บ้านวุ่น อุ่นไอรัก (รีไรต์)
นายโปรดน่ะเหรอ... ขี้เก๊ก ปากจัด สำอาง เรื่องเยอะ! นี่ยังน้อยไปเสียอีกที่เธอจะนิยามความเป็นตัวเขาได้หมด พอกันที! เธอจะไม่ทนกับคนที่มีดีแค่หน้าตากับซิกส์แพ็ก แต่สมองแรมน้อยเสียยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าโขกสับอีกต่อไป!
อนาวิลาน่ะเหรอ... ชอบสั่ง ชอบสอน จู้จี้ ขี้งก! ที่สำคัญเธอยังมีลูกสมุนเป็นหมาตั้งสี่ตัว อะไรกัน! นี่เขาต้องอยู่ร่วมชายคากับมนุษย์ป้าสายพันธุ์หมูพร้อมฝูงหมาเป็นเวลา 365 วัน ใครก็ได้...ให้เขาไปอยู่บ้านผีสิงเสียยังดีกว่าต้องรับมือกับความวุ่นวายนี่
นายโปรดน่ะเหรอ... บางทีเขาก็มีน้ำใจนะ เขาสัญญาว่าจะแปลงโฉมสาวอวบระยะสุดท้ายอย่างเธอให้ผู้ชายที่เธอแอบชอบหันมาสนใจ เขาทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้น พร้อมกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน
อนาวิลาน่ะเหรอ... เธอก็ไม่ได้ขี้บ่นเสียทีเดียวหรอกนะ บางครั้งยัยมนุษย์ป้าก็มักพูดอะไรให้เขาฉุกคิดและกลับมามีกำลังใจมุ่งมั่นทำตามฝัน ไปๆ มาๆ ผู้หญิงอวบอ้วน เชยๆ เฉิ่มๆ ดันกลายเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบแฟชั่นเซ็ตนี้ของเขาไปเสียนี่ ไม่อยากเชื่อเลย
เรื่องราววุ่นวายใต้ชายคาเดียวกัน ระหว่างชายหนุ่มเจ้าสำอางกับมนุษย์ป้าร่างอวบ พ่วงด้วยลูกสมุนสี่ขาสี่ตัวพร้อมที่จะมาสร้างรอยยิ้ม หรืออาจเรียกน้ำตาโดยไม่รู้ตัว
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๑ หลานชายคุณตา
๑
บ้านเดี่ยวสองชั้นบนเนื้อที่กว่าสองร้อยตารางวาในซอยสุขุมวิทเงียบเหงาไปถนัดใจเมื่อขาดเจ้าของบ้านผู้เป็นที่รักของสุนัขทั้งสี่ตัว พวกมันนอนหมอบหงอยเหงา แค่ได้สบตาอ้างว้าง ฟังเสียงครางหงิงของพวกมัน น้ำตาเธอก็รื้นขึ้นมาอย่างเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นดี
"ไม่เป็นไรนะพวกแก ฉันจะมาให้ข้าวพวกแกเอง จนกว่าเจ้านายใหม่จะมาดูแกนะ"
วันนี้เธอซื้อข้าวผัดมาสองกล่อง ตับย่างอีกสองไม้ แบ่งใส่ฝาโฟมสี่ฝาเท่าๆ กันและสอดมันผ่านเข้าไปใต้รั้ว
"คุณลุง กินเยอะๆ สิจ๊ะ" เธอบอกเจ้าหมาแก่ที่มัวแต่ยืนดม ไม่ยอมกินสักที "หยุดเลยล่ำ ห้ามแย่งของลุงนะ"
อนาวิลาชี้เจ้าตัวล่ำที่ทำเนียนมาดอมดมถาดอาหารเพื่อน เมื่อเจอนิ้วพิฆาตเข้าไปจึงเฉไฉไปกินน้ำในอ่างดินเลี้ยงปลาหางนกยูงแทน
เธอรอจนสุนัขทุกตัวกินอาหารหมดแล้วเก็บโฟมไปทิ้ง สุดหล่อเดินเกาะรั้วตามพลางเห่าเรียกราวกับกลัวเธอทิ้งพวกมันไปอีกคน หญิงสาวต้องยื่นมือผ่านรั้วไปดึงปลอกคอมันอย่างที่มักแหย่ประจำ
"วันนี้ฉันจะไปส่งคุณตาขึ้นสวรรค์ ถ้ากลับไม่ดึกจะมาหานะ"
ถ้าทำได้เธออยากจะพาพวกมันทั้งสี่ตัวไปด้วยกันเสียด้วยซ้ำ หากก็ทำได้เพียงตัดใจลุกจากไปเมื่อวัดที่ตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ห่างไปจากนี่พอสมควร ตามความสะดวกของลูกหลานท่านที่เหลืออยู่ แม้แต่เธอเองก็ได้ไปร่วมงานแค่วันแรกเท่านั้น
แต่วันนี้เป็นวันเสาร์และเป็นวันฌาปนกิจคุณตาสรรค์ชัย ถึงจะเดินทางลำบากอย่างไรเธอก็ต้องการไปร่วมไว้อาลัยท่านเป็นครั้งสุดท้าย
อนาวิลาขึ้นรถประจำทางไปลงยังหน้าห้างสรรพสินค้าย่านรังสิต ก่อนจะต่อรถรับจ้างที่ผ่านหน้าวัดนั้นอีกทีหนึ่ง เดินเท้าเข้าไปจากซุ้มประตูด้านหน้าราวห้าสิบเมตรก็จะพบกับอุโบสถหลังใหญ่
ทว่า...
"อุ่น" รชตวันกดกระจกรถลงพลางเรียก
คราวนี้เขาไม่กล้ากดแตรทักเธออีกแล้วนอกจากขับรถไปเทียบใกล้ๆ แทน
"ขึ้นมาสิครับ"
"อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ เดินไปใกล้ๆ นี้เอง"
น่าเสียดายที่ประสบการณ์การนั่งรถไปกับเขาลำพังครั้งแรกไม่ตราตรึงอย่างที่คิด เมื่อวันนั้นเป็นวันที่เธออยู่ในเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจยิ่งกว่า และตอนนี้ใจเธอก็...
ปิ๊นนน!
อนาวิลาสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันมองตามที่มาของเสียงเกรี้ยวกราดของแตรรถอย่างบอกอารมณ์ผู้ขับขี่ แล้วก็ได้เห็นว่าต้นเหตุมาจากรถสปอร์ตสีแดงคันหลังนั่นเอง
"ขึ้นมาเถอะอุ่น"
หญิงสาวเปิดประตูรถพลางขึ้นไปนั่งอย่างเสียมิได้ และเมื่อรถของชายหนุ่มวนมาจอดยังลานปูนโล่งแล้ว รถสปอร์ตที่ตามหลังมาคันนั้นก็เลี้ยวจอดในช่องเยื้องกัน
"เขาไม่น่าเป็นหลานคุณตาได้เลยนะคะ" เธอเปรยขณะมองเจ้าของรถสีแดงเดินลอยชายลงมา "ดูเขาไม่เสียใจเลยที่เสียตาแท้ๆ ไป"
"คงไม่ค่อยผูกพันกันน่ะ เพราะตั้งแต่ลูกสาวคุณลุงเสียเมื่อสิบห้าปีก่อน คุณปราบดา...ลูกเขยคุณลุงก็ไม่มีเวลาพาหลานมาเยี่ยมเท่าไร"
อนาวิลารับฟังอย่างสะท้อนใจ นึกสงสารคนชราที่ต้องอยู่บ้านลำพัง คงมีแต่สุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาเท่านั้น
หญิงสาวยกมือไหว้สวัสดีชายวัยกลางคน ทนายประจำตัวคุณตาที่เธอรู้จักมักคุ้นอย่างดีเพราะเคยพบท่านไปมาหาสู่กับคุณตาอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าสนิทสนมกับทนายชลัทมากกว่าบุตรชายท่านเสียอีก
เธอนั่งรอพิธีการบนเก้าอี้แถวหลังออกมา แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็เหมือนเมื่อวันแรกรดน้ำศพชายชรา คือเธอสังเกตเห็นร่างสูงของผู้ที่มีศักดิ์เป็นหลานคุณตายืนเต๊ะอยู่แถวหน้าสุดพร้อมบิดา วันนั้นเธอรู้สึกถึงแสงตามองมา ครั้นยิ้มให้เป็นมารยาท ชายหนุ่มผู้นั้นก็แลเลยไปเหมือนเธอเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น
เธอจะไม่ทำให้ตัวเองต้องขายขี้หน้าอีกจึงเลือกวางหน้าเฉยเมื่อรู้สึกถึงแสงตามองมา มือกำกระโปรงผ้าชีฟองแน่นขณะนั่งหลังตรงอย่างไว้ตัว ก่อนใครคนหนึ่งจะยื่นแก้วน้ำพลาสติกพร้อมหลอดซึ่งยังไม่ได้เจาะมาตรงหน้าเธอ
"น้ำครับ" เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับที่เจ้าของย่อตัวมานั่งเคียงกัน
อนาวิลาลืมวางมาดนิ่งเสียสนิท กลับมาอ่อนราวขี้ผึ้งลนไฟ เธอพึมพำขอบคุณพลางพยายามใช้หลอดเจาะแก้วน้ำเงอะงะ หากแม้แต่หลอดก็ดูจะอ่อนตาม เจาะผ่านฝาซีนพลาสติกไม่ลงเสียที
รชตวันหัวเราะในลำคอ เขาดึงแก้วน้ำและหลอดจากมือเธอไปเจาะให้เสียเอง เพียงทีเดียวก็สำเร็จ
"เอ่อ พี่ภาคย์ไปนั่งกับลุงทนายก็ได้นะคะ เผื่อลุงทนายมีธุระอะไร"
"งั้นเดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปส่งอุ่นนะ พอดีพี่จะแวะไปคอนโดฯ เพื่อนแถวนั้นด้วย อย่ารีบหนีกลับแบบวันนั้นนะครับ พี่ไปห้องน้ำออกมา พ่อบอกว่าอุ่นลากลับไปแล้ว"
หญิงสาวยิ้มแห้งพลางผงกศีรษะเอียงอาย เขาส่งแก้วน้ำให้เธอแล้วจึงลุกจากไป
ตลอดงานวันนั้นเธอไม่ได้พาตัวเองไปทักทายหรือทำความรู้จักครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ของคุณตาดังคิด ทั้งที่ตั้งใจจะบอกพวกเขาเรื่องสุนัขเหล่านั้น เผื่อเขาจะอยากรับมันไปดูแล ราวกับมีเกราะซึ่งมองไม่เห็นขีดกั้นพวกเขาออกจากทุกคน
ไว้ก่อนแล้วกัน เธอฝากความห่วงใยพวกมันไปกับลุงทนายคงจะดีเสียกว่า
....................
"ออกมาก่อนจะดีหรือคะ อุ่นเห็นลุงทนายยังคุยกับครอบครัวคุณตาอยู่เลย" เธอถามหลังรชตวันเปิดประตูรถตนให้เธอขึ้นไป ก่อนเขาจะอ้อมไปประจำตำแหน่งคนขับและค่อยเคลื่อนรถออกไป
"พ่อคงคุยเรื่องพินัยกรรมที่คุณลุงทำไว้น่ะครับ"
"เอ๋ คุณตาทำพินัยกรรมไว้หรือคะ"
นั่นสินะ เธอไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน คงไม่แปลกอะไรที่ทนายชลัทจะแวะเวียนมาหาคุณตาบ่อยๆ เพราะเรื่องหุ้นในกิจการต่างๆ ที่ท่านถืออยู่ ท่านคงอยากแบ่งสันปันส่วนให้ลูกหลานกระมัง
"คุณลุงบอกพ่อไว้น่ะครับว่าขอให้เปิดพินัยกรรมหลังจัดงานท่านเรียบร้อย"
"งั้นอุ่นฝากพี่ภาคย์กับคุณลุงจัดการเรื่องเจ้าสี่ตัวนั้นได้ไหมคะ อาจจะมีใครสักคนดูแลมันแทนคุณตาได้"
เธอยังคงนึกห่วงพวกมันเป็นอย่างแรกเสมอ ขอให้เธอมองคนผิดไป ขอให้ผู้คนท่าทางหัวสูงเหล่านั้นยอมรับมันไปเลี้ยงด้วยเถอะ นี่ถ้าเธอมีบ้านเป็นของตัวเองล่ะก็ เธอคงยินดีและเต็มใจจะรับมันมาเลี้ยงเสียเอง
"พี่มาส่งอุ่นเพราะเรื่องนี้นี่แหละครับ"
"เอ๋" ที่แท้เขามีธุระจะพูดกับเธอหรอกหรือ
โธ่เอ๋ย เธอก็หลงนึกว่าเขาแสดงน้ำใจต่อเธอก็เพราะ...เพราะ... บ้าจริง! เธอกล้าคิดว่าเขาอาจอยากทำความรู้จักกับเธอมากขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
"พรุ่งนี้สิบโมง รบกวนอุ่นไปที่บ้านคุณลุงทีนะครับ พ่อพี่อยากให้อุ่นอยู่ร่วมในระหว่างเปิดพินัยกรรม"
ลุงทนายคงฝากเขามาพูดเรื่องนี้กับเธอสินะ อนาวิลาอยากเอาศีรษะโขกคอนโซลหน้ารถชะมัดที่เผลอคิดเข้าข้างตัวเอง
"แต่อุ่นเป็นแค่คนนอก จะดีเหรอคะ"
"เป็นความตั้งใจของคุณลุงที่ฝากฝังกับพ่อพี่ไว้น่ะครับ อุ่นทำเพื่อท่านได้ใช่ไหม"
"ค่ะ มากกว่านี้อุ่นก็ทำให้คุณตาได้" เธอตอบจากใจ
หญิงสาวนึกถึงวันแรกรู้จักคุณตา ตอนนั้นเธอเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายและได้ย้ายมาอยู่อพาร์ตเมนต์ที่อยู่ปัจจุบัน เธอมักแอบไปเล่นกับสุนัขทั้งสี่ตัวในบ้านหลังนั้น เรียกมันด้วยชื่อที่เธอตั้งขึ้นมาเองตามลักษณะเด่นของสุนัขแต่ละตัว
คุณตาคงได้ยินและเห็นเธอแหย่เล่นกับพวกมัน ท่านออกมาดูและพูดคุยกับเธออย่างมีเมตตา ก่อนเธอจะจากไปเรียนท่านยังอนุญาตให้มาเล่นกับพวกมันอีกเมื่อไรก็ได้
นับจากวันนั้นกว่าหกปีที่ได้รู้จักคุณตาสรรค์ชัย อดีตนายแพทย์ทหารผู้นั้น ไม่เคยมีสักวันที่ท่านไม่เต็มใจต้อนรับเธอ เราต่างเป็นครอบครัวร่วมโลกเดียวกัน ท่านเอ็นดูเธอเหมือนหลาน ขณะที่เธอก็นับถือและรักชายชราอย่างญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง อาจมากกว่าครอบครัวตัวเองเสียด้วยซ้ำ
"อุ่นหิวหรือเปล่า อยากแวะไหนไหมครับ"
"อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ" อนาวิลาดึงสติกลับมาตอบคำถามคนข้างๆ อีกครั้ง
"งั้นพี่ส่งอุ่นแล้วคงต้องขอตัวเลย ไว้โอกาสหน้าพี่คงได้เลี้ยงข้าวสักมื้อนะ"
หญิงสาวก้มหน้ายิ้มกับมือตนบนตัก เธอรู้สึกได้ว่าเขารีบ ก็คงเพราะมีธุระต่อกับเพื่อน และประโยคหลังนั้นก็เหมือนเอ่ยไปตามมารยาทเสียมากกว่า ก็เพราะเขาเป็นคนดีมีน้ำใจอย่างนี้ไง เธอถึงได้ประทับใจเรื่อยมา
"ขอบคุณนะคะที่มาส่ง คราวต่อไปอุ่นต้องเลี้ยงพี่ภาคย์ต่างหาก"
รชตวันยิ้มบาง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ และเมื่อเธอลงจากรถไปแล้วเขาก็รีบบึ่งต่อไปอย่างจดจ่อกับเป้าหมายเบื้องหน้า ไม่มีแม้เงาคนที่นั่งอยู่ข้างกันเมื่อกี้ติดอยู่ในความคิดคำนึง
................
อนาวิลาคิดว่าตนควรไปก่อนเวลานัด เผื่อเธอจะมีโอกาสได้ให้อาหารเจ้าสี่ขาทั้งสี่ตัวเป็นมื้อสุดท้ายก็ได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเก้านาฬิกา อนาวิลาจึงได้ออกจากห้องพัก เธอแวะซื้อข้าวผัดเจ๊จูไปฝากพวกมันอย่างเคย
ทว่าทันทีที่ไปถึงหญิงสาวก็ได้พบว่าทนายชลัทมาเตรียมพร้อมรออยู่ก่อนแล้ว รั้วเล็กไม่ได้ล็อกและเธอก็ผลักเข้าไปง่ายดาย บุรุษวัยกลางคนยืนดูต้นไม้ดอกไม้ที่อดีตเจ้าของบ้านปลูกและดูแลอย่างดีอยู่ยังสนามหญ้าหน้าบ้านนั่นเอง ไร้เงาบุตรชายเขามาด้วยกัน
"ลุงให้คนงานมาทำความสะอาดน่ะ เดี๋ยวเราคงต้องพูดคุยกันข้างใน ตามความตั้งใจของคุณสรรค์ชัย" เขาบอกเหตุผลที่แม่บ้านสองคนมาทำความสะอาดที่นี่ ก่อนจะเหลือบเห็นกล่องโฟมสองกล่องในถุงพลาสติกที่อีกฝ่ายถือมา "นี่หนูซื้อข้าวมาให้พวกมันสินะ ลุงให้อาหารเม็ดมันแล้วล่ะ นี่ก็ช่วยกันจับพวกมันไปล่ามโซ่ไว้หลังบ้าน"
"ทำไมล่ะคะ มันไม่กัดหรอกนะคะลุงทนาย"
หญิงสาวอดเป็นห่วงสุนัขทั้งสี่ตัวไม่ได้ ปกติคุณตาไม่เคยล่ามพวกมันเลย มันมีอิสระที่จะวิ่งเล่น เดินไปไหนก็ได้ในอาณาบริเวณบ้านหลังนี้ จะมีก็แต่ใส่สายจูงยามออกไปเดินเล่นนอกบ้านเท่านั้น
"ลุงก็ไม่อยากทำหรอก แต่ก็ดีกว่าวุ่นวายคอยต้อนมันตอนมีแขกนะหนู เพราะเราก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะชอบสุนัขหรือเปล่า"
อนาวิลาผงกศีรษะว่าเข้าใจ ก่อนเธอจะขอตัวไปดูพวกมันยังกรงใหญ่หลังบ้าน แม้แต่ละตัวจะถูกจับล่ามไว้กับโคนต้นไม้บ้าง เสาบ้านบ้าง อย่างน้อยก็ดีกว่าอึดอัดอยู่ในกรง
"ว่าไงพวกแก"
หางยาวของสุนัขทุกตัวกวัดแกว่งด้วยความดีใจ สุดหล่อยกขาหน้าของมันขึ้นมาตะกุยต้นขาเธอเป็นรอยแดงยาว กระนั้นคนที่รักสุนัขก็ชินเสียแล้วและลูบหัวมันทักทาย
"วันนี้พวกแกก็จะมีเจ้านายใหม่แล้วนะ ไม่ต้องกินข้าวผัดซ้ำๆ แล้ว ต่อไปก็คงจะมีคนซื้ออาหารเม็ดดีๆ ให้พวกแกกินนะ"
อนาวิลานึกถึงรถสปอร์ตสีแดงเพลิง ครอบครัวลูกหลานคุณตามีเงินซื้อรถแพงๆ อย่างนั้น พวกเขาก็คงมีเงินซื้ออาหารเลี้ยงสุนัขทั้งสี่ตัวได้ไม่ลำบากเกินไป
ทันใดนั้นก็แว่วเสียงเครื่องยนต์รถดังอยู่ใกล้หน้าบ้าน สุนัขทั้งสี่เลิกให้ความสนใจเธอ มันเอียงคออย่างตั้งใจฟัง เห่าถอยหลังทว่ากระดิกหางไปมา
หญิงสาวเดินย้อนกลับไปอ้อมตัวบ้าน ไม่ว่ามุมไหนในอาณาบริเวณบ้านหลังนี้ก็มีแต่ความร่มรื่นจากร่มไม้ที่อดีตเจ้าของบ้านดูแลอย่างดี เธอเปิดก๊อกน้ำข้างบ้านล้างมือ เป็นเวลาเดียวกับที่คนงานซึ่งทนายชลัทพามามาตามเธอพอดี
"คุณชลัทให้มาเชิญไปพบในบ้านค่ะ"
อนาวิลาตอบรับพร้อมกับขอบคุณ หากก่อนจะเข้าไปภายในเธอก็แลเลยไปยังหน้าบ้านอีกครั้ง แล้วก็ต้องแปลกใจที่ไม่พบรถสปอร์ตคันนั้นจอดอยู่ดังคาด นอกจากรถเบนซ์สีบรอนซ์คันเดียว
เธอรู้สึกว่ามือไม้ของตนเกะกะทันทีที่ย่างก้าวเข้ามาพบสายตาเคลือบแคลงของผู้ที่มีศักดิ์เป็นลูกเขยคุณตา ดวงตาหลังแว่นกรอบเงินกวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หญิงสาวจะกระพุ่มมือไหว้ แต่แล้วก็พบว่าในมือขวาของตนยังถือถุงกล่องข้าว แว่วเสียงหัวเราะหึและเบือนหน้าหนีของใครบางคน
ชายวัยรุ่นคนนั้นที่ดูอย่างไรก็อ่อนวัยกว่าเธอขยับปากซึ่งอ่านความได้ว่า "ประสาท"
อนาวิลาร้อนซู่ทั้งใบหน้า ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะถูกปฏิบัติเช่นนี้จากคนที่ไม่รู้จักกัน
คนหยาบคาย! เธอกำมือแน่นสะกดความเดือดดาลในใจขณะนั่งลงตามคำเชิญของทนายชลัทยังเก้าอี้เดี่ยวตัวเดียวที่เหลืออยู่ ข้างหลานชายเหลือขอของคุณตา
เธอทันเห็นว่าร่างสูงซึ่งนั่งกึ่งเอนพิงพนักโซฟาหดขาเข้ามา ราวกับกลัวกางเกงผ้าขาเดฟสีดำจะแปดเปื้อนเพราะเธอ
"ขออนุญาตแนะนำนะครับ คุณอนาวิลาเป็นเพื่อนของคุณสรรค์ชัยเมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ คุณสรรค์ชัยจึงมีความประสงค์ให้คุณอนาวิลาอยู่ร่วมระหว่างอ่านพินัยกรรมวันนี้" ชลัทแนะนำหญิงสาวให้อีกฝ่ายรู้จักอย่างเป็นทางการ
ทว่าปราบดาเพียงโบกมือปัดเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญ
"ครับๆ อ่านเลยเถอะคุณทนาย พอดีผมมีธุระต่อน่ะ"
อนาวิลาหน้าม้าน เธอฝืนยิ้มให้ลุงทนายก่อนก้มมองมือบนตัก ขณะท่านเริ่มอ่านข้อความทางกฎหมายที่คุณตาแจ้งความประสงค์ไว้ และมันเป็นเรื่องไกลตัวเธอเหลือเกิน
"ข้าพเจ้า พลตรีนายแพทย์สรรค์ชัย ชยภูมิ ซึ่งเป็นผู้เขียนพินัยกรรมฉบับนี้ และขณะที่เขียน ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ดีทุกประการ..."
หญิงสาวรับฟังเพียงผ่าน เช่นเดียวกับใครอีกคนที่ดูจะไม่รู้กาลเทศะ ทั้งที่เรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวพันกับเขาทั้งสิ้น แต่ทายาทคนเดียวของคุณตากลับนั่งปิดปากหาว มือหนึ่งสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปพลาง
"ข้าพเจ้าขอยกบ้านที่อยู่ปัจจุบัน ที่ดินหกสิบไร่ในจังหวัดจันทบุรี และหุ้นทั้งหมดที่ข้าพเจ้าถือครองให้แก่นาย 'นายโปรด เกื้อพาณิชยกุล' "
ปราบดาบีบเข่าบุตรชาย ดูเขาจะตื่นเต้นยินดีกับข้อความเหล่านั้นมากกว่าบุตรชายขี้เก๊กซึ่งยังคงให้ความสนใจโทรศัพท์มือถือมากกว่าอะไร ก่อนบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นจะหน้าเสียไปเมื่อมันพ่วงเงื่อนไขตามมา
"โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ ข้อหนึ่ง นายนายโปรดจะต้องย้ายมาอยู่ในบ้านหลังนี้ และดูแลสุนัขทั้งสี่ตัวของข้าพเจ้าเป็นอย่างดี นับจากวันอ่านพินัยกรรมฉบับนี้จนครบอย่างน้อยหนึ่งปี"
อนาวิลาลอบยิ้มในหน้า เธอเหลือบเห็นจากหางตาว่าชายหนุ่มลดโทรศัพท์ลงอย่างตั้งใจฟัง เยี่ยมไปเลยค่ะคุณตา!
"ข้อสอง ห้ามผู้ใดอยู่ร่วมบ้านหลังนี้กับนายนายโปรด นายนายโปรดจะต้องดูแลบ้าน สมบัติทุกชิ้น และสุนัขของข้าพเจ้าด้วยตัวเองทั้งหมด"
"บ้า!" นายโปรดทะลุกลางปล้องพลางผุดลุกยืน "อะไรของตา ใครจะไปทำได้ ผมไม่เอานะพ่อ ถ้าพ่ออยากได้สมบัตินักก็จัดการเองละกัน"
"นายโปรด" ผู้พ่อกดเสียงปรามพลางดึงข้อมือบุตรชายให้กลับนั่งลง "แกโตแล้วนะ แกก็รู้นี่ว่าอะไรเป็นอะไร"
ร่างสูงกระแทกตัวลงนั่งอย่างกระฟัดกระเฟียด เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะให้รู้ว่าไม่พอใจราวเด็กเอาแต่ใจตัวเอง
"มีอีกข้อครับ" ทนายชลัทบอกอย่างใจเย็น
"ว่าไปๆ" ปราบดาลูบหน้าผากด้วยความหนักใจ
"ข้อสาม ผู้เดียวที่นายนายโปรดจะว่าจ้างมาช่วยดูแลบ้านร่วมกันได้คือ 'นางสาวอนาวิลา รัตนเศวต' เท่านั้น โดยต้องให้เงินเดือนตอบแทนตามสัญญาอีกฉบับที่ข้าพเจ้าระบุ พร้อมทั้งให้พักอาศัยอยู่ในบ้านนี้ร่วมกัน เป็นเวลาหนึ่งปี หากนายนายโปรดไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้าพเจ้าจะตกเป็นของนางสาวอนาวิลาแต่เพียงผู้เดียว"
"ฮะ!"
"อะ...อะไรนะคะ"
สองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกันทันทีที่จบประโยคนั้น หนุ่มสาวต่างมองหน้ากัน ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปคนละทางอย่างไม่ยอมรับเงื่อนไขที่ได้ฟัง
"ไม่ตลกนะคุณทนาย ผมไม่คิดว่าท่านจะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนอย่างที่ว่าในพินัยกรรม" ปราบดาทักท้วง
"ท่านมีแน่นอนครับ ผมยืนยัน" ชลัทตอบเสียงเรียบ
"แต่อุ่นเป็นคนนอก ไม่ควรต้องมาเกี่ยวข้องเลยนะคะ คุณตาคิดอะไรนะ"
"ใช่ๆ" นายโปรดสำทับ
อนาวิลามองค้อนคนที่ทำเนียนมาเห็นพ้องกับเธอ หน็อย... ทีอย่างนี้เขาจะคิดหาทางแก้หรือปฏิเสธเองไม่เป็นหรือไงนะ สมองก็คงจะน้อยกว่าแรมในโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวเสียอีกกระมัง
"ไม่หรอกครับหนูอุ่น คุณโปรด ท่านมีเหตุผลของท่าน" ทนายวัยกลางคนตอบอย่างใจเย็นเช่นเคย
"ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาดูแลบ้านและเจ้าสี่ตัวนั้นเองคนเดียวเถอะค่ะ ไม่ผิดเงื่อนไขใช่ไหมคะลุงทนาย" เธอเอ่ยปรึกษาท่านราวมีกันสองคนแค่นั้น
"นี่เธอ มีสิทธิ์อะไรมาคิดแทนคนอื่น" ชายหนุ่มตีรวนหาเรื่อง
จะว่าไปแล้วนี่คงเป็นการพูดจาตรงๆ ครั้งแรกระหว่างเขากับเธอก็เป็นได้ หากหญิงสาวกลับนั่งหลังตรงมองไปยังทนายชลัทเท่านั้น แม้หางตาจะแลเห็นคนข้างตัวฮึดฮัดราวเด็กไม่ได้ดั่งใจก็ตาม
"ใช่ไหมคะลุงทนาย"
"ใช่ครับ"
อนาวิลาค่อยหายใจสะดวกขึ้นหน่อย เธอมั่นใจว่าเขาไม่มีทางอดทนอยู่ร่วมบ้านกับเธออีกเป็นปีแน่ เธอเองก็เช่นกัน
"ก็แค่ตาโปรดอยู่บ้านนี้แล้วให้คนงานที่บ้านมาทำความสะอาดดูแล ผมไม่เห็นว่ามันจะส่งผลเสียตรงไหน"
"แต่มันผิดเงื่อนไขและความตั้งใจของคุณสรรค์ชัยครับคุณปราบดา"
"งั้นก็ไม่ต้องอยู่ ไม่เอาก็ได้สมบัติอะไรนี่ บ้านเก่าๆ กับหมา ใครอยากได้ก็ให้มันไป"
นายโปรดเหวี่ยงหมอนอิงใส่โซฟา เขาลุกเดินออกไปอย่างเหลืออดที่ยามเช้าของตนต้องมาติดแหง็กกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้
"หยุด! แกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นนายโปรด แกต้องทำตามเงื่อนไขตาแก"
ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้ากรอบประตู ใบหน้าใสอ่อนเยาว์ของเขาแลดูขัดตาด้วยดวงตากร้าวกระด้างที่ใช้มองบุพการี
"ผมไม่ทำ พ่อหรือผมกันแน่ที่อยากได้สมบัติของตา ฮะ!"
"ก็ลองออกไปดูสิ" ปราบดาขู่เสียงเรียบ หากนั่นก็ทำให้มือที่จับบานประตูชะงัก "แกก็รู้ว่าฉันเคยทำยังไงตอนบังคับแกกลับจากเมืองนอก เงินเดือนที่ฉันให้แก บัตรเครดิต รถ แกจะอยู่โดยไม่มีของพวกนี้ได้ยังไง"
อนาวิลาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบสายตาใครในสถานการณ์เช่นนี้ กระนั้นดวงตาวาวโรจน์ก็ปรายสะเก็ดระเบิดอารมณ์มาทางเธอ จนตนพลอยร้อนใจและไม่เป็นสุขเอาเสียเลย
"ที่พ่ออยากให้ผมได้สมบัติตานักนี่ ก็เพราะจะเก็บเงินทองของตัวเองไว้ให้ลูกเล็กกับเมียใหม่ใช่ไหม" เขาเค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน
"ใช่ ฉันหมดเปลืองกับแกมาเท่าไร เคยคิดบ้างไหม แกสมควรรับผิดชอบชีวิตแกเองได้เสียที" ปราบตาตอบเสียงเข้ม
หญิงสาวนึกอยากหายตัวไปจากตรงนี้นัก อยู่ให้ห่างจากสองพ่อลูกที่สบตาห้ำหั่นกันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะแม้แต่หายใจเธอยังกลัวว่ามันจะส่งเสียงดังให้รู้ว่าเธอมีตัวตน
"แต่ถ้าแกยอมอยู่ที่นี่ตามเงื่อนไขพินัยกรรมนั่น เงินห้าล้านที่แกขอฉันไปลงทุนกับเพื่อน ฉันอาจคิดทบทวนอีกทีก็ได้"
อนาวิลาดีดลูกคิดตาม ชาตินี้ทั้งชาติเธอคงไม่มีทางหาเงินตั้งห้าล้านบาทนั้นได้ แต่พ่อลูกคู่นี้กลับเอ่ยถึงมันราวเงินห้าบาท และดูท่าชายหนุ่มจะครุ่นคิดถึงมูลค่าของมันเช่นเดียวกับเธอ
นายโปรดหยุดยืนนิ่ง เขาใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มขณะไตร่ตรอง ก่อนจะหลับตาลงอย่างตัดสินใจ
"ผมขอดูสัญญาแนบอีกฉบับที่คุณตาว่าได้หรือเปล่าคุณทนาย"
เอ๋ ถ้าเธอได้ยินไม่ผิด สัญญาแนบนั้นอยู่ในเงื่อนไขข้อที่สามซึ่งเกี่ยวพันกับเธอนี่นา
"ได้ครับ"
ทนายชลัทเปิดแฟ้มเอกสาร เขาส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้อีกฝ่ายรับไปอ่าน โดยที่ร่างสูงยืนเท้าเอวไล่สายตาอ่านมันค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่นั่นเอง
อนาวิลารู้สึกถึงสายตาซึ่งเหลือบมองเธอเป็นระยะ มีแววเหยียดหยันปรากฏในดวงตากลมสวยคู่นั้นอย่างที่เจ้าของมันไม่คิดปิดบัง ก่อนเขาจะส่งกระดาษสัญญานั้นให้บิดา
"แล้วใครจะเป็นคนจ่ายเงินเดือน ผมไม่จ่ายนะ" นายโปรดโวย
ปราบดานิ่งไปครู่หนึ่ง เขาใช้เวลาอ่านไวกว่าบุตรชายและเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นเอง
"ในสัญญาบอกว่าคุณทนายจะจัดการเรื่องเงินเดือนของอุ่นเอง ใช่ไหมคุณทนาย"
"ครับ คุณสรรค์ชัยเตรียมการเรื่องนี้ไว้แล้ว"
ทนายชลัทผงกศีรษะพลางยิ้มบาง เขาหันมาสบตาหญิงสาวที่นั่งหน้าเหวออย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ซึ่งก็เหลือแต่ความสมัครใจของเธอคนเดียว
"แล้วตกลงหนูอุ่น..."
ไม่ทันขาดคำนั้นเจ้าหล่อนก็ทะลุขึ้นกลางปล้อง
"ไม่นะคะ อุ่นไม่ตกลงอะไรทั้งนั้น คุณตาทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับอุ่นเลย"
"หนูอุ่น" บุรุษวัยกลางคนเอ่ยเรียกอ่อนโยน "คุณสรรค์ชัยท่านเป็นคนมีเหตุผล หนูอุ่นก็รู้จักท่านดี แล้วท่านก็รักหนูเหมือนลูกหลานคนหนึ่งนะ"
อนาวิลาเคยเชื่อเช่นนั้น กระทั่งตอนนี้ที่เธอไม่มั่นใจเอาเสียเลย
"มันใช่เรื่องไหมนี่ที่ต้องมาง้อใครที่ไหนก็ไม่รู้ เอาสัญญาให้ดูๆ ไปเถอะ ขี้คร้านจะเปลี่ยนใจ" นายโปรดบอกอย่างตัดรำคาญ
หญิงสาวไม่ยอมยื่นมือไปรับสัญญาอีกฉบับจากทนายชลัท ดวงตาเธอพร่าเลือน น้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดที่ต้องทนนั่งให้คนไร้มารยาทดูถูก เพียงเพราะคำว่ามารยาทคำเดียวกันนี้เอง
"หนูขอโทษค่ะลุงทนาย หนูคงทำตามความต้องการคุณตาไม่ได้จริงๆ" เธอเอ่ยเด็ดขาดเป็นครั้งแรก
อนาวิลายกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองในห้องนั้น ก่อนเธอจะลุกเดินจากไปท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
...................
งานเข้าละค่า ไม่ใช่แค่โปรดไม่อยากอยู่บ้านนี้นะ ป้าอุ่นก็ขอบายเหมือนกัน
แต่ว่าาา มรดกไม่ใช่น้อยๆ นี่สิ แล้วโปรดจะง้อป้ายังไงให้ยอมมาอยู่ด้วยกัน
ติดตามความวุ่นวายในบ้านหลังน้อยได้ในตอนหน้าค่า
ปล. แพรวยังอยู่รพ. แต่จะพยายามมาอัพบ่อยๆ นะคะ
บ้านเดี่ยวสองชั้นบนเนื้อที่กว่าสองร้อยตารางวาในซอยสุขุมวิทเงียบเหงาไปถนัดใจเมื่อขาดเจ้าของบ้านผู้เป็นที่รักของสุนัขทั้งสี่ตัว พวกมันนอนหมอบหงอยเหงา แค่ได้สบตาอ้างว้าง ฟังเสียงครางหงิงของพวกมัน น้ำตาเธอก็รื้นขึ้นมาอย่างเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นดี
"ไม่เป็นไรนะพวกแก ฉันจะมาให้ข้าวพวกแกเอง จนกว่าเจ้านายใหม่จะมาดูแกนะ"
วันนี้เธอซื้อข้าวผัดมาสองกล่อง ตับย่างอีกสองไม้ แบ่งใส่ฝาโฟมสี่ฝาเท่าๆ กันและสอดมันผ่านเข้าไปใต้รั้ว
"คุณลุง กินเยอะๆ สิจ๊ะ" เธอบอกเจ้าหมาแก่ที่มัวแต่ยืนดม ไม่ยอมกินสักที "หยุดเลยล่ำ ห้ามแย่งของลุงนะ"
อนาวิลาชี้เจ้าตัวล่ำที่ทำเนียนมาดอมดมถาดอาหารเพื่อน เมื่อเจอนิ้วพิฆาตเข้าไปจึงเฉไฉไปกินน้ำในอ่างดินเลี้ยงปลาหางนกยูงแทน
เธอรอจนสุนัขทุกตัวกินอาหารหมดแล้วเก็บโฟมไปทิ้ง สุดหล่อเดินเกาะรั้วตามพลางเห่าเรียกราวกับกลัวเธอทิ้งพวกมันไปอีกคน หญิงสาวต้องยื่นมือผ่านรั้วไปดึงปลอกคอมันอย่างที่มักแหย่ประจำ
"วันนี้ฉันจะไปส่งคุณตาขึ้นสวรรค์ ถ้ากลับไม่ดึกจะมาหานะ"
ถ้าทำได้เธออยากจะพาพวกมันทั้งสี่ตัวไปด้วยกันเสียด้วยซ้ำ หากก็ทำได้เพียงตัดใจลุกจากไปเมื่อวัดที่ตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ห่างไปจากนี่พอสมควร ตามความสะดวกของลูกหลานท่านที่เหลืออยู่ แม้แต่เธอเองก็ได้ไปร่วมงานแค่วันแรกเท่านั้น
แต่วันนี้เป็นวันเสาร์และเป็นวันฌาปนกิจคุณตาสรรค์ชัย ถึงจะเดินทางลำบากอย่างไรเธอก็ต้องการไปร่วมไว้อาลัยท่านเป็นครั้งสุดท้าย
อนาวิลาขึ้นรถประจำทางไปลงยังหน้าห้างสรรพสินค้าย่านรังสิต ก่อนจะต่อรถรับจ้างที่ผ่านหน้าวัดนั้นอีกทีหนึ่ง เดินเท้าเข้าไปจากซุ้มประตูด้านหน้าราวห้าสิบเมตรก็จะพบกับอุโบสถหลังใหญ่
ทว่า...
"อุ่น" รชตวันกดกระจกรถลงพลางเรียก
คราวนี้เขาไม่กล้ากดแตรทักเธออีกแล้วนอกจากขับรถไปเทียบใกล้ๆ แทน
"ขึ้นมาสิครับ"
"อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ เดินไปใกล้ๆ นี้เอง"
น่าเสียดายที่ประสบการณ์การนั่งรถไปกับเขาลำพังครั้งแรกไม่ตราตรึงอย่างที่คิด เมื่อวันนั้นเป็นวันที่เธออยู่ในเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจยิ่งกว่า และตอนนี้ใจเธอก็...
ปิ๊นนน!
อนาวิลาสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันมองตามที่มาของเสียงเกรี้ยวกราดของแตรรถอย่างบอกอารมณ์ผู้ขับขี่ แล้วก็ได้เห็นว่าต้นเหตุมาจากรถสปอร์ตสีแดงคันหลังนั่นเอง
"ขึ้นมาเถอะอุ่น"
หญิงสาวเปิดประตูรถพลางขึ้นไปนั่งอย่างเสียมิได้ และเมื่อรถของชายหนุ่มวนมาจอดยังลานปูนโล่งแล้ว รถสปอร์ตที่ตามหลังมาคันนั้นก็เลี้ยวจอดในช่องเยื้องกัน
"เขาไม่น่าเป็นหลานคุณตาได้เลยนะคะ" เธอเปรยขณะมองเจ้าของรถสีแดงเดินลอยชายลงมา "ดูเขาไม่เสียใจเลยที่เสียตาแท้ๆ ไป"
"คงไม่ค่อยผูกพันกันน่ะ เพราะตั้งแต่ลูกสาวคุณลุงเสียเมื่อสิบห้าปีก่อน คุณปราบดา...ลูกเขยคุณลุงก็ไม่มีเวลาพาหลานมาเยี่ยมเท่าไร"
อนาวิลารับฟังอย่างสะท้อนใจ นึกสงสารคนชราที่ต้องอยู่บ้านลำพัง คงมีแต่สุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาเท่านั้น
หญิงสาวยกมือไหว้สวัสดีชายวัยกลางคน ทนายประจำตัวคุณตาที่เธอรู้จักมักคุ้นอย่างดีเพราะเคยพบท่านไปมาหาสู่กับคุณตาอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าสนิทสนมกับทนายชลัทมากกว่าบุตรชายท่านเสียอีก
เธอนั่งรอพิธีการบนเก้าอี้แถวหลังออกมา แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็เหมือนเมื่อวันแรกรดน้ำศพชายชรา คือเธอสังเกตเห็นร่างสูงของผู้ที่มีศักดิ์เป็นหลานคุณตายืนเต๊ะอยู่แถวหน้าสุดพร้อมบิดา วันนั้นเธอรู้สึกถึงแสงตามองมา ครั้นยิ้มให้เป็นมารยาท ชายหนุ่มผู้นั้นก็แลเลยไปเหมือนเธอเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น
เธอจะไม่ทำให้ตัวเองต้องขายขี้หน้าอีกจึงเลือกวางหน้าเฉยเมื่อรู้สึกถึงแสงตามองมา มือกำกระโปรงผ้าชีฟองแน่นขณะนั่งหลังตรงอย่างไว้ตัว ก่อนใครคนหนึ่งจะยื่นแก้วน้ำพลาสติกพร้อมหลอดซึ่งยังไม่ได้เจาะมาตรงหน้าเธอ
"น้ำครับ" เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับที่เจ้าของย่อตัวมานั่งเคียงกัน
อนาวิลาลืมวางมาดนิ่งเสียสนิท กลับมาอ่อนราวขี้ผึ้งลนไฟ เธอพึมพำขอบคุณพลางพยายามใช้หลอดเจาะแก้วน้ำเงอะงะ หากแม้แต่หลอดก็ดูจะอ่อนตาม เจาะผ่านฝาซีนพลาสติกไม่ลงเสียที
รชตวันหัวเราะในลำคอ เขาดึงแก้วน้ำและหลอดจากมือเธอไปเจาะให้เสียเอง เพียงทีเดียวก็สำเร็จ
"เอ่อ พี่ภาคย์ไปนั่งกับลุงทนายก็ได้นะคะ เผื่อลุงทนายมีธุระอะไร"
"งั้นเดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปส่งอุ่นนะ พอดีพี่จะแวะไปคอนโดฯ เพื่อนแถวนั้นด้วย อย่ารีบหนีกลับแบบวันนั้นนะครับ พี่ไปห้องน้ำออกมา พ่อบอกว่าอุ่นลากลับไปแล้ว"
หญิงสาวยิ้มแห้งพลางผงกศีรษะเอียงอาย เขาส่งแก้วน้ำให้เธอแล้วจึงลุกจากไป
ตลอดงานวันนั้นเธอไม่ได้พาตัวเองไปทักทายหรือทำความรู้จักครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ของคุณตาดังคิด ทั้งที่ตั้งใจจะบอกพวกเขาเรื่องสุนัขเหล่านั้น เผื่อเขาจะอยากรับมันไปดูแล ราวกับมีเกราะซึ่งมองไม่เห็นขีดกั้นพวกเขาออกจากทุกคน
ไว้ก่อนแล้วกัน เธอฝากความห่วงใยพวกมันไปกับลุงทนายคงจะดีเสียกว่า
....................
"ออกมาก่อนจะดีหรือคะ อุ่นเห็นลุงทนายยังคุยกับครอบครัวคุณตาอยู่เลย" เธอถามหลังรชตวันเปิดประตูรถตนให้เธอขึ้นไป ก่อนเขาจะอ้อมไปประจำตำแหน่งคนขับและค่อยเคลื่อนรถออกไป
"พ่อคงคุยเรื่องพินัยกรรมที่คุณลุงทำไว้น่ะครับ"
"เอ๋ คุณตาทำพินัยกรรมไว้หรือคะ"
นั่นสินะ เธอไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน คงไม่แปลกอะไรที่ทนายชลัทจะแวะเวียนมาหาคุณตาบ่อยๆ เพราะเรื่องหุ้นในกิจการต่างๆ ที่ท่านถืออยู่ ท่านคงอยากแบ่งสันปันส่วนให้ลูกหลานกระมัง
"คุณลุงบอกพ่อไว้น่ะครับว่าขอให้เปิดพินัยกรรมหลังจัดงานท่านเรียบร้อย"
"งั้นอุ่นฝากพี่ภาคย์กับคุณลุงจัดการเรื่องเจ้าสี่ตัวนั้นได้ไหมคะ อาจจะมีใครสักคนดูแลมันแทนคุณตาได้"
เธอยังคงนึกห่วงพวกมันเป็นอย่างแรกเสมอ ขอให้เธอมองคนผิดไป ขอให้ผู้คนท่าทางหัวสูงเหล่านั้นยอมรับมันไปเลี้ยงด้วยเถอะ นี่ถ้าเธอมีบ้านเป็นของตัวเองล่ะก็ เธอคงยินดีและเต็มใจจะรับมันมาเลี้ยงเสียเอง
"พี่มาส่งอุ่นเพราะเรื่องนี้นี่แหละครับ"
"เอ๋" ที่แท้เขามีธุระจะพูดกับเธอหรอกหรือ
โธ่เอ๋ย เธอก็หลงนึกว่าเขาแสดงน้ำใจต่อเธอก็เพราะ...เพราะ... บ้าจริง! เธอกล้าคิดว่าเขาอาจอยากทำความรู้จักกับเธอมากขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
"พรุ่งนี้สิบโมง รบกวนอุ่นไปที่บ้านคุณลุงทีนะครับ พ่อพี่อยากให้อุ่นอยู่ร่วมในระหว่างเปิดพินัยกรรม"
ลุงทนายคงฝากเขามาพูดเรื่องนี้กับเธอสินะ อนาวิลาอยากเอาศีรษะโขกคอนโซลหน้ารถชะมัดที่เผลอคิดเข้าข้างตัวเอง
"แต่อุ่นเป็นแค่คนนอก จะดีเหรอคะ"
"เป็นความตั้งใจของคุณลุงที่ฝากฝังกับพ่อพี่ไว้น่ะครับ อุ่นทำเพื่อท่านได้ใช่ไหม"
"ค่ะ มากกว่านี้อุ่นก็ทำให้คุณตาได้" เธอตอบจากใจ
หญิงสาวนึกถึงวันแรกรู้จักคุณตา ตอนนั้นเธอเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายและได้ย้ายมาอยู่อพาร์ตเมนต์ที่อยู่ปัจจุบัน เธอมักแอบไปเล่นกับสุนัขทั้งสี่ตัวในบ้านหลังนั้น เรียกมันด้วยชื่อที่เธอตั้งขึ้นมาเองตามลักษณะเด่นของสุนัขแต่ละตัว
คุณตาคงได้ยินและเห็นเธอแหย่เล่นกับพวกมัน ท่านออกมาดูและพูดคุยกับเธออย่างมีเมตตา ก่อนเธอจะจากไปเรียนท่านยังอนุญาตให้มาเล่นกับพวกมันอีกเมื่อไรก็ได้
นับจากวันนั้นกว่าหกปีที่ได้รู้จักคุณตาสรรค์ชัย อดีตนายแพทย์ทหารผู้นั้น ไม่เคยมีสักวันที่ท่านไม่เต็มใจต้อนรับเธอ เราต่างเป็นครอบครัวร่วมโลกเดียวกัน ท่านเอ็นดูเธอเหมือนหลาน ขณะที่เธอก็นับถือและรักชายชราอย่างญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง อาจมากกว่าครอบครัวตัวเองเสียด้วยซ้ำ
"อุ่นหิวหรือเปล่า อยากแวะไหนไหมครับ"
"อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ" อนาวิลาดึงสติกลับมาตอบคำถามคนข้างๆ อีกครั้ง
"งั้นพี่ส่งอุ่นแล้วคงต้องขอตัวเลย ไว้โอกาสหน้าพี่คงได้เลี้ยงข้าวสักมื้อนะ"
หญิงสาวก้มหน้ายิ้มกับมือตนบนตัก เธอรู้สึกได้ว่าเขารีบ ก็คงเพราะมีธุระต่อกับเพื่อน และประโยคหลังนั้นก็เหมือนเอ่ยไปตามมารยาทเสียมากกว่า ก็เพราะเขาเป็นคนดีมีน้ำใจอย่างนี้ไง เธอถึงได้ประทับใจเรื่อยมา
"ขอบคุณนะคะที่มาส่ง คราวต่อไปอุ่นต้องเลี้ยงพี่ภาคย์ต่างหาก"
รชตวันยิ้มบาง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ และเมื่อเธอลงจากรถไปแล้วเขาก็รีบบึ่งต่อไปอย่างจดจ่อกับเป้าหมายเบื้องหน้า ไม่มีแม้เงาคนที่นั่งอยู่ข้างกันเมื่อกี้ติดอยู่ในความคิดคำนึง
................
อนาวิลาคิดว่าตนควรไปก่อนเวลานัด เผื่อเธอจะมีโอกาสได้ให้อาหารเจ้าสี่ขาทั้งสี่ตัวเป็นมื้อสุดท้ายก็ได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเก้านาฬิกา อนาวิลาจึงได้ออกจากห้องพัก เธอแวะซื้อข้าวผัดเจ๊จูไปฝากพวกมันอย่างเคย
ทว่าทันทีที่ไปถึงหญิงสาวก็ได้พบว่าทนายชลัทมาเตรียมพร้อมรออยู่ก่อนแล้ว รั้วเล็กไม่ได้ล็อกและเธอก็ผลักเข้าไปง่ายดาย บุรุษวัยกลางคนยืนดูต้นไม้ดอกไม้ที่อดีตเจ้าของบ้านปลูกและดูแลอย่างดีอยู่ยังสนามหญ้าหน้าบ้านนั่นเอง ไร้เงาบุตรชายเขามาด้วยกัน
"ลุงให้คนงานมาทำความสะอาดน่ะ เดี๋ยวเราคงต้องพูดคุยกันข้างใน ตามความตั้งใจของคุณสรรค์ชัย" เขาบอกเหตุผลที่แม่บ้านสองคนมาทำความสะอาดที่นี่ ก่อนจะเหลือบเห็นกล่องโฟมสองกล่องในถุงพลาสติกที่อีกฝ่ายถือมา "นี่หนูซื้อข้าวมาให้พวกมันสินะ ลุงให้อาหารเม็ดมันแล้วล่ะ นี่ก็ช่วยกันจับพวกมันไปล่ามโซ่ไว้หลังบ้าน"
"ทำไมล่ะคะ มันไม่กัดหรอกนะคะลุงทนาย"
หญิงสาวอดเป็นห่วงสุนัขทั้งสี่ตัวไม่ได้ ปกติคุณตาไม่เคยล่ามพวกมันเลย มันมีอิสระที่จะวิ่งเล่น เดินไปไหนก็ได้ในอาณาบริเวณบ้านหลังนี้ จะมีก็แต่ใส่สายจูงยามออกไปเดินเล่นนอกบ้านเท่านั้น
"ลุงก็ไม่อยากทำหรอก แต่ก็ดีกว่าวุ่นวายคอยต้อนมันตอนมีแขกนะหนู เพราะเราก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะชอบสุนัขหรือเปล่า"
อนาวิลาผงกศีรษะว่าเข้าใจ ก่อนเธอจะขอตัวไปดูพวกมันยังกรงใหญ่หลังบ้าน แม้แต่ละตัวจะถูกจับล่ามไว้กับโคนต้นไม้บ้าง เสาบ้านบ้าง อย่างน้อยก็ดีกว่าอึดอัดอยู่ในกรง
"ว่าไงพวกแก"
หางยาวของสุนัขทุกตัวกวัดแกว่งด้วยความดีใจ สุดหล่อยกขาหน้าของมันขึ้นมาตะกุยต้นขาเธอเป็นรอยแดงยาว กระนั้นคนที่รักสุนัขก็ชินเสียแล้วและลูบหัวมันทักทาย
"วันนี้พวกแกก็จะมีเจ้านายใหม่แล้วนะ ไม่ต้องกินข้าวผัดซ้ำๆ แล้ว ต่อไปก็คงจะมีคนซื้ออาหารเม็ดดีๆ ให้พวกแกกินนะ"
อนาวิลานึกถึงรถสปอร์ตสีแดงเพลิง ครอบครัวลูกหลานคุณตามีเงินซื้อรถแพงๆ อย่างนั้น พวกเขาก็คงมีเงินซื้ออาหารเลี้ยงสุนัขทั้งสี่ตัวได้ไม่ลำบากเกินไป
ทันใดนั้นก็แว่วเสียงเครื่องยนต์รถดังอยู่ใกล้หน้าบ้าน สุนัขทั้งสี่เลิกให้ความสนใจเธอ มันเอียงคออย่างตั้งใจฟัง เห่าถอยหลังทว่ากระดิกหางไปมา
หญิงสาวเดินย้อนกลับไปอ้อมตัวบ้าน ไม่ว่ามุมไหนในอาณาบริเวณบ้านหลังนี้ก็มีแต่ความร่มรื่นจากร่มไม้ที่อดีตเจ้าของบ้านดูแลอย่างดี เธอเปิดก๊อกน้ำข้างบ้านล้างมือ เป็นเวลาเดียวกับที่คนงานซึ่งทนายชลัทพามามาตามเธอพอดี
"คุณชลัทให้มาเชิญไปพบในบ้านค่ะ"
อนาวิลาตอบรับพร้อมกับขอบคุณ หากก่อนจะเข้าไปภายในเธอก็แลเลยไปยังหน้าบ้านอีกครั้ง แล้วก็ต้องแปลกใจที่ไม่พบรถสปอร์ตคันนั้นจอดอยู่ดังคาด นอกจากรถเบนซ์สีบรอนซ์คันเดียว
เธอรู้สึกว่ามือไม้ของตนเกะกะทันทีที่ย่างก้าวเข้ามาพบสายตาเคลือบแคลงของผู้ที่มีศักดิ์เป็นลูกเขยคุณตา ดวงตาหลังแว่นกรอบเงินกวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หญิงสาวจะกระพุ่มมือไหว้ แต่แล้วก็พบว่าในมือขวาของตนยังถือถุงกล่องข้าว แว่วเสียงหัวเราะหึและเบือนหน้าหนีของใครบางคน
ชายวัยรุ่นคนนั้นที่ดูอย่างไรก็อ่อนวัยกว่าเธอขยับปากซึ่งอ่านความได้ว่า "ประสาท"
อนาวิลาร้อนซู่ทั้งใบหน้า ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะถูกปฏิบัติเช่นนี้จากคนที่ไม่รู้จักกัน
คนหยาบคาย! เธอกำมือแน่นสะกดความเดือดดาลในใจขณะนั่งลงตามคำเชิญของทนายชลัทยังเก้าอี้เดี่ยวตัวเดียวที่เหลืออยู่ ข้างหลานชายเหลือขอของคุณตา
เธอทันเห็นว่าร่างสูงซึ่งนั่งกึ่งเอนพิงพนักโซฟาหดขาเข้ามา ราวกับกลัวกางเกงผ้าขาเดฟสีดำจะแปดเปื้อนเพราะเธอ
"ขออนุญาตแนะนำนะครับ คุณอนาวิลาเป็นเพื่อนของคุณสรรค์ชัยเมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ คุณสรรค์ชัยจึงมีความประสงค์ให้คุณอนาวิลาอยู่ร่วมระหว่างอ่านพินัยกรรมวันนี้" ชลัทแนะนำหญิงสาวให้อีกฝ่ายรู้จักอย่างเป็นทางการ
ทว่าปราบดาเพียงโบกมือปัดเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญ
"ครับๆ อ่านเลยเถอะคุณทนาย พอดีผมมีธุระต่อน่ะ"
อนาวิลาหน้าม้าน เธอฝืนยิ้มให้ลุงทนายก่อนก้มมองมือบนตัก ขณะท่านเริ่มอ่านข้อความทางกฎหมายที่คุณตาแจ้งความประสงค์ไว้ และมันเป็นเรื่องไกลตัวเธอเหลือเกิน
"ข้าพเจ้า พลตรีนายแพทย์สรรค์ชัย ชยภูมิ ซึ่งเป็นผู้เขียนพินัยกรรมฉบับนี้ และขณะที่เขียน ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ดีทุกประการ..."
หญิงสาวรับฟังเพียงผ่าน เช่นเดียวกับใครอีกคนที่ดูจะไม่รู้กาลเทศะ ทั้งที่เรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวพันกับเขาทั้งสิ้น แต่ทายาทคนเดียวของคุณตากลับนั่งปิดปากหาว มือหนึ่งสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปพลาง
"ข้าพเจ้าขอยกบ้านที่อยู่ปัจจุบัน ที่ดินหกสิบไร่ในจังหวัดจันทบุรี และหุ้นทั้งหมดที่ข้าพเจ้าถือครองให้แก่นาย 'นายโปรด เกื้อพาณิชยกุล' "
ปราบดาบีบเข่าบุตรชาย ดูเขาจะตื่นเต้นยินดีกับข้อความเหล่านั้นมากกว่าบุตรชายขี้เก๊กซึ่งยังคงให้ความสนใจโทรศัพท์มือถือมากกว่าอะไร ก่อนบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นจะหน้าเสียไปเมื่อมันพ่วงเงื่อนไขตามมา
"โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ ข้อหนึ่ง นายนายโปรดจะต้องย้ายมาอยู่ในบ้านหลังนี้ และดูแลสุนัขทั้งสี่ตัวของข้าพเจ้าเป็นอย่างดี นับจากวันอ่านพินัยกรรมฉบับนี้จนครบอย่างน้อยหนึ่งปี"
อนาวิลาลอบยิ้มในหน้า เธอเหลือบเห็นจากหางตาว่าชายหนุ่มลดโทรศัพท์ลงอย่างตั้งใจฟัง เยี่ยมไปเลยค่ะคุณตา!
"ข้อสอง ห้ามผู้ใดอยู่ร่วมบ้านหลังนี้กับนายนายโปรด นายนายโปรดจะต้องดูแลบ้าน สมบัติทุกชิ้น และสุนัขของข้าพเจ้าด้วยตัวเองทั้งหมด"
"บ้า!" นายโปรดทะลุกลางปล้องพลางผุดลุกยืน "อะไรของตา ใครจะไปทำได้ ผมไม่เอานะพ่อ ถ้าพ่ออยากได้สมบัตินักก็จัดการเองละกัน"
"นายโปรด" ผู้พ่อกดเสียงปรามพลางดึงข้อมือบุตรชายให้กลับนั่งลง "แกโตแล้วนะ แกก็รู้นี่ว่าอะไรเป็นอะไร"
ร่างสูงกระแทกตัวลงนั่งอย่างกระฟัดกระเฟียด เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะให้รู้ว่าไม่พอใจราวเด็กเอาแต่ใจตัวเอง
"มีอีกข้อครับ" ทนายชลัทบอกอย่างใจเย็น
"ว่าไปๆ" ปราบดาลูบหน้าผากด้วยความหนักใจ
"ข้อสาม ผู้เดียวที่นายนายโปรดจะว่าจ้างมาช่วยดูแลบ้านร่วมกันได้คือ 'นางสาวอนาวิลา รัตนเศวต' เท่านั้น โดยต้องให้เงินเดือนตอบแทนตามสัญญาอีกฉบับที่ข้าพเจ้าระบุ พร้อมทั้งให้พักอาศัยอยู่ในบ้านนี้ร่วมกัน เป็นเวลาหนึ่งปี หากนายนายโปรดไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้าพเจ้าจะตกเป็นของนางสาวอนาวิลาแต่เพียงผู้เดียว"
"ฮะ!"
"อะ...อะไรนะคะ"
สองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกันทันทีที่จบประโยคนั้น หนุ่มสาวต่างมองหน้ากัน ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปคนละทางอย่างไม่ยอมรับเงื่อนไขที่ได้ฟัง
"ไม่ตลกนะคุณทนาย ผมไม่คิดว่าท่านจะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนอย่างที่ว่าในพินัยกรรม" ปราบดาทักท้วง
"ท่านมีแน่นอนครับ ผมยืนยัน" ชลัทตอบเสียงเรียบ
"แต่อุ่นเป็นคนนอก ไม่ควรต้องมาเกี่ยวข้องเลยนะคะ คุณตาคิดอะไรนะ"
"ใช่ๆ" นายโปรดสำทับ
อนาวิลามองค้อนคนที่ทำเนียนมาเห็นพ้องกับเธอ หน็อย... ทีอย่างนี้เขาจะคิดหาทางแก้หรือปฏิเสธเองไม่เป็นหรือไงนะ สมองก็คงจะน้อยกว่าแรมในโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวเสียอีกกระมัง
"ไม่หรอกครับหนูอุ่น คุณโปรด ท่านมีเหตุผลของท่าน" ทนายวัยกลางคนตอบอย่างใจเย็นเช่นเคย
"ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาดูแลบ้านและเจ้าสี่ตัวนั้นเองคนเดียวเถอะค่ะ ไม่ผิดเงื่อนไขใช่ไหมคะลุงทนาย" เธอเอ่ยปรึกษาท่านราวมีกันสองคนแค่นั้น
"นี่เธอ มีสิทธิ์อะไรมาคิดแทนคนอื่น" ชายหนุ่มตีรวนหาเรื่อง
จะว่าไปแล้วนี่คงเป็นการพูดจาตรงๆ ครั้งแรกระหว่างเขากับเธอก็เป็นได้ หากหญิงสาวกลับนั่งหลังตรงมองไปยังทนายชลัทเท่านั้น แม้หางตาจะแลเห็นคนข้างตัวฮึดฮัดราวเด็กไม่ได้ดั่งใจก็ตาม
"ใช่ไหมคะลุงทนาย"
"ใช่ครับ"
อนาวิลาค่อยหายใจสะดวกขึ้นหน่อย เธอมั่นใจว่าเขาไม่มีทางอดทนอยู่ร่วมบ้านกับเธออีกเป็นปีแน่ เธอเองก็เช่นกัน
"ก็แค่ตาโปรดอยู่บ้านนี้แล้วให้คนงานที่บ้านมาทำความสะอาดดูแล ผมไม่เห็นว่ามันจะส่งผลเสียตรงไหน"
"แต่มันผิดเงื่อนไขและความตั้งใจของคุณสรรค์ชัยครับคุณปราบดา"
"งั้นก็ไม่ต้องอยู่ ไม่เอาก็ได้สมบัติอะไรนี่ บ้านเก่าๆ กับหมา ใครอยากได้ก็ให้มันไป"
นายโปรดเหวี่ยงหมอนอิงใส่โซฟา เขาลุกเดินออกไปอย่างเหลืออดที่ยามเช้าของตนต้องมาติดแหง็กกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้
"หยุด! แกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นนายโปรด แกต้องทำตามเงื่อนไขตาแก"
ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้ากรอบประตู ใบหน้าใสอ่อนเยาว์ของเขาแลดูขัดตาด้วยดวงตากร้าวกระด้างที่ใช้มองบุพการี
"ผมไม่ทำ พ่อหรือผมกันแน่ที่อยากได้สมบัติของตา ฮะ!"
"ก็ลองออกไปดูสิ" ปราบดาขู่เสียงเรียบ หากนั่นก็ทำให้มือที่จับบานประตูชะงัก "แกก็รู้ว่าฉันเคยทำยังไงตอนบังคับแกกลับจากเมืองนอก เงินเดือนที่ฉันให้แก บัตรเครดิต รถ แกจะอยู่โดยไม่มีของพวกนี้ได้ยังไง"
อนาวิลาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบสายตาใครในสถานการณ์เช่นนี้ กระนั้นดวงตาวาวโรจน์ก็ปรายสะเก็ดระเบิดอารมณ์มาทางเธอ จนตนพลอยร้อนใจและไม่เป็นสุขเอาเสียเลย
"ที่พ่ออยากให้ผมได้สมบัติตานักนี่ ก็เพราะจะเก็บเงินทองของตัวเองไว้ให้ลูกเล็กกับเมียใหม่ใช่ไหม" เขาเค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน
"ใช่ ฉันหมดเปลืองกับแกมาเท่าไร เคยคิดบ้างไหม แกสมควรรับผิดชอบชีวิตแกเองได้เสียที" ปราบตาตอบเสียงเข้ม
หญิงสาวนึกอยากหายตัวไปจากตรงนี้นัก อยู่ให้ห่างจากสองพ่อลูกที่สบตาห้ำหั่นกันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะแม้แต่หายใจเธอยังกลัวว่ามันจะส่งเสียงดังให้รู้ว่าเธอมีตัวตน
"แต่ถ้าแกยอมอยู่ที่นี่ตามเงื่อนไขพินัยกรรมนั่น เงินห้าล้านที่แกขอฉันไปลงทุนกับเพื่อน ฉันอาจคิดทบทวนอีกทีก็ได้"
อนาวิลาดีดลูกคิดตาม ชาตินี้ทั้งชาติเธอคงไม่มีทางหาเงินตั้งห้าล้านบาทนั้นได้ แต่พ่อลูกคู่นี้กลับเอ่ยถึงมันราวเงินห้าบาท และดูท่าชายหนุ่มจะครุ่นคิดถึงมูลค่าของมันเช่นเดียวกับเธอ
นายโปรดหยุดยืนนิ่ง เขาใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มขณะไตร่ตรอง ก่อนจะหลับตาลงอย่างตัดสินใจ
"ผมขอดูสัญญาแนบอีกฉบับที่คุณตาว่าได้หรือเปล่าคุณทนาย"
เอ๋ ถ้าเธอได้ยินไม่ผิด สัญญาแนบนั้นอยู่ในเงื่อนไขข้อที่สามซึ่งเกี่ยวพันกับเธอนี่นา
"ได้ครับ"
ทนายชลัทเปิดแฟ้มเอกสาร เขาส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้อีกฝ่ายรับไปอ่าน โดยที่ร่างสูงยืนเท้าเอวไล่สายตาอ่านมันค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่นั่นเอง
อนาวิลารู้สึกถึงสายตาซึ่งเหลือบมองเธอเป็นระยะ มีแววเหยียดหยันปรากฏในดวงตากลมสวยคู่นั้นอย่างที่เจ้าของมันไม่คิดปิดบัง ก่อนเขาจะส่งกระดาษสัญญานั้นให้บิดา
"แล้วใครจะเป็นคนจ่ายเงินเดือน ผมไม่จ่ายนะ" นายโปรดโวย
ปราบดานิ่งไปครู่หนึ่ง เขาใช้เวลาอ่านไวกว่าบุตรชายและเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นเอง
"ในสัญญาบอกว่าคุณทนายจะจัดการเรื่องเงินเดือนของอุ่นเอง ใช่ไหมคุณทนาย"
"ครับ คุณสรรค์ชัยเตรียมการเรื่องนี้ไว้แล้ว"
ทนายชลัทผงกศีรษะพลางยิ้มบาง เขาหันมาสบตาหญิงสาวที่นั่งหน้าเหวออย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ซึ่งก็เหลือแต่ความสมัครใจของเธอคนเดียว
"แล้วตกลงหนูอุ่น..."
ไม่ทันขาดคำนั้นเจ้าหล่อนก็ทะลุขึ้นกลางปล้อง
"ไม่นะคะ อุ่นไม่ตกลงอะไรทั้งนั้น คุณตาทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับอุ่นเลย"
"หนูอุ่น" บุรุษวัยกลางคนเอ่ยเรียกอ่อนโยน "คุณสรรค์ชัยท่านเป็นคนมีเหตุผล หนูอุ่นก็รู้จักท่านดี แล้วท่านก็รักหนูเหมือนลูกหลานคนหนึ่งนะ"
อนาวิลาเคยเชื่อเช่นนั้น กระทั่งตอนนี้ที่เธอไม่มั่นใจเอาเสียเลย
"มันใช่เรื่องไหมนี่ที่ต้องมาง้อใครที่ไหนก็ไม่รู้ เอาสัญญาให้ดูๆ ไปเถอะ ขี้คร้านจะเปลี่ยนใจ" นายโปรดบอกอย่างตัดรำคาญ
หญิงสาวไม่ยอมยื่นมือไปรับสัญญาอีกฉบับจากทนายชลัท ดวงตาเธอพร่าเลือน น้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดที่ต้องทนนั่งให้คนไร้มารยาทดูถูก เพียงเพราะคำว่ามารยาทคำเดียวกันนี้เอง
"หนูขอโทษค่ะลุงทนาย หนูคงทำตามความต้องการคุณตาไม่ได้จริงๆ" เธอเอ่ยเด็ดขาดเป็นครั้งแรก
อนาวิลายกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองในห้องนั้น ก่อนเธอจะลุกเดินจากไปท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
...................
งานเข้าละค่า ไม่ใช่แค่โปรดไม่อยากอยู่บ้านนี้นะ ป้าอุ่นก็ขอบายเหมือนกัน
แต่ว่าาา มรดกไม่ใช่น้อยๆ นี่สิ แล้วโปรดจะง้อป้ายังไงให้ยอมมาอยู่ด้วยกัน
ติดตามความวุ่นวายในบ้านหลังน้อยได้ในตอนหน้าค่า
ปล. แพรวยังอยู่รพ. แต่จะพยายามมาอัพบ่อยๆ นะคะ
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ธ.ค. 2558, 14:11:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ธ.ค. 2558, 14:11:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 970
<< บทนำ | บทที่ ๒ คืนแรก และ ซิกส์แพ็ก >> |