ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: สู่สมรภูมิ : บทที่ ๒ แผนเปลี่ยนอนาคต

สู่สมรภูมิ : บทที่ ๒ แผนเปลี่ยนอนาคต

โบ้ผู้น่าสงสารติดอยู่ในบรรยากาศมึนตึงระหว่างแว่นกับหน่อมหลายชั่วยาม ทั้งคู่เลิกโต้เถียงกันนานแล้ว แต่การที่ต่างฝ่ายต่างเงียบก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น นอกจากเพิ่มความอึดอัด โบ้ไม่กล้าแม้แต่จะร้องเพลงหรือชวนคุยเปลี่ยนอารมณ์ ทำได้แค่กระเถิบมานั่งแถวประตู คอยชะแง้แลมองว่าเมื่อไรตัวช่วยจะมา

โบ้รอจนกระทั่งใกล้เที่ยง คนที่รอก็มาถึง เขารีบโผเข้าหาเจ้ในสภาพน้ำตานองหน้าโดยไม่สนใจว่ามีนางกำนัลอยู่ด้วย เจ้จำต้องยืนให้กอดอย่างนั้นพักหนึ่ง แสร้งพูดว่าไป๋หลินคิดถึงมากจนร้องไห้ ดีที่ว่านางกำนัลของหน่อมไม่มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น ส่งแขกเสร็จแล้วก็หลบฉากออกไปอย่างรู้งาน เปิดโอกาสให้เจ้แว้ดใส่โบ้

“อิบ้าโบ้! ทำอะไรของแก ตกใจหมดนึกว่าถูกควายขวิด”

โบ้กระโจนเข้าหาเธออย่างแรง ถ้าขาไม่แข็งพอคงล้มกลิ้ง

“ไม่ใช่หนูค่ะ แต่เป็นนั่น...” โบ้ชี้เข้าไปในห้อง

เจ้มองตามไป ก็เห็นเพื่อนอีกสองคน พอไม่มีใครกระตือรือร้นทักทายก็เข้าใจทันที

“พวกแกสองคนทะเลาะอะไรกัน”

แว่นไม่ยอมตอบคำถาม ทำเพียงปรายตามามองแล้วก็เงียบ ส่วนหน่อมบอกนิ่มๆ ว่าให้เจ้นั่งพักก่อน อีกเดี๋ยวสำรับอาหารจะมาแล้ว

“อืมดี...เป็นใบ้เป็นบ้ากันให้หมด”

เจ้วางสัมภาระห่อใหญ่ลงโครม หมายจะเตือนให้รู้ว่ากำลังทำตัวงี่เง่าทั้งคู่

“เจ้อย่าเพิ่งอารมณ์บ่จอยสิคะ ยังมีหนูคนหนึ่งนะที่เป็นปกติ” โบ้รีบพูดเพราะกลัวเจ้ไปร่วมวงทะเลาะด้วย

“แกเคยปกติด้วยเหรออิโบ้” เจ้แยกเขี้ยวใส่ ทำเอาโบ้ถอยร่นไปไกลหลายเมตร

เจ้มองคนทะเลาะกันแล้วถอนใจ เธอทราบมาระยะใหญ่ว่าหน่อมกำลังทำอะไร คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าแว่นรู้ต้องห้าม แต่ไม่คิดว่าจะโกรธถึงขั้นบึ้งตึงใส่กัน

“อิหน่อม...แกเลิกเกริ่นเลิกกั๊กเถอะ มีอะไรก็อธิบายให้อิแว่นมันฟังให้หมด มันจะได้เลิกหน้าบูดเป็นตูดแมวซะที”

คนหน้าบูดหันมาค้อนควักแต่ก็ยังไม่พูดอะไร

“ตราบใดที่ยังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ เราก็พูดอะไรมากไม่ได้”

หน่อมต้องการยืนยันให้มั่นใจก่อนว่ารายละเอียดในความฝันถูกต้อง

“รู้แล้วน่า ของที่แกอยากได้อยู่ในนี้หมดแล้ว” เจ้ก้มลงแกะห่อผ้า แล้วหยิบกล่องขนาดย่อมออกมายื่นให้

“ขอบคุณนะ” หน่อมรีบรับมา

ในกล่องมีแผนที่หลายฉบับกับข้อความจากสายข่าว ส่วนใหญ่รายงานถึงสถานการณ์การรบที่อี้ป่าย

ในจังหวะที่หน่อมกำลังวุ่นวายกับการดูแผนที่ ด้านนอกก็มีเสียงคนคุยกัน ปรากฏว่าเป็นนางกำนัลกำลังยกอาหารมาให้ หน่อมจึงบอกให้วางเอาไว้ แล้วห้ามมารบกวนอีกจนกว่าแขกจะกลับ

“เราขออ่านเอกสารพวกนี้ก่อนนะ เจ้รีบกินข้าวเถอะ ยังต้องคุยกันอีกยาว โบ้กับแว่นด้วย”

ถ้าโมโหมากกว่านี้อีกหน่อยแว่นคงถือทิฐิไม่ยอมแตะอาหาร ดีที่ฤทธิ์ยาเริ่มหมดสภาพและใจเย็นมากขึ้น จึงยอมทำตาม

“แกก็มากินด้วยกันก่อน เอกสารมันไม่หนีไปไหน” เจ้เรียก

หน่อมทิ้งแผนที่ในมือเพื่อไปร่วมวงอย่างไม่อิดออด ทำให้บรรยากาศอึดอัดบรรเทาลงหลายส่วน โบ้โล่งใจขึ้นมาก เขาคิดว่าอีกเดี๋ยวเพื่อนๆ คงกลับมาเฮฮาดังเก่า แต่เปล่าเลย พอแว่นกับหน่อมยอมพูดกัน บรรยากาศเคร่งเครียดก็ก่อตัว ทุกคนคุยเรื่องสงครามด้วยสีหน้าจริงจัง โบ้จึงได้แต่นั่งนิ่งฟังแบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง

ขณะนี้แคว้นอี้ป่ายซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเจียงเฉียงกำลังทำสงครามกับแคว้นจงเย่า ศึกครั้งนี้ส่อเค้าว่าจะปราชัย เมื่อป้อมปราการสำคัญถูกยึดไปสองแห่ง เจาอ๋องซึ่งถูกส่งไปปกครองอี้ป่ายจึงขอกำลังพลจากฮ่องเต้ไปช่วยต้านศึก ฮ่องเต้ทรงตอบรับคำขอ ด้วยการมีบัญชาให้แม่ทัพต่งนำกำลังทหารสามหมื่นนายไปยังอี้ป่าย

กำลังพลใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพต่งในต้าต่านมีร่วมแสน แต่สามารถนำไปได้เพียงเท่านี้เพราะต้องตรึงกำลังไว้ที่ต้าต่านด้วย ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าแคว้นป้าวเฟิงที่รบแย่งชิงดินแดนลุ่มแม่น้ำกันมายาวนาน จะไม่ฉวยโอกาสนี้บุกเข้ามาชิงพื้นที่ทางการเกษตรไป

สายข่าวรายงานว่าอี้ป่ายเหลือกำลังพร้อมรบเพียงห้าหมื่น มีเพิ่มไปสามหมื่นก็เท่ากับแปดหมื่น ด้อยกว่าทัพฝ่ายตรงข้ามที่มีกำลังถึงหนึ่งแสนสองหมื่น แต่ด้วยยุทธวิธีการรบอันยอดเยี่ยมของแม่ทัพต่ง ทำให้ทัพศัตรูบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ในขณะที่ฝ่ายเราแทบไม่เสียกำลังพล

หลังจากปะทะครั้งแรก ทัพของจงเย่าก็ถอยไปตั้งหลัก ทั้งสองฝ่ายดูท่าทีกันอยู่ระยะหนึ่ง ทางจงเย่าก็ส่งทูตมาทำการไกล่เกลี่ยขอประนีประนอม แต่แท้ที่จริงแล้วต้องการซื้อเวลาเพื่อส่งทหารบาดเจ็บกลับแคว้นและเรียกกำลังสำรองมาสับเปลี่ยน เพื่อจะได้รบอย่างเต็มกำลังอีกหน

แผนการของแคว้นจงเย่านับว่าชาญฉลาด ทว่าก็ยังไม่สามารถเอาชนะกองกำลังของแม่ทัพต่งได้ ทัพหลักจากเจียงเฉียงมีชัยเหนือข้าศึกจนสามารถยึดป้อมปราการหว่อเกอคืนมา ขณะนี้กำลังเตรียมการเคลื่อนทัพไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อยึดฐานที่มั่นในเมืองน่าฝูฉางคืน ศึกนี้ถือว่าหนักหนาเพราะที่นั่นเป็นที่ตั้งกองกำลังหลักของศัตรู อีกทั้งยังอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบ หากไม่สามารถเผด็จศึกได้ในเร็ววัน ย่อมหมายถึงความปราชัย

“เราฝันเห็นเรื่องราวในสนามรบหลายครั้ง แล้วก็มั่นใจว่ามันคืออนาคตไม่ได้คิดไปเอง” หน่อมย้ำกับทุกคน

ภาพคนรักถูกกระหน่ำแทงด้วยอาวุธมีคม ปรากฏอยู่ในความฝันของเขา ก่อนฮ่องเต้จะมีบัญชาให้ชายหนุ่มไปรบเสียอีก หน่อมห้ามไม่ได้ เตือนก็ไม่ได้เพราะตอนนั้นความฝันยังเลือนราง กว่าทุกอย่างจะแจ่มชัด จินไท่ก็จากไปไกลเกินส่งข่าว

“มีหนอนบ่อนไส้อยู่ในกองทัพ ถ้าเราไปไม่ทันทหารทั้งหมดของเจียงเฉียงจะไม่ได้กลับมาหาครอบครัว”

“แกเลยต้องไปเตือนด้วยตัวเองและช่วยเขารบ” แว่นประชดใส่ แต่หน่อมกลับตอบรับหนักแน่นว่าใช่

ฟังแล้วต้องพยายามนับหนึ่งถึงพันในใจ เพื่อไม่ให้หงุดหงิดใส่คุณชายหัวดื้อ

“ฉันเห็นด้วยเรื่องแจ้งข่าว แต่ไม่เห็นด้วยเรื่องไปช่วยรบ อนาคตใช่ว่าจะแก้ไขได้ง่ายๆ แกมั่นใจได้ยังไงว่าถ้าไปแล้วทุกอย่างจะไม่เลวร้ายลง” เจ้แสดงความเห็นบ้าง

ช่วงที่ผ่านมาเจ้ยอมตามใจช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้ก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอสนับสนุนให้เพื่อนไปเสี่ยงอันตราย

“เราไม่ได้เห็นแค่อนาคต แต่เราเห็นวิธีแก้ด้วย” หน่อมบอก

“นี่หน่อมเลเวลอัพเหรอคะ!” โบ้ร้องอย่างตื่นเต้น

หน่อมพยักหน้ารับ แท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ขอให้นักพรตอี้ซั่งช่วยสะเดาะเคราะห์ให้แม่ทัพต่ง แต่คุกเข่าวิงวอนขอให้เขารับเป็นศิษย์ต่างหาก

นักพรตอี้ซั่งได้ชื่อว่าเป็นนักพรตที่ทรงฤทธิ์ หยั่งรู้ฟ้าดิน หน่อมเองก็มีพรสวรรค์และจิตวิญญาณของภูตในตัว เมื่อได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจังจึงสำเร็จวิชาพยากรณ์ สามารถค้นหาหนทางเปลี่ยนอนาคตได้ด้วยตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้นก็เลิศสิคะ จะรออะไร ไปช่วยแม่ทัพต่งกัน” โบ้คึกขึ้นมาทันทีในขณะที่เจ้กับแว่นเงียบกริบ

ใครบ้างไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงโชคชะตามีค่าใช้จ่ายมหาศาล ชีวิตอาจต้องแลกด้วยชีวิต หรือไม่ก็สิ่งล้ำค่าอย่างอายุขัย หน่อมสบตากับเพื่อนทั้งสองคนก็เข้าใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จึงสารภาพไปตามตรง

“เราแลกอายุหนึ่งพันปีกับวิธีช่วยท่านแม่ทัพ”

“พันปี! เดี๋ยวนี้มันมีระบบให้กู้ยืมอายุล่วงหน้าสิบชาติด้วยเหรอ” เจ้ถาม

“เปล่า เราแบ่งอายุของจ้าวสนธยาให้ไปน่ะ ไม่ใช่ขององค์หญิงลี่จู”

“แล้วเมียแกไม่โวยวายแย่”

เป็นเจ้นี่คงเหวี่ยงเละที่เอาชีวิตตั้งพันปีไปเททิ้งให้ชายอื่น

“ถ้าไป่เหอรู้ คงบ่นบ้างแต่คงเข้าใจ”

ภูตส่วนใหญ่มีอายุขัยหลายหมื่นปี ตอนเขาเป็นจ้าวสนธยา ยังเคยนอนหายใจทิ้งเป็นพันปีเลย

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่น่าห่วง” แว่นเอ่ยเสียงสูงอย่างจงใจ

เขาไม่เชื่อหรอกว่าเครื่องแลกเปลี่ยนทั้งหมดจะมีเพียงเท่านี้

“เราแลกอายุกับวิธีแก้ไขอนาคตไปแล้ว และไม่คิดเสียใจ” หน่อมพูดกับแว่น เขาหันไปสบตากับเพื่อนอีกสองคน “เรายอมเสี่ยงเพื่อคนที่เรารัก แต่จะไม่ดึงพวกเธอไปเกี่ยวข้องด้วยถ้าไม่เต็มใจ”

“ถ้าไม่เต็มใจ?” แว่นทวนคำ “แสดงว่ามีเรื่องที่แกอยากให้พวกเราช่วย”

“ใช่...” หน่อมพูดเสียงเบาอย่างรู้สึกผิด ถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากให้เพื่อนๆ ต้องลำบาก แต่หนทางเปลี่ยนอนาคตมีไม่มาก ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหลายฝ่ายก็ยากจะสำเร็จ

“คนสวยสู้ตาย พร้อมรบค่ะ” โบ้ยืดตัวตรงพร้อมทำท่าวันทยาหัตถ์

“ขอบคุณนะ แต่อย่าเพิ่งรีบรับปากเลย ฟังแผนการของเราก่อนค่อยตัดสินใจ”

หน่อมเริ่มเล่าว่าฝันเห็นแม่ทัพต่งถูกหลอกให้แยกออกมาจากทัพหลัก เพื่อไปช่วยรักษาเมืองอีกแห่งที่กำลังถูกโจมตี แต่กลับถูกหลอกให้ฝืนยันเอาไว้โดยไม่มีการส่งกำลังเสริมไปให้ วิธีการช่วยเหลือที่ได้ผลที่สุดคือต้องทำทุกวิถีทางให้เขาชนะศึก

หน่อมจ้างทหารรับจ้างจากหรงซิ่งเอาไว้ห้าร้อยคน ตอนนี้รออยู่แถบชายแดนที่จุดนัดพบ แต่ห้าร้อยคนก็ยังน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนทหารหลักหมื่นของฝ่ายศัตรู

“ต้องหาคนเพิ่มจากหุบเขาทมิฬ เราอยากให้โบ้บุกไปที่นั่น จัดการหัวหน้าโจรแล้วยึดอำนาจซะ จากนั้นก็รวบรวมกำลังพลมาช่วยแม่ทัพต่งที่เมืองเป่าคง”

หุบเขาทมิฬเป็นเขตนอกกฎหมายอยู่ติดกับอี้ป่ายและจงเย่า โบ้เคยได้ยินชื่อนี้ระหว่างการเดินทาง หยางเจี้ยนบอกว่าพวกมันเป็นโจรกระจอก มีฝีมือไม่เท่าไร ที่ต้องระวังเพราะถนัดเล่นลอบกัดและมีพวกมาก

“ช่วงที่โบ้แยกไป เราจะซุ่มโจมตีหาทางลดกำลังคนของข้าศึก เราเตรียมคนกับเครื่องไม้เครื่องมือส่งไปทางนั้นพอสมควรแล้ว แต่ปัญหาคือเวลากับสถานที่ เราต้องไปที่อี้ป่ายก่อนถึงจะรู้แน่นอนว่าข้าศึกจะผ่านมาทางไหน ระหว่างนั้นอยากขอให้เจ้กับผีเสื้อโลหิตช่วยคุ้มกัน”

เจ้าของฉายาถึงกับสะดุ้ง แต่ก็ยังเก็บสีหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ได้ ถึงหน่อมจะรู้ตัวจริงของเธอแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องลากแว่นกับโบ้มาปวดหัวกับหงเซียนด้วย

“ส่วนแว่นเราอยากให้ช่วยเป็นที่ปรึกษากับดูแลรักษาคนเจ็บ แผนการของเราคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ ที่อยากให้ทุกคนจำเอาไว้ให้ขึ้นใจคือต่อให้แผนสำเร็จ เราก็รับประกันความปลอดภัยชีวิตใครไม่ได้”

“แกหมายความว่าต่อให้ทั้งกองทัพรอด แต่พวกเราอาจตาย” แว่นแก้ให้ฟังง่ายขึ้น เผื่อคนหัวช้าอย่างโบ้จะไม่เข้าใจ

“นั่นคือบทสรุปในทางร้ายที่สุด แต่โอกาสเกิดมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ถ้ารอบคอบให้มากคงไม่เป็นไร ที่ไม่รับประกันคืออาการบาดเจ็บ เราให้สัญญาได้แค่ว่าถ้าเสี่ยงเกินไปหรือรู้ล่วงหน้าว่าพวกเธอจะตกอยู่ในอันตราย เราจะรีบบอกและหาทางช่วยให้เร็วที่สุด ที่จริง...ขอแค่ไปอี้ป่ายได้ ไม่ถึงขนาดต้องรบกันอนาคตก็เปลี่ยนไปบางส่วนแล้ว”

“เปลี่ยนยังไงคะ” โบ้ถาม

“จะมีผู้รอดชีวิตมากขึ้น อย่างน้อยๆ ก็ทหารหมื่นนาย รวมถึงหน่วยเสื้อคลุมดำครึ่งหน่วย”

“แค่ครึ่งเดียวเองเหรอ” คำพูดแผ่วเบาจากริมฝีปากเจ้ คล้ายคำอุทานเสียมากกว่าคำถาม

“ใช่...เราเห็นอนาคตเป็นแบบนั้น ถ้าอยากเพิ่มจำนวนผู้รอดชีวิต ก็มีแต่จะต้องทำตามแผนการให้สำเร็จ”

เจ้เหม่อลอยไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินชื่อที่มีความเกี่ยวข้องกับอดีตคนรัก ช่วงที่ผ่านมาเจ้พยายามไม่คิดถึงเรื่องเขา จนหลงลืมไปว่าซั่วเย่าเป็นทหารในสังกัดแม่ทัพต่งจินไท่ ทางเลือกในชีวิตเขามีไม่มาก หากไม่ลาออกมาแต่งงานกับชิงชิง ก็ต้องติดตามแม่ทัพต่งไปรบ

‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ฉันยอมตัดใจให้เขาไปมีชีวิตที่ดีกว่า ไม่ใช่ส่งไปตาย’ คนที่เพิ่งช้ำรักคิดอย่างชิงชังโชคชะตา

“แผนการนี้ต้องสำเร็จ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสำเร็จ” เจ้ประกาศกร้าว

แว่นกลอกตาอย่างอ่อนใจ ทีแรกเขาคิดว่ามีเจ้เป็นพวก คอยช่วยเตือนสติหน่อม แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากกระโจนสู่สนามรบกันเต็มแก่

“ขอคำยืนยันหน่อยว่าคนอ่อนแออย่างฉันจะทำประโยชน์ให้มากกว่าเป็นภาระ”

แว่นไม่ได้บอกใครว่าอากาศร้อนมีผลกับสุขภาพ แต่คิดว่าหน่อมคงรู้ การขอคำยืนยันก็เหมือนเป็นการถามอ้อมๆ ว่าการเดินทางครั้งนี้จะทำให้อาการกำเริบปางตายหรือเปล่า

“ถ้าเธอไปด้วยโอกาสสำเร็จจะสูงขึ้น เธอไม่เป็นภาระหรอกแว่น แต่อาจจะต้องทนลำบาก”

ประโยคสุดท้ายฟ้องชัดว่างานนี้อิแว่นอ่วมแน่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา แค่รู้ว่าช่วยหน่อมได้และไม่เป็นตัวถ่วงแว่นก็พอใจแล้ว

“ถ้างั้นก็ดี งานนี้ไปไหนไปกัน”

คำพูดของแว่นตรงใจทุกคน เจ้รีบยื่นมือไปตรงกลางวงสนทนา อึดใจก็มีมืออีกสามมือมาประสานรวมกัน

“สวย...สู้!!!”

เสียงบูมเรียกขวัญกำลังใจดังสนั่น แก๊งตุ๊ดรวมใจเป็นหนึ่งเดียว พร้อมบุกสมรภูมิ



หน่อมต้องการออกเดินทางให้เร็วที่สุด จึงให้เวลาเพื่อนๆ เตรียมตัวหนึ่งวัน พวกข้าวของจำเป็นเขาเตรียมเอาไว้แล้ว จึงกำชับให้พกไปแต่ของสำคัญ ทุกคนทำตามโดยไม่บ่นแต่ก็ไม่วายมีปัญหา ลำพังเจ้ไม่เท่าไร แต่โบ้กับแว่นนี่สิ ถ้าเกิดหายตัวไปเฉยๆ รับรองว่าเป็นเรื่องใหญ่ เลยต้องช่วยกันสร้างสถานการณ์ว่าไป๋หลินกับกุ้ยฮวาอยากถือศีลอยู่ที่วัดกับองค์หญิงลี่จู จึงตัดสินใจเก็บตัวไม่พบผู้ใดระยะหนึ่ง

แว่นโชคดีที่พี่ชายไม่อยู่คุม เลยลำบากแค่กล่อมซีอิ๋งให้ยอมเชื่อฟัง ไม่แอบตามมาปรนนิบัติในวัด ส่วนโบ้ต้องกลับไปขออนุญาตบิดาที่หุบเขาหิมะก่อน โบ้กลัวว่าพ่อจะไม่อนุญาต หน่อมเลยแนะให้เขียนจดหมายไปบอกแทน

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาเดินทาง งานนี้ไม่ต้องทำลับๆ ล่อๆ ให้เหนื่อย เพราะเหล่านางกำนัลของหน่อมล้วนรู้เห็นเป็นใจ ไม่รู้ว่าหน่อมกล่อมพวกนางอย่างไร จึงอำนวยความสะดวกให้เต็มที่

หน่อมพาเพื่อนทั้งสามไปที่ห้องเก็บของ เขาใช้กุญแจหยกเปิดทางลับที่อยู่ใต้เรือนให้ทุกคนลงไป พลางอธิบายว่าเป็นทางลัดลงจากเขา

“ระวังหน่อยนะข้างล่างค่อนข้างมืด ต้องเดินไปอีกหน่อยถึงจะเจอไฟ” หน่อมเตือนโบ้ที่เดินนำลิ่วไปก่อน

“สบายหายห่วงค่ะ คนสวยเจอคบเพลิงแล้ว”

อึดใจโบ้ก็เดินย้อนกลับมาหาเพื่อนๆ แสงสว่างทำให้มองเห็นว่าอุโมงค์ขนาดเล็กแห่งนี้ แข็งแรงและสะอาดสะอ้านกว่าที่คิด ถึงพื้นเป็นดินก็มีการปรับแต่งให้เรียบ มีขั้นบันไดเป็นระยะในจุดที่ชัน งานอลังการอย่างนี้สร้างไม่ได้ในวันสองวันแน่

“แกทุ่มทุนมากเลยนะหน่อม” เจ้มองอย่างทึ่งจัด

“ที่นี่สร้างมาเป็นสิบปีแล้ว ไม่ใช่ฝีมือเราหรอก” หน่อมยิ้มให้กับความเข้าใจผิด

ท่านนักพรตอี้ซั่งเป็นคนรอบคอบ เมื่อมีเชื้อพระวงศ์เป็นแขกประจำก็ต้องสร้างทางลับเอาไว้ให้หลบหนี เผื่อในกรณีมีเหตุร้าย

“เลี้ยวไปทางไหนดีคะ” โบ้ถามเมื่อมาถึงทางแยก

“ไปทางขวาก่อน เราต้องแวะไปเอาของ”

เดินมาทางขวาได้ประมาณสามสิบก้าวก็เจอกับประตูไม้บานใหญ่ หน่อมเคาะประตูเป็นรหัสลับ สักพักประตูจึงเปิดออก คนเฝ้าประตูค้อมกายให้ทันทีเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร

“กระหม่อมจะไปตามนายช่างใหญ่ให้” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรู้งาน

“เราไปหาเองเร็วกว่า” หน่อมห้ามแต่ก็ไม่ทันแล้ว ชายหนุ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนทิ้งระยะห่าง

คนที่เหลือต่างแปลกใจที่มีโรงงานตั้งอยู่ใต้ภูเขา มองผ่านๆ ที่นี่ก็เหมือนโรงเหล็ก จะแปลกก็ตรงคนงานล้วนเป็นนักพรต

“ที่นี่เอาไว้ทำอะไร” แว่นถามเพราะห้ามความสงสัยเอาไว้ไม่ได้

“โรงงานทำอาวุธ”

แว่นสงสัยหนักยิ่งกว่าเดิม อาวุธสมัยนี้มีแต่มีดดาบ แต่สิ่งที่ทุกคนกำลังทำอยู่นั้นต่างออกไป มองอย่างไรก็เป็นชิ้นงานที่มีความละเอียดสูง และไม่น่าจะใช้ต่อสู้ได้ ไม่ทันได้ถามต่อนายช่างใหญ่ก็เดินมาหา ชายวัยห้าสิบเศษผู้นี้สวมชุดนักพรตระดับสูงแต่แต่งกายไม่ใคร่จะเรียบร้อยนัก เคราของเขาเป็นสีน้ำตาลแซมเทาเช่นเดียวกับเรือนผม

“ของที่องค์หญิงต้องการเพิ่งจะเสร็จแค่สองในสี่พ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดอภัยในความล่าช้าของกระหม่อมด้วย” เล่าจูค้อมกายขออภัย

“ไม่เป็นไรหรอก เรารู้อยู่แล้วว่าคงเสร็จไม่ทัน ขอแค่สองสิ่งนั้นเรียบร้อยก็พอ”

“เรื่องนั้นเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ ขอเชิญองค์หญิงทอดพระเนตร”

นายช่างใหญ่กุลีกุจอพามาที่ห้องเล็กซึ่งอยู่ในสุด ห้องนี้ไม่เพียงแต่รกเลอะเทอะ ยังมีกลิ่นเหม็นรุนแรงด้วย แว่นซึ่งจมูกดีกว่าใครแทบเป็นลม แต่เขาก็ยังประคองสติอยู่ได้ เพราะไม่อาจละสายตาจากกองพิมพ์เขียวและชิ้นส่วนเหล็กขึ้นรูป ที่รอการประกอบอยู่บนโต๊ะ

“นี่แกสร้างปืนหรือหน่อม!” แว่นอุทานลั่น หน่อมจึงหันมาจุปาก

“เราให้ท่านนักพรต ช่วยสร้างสิ่งประดิษฐ์ตามบัญชาของพระแม่ชุดขาว”

หน่อมพูดเป็นภาษาเจียงด้วยเสียงดังพอประมาณ เพื่อบอกให้ทุกคนรู้ว่าเหล่านักพรตให้ความร่วมมือ เพราะเชื่อว่าเป็นบัญชาจากสวรรค์

หน่อมไม่เคยคิดใช้งานพวกนักบวช เขาแค่ต้องการยืมห้องลับใต้ภูเขาเพื่อใช้สร้างปืน การสร้างของที่ไม่เคยมีอยู่บนโลกนี้จำเป็นต้องใช้ช่างฝีมือที่มีทักษะ บังเอิญว่านักพรตเล่าจูเป็นอดีตช่างเหล็กก็เลยอาสาช่วยเหลือ เขาคุยโม้ว่าขอเพียงมีแบบแปลน ไม่ว่าอะไรก็สามารถสร้างให้ได้ทุกอย่าง

ถ้าหน่อมบอกไปตามตรงว่าจะสร้างปืนคงต้องอธิบายกันยืดยาวว่ามันคืออะไร เขาเลยอ้างว่าฝันเห็นพระแม่ชุดขาว พระนางมีบัญชาให้สร้างบางสิ่งขึ้นมาเพื่อปราบมาร บังเอิญขณะที่คุยกันอยู่ภูตพฤกษาตัวจิ๋วเล่นซนกระโดดผ่านหน้านักพรตไป มันคิดว่าเขามองไม่เห็น ก็เลยทำตัวตามสบาย แน่นอนว่าเล่าจูมองไม่เห็น แต่เขาก็ยังสัมผัสจิตของภูตตัวน้อยได้

คนสวนใหญ่มาบวชเรียนที่นี่ก็เพราะต้องการฝึกวิชากับนักพรตอี้ซั่ง วิชาหลักของศิษย์สำนักนี้คือการปราบมาร เนื่องจากอาจารย์มีความเชื่อว่า ภูตที่มาข้องแวะกับมนุษย์ส่วนใหญ่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เล่าจูจึงพลอยคิดแบบเดียวกันไปด้วย เขาเข้าใจไปเองว่าองค์หญิงตกอยู่ในอันตราย จึงร่ายคาถาหมายจะจัดการกับภูตพฤกษา

ภูตที่เพิ่งถือกำเนิดก็เหมือนเด็กน้อย มันรู้เสียเมื่อไรว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย ได้แต่ทำตาแป๋วมองนักพรตร่ายเวทสะกดมัน หน่อมเห็นท่าไม่ดีจึงโกหกว่าภูตพฤกษาตนนี้เป็นสิ่งที่เจ้าแม่ชุดขาวส่งมาช่วย น้องกรีนเลยรอดหวุดหวิด

เรื่องของภูตพฤกษาสร้างความศรัทธาให้พอประมาณ แต่สิ่งที่ทำให้เหล่านักพรตยอมพลีกายถวายหัวช่วยเหลือ คือเหตุการณ์หลังจากนี้

เทคโนโลยีในเจียงเฉียงยังล้าหลังทำให้ไม่สามารถสร้างปืนได้ หน่อมเลยไปขอร้องภูตไฟกับภูตดินที่สถิตอยู่ในขุนเขาให้ช่วยเหลือ พวกนักพรตสัมผัสได้ถึงจิตของภูต พอเห็นว่าพวกมันเชื่อฟังคำสั่งองค์หญิง ก็เกิดศรัทธามากขึ้น ร่วมแรงแข็งขันช่วยกันทำงาน ด้วยหวังจะได้รับความเมตตาจากเจ้าแม่ชุดขาวให้สำเร็จวิชาโดยเร็ว

หน่อมนำปืนลูกโม่ที่สร้างเสร็จมาให้เพื่อนๆ ดู ผลงานชิ้นนี้ไม่เพียงแต่ใช้งานได้จริง เนื้อโลหะที่ใช้ประกอบเป็นชิ้นงานยังเรียบลื่นเป็นมันเงา ประหนึ่งสร้างโดยใช้เทคโนโลยีทันสมัย ยิ่งมองก็ยิ่งทึ่ง

“กระหม่อมแก้ไขจุดที่ติดขัดแล้ว องค์หญิงอยากทดสอบหรือไม่”

“ลองสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”

หน่อมบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิง เขาใช้สองมือประคองปืนแล้วเล็งไปที่ผนังอย่างไม่ลังเล

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! ลูกกระสุนสามนัดเข้าตรงกลางเป้ากระดาษที่ติดเอาไว้บนผนังไม่มีพลาด หน่อมยังยิงแม่นสมกับตำแหน่งพลแม่นปืนอันดับหนึ่งของรุ่น เขาปลดลูกกระสุนออกจากรังเพลิง แล้วหันไปยักคิ้วให้เพื่อนๆ ที่กำลังยืนอึ้ง

“จะไปสนามรบทั้งที พกไปแค่มีดปอกผลไม้มันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะ”

- โปรดติดตามตอนต่อไป -

สวัสดีตอนดึกค่ะ
ขอเสียงปรบมือรัวๆ ต้อนรับคุณชายหน่อมแน้มหน่อย
ในที่สุดฮีก็หายจืดจาง 5555
แก๊งตุ๊ดจะเป็นยังไงต่อไปพบกันในตอนหน้านะคะ
ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่า



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ธ.ค. 2558, 00:05:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ธ.ค. 2558, 00:05:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1176





<< สู่สมรภูมิ : บทที่ ๑ ทุ่มเถียง   สู่สมรภูมิ : บทที่ ๓ สวมบทพ่อค้า >>
mottanoy 11 ธ.ค. 2558, 13:14:10 น.
โหได้แต่อึ้ง


นักอ่านเหนียวหนึบ 11 ธ.ค. 2558, 21:48:14 น.
เอิ่มมม ภาคนี้มันส์มากพะยะคะ


Zephyr 13 ธ.ค. 2558, 01:12:26 น.
อุบ้ะ เอาของทุ่นแรงไปด้วยนี่เอง
ว่าแต่สองในสี่อย่าง
นี่ปืน คือหนึ่งละ
อีกอันอะไรอ่ะ
แล้วอีกสองทีเหลืออีก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account