวว่าจะเป็นลางร้าย ความลำบากใจในสีหน้าท่าทีของเพื่อนทำให้แว่นเดาออกอีกครั้งว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นใคร

“สถานการณ์ที่อี้ป่ายไม่สู้ดีหรือ”

“ตอนนี้ยังไม่ แต่ในอนาคตจะกลายเป็นสมรภูมิเลือด”

คำพูดของหน่อมทำให้คนที่กำลังกินอย่างเมามันถึงกับวางตะเกียบ

“นี่กำลังจะพูดเรื่องซีเรียสกันใช่ไหมคะ”

“ใช่” หน่อมตอบรับ

“เครียดมากไหมคะ”

“เกี่ยวกับความเป็นความตาย เครียดไหมล่ะ” แว่นจิกตาใส่คนหัวช้า

“งั้นคนสวยขอไปฉี่ก่อน กลัวจะยาว อั้นไว้มันไม่ดีกับกระเพาะปัสสาวะ” โบ้ยกกาน้ำชาเปล่าๆ ขึ้นมาให้ดู เพื่อยืนยันว่าดื่มน้ำเข้าไปมาก

“จะฉี่หรือจะขี้ก็ตามสบายย่ะ ไม่มีใครคิดจะเอาเรื่องซีเรียสไปปรึกษาแกอยู่แล้ว”

“อ๊าย! ไม่เอาค่ะอย่าเพิ่งพูด รอกันก่อนสิคะ เดี๋ยวเดียวเอง คนสวยไม่อยากตกข่าว” พูดแล้วก็วิ่งไปห้องน้ำอย่างเร็วจี๋ เพื่อจะได้กลับมาทันฟังเพื่อนคุยกัน

โบ้หายไปทำธุระส่วนตัวครู่เดียวจริงๆ ทว่าพอกลับมาบรรยากาศในห้องกลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ แว่นกับหน่อมที่ควรคุยกันด้วยเหตุผล กลับทุ่มเถียงกันเสียงดัง

“ถ้าแกยังจะรั้นไปให้ได้ ก็ไม่ต้องมาคบกันเป็นเพื่อน!” เสียงแว่นดังลั่นจนโบ้สะดุ้ง

“เราจำเป็นต้องไป ถ้าเธอไม่อยากยุ่งเราก็จะไม่ดึงเธอเข้ามาเกี่ยว” หน่อมโต้เสียงแข็งอย่างที่ไม่เคยได้ยิน

โบ้เกือบนึกว่าหูฝาด หน่อมที่มักจะใจดีทำอะไรก็ไม่เคยโกรธ ถึงขนาดใช้น้ำเสียงแบบนี้ได้แสดงว่าสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต

“ใจเย็นนะคะทั้งสองคน มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน” โบ้ถลามาห้าม

แว่นรู้ตัวในตอนนั้นว่าตัวเองโวยวายเกินกว่าเหตุ จึงสูดลมหายใจเพื่อระงับโทสะ เห็นทียาของหลิ่งปินจะไม่ได้ส่งผลกับร่างกายอย่างเดียว ยังทำให้อารมณ์ร้อนขึ้นด้วย

เมื่อแว่นเงียบหน่อมก็พลอยเงียบตามไปด้วย โบ้มองหน้าเพื่อนสองคนสลับกันไปมาด้วยสีหน้าลำบากใจ

“เกิดอะไรขึ้นคะ อธิบายให้ฟังหน่อย”

“ถามมันเองเถอะ เพราะคนรนหาที่คือมัน” แว่นว่ากึ่งประชด

เขาไม่อยากพูดมากเพราะไม่อยากโมโหกับความรั้นของหน่อม

“ท่านแม่ทัพกำลังแย่ เราเลยอยากไปช่วย แต่แว่นห้ามไม่ให้ไปเลยทะเลาะกัน” หน่อมเล่าอย่างรวบรัด

เขาไม่ได้โกรธแว่นเพราะเข้าใจเหตุผลของเพื่อนเป็นอย่างดี เพียงแต่จำต้องทำเสียงแข็งใส่เพื่อยืนยันความตั้งใจของตน

“อ้าว! ว่าที่สามีกำลังเดือดร้อน เราก็ต้องช่วยสิคะ” โบ้หันไปเข้าข้างหน่อม ผลคือถูกแว่นถลึงตาใส่

“แกจะบ้าหรืออิโบ้ ตอนนี้แม่ทัพต่กำลังรบอยู่ในสงคราม อิหน่อมจะไปช่วยอะไรเขาได้นอกจากเป็นภาระ เผลอๆ ดันทุรังไป ยังไม่ทันออกนอกเจียงเฉียงอาจโดนโจรฆ่าปาดคอตายก่อน”

“จริงด้วยสิ หน่อมอย่าเพิ่งผลีผลามไปเลยนะคะ เป็นถึงองค์หญิงจะไปแคว้นที่กำลังมีสงครามได้ยังไง”

คราวนี้โบ้พูดได้ดีมีเหตุผล แว่นพยักหน้ารับอย่างพอใจ หน่อมเห็นอย่างนั้นจึงอธิบายให้เพื่อนทราบรายละเอียด

“เรารู้สถานการณ์ดี ไม่ได้จะไปเพราะความคิดชั่วแล่น เราวางแผนช่วยท่านแม่ทัพมานาน เตรียมของจำเป็นกับอาวุธป้องกันตัวเอาไว้แล้ว”

“แผนการกับปฏิบัติจริงมันเหมือนกันที่ไหน เก็บมีดปอกผลไม้ของแกไปเลยอิหน่อม” แว่นค่อนแคะเพราะยังไม่ลืมมีดพกขนาดฝ่ามือของเพื่อน

“ถ้ามีแผนก็น่าจะพอไหวนะคะ คนสวยให้ยืมอาวุธก็ได้ ที่บ้านมีเพียบเลย” โบ้ย้ายฝั่งเร็วจี๋

“นี่แกอย่าไร้สติพาเพื่อนไปตายได้ไหม” แว่นแว้ด “อิหน่อมไม่มีวิทยายุทธ์ ขนอาวุธไปเป็นลังก็ไม่มีประโยชน์”

“ขอโทษค่ะ...ก็หน่อมขออะ ให้ขัดมันก็...” โบ้พันนิ้วไปมาอย่างรู้สึกผิด

“สรุปแกจะเข้าข้างใครก็เลือกมาสักคน” แว่นเอ่ยอย่างรำคาญ

“เธอเข้าใจเราใช่ไหมโบ้” หน่อมเอ่ยในจังหวะใกล้เคียงกัน

สายตาจริงจังของทั้งคู่พุ่งตรงมาที่โบ้ คนกลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ด้วยไม่รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร ต่อให้เข้าใจสถานการณ์โบ้ก็ยังไม่สามารถเลือกเข้าข้างคนใดคนหนึ่งได้ เขาคิดหาทางออกสุดกำลัง แต่เนื่องจากไม่ค่อยได้คิดตรึกตรองอะไรบ่อยนัก ในหัวเลยมีคำว่า ‘Error’ ลอยเด่นเป็นสง่า ถ้าไม่มีใครยื่นมือมาช่วย รับประกันได้ว่าในไม่ช้า สมองของโบ้จะมีเสียงระเบิดตู้ม ตามมาด้วยควันโขมง

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

ภาคใหม่มาแล้วนะคะคนดี ภาคนี้สี่สาวจะไปเปรี้ยวในสนามรบกัน จะดราม่า ฮา ป่วน แบบไหน อย่าลืมติดตามนะคะ สปอยจัดหนักตรงเน้เลย อีกไม่กี่บทเจ้จะได้เจอซั่วยั่วด้วยค่ะ โฮะๆๆ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ธ.ค. 2558, 00:01:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ธ.ค. 2558, 00:01:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1346





<< ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๑๕ เมื่อดอกท้อโรยรา (พบกันในเล่ม3นะคะ)   สู่สมรภูมิ : บทที่ ๒ แผนเปลี่ยนอนาคต >>
mottanoy 7 ธ.ค. 2558, 11:11:43 น.
จะไปป่วนกันในสนามรบเหรอคะเนี่ยะ


Zephyr 10 ธ.ค. 2558, 07:59:30 น.
เจ้มาตัดสินหน่อย
เอาหงเซียนไปคนเดียว นางคงมีความสุขมาก ในสนามรบ
อย่าหันมาฆ่ากันเองพอ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account