บ้านวุ่น อุ่นไอรัก (รีไรต์)
นายโปรดน่ะเหรอ... ขี้เก๊ก ปากจัด สำอาง เรื่องเยอะ! นี่ยังน้อยไปเสียอีกที่เธอจะนิยามความเป็นตัวเขาได้หมด พอกันที! เธอจะไม่ทนกับคนที่มีดีแค่หน้าตากับซิกส์แพ็ก แต่สมองแรมน้อยเสียยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าโขกสับอีกต่อไป!
อนาวิลาน่ะเหรอ... ชอบสั่ง ชอบสอน จู้จี้ ขี้งก! ที่สำคัญเธอยังมีลูกสมุนเป็นหมาตั้งสี่ตัว อะไรกัน! นี่เขาต้องอยู่ร่วมชายคากับมนุษย์ป้าสายพันธุ์หมูพร้อมฝูงหมาเป็นเวลา 365 วัน ใครก็ได้...ให้เขาไปอยู่บ้านผีสิงเสียยังดีกว่าต้องรับมือกับความวุ่นวายนี่
นายโปรดน่ะเหรอ... บางทีเขาก็มีน้ำใจนะ เขาสัญญาว่าจะแปลงโฉมสาวอวบระยะสุดท้ายอย่างเธอให้ผู้ชายที่เธอแอบชอบหันมาสนใจ เขาทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้น พร้อมกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน
อนาวิลาน่ะเหรอ... เธอก็ไม่ได้ขี้บ่นเสียทีเดียวหรอกนะ บางครั้งยัยมนุษย์ป้าก็มักพูดอะไรให้เขาฉุกคิดและกลับมามีกำลังใจมุ่งมั่นทำตามฝัน ไปๆ มาๆ ผู้หญิงอวบอ้วน เชยๆ เฉิ่มๆ ดันกลายเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบแฟชั่นเซ็ตนี้ของเขาไปเสียนี่ ไม่อยากเชื่อเลย
เรื่องราววุ่นวายใต้ชายคาเดียวกัน ระหว่างชายหนุ่มเจ้าสำอางกับมนุษย์ป้าร่างอวบ พ่วงด้วยลูกสมุนสี่ขาสี่ตัวพร้อมที่จะมาสร้างรอยยิ้ม หรืออาจเรียกน้ำตาโดยไม่รู้ตัว
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๒ คืนแรก และ ซิกส์แพ็ก
๒
อนาวิลารื้อข้าวของสำหรับเตรียมการเรียนการสอนของเด็กอนุบาลออกมาจากลิ้นชักของโต๊ะทำงานภายในห้องพักอย่างกระแทกกระทั้น ความฉุนโกรธที่ถูกคนแปลกหน้าต่อกันดูถูกเมื่อครู่นี้ยังคงกรุ่นอยู่ในอารมณ์ ก่อนเธอจะนึกได้ว่าหนังสือทุกเล่มล้วนเป็นคุณทั้งนั้น ไม่ควรต้องมาเป็นที่ระบายอารมณ์เลย
ร่างอวบหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ไม้เข้าคู่กับชุดโต๊ะทำงาน เธอเปิดหนังสือภาพซึ่งมีคำศัพท์สะกดง่ายประกอบอยู่ในนั้น แล้วอารมณ์จึงค่อยเย็นลงเมื่อได้เห็นภาพการ์ตูนน่ารักลงสีสดอย่างที่เด็กๆ ชอบเช่นกัน
หญิงสาวหยิบแผงสติ๊กเกอร์สะท้อนแสงรูปดาวสำหรับให้เป็นรางวัลนักเรียนมาพลิกดู เหลืออยู่แค่เพียงสามแผ่นเท่านั้นและเธอก็เริ่มวางแผนจะออกไปซื้อรางวัลเพิ่มให้เด็กๆ ทว่าเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงผ้าร่มขาสั้นก็ดังขึ้นเสียก่อน เป็นสายจากทนายชลัทที่เธอเพิ่งลุกหนีท่านมาอย่างเสียมารยาทนั่นเอง
อนาวิลาลังเลว่าตนควรรับสายนั้นหรือไม่ เธอไม่อยากพูดจา รับรู้เรื่องราวของลูกหลานคุณตาอีกแล้ว แต่ครั้นนึกถึงความดีของท่าน รวมทั้งของทนายวัยกลางคนผู้นี้ เธอก็ไม่อยากทำตัวแข็งกระด้างอย่างเมื่อครู่นี้เลย
เธอตัดสินใจรับสายในที่สุด พร้อมกับภาวนาให้ได้ฟังข่าวดีที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน
"ค่ะลุงทนาย"
"หนูอุ่น ลงมาพบลุงทีได้ไหม นี่ลุงมารอที่ร้านอาหารตามสั่งใต้ตึกน่ะครับ"
ลงว่าท่านอุตส่าห์มาพบถึงที่พัก แสดงว่าคำภาวนาของเธอคงไม่เป็นผลสินะ
แต่หากเธอปฏิเสธลงไปพบ เด็กแบบไหนกันที่ปฏิเสธจะพบผู้ใหญ่ซึ่งมาหาถึงที่ เธอไม่อาจทำตัวเสียมารยาทเพียงนั้นได้
"ค่ะ อุ่นจะลงไป"
อนาวิลาตอบรับก่อนวางสาย หารู้ไม่ว่าทนายชลัทไม่ได้เป็นฝ่ายรอเธอลำพัง
...................
อนาวิลาแทบไม่ได้ยินเสียงทักของเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง ทันทีที่ลงมาพบว่าผู้ที่โทรหาเธอนั้นไม่ได้นั่งรออยู่บนเก้าอี้พลาสติกกลมลำพัง ทว่าผู้ร่วมโต๊ะเดียวกันกับเขาคือชายวัยรุ่นในชุดเสื้อยืดแขนสามส่วนสีดำกับกางเกงผ้าขาเดฟสีเดียวกัน หมอนั่นนั่งไขว่ห้าง ปรายตามองเธอที่เดินไปสมทบแวบหนึ่งก่อนเบือนหนีราวรำคาญมดแมลง
"ลุงคงไม่ต้องแนะนำให้รู้จักกันอีกทีมั้ง"
"ลุงทนาย..."
หญิงสาวขำไม่ออก ตอนนี้เธอไม่รู้สึกใกล้เคียงกับคำว่าอารมณ์ขันสักนิดเดียว
"นั่งลงก่อนเถอะครับ มาพูดกันให้เข้าใจตรงกันดีกว่านะ"
อนาวิลานั่งลงฝั่งตรงข้าม เธอเองก็ไม่ต้องการเป็นตัวปัญหา ท่ามากในสายตาผู้อื่นสักนิด หากชายหนุ่มจะสงบคำเช่นนี้ได้ตลอดไป
ทว่าท่าทางสงบนิ่งของนายโปรดนั้นเปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำ ที่เขาต้องมาง้อ 'มนุษย์ป้า' ถึงนี่ก็เสียศักดิ์ศรีมากพอแล้ว เขาอยากลุกหนีไปจากเงื่อนไขบ้าๆ ให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อบังคับให้คนขับรถตามมาคุมตน แล้วยังคำขู่เด็ดขาดที่สุดซึ่งเคยใช้ได้ผลกับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งหมดบังคับฝืนใจเขาให้ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้อีกคน
'แกเงียบไว้อย่างเดียว ให้ทนายเขาเจรจาไป แล้วก็ทำท่าให้มันอ่อนกว่านี้หน่อย ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นไม่น่าใช่คนเลวร้ายนะ นามสกุลเขาดังอยู่'
นามสกุลดังหรือ พนันได้เลยว่าถ้าพ่อมาเห็นสภาพที่พักเจ้าหล่อนจะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน อย่างเขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่สนว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
"ลุงเอาสัญญามาให้อุ่นดูก่อน เชื่อลุงเถอะนะว่าคุณสรรค์ชัยท่านร่างมันขึ้นมาอย่างรัดกุมที่สุด"
อนาวิลาจำต้องรับมาอย่างเสียมิได้ แต่เพียงเลื่อนสายตาลงมาเห็นตัวเลขค่าจ้างดูแลบ้านจำนวนห้าหลักในข้อที่หนึ่ง เธอก็ต้องเบิกตามองทนายชลัทอย่างไม่เชื่อสายตา
"เดือนละสามหมื่น" เธออ่านทวนข้อความพลางคิดสะระตะ
เงินเดือนครูหมื่นห้า แต่ค่าจ้างเลี้ยงสุนัขและดูแลบ้านสามหมื่น!
บุรุษวัยกลางคนผงกศีรษะยืนยันว่าตาเธอไม่ได้ฝาดไป แล้วเสียงใจเต้นตึกตักของเธอก็ดังกลบเสียงหัวเราะหึของใครบางคน
อนาวิลากำมือเข้าแล้วคลายออกอย่างเรียกสติตนเอง เธอกวาดสายตาอ่านสัญญาจนครบถ้วน ดูอย่างไรเธอกับหลานชายคุณตาก็มีสถานะเป็นเพียงลูกจ้างกับนายจ้างเท่านั้น เธอมีหน้าที่แค่ดูแลบ้านและเจ้าสี่ตัวนั้น ไม่ได้ระบุว่าเธอต้องรับใช้เขาเสียหน่อยนี่นา
หญิงสาวเริ่มมองเห็นเหตุผลที่คุณตาทำแบบนี้ ท่านคงไม่ไว้ใจให้หลานคนนี้หรือคนอื่นที่ท่านไม่รู้จักมาดูแลบ้านและพวกสุนัขกระมัง
นึกถึงเจ้าสี่ตัวขึ้นมา อนาวิลาก็คิดไม่ออกว่าชายหนุ่มท่าทางขี้เก๊ก มาดสำอางผู้นี้จะดูแลมันลำพังได้อย่างไร คงไม่แคล้วที่กรรมต้องตกอยู่กับสี่ชีวิตนั้นเป็นแน่ อย่าว่าแต่ใครจะอาบน้ำให้มัน เจ้านายใหม่ของมันจะลืมให้อาหารมันหรือเปล่าไม่รู้เลย
เธอปรายตามองคนที่นั่งไขว่ห้าง สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงราวกลัวเนื้อตัวจะเปื้อนคราบจากโต๊ะ เขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่ก็นับได้ว่าจริงใจพอใช้ แต่หากเธอจะตอบรับข้อเสนอในพินัยกรรมนี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่เธอควรพูดจากับเขาให้เข้าใจ
"ถะ...ถ้า..." ลำคอเธอตีบตื้อขึ้นมาจนหญิงสาวต้องหยุดกระแอม "คืออย่างนี้ค่ะ ถ้าคุณต้องการให้ฉันไปอยู่ที่บ้านคุณตา"
"ไปทำงานรับใช้" เขาแก้ให้ถูกต้อง
อนาวิลาสูดหายใจลึกอย่างข่มใจ "ถ้าคุณต้องการให้ฉันไปช่วย 'ดูแล' บ้านและสุนัขทั้งสี่ตัว ฉันก็คิดว่าพอทำได้ แต่จะไม่มีการบังคับ สั่งให้ทำงานอื่นนอกเหนือหน้าที่ของฉัน คุณทำได้ไหม"
นายโปรดลอบเบ้ปากกับคำพูดและท่าทางเป็นงานเป็นการของเธอ ทำเป็นวางตัวข่มเขา คงถือดีว่าเป็นคนโปรดของตาและเขาต้องง้อกระมัง ก็จริง แต่แค่เวลานี้เท่านั้น เขาเบือนหน้าหนีพลางผงกศีรษะส่งๆ ไป
"ตกลงแล้วก็เซ็นสิ" เขาเร่ง
หญิงสาวรับปากกามาจากลุงทนาย บนท้ายกระดาษนั้นมีลายเซ็นชายหนุ่มผู้นี้ รวมทั้งบิดาของเขาซึ่งเซ็นเป็นพยานไว้อยู่ก่อนแล้ว เธอจรดปากกาจ่อกระดาษด้วยใจซึ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ นึกถึงใบหน้าเปี่ยมเมตตาของชายชราที่ตนเคารพรัก ก่อนจะตวัดปากกาเขียนชื่อตัวเองลงไปแทบกลั้นหายใจ
"ลีลา"
เอ๋... อนาวิลาช้อนตามองเจ้าของวาจาเหน็บแนมฝั่งตรงข้าม ครั้นทนายชลัทลงนามเป็นพยานคนสุดท้าย เขาก็กระชากเอกสารสัญญาแผ่นหนึ่งมาไว้กับตัวก่อนลุกจากไป
หญิงสาวได้แต่นั่งหน้าเด๋อสบตาลุงทนาย แล้วก็ได้รับรอยยิ้มปลอบโยนมาจากท่านอย่างเห็นใจ
"อีกสามร้อยหกสิบห้าวันสินะคะ หนูคงกาปฏิทินรอวันนั้นแทบขาดใจ"
"แต่ลุงว่าหนูกาปฏิทินรออีกสามสิบวันจากนี้ดีกว่านะ"
เธอนิ่งคิดตามความหมายของท่าน ก่อนจะมองค้อนบุรุษวัยกลางคนที่เย้าเธอ
"ลุงทนายน่ะ หนูไม่ได้เห็นแก่เงินนะคะ หนูแค่รู้ค่าของเงิน"
หลังคำตอบนั้นทั้งสองฝ่ายก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
ไม่แปลกที่ใครรู้จักเธอดีจะรู้ว่าเธอเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์เพียงไหน ของทุกชิ้นที่เธอซื้อจะต้องคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด ชลัทก็เป็นอีกคนที่ทราบนิสัยอันผิดจากหนุ่มสาวยุคใหม่ข้อนี้ของเธอ จากใบปลิวโฆษณาหรือคูปองสินค้าลดราคาต่างๆ ที่นายแพทย์สรรค์ชัยเคยเก็บไว้ให้เธอ
................
'ไม่ต้องห่วงนะครับ ในบ้านนี้มีกล้องวงจรปิด ท่านสั่งให้ลุงติดตั้งไว้ก่อนท่านเสียสองเดือนนี่เอง เราจะดูกล้องก็ต่อเมื่อหนูอุ่นหรือคุณโปรดร้องขอ ถ้าคุณโปรดทำอะไรรุนแรงกับหนู หนูก็สามารถบอกเลิกสัญญาได้เลย โดยที่ทรัพย์สมบัติทุกอย่างของท่านจะตกเป็นของหนูแทน'
'โห นี่คุณตาวางแผนล่วงหน้าขนาดนี้เลยหรือคะ' เธอเบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ 'แต่อุ่นไม่โลภขนาดหวังทรัพย์สมบัติคุณตาหรอกค่ะ อุ่นรู้ว่าท่านเตรียมการทุกอย่างก็เพื่อรอวันที่หลานท่านจะเห็นคุณค่าทุกอย่างที่ท่านสร้างมา อย่างนั้นสินะคะลุงทนาย'
เธอยังจำบทสนทนากับทนายชลัทเมื่อกลางวันได้ดี แล้วหางตาก็ต้องเหลือบมองหากล้องวงจรปิดที่ซ่อนอยู่มุมฝ้าเพดานแทบมองไม่เห็น อย่างที่เธอไม่เคยสังเกตตลอดมา
อนาวิลาย้ายเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นบางส่วนของตนเข้ามาในบ้านคุณตาตามสัญญาแล้ว แต่เธอยังคงเช่าห้องพักของตนไว้อยู่ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเช่นเขาเปลี่ยนใจบอกไล่เธอออกจากบ้านขึ้นมา อย่างน้อยเธอก็แค่ขนข้าวของกลับไปอยู่ที่เดิมของตน
ผู้ที่ดีใจที่สุดที่เธอย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้คงไม่พ้นสุนัขทั้งสี่ตัว พวกมันกลับมาเริงร่า เห่าหอนและวิ่งกระโดดไปมารอบบ้าน เธอเป็นคนเทอาหารเม็ดมื้อเย็นให้มัน แล้วก็พบว่าอาหารสุนัขถุงใหญ่ที่คุณตาซื้อไว้ใกล้หมดเต็มที
อนาวิลาต้องวางแผนชีวิตใหม่หลายอย่าง เธอตั้งใจจะอาบน้ำให้พวกมันสัปดาห์ละครั้งเหมือนที่เคยช่วยเป็นลูกมือคุณตา ส่วนวันธรรมดาเมื่อเสร็จสิ้นหน้าที่การงานแล้วเธอก็ต้องแบ่งเวลามาทำงานบ้าน แค่นี้ทุกอย่างก็น่าจะลงตัวกระมัง
หญิงสาวจดลงในสมุดบันทึกเตือนความจำพลางเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง สามทุ่มครึ่งแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าผู้ร่วมชายคาอีกคนจะกลับเข้ามาเสียที เธอตัดสินใจดับไฟห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ก่อนจะขึ้นบันไดไปยังห้องนอนเล็กของตน
นานเท่าไรไม่รู้ที่เธอหลับฝันเห็นคุณตา แต่แล้วตนก็ต้องสะดุ้งตื่นจากฝันดีนั้นเมื่อเสียงกดแตรรถดังลั่นซอย อนาวิลาพลิกตัวตะแคงพลางยกหมอนขึ้นปิดหู ชินเสียแล้วกับซอยที่มีรถผ่านไปมาเช่นนี้ทั้งวัน
ทว่า...
ปิ๊นนน! ปิ๊น ปิ๊น ปิ๊นนน!
หญิงสาวสะดุ้งโหยงอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอรีบวิ่งลงบันไดมาดูว่าเป็นรถของคนที่ยังไม่กลับถึงบ้านหรือไม่ แล้วความเร่งรีบประกอบกับความง่วงงุนก็ทำให้เซถลาลงบันไดมา ดีที่คว้าราวไว้ได้ทัน
นี่เธอต้องมาเฉียดตายหรือหัวใจวายเพราะเด็กไร้มารยาทคนนี้อีกกี่ครั้งกันนะ
"ล็อกรั้วทำบ้าอะไร คิดว่าบ้านนี้เป็นของเธอหรือไง" นายโปรดเปิดประตูลงมาตะโกนต่อว่า
อนาวิลากำมือแน่นอย่างสะกดอารมณ์ มันน่าเปิดรั้วให้ไหมนี่ แล้วใครจะไปรู้ว่าเขาไม่มีกุญแจบ้านหลังนี้
กระนั้นเธอก็ต้องออกแรงเข็นรั้วเหล็กขึ้นสนิมให้เปิดออกพอที่รถสปอร์ตจะเคลื่อนเข้ามาได้ สุนัขทั้งสี่ตัวเห่ากันขรม พวกมันตรงไปห้อมล้อมรถไว้อย่างเห็นเป็นของแปลกตา
"เฮ้ย! แล้วทำไมไม่ล่ามหมาเล่า เอาพวกมันใส่กรงไปสิ จะให้มาฉี่ใส่รถฉันหรือไง" ชายหนุ่มยังไม่ยอมลงจากรถ เขาไขกระจกลงพลางตะโกนออกคำสั่ง
"ปกติคุณตาก็ไม่เคยล่ามหรือขังพวกมัน" เธอตอบอย่างข่มใจเย็น
"เออ แต่นี่มันไม่ปกติไง เข้าใจป่ะ เพราะถ้ามันเป็นชีวิตปกติของฉัน ฉันจะไม่มีวันมาอยู่ที่นี่กับมนุษย์ป้าอย่างเธอเด็ดขาด!"
อนาวิลาสูดหายใจลึก ก่อนเธอจะสะบัดหน้าพรืดหนีเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจเขาอีก
"นี่เธอ! เรียกมันไปด้วยเซ่" นายโปรดตะโกนไล่หลังหากก็ไม่เป็นผล
เขาลืมตัวเปิดประตูลงจากรถอย่างฉุนจัด แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงแทบดิ้นพล่านเมื่อสุนัขทั้งสี่ตัวยื่นจมูกชื้นมาดมใกล้ตน
"เฮ้ย ไอ้หมาบ้า อย่ามาดมสิวะ สกปรก ไป... ไป!"
หญิงสาวยืนรอฟังสถานการณ์อยู่บนบันไดขั้นบนสุด ครั้นได้ยินเสียงเขาเปิดประตูปึงปังเข้ามาในบ้านแล้ว ตนจึงกลับเข้าห้องนอนอย่างหมดห่วงว่าเขาไม่ได้ทำร้ายรังแกพวกมัน
อนาวิลาปีนขึ้นเตียงทว่าคราวนี้ตาสว่างกว่าเคยเสียแล้ว นาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือบอกเวลาตีสองกว่า เธอยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงเมื่อแว่วเสียงกุกกักดังมาจากภายนอก คืนนี้ของเธอท่าจะสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ
.....................
ยามเช้าในบ้านใหม่ของอนาวิลาเริ่มต้นแตกต่างจากทุกวัน เมื่อวันนี้เธอตื่นด้วยเสียงตั้งปลุกจากโทรศัพท์มือถือ ไม่มีเสียงสวดให้พรของพระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตอย่างเคย
ไม่มีเวลาสำหรับอู้อยู่บนเตียงนานนัก เธอต้องรดน้ำต้นไม้และให้อาหารลูกสมุนอีก ภารกิจเหล่านั้นคงกินเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง แล้วตนจึงจะขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปทำงาน
"เอ้า รีบกินเร็วเข้าพวกแก เดี๋ยวฉันต้องไปทำงานอีกนะ" เธอร้องบอกพวกมันที่เดี๋ยววิ่งไปกินเดี๋ยววิ่งมากระโดดงับน้ำจากสายยางรดน้ำต้นไม้ "เลิฟลี่ คนสวยของฉัน ไปกินข้าวเร้ว อ๊ะๆ กินดอกโป๊ยเซียนคุณตาไม่ได้นะ!"
"โว้ย! เบาๆ ได้ไหมเนี่ย คนจะนอน"
อนาวิลาสะดุ้ง สายยางรดน้ำต้นไม้แทบหลุดจากมือ เธอมองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องนอนชั้นบนก็เห็นชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างของเขาผอมเพรียว หากมีร่องกล้ามเนื้อบนหน้าอกและหน้าท้องเปลือยเปล่า
หนึ่ง สอง สาม สี่... เอ๋ เดี๋ยวนะ นี่เธอมัวมานับ 'ซิกส์แพ็ก' เขาทำไมนี่!
หญิงสาวเคลื่อนสายตาขึ้นสบตาเจ้าของซิกส์แพ็ก เอ้ย... เจ้าของบ้านตัวจริง แล้วก็ได้เห็นดวงตาวาวโรจน์ของผู้ที่ถูกรบกวนห้วงนิทรา
นายโปรดขยี้ผมอย่างเหลืออด เขากระแทกหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ปิดแรง น่ากลัวว่ากระจกจะร้าวแตกกรูลงมา
อนาวิลาลอบผ่อนลมหายใจยาว เธอลืมตัวพูดคุยกับสุนัขไปเอง ไม่ทันได้คิดว่าเจ้าของบ้านยังไม่ตื่น และบ้านนี้ก็ไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ เสียงจึงลอดผ่านหน้าต่างมุ้งลวดไปโดยง่าย
"ไป ไปกินข้าวได้แล้ว" เธอกระซิบพลางไล่ต้อนพวกมันไปยังกระบะอาหารหลังบ้าน
อนาวิลารอล้างถาดอาหารพวกมันเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนตนจะรีบขึ้นไปอาบน้ำ อยากออกไปให้ห่างจากคนในบ้านนี้ที่สุด
........................
เวลากว่าเก้าชั่วโมงในโรงเรียนอนุบาลดูจะสั้นและผ่านไปรวดเร็วเหลือเชื่อ แม้เธอจะอาสาอยู่เวรช่วยดูแลเด็กๆ ที่ผู้ปกครองยังไม่มารับ หากก็ถูกครูรุ่นพี่ออกปากให้กลับไป
"อุ่นกลับไปเถอะน่า เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็เวรอุ่นอยู่ดีนี่นะ สลับกันน่ะดีแล้ว" ศรุตาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจริงใจ
"แต่อุ่น..." เธออยากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ใครสักคนฟัง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจอีกครั้ง
"ทำไมหรือ อุ่นมีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือว่าอาทิตย์หน้าติดธุระ ไม่สะดวกหรือจ๊ะ"
ศรุตาชะงักฝีเท้าที่เดินไปตามระเบียงพลางหันมองหญิงสาวรุ่นน้องเต็มตา
อนาวิลารีบปฏิเสธ จริงอยู่ที่ศรุตาคงยินดีแลกเวรกับเธอ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่สามารถหลบหลีกคนในบ้านได้ตลอดไป ไม่วันนี้ก็วันไหนเธอต้องเผชิญหน้ากับเขาอยู่ดี
"งั้นอุ่นกลับเลยดีกว่า" เธอฝืนยิ้มหน้าเป็น
ร่างอวบเดินจากมาพร้อมกระเป๋าสะพายและถุงผ้าใส่อุปกรณ์การสอนและการบ้านเด็กๆ เธอแวะซื้อกับข้าวสำเร็จร้านค้าฝั่งตรงข้ามโรงเรียน ก่อนจะใช้บริการรถจักรยานยนต์ที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารทะลุไปถึงซอยที่พักเธอ
"อุ๊ย จอดค่ะๆ" หญิงสาวร้องบอกอย่างนึกขึ้นได้เมื่อรถแล่นเลยบ้านคุณตามา
เมื่อกี้เธอเห็นรถสปอร์ตสีแดงจอดอยู่ในรั้วบ้าน แปลว่าเขายังไม่ได้ออกไปไหน และถ้าตาของเธอไม่ฝาดไป... แน่ล่ะ เธอไม่ได้ตาฝาดไปเมื่อหันไปเห็นรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งติดสติ๊กเกอร์จากบริษัทผลิตเครื่องปรับอากาศจอดอยู่หน้าบ้านนั่นเอง คนงานในเสื้อช็อปกำลังเก็บเครื่องไม้เครื่องมือออกจากบ้านคุณตา
อนาวิลาก้าวยาว...เท่าที่ขาสั้นจะอำนวย...ตรงไปหาชายหนุ่มซึ่งยืนกอดอกอยู่ยังระเบียงหน้าบ้าน
"ทำอะไรของนายน่ะ"
"ติดแอร์" เขาตอบห้วนสั้น ก่อนจะโน้มตัวมาหลิ่วตาล้อเลียน "ถามอีกไหมว่าติด 'แอร์กี่' ตัว"
เธอกำมือแน่นอย่างกรุ่นโกรธเมื่อเข้าใจความหมายที่หมอนั่นจงใจเล่นคำ หญิงสาวเดินไปขวางหน้าเขาไว้ สงบใจย้ำกฎกติกาในสัญญาที่คนแรมน้อยอย่างเขาคงลืมไป
"สัญญาข้อสามบอกว่า 'หากใครคนใดคนหนึ่งคิดต่อเติมหรือตกแต่งบ้าน ต้องได้รับความยินยอมพร้อมใจจากสมาชิกอีกคนหนึ่งจึงจะทำได้' "
"แค่ติดแอร์นี่นะ อย่าเยอะได้ป่ะ"
"อีกอย่างนายควรจะพูดจากับฉันให้มันสุภาพหน่อย ฉันอายุมากกว่านายนะ" เธอยังคงตามไปขวางและผลักไหล่คนที่เดินหนีอย่างเหลืออด
นายโปรดก้มมองแขนเสื้อบริเวณที่อีกฝ่ายสัมผัสโดน เขาใช้หลังมือปัดราวรังเกียจ ก่อนดวงตาฉายแววเดียดฉันท์จะตวัดมองเธอ
"ฉันไม่มีพี่น้อง ไม่อยากนับญาติกับเธอ แล้วฉันก็พูดกับคนอื่นแบบนี้ ทำไม หรือเธอคิดว่าเธอควรได้สิทธิพิเศษกว่าใคร"
อนาวิลาหน้าชา เธอยอมให้เขาเดินหลบไปเปิดตู้เย็นในครัว ก่อนสายตาตนจะแลเลยไปยังรั้วบ้านซึ่งเปิดค้างไว้อย่างเหม่อลอย
"เฮ้ย!" หญิงสาวอุทานอย่างนึกขึ้นได้
เธอวางกระเป๋า ถุงผ้า และถุงกับข้าวทั้งหมดลงบนโต๊ะรับแขกพลางวิ่งถลาออกจากบ้าน แต่ก็ไร้วี่แววสุนัขทั้งสี่ตัวที่มักออกมาต้อนรับแขกไปใครมาทุกครั้ง ทว่ารอบบ้านกลับเงียบเชียบอย่างไร้ร่องรอยพวกมัน
"สุดหล่อ! คุณลุง! เลิฟลี่! พ่อล่ำ!" เธอตะโกนเรียกชื่อพวกมัน แต่ก็ไม่มีใครโผล่มา
ใจสาวตกไปอยู่ยังตาตุ่ม เธอหยุดยืนพิงพนักม้าหินในสนามหน้าบ้านรวบรวมสติ หากใครอีกคนดูจะไม่เข้าใจสถานการณ์นี้เอาเสียเลย
"บอกแล้วไงว่าอย่าตะโกนเรียกชื่อหมาบ้าของเธอ เธอไม่อายแต่ฉันอาย!" นายโปรดบอกเสียงกระแทกมาจากระเบียง
อนาวิลาจ้องตอบเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ครั้งนี้เธอโกรธและเกลียดเขาขึ้นมาจับใจ จากที่เคยคิดว่าเขาอาจไม่ชอบพวกมันเพราะเป็นแค่สุนัขจรจัดเก็บมาเลี้ยง แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเพราะเขาไม่มีหัวใจห่วงใยใครทั้งสิ้นต่างหาก
หญิงสาวไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำกับคนพรรค์นี้อีกแล้ว เธอรีบจ้ำอ้าวออกจากบ้าน ต้องตามหาพวกมันให้เจอก่อนฟ้าจะมืดไปกว่านี้
............................
จะบร้าาาาา ใครเคยเลี้ยงมะหมาคงเข้าใจความรู้สึกของอุ่นใช่ไหมคะ และคงอยากฆ่านายโปรดด้วย >"<
ฝากเอาใจช่วยเจ้า 4 ตัวให้ปลอดภัยด้วยนะคะ แล้วมาดูว่านายโปรดจะแก้ตัวเรื่องนี้ยังไง หึ!
ปล. สำหรับผู้ที่อ่านนิยายเรื่องนี้ หลังปีใหม่แพรวอาจมีเกมมาร่วมสนุกกันด้วยค่ะ Keep in touch
อนาวิลารื้อข้าวของสำหรับเตรียมการเรียนการสอนของเด็กอนุบาลออกมาจากลิ้นชักของโต๊ะทำงานภายในห้องพักอย่างกระแทกกระทั้น ความฉุนโกรธที่ถูกคนแปลกหน้าต่อกันดูถูกเมื่อครู่นี้ยังคงกรุ่นอยู่ในอารมณ์ ก่อนเธอจะนึกได้ว่าหนังสือทุกเล่มล้วนเป็นคุณทั้งนั้น ไม่ควรต้องมาเป็นที่ระบายอารมณ์เลย
ร่างอวบหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ไม้เข้าคู่กับชุดโต๊ะทำงาน เธอเปิดหนังสือภาพซึ่งมีคำศัพท์สะกดง่ายประกอบอยู่ในนั้น แล้วอารมณ์จึงค่อยเย็นลงเมื่อได้เห็นภาพการ์ตูนน่ารักลงสีสดอย่างที่เด็กๆ ชอบเช่นกัน
หญิงสาวหยิบแผงสติ๊กเกอร์สะท้อนแสงรูปดาวสำหรับให้เป็นรางวัลนักเรียนมาพลิกดู เหลืออยู่แค่เพียงสามแผ่นเท่านั้นและเธอก็เริ่มวางแผนจะออกไปซื้อรางวัลเพิ่มให้เด็กๆ ทว่าเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงผ้าร่มขาสั้นก็ดังขึ้นเสียก่อน เป็นสายจากทนายชลัทที่เธอเพิ่งลุกหนีท่านมาอย่างเสียมารยาทนั่นเอง
อนาวิลาลังเลว่าตนควรรับสายนั้นหรือไม่ เธอไม่อยากพูดจา รับรู้เรื่องราวของลูกหลานคุณตาอีกแล้ว แต่ครั้นนึกถึงความดีของท่าน รวมทั้งของทนายวัยกลางคนผู้นี้ เธอก็ไม่อยากทำตัวแข็งกระด้างอย่างเมื่อครู่นี้เลย
เธอตัดสินใจรับสายในที่สุด พร้อมกับภาวนาให้ได้ฟังข่าวดีที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน
"ค่ะลุงทนาย"
"หนูอุ่น ลงมาพบลุงทีได้ไหม นี่ลุงมารอที่ร้านอาหารตามสั่งใต้ตึกน่ะครับ"
ลงว่าท่านอุตส่าห์มาพบถึงที่พัก แสดงว่าคำภาวนาของเธอคงไม่เป็นผลสินะ
แต่หากเธอปฏิเสธลงไปพบ เด็กแบบไหนกันที่ปฏิเสธจะพบผู้ใหญ่ซึ่งมาหาถึงที่ เธอไม่อาจทำตัวเสียมารยาทเพียงนั้นได้
"ค่ะ อุ่นจะลงไป"
อนาวิลาตอบรับก่อนวางสาย หารู้ไม่ว่าทนายชลัทไม่ได้เป็นฝ่ายรอเธอลำพัง
...................
อนาวิลาแทบไม่ได้ยินเสียงทักของเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง ทันทีที่ลงมาพบว่าผู้ที่โทรหาเธอนั้นไม่ได้นั่งรออยู่บนเก้าอี้พลาสติกกลมลำพัง ทว่าผู้ร่วมโต๊ะเดียวกันกับเขาคือชายวัยรุ่นในชุดเสื้อยืดแขนสามส่วนสีดำกับกางเกงผ้าขาเดฟสีเดียวกัน หมอนั่นนั่งไขว่ห้าง ปรายตามองเธอที่เดินไปสมทบแวบหนึ่งก่อนเบือนหนีราวรำคาญมดแมลง
"ลุงคงไม่ต้องแนะนำให้รู้จักกันอีกทีมั้ง"
"ลุงทนาย..."
หญิงสาวขำไม่ออก ตอนนี้เธอไม่รู้สึกใกล้เคียงกับคำว่าอารมณ์ขันสักนิดเดียว
"นั่งลงก่อนเถอะครับ มาพูดกันให้เข้าใจตรงกันดีกว่านะ"
อนาวิลานั่งลงฝั่งตรงข้าม เธอเองก็ไม่ต้องการเป็นตัวปัญหา ท่ามากในสายตาผู้อื่นสักนิด หากชายหนุ่มจะสงบคำเช่นนี้ได้ตลอดไป
ทว่าท่าทางสงบนิ่งของนายโปรดนั้นเปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำ ที่เขาต้องมาง้อ 'มนุษย์ป้า' ถึงนี่ก็เสียศักดิ์ศรีมากพอแล้ว เขาอยากลุกหนีไปจากเงื่อนไขบ้าๆ ให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อบังคับให้คนขับรถตามมาคุมตน แล้วยังคำขู่เด็ดขาดที่สุดซึ่งเคยใช้ได้ผลกับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งหมดบังคับฝืนใจเขาให้ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้อีกคน
'แกเงียบไว้อย่างเดียว ให้ทนายเขาเจรจาไป แล้วก็ทำท่าให้มันอ่อนกว่านี้หน่อย ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นไม่น่าใช่คนเลวร้ายนะ นามสกุลเขาดังอยู่'
นามสกุลดังหรือ พนันได้เลยว่าถ้าพ่อมาเห็นสภาพที่พักเจ้าหล่อนจะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน อย่างเขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่สนว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
"ลุงเอาสัญญามาให้อุ่นดูก่อน เชื่อลุงเถอะนะว่าคุณสรรค์ชัยท่านร่างมันขึ้นมาอย่างรัดกุมที่สุด"
อนาวิลาจำต้องรับมาอย่างเสียมิได้ แต่เพียงเลื่อนสายตาลงมาเห็นตัวเลขค่าจ้างดูแลบ้านจำนวนห้าหลักในข้อที่หนึ่ง เธอก็ต้องเบิกตามองทนายชลัทอย่างไม่เชื่อสายตา
"เดือนละสามหมื่น" เธออ่านทวนข้อความพลางคิดสะระตะ
เงินเดือนครูหมื่นห้า แต่ค่าจ้างเลี้ยงสุนัขและดูแลบ้านสามหมื่น!
บุรุษวัยกลางคนผงกศีรษะยืนยันว่าตาเธอไม่ได้ฝาดไป แล้วเสียงใจเต้นตึกตักของเธอก็ดังกลบเสียงหัวเราะหึของใครบางคน
อนาวิลากำมือเข้าแล้วคลายออกอย่างเรียกสติตนเอง เธอกวาดสายตาอ่านสัญญาจนครบถ้วน ดูอย่างไรเธอกับหลานชายคุณตาก็มีสถานะเป็นเพียงลูกจ้างกับนายจ้างเท่านั้น เธอมีหน้าที่แค่ดูแลบ้านและเจ้าสี่ตัวนั้น ไม่ได้ระบุว่าเธอต้องรับใช้เขาเสียหน่อยนี่นา
หญิงสาวเริ่มมองเห็นเหตุผลที่คุณตาทำแบบนี้ ท่านคงไม่ไว้ใจให้หลานคนนี้หรือคนอื่นที่ท่านไม่รู้จักมาดูแลบ้านและพวกสุนัขกระมัง
นึกถึงเจ้าสี่ตัวขึ้นมา อนาวิลาก็คิดไม่ออกว่าชายหนุ่มท่าทางขี้เก๊ก มาดสำอางผู้นี้จะดูแลมันลำพังได้อย่างไร คงไม่แคล้วที่กรรมต้องตกอยู่กับสี่ชีวิตนั้นเป็นแน่ อย่าว่าแต่ใครจะอาบน้ำให้มัน เจ้านายใหม่ของมันจะลืมให้อาหารมันหรือเปล่าไม่รู้เลย
เธอปรายตามองคนที่นั่งไขว่ห้าง สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงราวกลัวเนื้อตัวจะเปื้อนคราบจากโต๊ะ เขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่ก็นับได้ว่าจริงใจพอใช้ แต่หากเธอจะตอบรับข้อเสนอในพินัยกรรมนี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่เธอควรพูดจากับเขาให้เข้าใจ
"ถะ...ถ้า..." ลำคอเธอตีบตื้อขึ้นมาจนหญิงสาวต้องหยุดกระแอม "คืออย่างนี้ค่ะ ถ้าคุณต้องการให้ฉันไปอยู่ที่บ้านคุณตา"
"ไปทำงานรับใช้" เขาแก้ให้ถูกต้อง
อนาวิลาสูดหายใจลึกอย่างข่มใจ "ถ้าคุณต้องการให้ฉันไปช่วย 'ดูแล' บ้านและสุนัขทั้งสี่ตัว ฉันก็คิดว่าพอทำได้ แต่จะไม่มีการบังคับ สั่งให้ทำงานอื่นนอกเหนือหน้าที่ของฉัน คุณทำได้ไหม"
นายโปรดลอบเบ้ปากกับคำพูดและท่าทางเป็นงานเป็นการของเธอ ทำเป็นวางตัวข่มเขา คงถือดีว่าเป็นคนโปรดของตาและเขาต้องง้อกระมัง ก็จริง แต่แค่เวลานี้เท่านั้น เขาเบือนหน้าหนีพลางผงกศีรษะส่งๆ ไป
"ตกลงแล้วก็เซ็นสิ" เขาเร่ง
หญิงสาวรับปากกามาจากลุงทนาย บนท้ายกระดาษนั้นมีลายเซ็นชายหนุ่มผู้นี้ รวมทั้งบิดาของเขาซึ่งเซ็นเป็นพยานไว้อยู่ก่อนแล้ว เธอจรดปากกาจ่อกระดาษด้วยใจซึ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ นึกถึงใบหน้าเปี่ยมเมตตาของชายชราที่ตนเคารพรัก ก่อนจะตวัดปากกาเขียนชื่อตัวเองลงไปแทบกลั้นหายใจ
"ลีลา"
เอ๋... อนาวิลาช้อนตามองเจ้าของวาจาเหน็บแนมฝั่งตรงข้าม ครั้นทนายชลัทลงนามเป็นพยานคนสุดท้าย เขาก็กระชากเอกสารสัญญาแผ่นหนึ่งมาไว้กับตัวก่อนลุกจากไป
หญิงสาวได้แต่นั่งหน้าเด๋อสบตาลุงทนาย แล้วก็ได้รับรอยยิ้มปลอบโยนมาจากท่านอย่างเห็นใจ
"อีกสามร้อยหกสิบห้าวันสินะคะ หนูคงกาปฏิทินรอวันนั้นแทบขาดใจ"
"แต่ลุงว่าหนูกาปฏิทินรออีกสามสิบวันจากนี้ดีกว่านะ"
เธอนิ่งคิดตามความหมายของท่าน ก่อนจะมองค้อนบุรุษวัยกลางคนที่เย้าเธอ
"ลุงทนายน่ะ หนูไม่ได้เห็นแก่เงินนะคะ หนูแค่รู้ค่าของเงิน"
หลังคำตอบนั้นทั้งสองฝ่ายก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
ไม่แปลกที่ใครรู้จักเธอดีจะรู้ว่าเธอเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์เพียงไหน ของทุกชิ้นที่เธอซื้อจะต้องคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด ชลัทก็เป็นอีกคนที่ทราบนิสัยอันผิดจากหนุ่มสาวยุคใหม่ข้อนี้ของเธอ จากใบปลิวโฆษณาหรือคูปองสินค้าลดราคาต่างๆ ที่นายแพทย์สรรค์ชัยเคยเก็บไว้ให้เธอ
................
'ไม่ต้องห่วงนะครับ ในบ้านนี้มีกล้องวงจรปิด ท่านสั่งให้ลุงติดตั้งไว้ก่อนท่านเสียสองเดือนนี่เอง เราจะดูกล้องก็ต่อเมื่อหนูอุ่นหรือคุณโปรดร้องขอ ถ้าคุณโปรดทำอะไรรุนแรงกับหนู หนูก็สามารถบอกเลิกสัญญาได้เลย โดยที่ทรัพย์สมบัติทุกอย่างของท่านจะตกเป็นของหนูแทน'
'โห นี่คุณตาวางแผนล่วงหน้าขนาดนี้เลยหรือคะ' เธอเบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ 'แต่อุ่นไม่โลภขนาดหวังทรัพย์สมบัติคุณตาหรอกค่ะ อุ่นรู้ว่าท่านเตรียมการทุกอย่างก็เพื่อรอวันที่หลานท่านจะเห็นคุณค่าทุกอย่างที่ท่านสร้างมา อย่างนั้นสินะคะลุงทนาย'
เธอยังจำบทสนทนากับทนายชลัทเมื่อกลางวันได้ดี แล้วหางตาก็ต้องเหลือบมองหากล้องวงจรปิดที่ซ่อนอยู่มุมฝ้าเพดานแทบมองไม่เห็น อย่างที่เธอไม่เคยสังเกตตลอดมา
อนาวิลาย้ายเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นบางส่วนของตนเข้ามาในบ้านคุณตาตามสัญญาแล้ว แต่เธอยังคงเช่าห้องพักของตนไว้อยู่ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเช่นเขาเปลี่ยนใจบอกไล่เธอออกจากบ้านขึ้นมา อย่างน้อยเธอก็แค่ขนข้าวของกลับไปอยู่ที่เดิมของตน
ผู้ที่ดีใจที่สุดที่เธอย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้คงไม่พ้นสุนัขทั้งสี่ตัว พวกมันกลับมาเริงร่า เห่าหอนและวิ่งกระโดดไปมารอบบ้าน เธอเป็นคนเทอาหารเม็ดมื้อเย็นให้มัน แล้วก็พบว่าอาหารสุนัขถุงใหญ่ที่คุณตาซื้อไว้ใกล้หมดเต็มที
อนาวิลาต้องวางแผนชีวิตใหม่หลายอย่าง เธอตั้งใจจะอาบน้ำให้พวกมันสัปดาห์ละครั้งเหมือนที่เคยช่วยเป็นลูกมือคุณตา ส่วนวันธรรมดาเมื่อเสร็จสิ้นหน้าที่การงานแล้วเธอก็ต้องแบ่งเวลามาทำงานบ้าน แค่นี้ทุกอย่างก็น่าจะลงตัวกระมัง
หญิงสาวจดลงในสมุดบันทึกเตือนความจำพลางเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง สามทุ่มครึ่งแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววว่าผู้ร่วมชายคาอีกคนจะกลับเข้ามาเสียที เธอตัดสินใจดับไฟห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ก่อนจะขึ้นบันไดไปยังห้องนอนเล็กของตน
นานเท่าไรไม่รู้ที่เธอหลับฝันเห็นคุณตา แต่แล้วตนก็ต้องสะดุ้งตื่นจากฝันดีนั้นเมื่อเสียงกดแตรรถดังลั่นซอย อนาวิลาพลิกตัวตะแคงพลางยกหมอนขึ้นปิดหู ชินเสียแล้วกับซอยที่มีรถผ่านไปมาเช่นนี้ทั้งวัน
ทว่า...
ปิ๊นนน! ปิ๊น ปิ๊น ปิ๊นนน!
หญิงสาวสะดุ้งโหยงอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอรีบวิ่งลงบันไดมาดูว่าเป็นรถของคนที่ยังไม่กลับถึงบ้านหรือไม่ แล้วความเร่งรีบประกอบกับความง่วงงุนก็ทำให้เซถลาลงบันไดมา ดีที่คว้าราวไว้ได้ทัน
นี่เธอต้องมาเฉียดตายหรือหัวใจวายเพราะเด็กไร้มารยาทคนนี้อีกกี่ครั้งกันนะ
"ล็อกรั้วทำบ้าอะไร คิดว่าบ้านนี้เป็นของเธอหรือไง" นายโปรดเปิดประตูลงมาตะโกนต่อว่า
อนาวิลากำมือแน่นอย่างสะกดอารมณ์ มันน่าเปิดรั้วให้ไหมนี่ แล้วใครจะไปรู้ว่าเขาไม่มีกุญแจบ้านหลังนี้
กระนั้นเธอก็ต้องออกแรงเข็นรั้วเหล็กขึ้นสนิมให้เปิดออกพอที่รถสปอร์ตจะเคลื่อนเข้ามาได้ สุนัขทั้งสี่ตัวเห่ากันขรม พวกมันตรงไปห้อมล้อมรถไว้อย่างเห็นเป็นของแปลกตา
"เฮ้ย! แล้วทำไมไม่ล่ามหมาเล่า เอาพวกมันใส่กรงไปสิ จะให้มาฉี่ใส่รถฉันหรือไง" ชายหนุ่มยังไม่ยอมลงจากรถ เขาไขกระจกลงพลางตะโกนออกคำสั่ง
"ปกติคุณตาก็ไม่เคยล่ามหรือขังพวกมัน" เธอตอบอย่างข่มใจเย็น
"เออ แต่นี่มันไม่ปกติไง เข้าใจป่ะ เพราะถ้ามันเป็นชีวิตปกติของฉัน ฉันจะไม่มีวันมาอยู่ที่นี่กับมนุษย์ป้าอย่างเธอเด็ดขาด!"
อนาวิลาสูดหายใจลึก ก่อนเธอจะสะบัดหน้าพรืดหนีเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจเขาอีก
"นี่เธอ! เรียกมันไปด้วยเซ่" นายโปรดตะโกนไล่หลังหากก็ไม่เป็นผล
เขาลืมตัวเปิดประตูลงจากรถอย่างฉุนจัด แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงแทบดิ้นพล่านเมื่อสุนัขทั้งสี่ตัวยื่นจมูกชื้นมาดมใกล้ตน
"เฮ้ย ไอ้หมาบ้า อย่ามาดมสิวะ สกปรก ไป... ไป!"
หญิงสาวยืนรอฟังสถานการณ์อยู่บนบันไดขั้นบนสุด ครั้นได้ยินเสียงเขาเปิดประตูปึงปังเข้ามาในบ้านแล้ว ตนจึงกลับเข้าห้องนอนอย่างหมดห่วงว่าเขาไม่ได้ทำร้ายรังแกพวกมัน
อนาวิลาปีนขึ้นเตียงทว่าคราวนี้ตาสว่างกว่าเคยเสียแล้ว นาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือบอกเวลาตีสองกว่า เธอยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงเมื่อแว่วเสียงกุกกักดังมาจากภายนอก คืนนี้ของเธอท่าจะสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ
.....................
ยามเช้าในบ้านใหม่ของอนาวิลาเริ่มต้นแตกต่างจากทุกวัน เมื่อวันนี้เธอตื่นด้วยเสียงตั้งปลุกจากโทรศัพท์มือถือ ไม่มีเสียงสวดให้พรของพระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตอย่างเคย
ไม่มีเวลาสำหรับอู้อยู่บนเตียงนานนัก เธอต้องรดน้ำต้นไม้และให้อาหารลูกสมุนอีก ภารกิจเหล่านั้นคงกินเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง แล้วตนจึงจะขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปทำงาน
"เอ้า รีบกินเร็วเข้าพวกแก เดี๋ยวฉันต้องไปทำงานอีกนะ" เธอร้องบอกพวกมันที่เดี๋ยววิ่งไปกินเดี๋ยววิ่งมากระโดดงับน้ำจากสายยางรดน้ำต้นไม้ "เลิฟลี่ คนสวยของฉัน ไปกินข้าวเร้ว อ๊ะๆ กินดอกโป๊ยเซียนคุณตาไม่ได้นะ!"
"โว้ย! เบาๆ ได้ไหมเนี่ย คนจะนอน"
อนาวิลาสะดุ้ง สายยางรดน้ำต้นไม้แทบหลุดจากมือ เธอมองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องนอนชั้นบนก็เห็นชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างของเขาผอมเพรียว หากมีร่องกล้ามเนื้อบนหน้าอกและหน้าท้องเปลือยเปล่า
หนึ่ง สอง สาม สี่... เอ๋ เดี๋ยวนะ นี่เธอมัวมานับ 'ซิกส์แพ็ก' เขาทำไมนี่!
หญิงสาวเคลื่อนสายตาขึ้นสบตาเจ้าของซิกส์แพ็ก เอ้ย... เจ้าของบ้านตัวจริง แล้วก็ได้เห็นดวงตาวาวโรจน์ของผู้ที่ถูกรบกวนห้วงนิทรา
นายโปรดขยี้ผมอย่างเหลืออด เขากระแทกหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ปิดแรง น่ากลัวว่ากระจกจะร้าวแตกกรูลงมา
อนาวิลาลอบผ่อนลมหายใจยาว เธอลืมตัวพูดคุยกับสุนัขไปเอง ไม่ทันได้คิดว่าเจ้าของบ้านยังไม่ตื่น และบ้านนี้ก็ไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ เสียงจึงลอดผ่านหน้าต่างมุ้งลวดไปโดยง่าย
"ไป ไปกินข้าวได้แล้ว" เธอกระซิบพลางไล่ต้อนพวกมันไปยังกระบะอาหารหลังบ้าน
อนาวิลารอล้างถาดอาหารพวกมันเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนตนจะรีบขึ้นไปอาบน้ำ อยากออกไปให้ห่างจากคนในบ้านนี้ที่สุด
........................
เวลากว่าเก้าชั่วโมงในโรงเรียนอนุบาลดูจะสั้นและผ่านไปรวดเร็วเหลือเชื่อ แม้เธอจะอาสาอยู่เวรช่วยดูแลเด็กๆ ที่ผู้ปกครองยังไม่มารับ หากก็ถูกครูรุ่นพี่ออกปากให้กลับไป
"อุ่นกลับไปเถอะน่า เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็เวรอุ่นอยู่ดีนี่นะ สลับกันน่ะดีแล้ว" ศรุตาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจริงใจ
"แต่อุ่น..." เธออยากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ใครสักคนฟัง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจอีกครั้ง
"ทำไมหรือ อุ่นมีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือว่าอาทิตย์หน้าติดธุระ ไม่สะดวกหรือจ๊ะ"
ศรุตาชะงักฝีเท้าที่เดินไปตามระเบียงพลางหันมองหญิงสาวรุ่นน้องเต็มตา
อนาวิลารีบปฏิเสธ จริงอยู่ที่ศรุตาคงยินดีแลกเวรกับเธอ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่สามารถหลบหลีกคนในบ้านได้ตลอดไป ไม่วันนี้ก็วันไหนเธอต้องเผชิญหน้ากับเขาอยู่ดี
"งั้นอุ่นกลับเลยดีกว่า" เธอฝืนยิ้มหน้าเป็น
ร่างอวบเดินจากมาพร้อมกระเป๋าสะพายและถุงผ้าใส่อุปกรณ์การสอนและการบ้านเด็กๆ เธอแวะซื้อกับข้าวสำเร็จร้านค้าฝั่งตรงข้ามโรงเรียน ก่อนจะใช้บริการรถจักรยานยนต์ที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารทะลุไปถึงซอยที่พักเธอ
"อุ๊ย จอดค่ะๆ" หญิงสาวร้องบอกอย่างนึกขึ้นได้เมื่อรถแล่นเลยบ้านคุณตามา
เมื่อกี้เธอเห็นรถสปอร์ตสีแดงจอดอยู่ในรั้วบ้าน แปลว่าเขายังไม่ได้ออกไปไหน และถ้าตาของเธอไม่ฝาดไป... แน่ล่ะ เธอไม่ได้ตาฝาดไปเมื่อหันไปเห็นรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งติดสติ๊กเกอร์จากบริษัทผลิตเครื่องปรับอากาศจอดอยู่หน้าบ้านนั่นเอง คนงานในเสื้อช็อปกำลังเก็บเครื่องไม้เครื่องมือออกจากบ้านคุณตา
อนาวิลาก้าวยาว...เท่าที่ขาสั้นจะอำนวย...ตรงไปหาชายหนุ่มซึ่งยืนกอดอกอยู่ยังระเบียงหน้าบ้าน
"ทำอะไรของนายน่ะ"
"ติดแอร์" เขาตอบห้วนสั้น ก่อนจะโน้มตัวมาหลิ่วตาล้อเลียน "ถามอีกไหมว่าติด 'แอร์กี่' ตัว"
เธอกำมือแน่นอย่างกรุ่นโกรธเมื่อเข้าใจความหมายที่หมอนั่นจงใจเล่นคำ หญิงสาวเดินไปขวางหน้าเขาไว้ สงบใจย้ำกฎกติกาในสัญญาที่คนแรมน้อยอย่างเขาคงลืมไป
"สัญญาข้อสามบอกว่า 'หากใครคนใดคนหนึ่งคิดต่อเติมหรือตกแต่งบ้าน ต้องได้รับความยินยอมพร้อมใจจากสมาชิกอีกคนหนึ่งจึงจะทำได้' "
"แค่ติดแอร์นี่นะ อย่าเยอะได้ป่ะ"
"อีกอย่างนายควรจะพูดจากับฉันให้มันสุภาพหน่อย ฉันอายุมากกว่านายนะ" เธอยังคงตามไปขวางและผลักไหล่คนที่เดินหนีอย่างเหลืออด
นายโปรดก้มมองแขนเสื้อบริเวณที่อีกฝ่ายสัมผัสโดน เขาใช้หลังมือปัดราวรังเกียจ ก่อนดวงตาฉายแววเดียดฉันท์จะตวัดมองเธอ
"ฉันไม่มีพี่น้อง ไม่อยากนับญาติกับเธอ แล้วฉันก็พูดกับคนอื่นแบบนี้ ทำไม หรือเธอคิดว่าเธอควรได้สิทธิพิเศษกว่าใคร"
อนาวิลาหน้าชา เธอยอมให้เขาเดินหลบไปเปิดตู้เย็นในครัว ก่อนสายตาตนจะแลเลยไปยังรั้วบ้านซึ่งเปิดค้างไว้อย่างเหม่อลอย
"เฮ้ย!" หญิงสาวอุทานอย่างนึกขึ้นได้
เธอวางกระเป๋า ถุงผ้า และถุงกับข้าวทั้งหมดลงบนโต๊ะรับแขกพลางวิ่งถลาออกจากบ้าน แต่ก็ไร้วี่แววสุนัขทั้งสี่ตัวที่มักออกมาต้อนรับแขกไปใครมาทุกครั้ง ทว่ารอบบ้านกลับเงียบเชียบอย่างไร้ร่องรอยพวกมัน
"สุดหล่อ! คุณลุง! เลิฟลี่! พ่อล่ำ!" เธอตะโกนเรียกชื่อพวกมัน แต่ก็ไม่มีใครโผล่มา
ใจสาวตกไปอยู่ยังตาตุ่ม เธอหยุดยืนพิงพนักม้าหินในสนามหน้าบ้านรวบรวมสติ หากใครอีกคนดูจะไม่เข้าใจสถานการณ์นี้เอาเสียเลย
"บอกแล้วไงว่าอย่าตะโกนเรียกชื่อหมาบ้าของเธอ เธอไม่อายแต่ฉันอาย!" นายโปรดบอกเสียงกระแทกมาจากระเบียง
อนาวิลาจ้องตอบเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ครั้งนี้เธอโกรธและเกลียดเขาขึ้นมาจับใจ จากที่เคยคิดว่าเขาอาจไม่ชอบพวกมันเพราะเป็นแค่สุนัขจรจัดเก็บมาเลี้ยง แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเพราะเขาไม่มีหัวใจห่วงใยใครทั้งสิ้นต่างหาก
หญิงสาวไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำกับคนพรรค์นี้อีกแล้ว เธอรีบจ้ำอ้าวออกจากบ้าน ต้องตามหาพวกมันให้เจอก่อนฟ้าจะมืดไปกว่านี้
............................
จะบร้าาาาา ใครเคยเลี้ยงมะหมาคงเข้าใจความรู้สึกของอุ่นใช่ไหมคะ และคงอยากฆ่านายโปรดด้วย >"<
ฝากเอาใจช่วยเจ้า 4 ตัวให้ปลอดภัยด้วยนะคะ แล้วมาดูว่านายโปรดจะแก้ตัวเรื่องนี้ยังไง หึ!
ปล. สำหรับผู้ที่อ่านนิยายเรื่องนี้ หลังปีใหม่แพรวอาจมีเกมมาร่วมสนุกกันด้วยค่ะ Keep in touch
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ธ.ค. 2558, 15:16:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ธ.ค. 2558, 15:18:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 993
<< บทที่ ๑ หลานชายคุณตา | บทที่ ๓ - บาดหมาง >> |